ประกอบรถบังคับวิทยุจากจีน

ของเล่นสร้างทักษะเด็กเป็นสินค้าที่ควรได้ลองเล่น และเมืองจีนก็มีสินค้าแนวนี้ขายในราคาไม่แพง จากที่ได้ลองเล่นกับลูก เด็กอายุ 9 ขวบก็พอจะทำความเข้าใจการประกอบชิ้นส่วนต่างๆ รวมถึงเข้าใจเรื่องวงจรไฟฟ้าระดับพื้นฐานได้แล้ว ของเล่นชุดนี้หาซื้อจากเว็บราคาไม่ถึง 100 บาท ใช้เวลาประกอบประมาณ 2 ชม. พ่อกับลูกช่วยกันทำ บอร์ดแรกจะทำกันนานหน่อยเพราะต้องทำความเข้าใจหลายอย่าง คู่มือที่แถมมากับของเล่นก็ทำมาเล็กมาก คนสายตาไม่ดีคงจะดูไม่ค่อยรู้เรื่อง อาศัยการต่อมั่วเล็กน้อยก็พอจะจบงานได้

1627439059473
IMG_20210727_205430

น่าอิจฉาเด็กยุคนี้ที่มีของเล่นไฮเทคราคาประหยัดให้เลือกเล่นจำนวนมาก หากเป็นยุคสมัยที่ผมยังเด็ก รถบังคับวิทยุจะราคาประมาณหนึ่งพันบาท ของหลักร้อยแทบไม่มีให้เลือกเลย วงจรไฟฟ้ากว่าจะได้จับก็ต้องรอมัธยม เด็กยุคใหม่ แค่พออ่านหนังสือออกก็แทบจะลองเล่นโปรเจ็คไฮเทคได้เท่าที่ใจปรารถนาเลย แถมเครื่องมือก็พร้อม ร้านขายก็มีอยู่ในอินเทอเน็ต ซื้อของจากใครจากร้านไหนก็ได้ เป็นเด็กในยุคปัจจุบันนี่โชคดีกว่ายุคเก่าอย่างไม่ต้องเทียบเลย

ให้ลูกลองเล่น Brain Box

IMG_20200413_133119

เจ้าของเล่นชิ้นนี้อยู่ในบ้านผมมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ลูกยังเล็กก็ได้รับบริจาคมาจากป้า เป็นของเล่นที่ยังไม่ได้แกะเลย ท่าทางจะเป็นของที่เล่นไม่ทันและลูกของป้าก็โตพ้นวัยไปเยอะแล้ว ของชิ้นนี้เลยตกเป็นมรดกมาให้ลูกผมเอง ขอบฟ้าเป็นเด็กโชคดีมากที่มีญาติเป็นนักช็อปปิ้ง

IMG_20200413_133125

Brain Box คือชื่อของเล่นชิ้นนี้ มันเป็นชุดของเล่นที่เป็นวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย มีสวิตซ์ มีตัวนำ มีหลอดไฟ มอเตอร์ ลำโพง วงจรสำเร็จรูปทำหน้าที่ได้หลายอย่าง มีเซ็นเซอร์แสง มีตัวต้านทาน มีคาปาซิเตอร์ มีสวิตซ์แปลกๆ คู่มือที่มากับกล่องบอกว่าสามารถต่อได้ 500 วงจร ในคู่มือจะมีวิธีเล่น มีวงจรไล่ไปทีละวงจร แต่ละวงจรมีรายละเอียดปลีกย่อย มีคำอธิบาย และมีสอนให้เปลี่ยนบางอย่างในแต่ละวงจรเพื่อดูผลการเปลี่ยนแปลง

IMG_20200415_101155

ผมลองเล่นกับลูกไป 2 ชั่วโมง ก็พบว่า มันดึงความสนใจของเด็กได้ต่อเนื่องมาก มันให้ความรู้ความเข้าใจกับเด็กเจ็ดขวบได้จริง แต่ที่สะดุดใจเป็นการส่วนตัวก็คือ ของเล่นชุดนี้มันเหมือนเป็นแล็บทดลองวิชาไฟฟ้าสมัยที่ผมเรียนปริญญาตรีเลย หลักการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆเป็นอย่างไรเราจะได้ทดลองสร้างวงจรจริงเพื่อดูผลการทำงานแต่ละอุปกรณ์ มันสร้างความเข้าใจให้กับเด็กวิศวะไฟฟ้าได้ง่ายดายมาก

ยกตัวอย่างสวิตซ์ก็ได้ ปกติสวิตซ์จะทำงานปล่อยไฟฟ้า หรือ ตัดวงจรไฟฟ้า เมื่อเรากดสวิตซ์ให้ทำงาน ไฟจะไหลไปยังโหลดหรืออุปกรณ์ได้เหมือนต่อสายไฟตรง เมื่อสวิตซ์ตัดการทำงาน ก็จะเหมือนตัดสายไฟ หลักการมีแค่นี้ เด็กเรียนวิชาไฟฟ้าก็เรียนแบบนี้ วิศวกรก็เรียนแบบนี้ แต่สวิตซ์ 3 ชนิด คือ 1 สวิตซ์กดติดปล่อยดับ กับ 2 สวิตซ์แม่เหล็กหรือ dry reed (ศัพท์นี้ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย)ชนิดโดนแม่เหล็กแล้วต่อวงจร เอาแม่เหล็กออกก็จะดับ กับ 3 สวิตซ์แบบซีเล็คเตอร์เลื่อนไปเปิด แล้วต้องเลื่อนกลับเพื่อปิด แค่ 3 อย่างนี้ก็ทำให้ทึ่งแล้ว เพราะในทางวิศวกรรม สวิตซ์ทั้ง 3 ชนิด เมื่อทำงาน มันก็จะส่งไฟฟ้าผ่านไปยังอุปกรณ์ได้เหมือนกัน ในการออกแบบวงจรมันเหมือนกัน ในการวิเคราะห์วงจรบนกระดาษมันเหมือนกัน แต่ในทางปฏิบัติมันให้ผลไม่เหมือนกัน สิ่งนี้ถ้าไม่อยู่หน้างานจริงไม่มีทางได้รู้ เด็กวิศวกรที่อยู่กับแบบเรียนแต่ไม่ลงมือทำชิ้นงานจริงจะไม่มีทางรู้เลยว่าสวิตซ์ทั้ง 3 แบบมันให้ผลลัพธ์ไม่เท่ากัน

ถ้าเราวิเคราะห์ให้ลึกสักหน่อย เราจะพบว่า สวิตซ์ทั้ง 3 ชนิดนี้น่าจะมีความต้านทานที่หน้าสัมผัสไม่เท่ากัน มันทำให้ไฟฟ้าไหลผ่านไปไม่เท่ากัน มีผลทำให้ อุปกรณ์ที่ต่อใช้งานทำงานไม่เท่ากัน ถ้าเราต่อวงจรด้วยหลอดไฟแสงสว่าง เราจะเห็นหลอดไฟสว่างทั้งหมด แต่ตาเราจะแยกแยะความสว่างที่ต่างกันเล็กน้อยไม่ได้ ดูด้วยตาเราจะบอกว่าหลอดไฟสว่างเท่ากันนั่นเอง แต่หากเราเปลี่ยนจากหลอดไฟเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าที่หมุนใบพัดให้ลอยตัวขึ้น เราจะเห็นว่ามอเตอร์หมุนเร็วมากเหมือนกัน เพราะสายตาเราแยกไม่ออก แต่ใบพัดที่หมุนแรงจนเกิดแรงยกทำให้ลอยตัวขึ้นไป มันมีความแตกต่างกันว่าสวิตซ์แต่ละชนิดส่งใบพัดให้ลอยสูงไม่เท่ากัน การทดลองบอกเราว่า สวิตซ์เลื่อนเปิดและต้องเลื่อนกลับเพื่อปิดส่งใบพัดได้สูงที่สุด สวิตซ์กดติดปล่อยดับส่งใบพัดให้ลอยขึ้นไม่แน่นอน และสวิตซ์แม่เหล็ก ทำงานด้วยการแหย่แม่เหล็กเข้าไปใกล้ๆสวิตซ์เพื่อให้ต่อวงจรและเมื่อชักแม่เหล็กออกสวิตซ์จะตัดไฟ เจ้าระบบแม่เหล็กนี้ส่งใบพัดให้ลอยออกไปได้ต่ำที่สุด นี่คือผลความแตกต่างที่เกิดจากความต้านทานในหน้าสัมผัสสวิตซ์มีค่าไม่เท่ากัน แค่เด็กทดลองเล่นเราไม่ต้องลงลึกก็ได้ ของเล่นแนวนี้เหมาะที่จะให้เด็กเล่นเป็นพื้นฐาน เพื่อทำความรู้จักกับวงจรไฟฟ้า

โลกเราไม่ได้ต้องการแค่คนปลูกข้าวกับโปรแกรมเมอร์ เรายังต้องการวิศวกรเพื่อออกแบบระบบที่ทำงานได้ตรงวัตถุประสงค์ เรายังต้องการคนเข้าใจฮาร์ดแวร์ เรายังต้องการคนออกแบบที่รู้ถึงข้อจำกัดต่างๆของอุปกรณ์ สิ่งเหล่านี้สอนกันยาก การมีเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาความรู้นี้ทำให้เราประหยัดเวลาได้มาก เพราะในรุ่นผม กว่าจะได้เรียนรู้ กว่าจะได้เข้าใจเหตุผลทางไฟฟ้าเหล่านี้ก็ต้องรอจนอายุยี่สิบกว่า ขณะที่เด็กเจ็ดขวบได้เรียนรู้และได้เริ่มสัมผัสกับมันแล้ว การจะต่อยอดไปให้เข้าใจมากขึ้นก็ทำได้รวดเร็ว โลกเราก้าวหน้าไปมาก เครื่องมือการเรียนรู้ก็พัฒนาไปมาก ผู้ใหญ่อย่างรุ่นผมก็คงต้องติดตามความเปลี่ยนแปลงไปตลอด เพื่อให้เราสามารถเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกได้อย่างรู้เท่าทัน

ขอบฟ้า เพลินๆ 13aug2018

IMG_0963.JPG

ขอบฟ้าคุยกับพ่อเรื่องการซ่อมรถ  ขอบฟ้าอยากสร้างรถขาย พ่อถามว่าขอบฟ้าจะขายคันละเท่าไหร่  ขอบฟ้าบอก 200 บาท  คนจะได้ซื้อง่ายๆ  เพราะเมื่อก่อนขอบฟ้าจะขายคันละ 10 ล้านบาท  ตอนนั้นพ่อบอกว่าเราต้องขายของในราคาที่คนอื่นอยากซื้อ
ก็เลยถามต่อว่า ขอบฟ้าจะสร้างรถยังไงให้ขาย 200 บาท ขอบฟ้ายบอกว่าจะเอาขยะมารีไซเคิล  จะเอาพลาสติก กับเหล็กมาจากถังขยะ  แต่เครื่องยนต์น่าจะไม่มี คงต้องซื้อเครื่องยนต์มา  ส่วนแอร์ในรถ ก็ให้เอาแอร์ที่ไม่ดีแล้วในบ้านมาใส่รถ  แล้วบ้านก็ซื้อแอร์เครื่องใหม่
ขอบฟ้าเลยขอให้พ่อช่วยสร้างรถหน่อย  พ่อก็รับปาก  และ เสนอว่า เราน่าจะลองทำคันเล็กๆก่อนแล้วพอทำเก่งแล้วค่อยทำคันใหญ่ๆ  ขอบฟ้าก็เห็นด้วย  พ่อก็เลยแนะนำว่าเราจะเอารถของเล่นคันเก่ามาทำให้เป็นรถที่วิ่งได้ เพราะตอนนี้มันเสียอยู่
แล้วขอบฟ้าก็ทวงพ่อทุกวันว่า จะซ่อมรถคันนี้หรือยัง  วันนี้อย่าลืมรื้อจากห้องเก็บของออกมานะ  ถามทุกวันจนพ่อต้องรื้อให้ และเตรียมของรอซ่อม
ขอบฟ้าถามว่า ตอนพ่อเป็นเด็ก เคยอยากสร้างรถไหม  พ่อบอกว่า เคย
ขอบฟ้าถามต่อว่า แล้วได้สร้างไหม  พ่อบอกว่า ไม่ได้สร้าง
ขอบฟ้าถามว่าทำไมไม่สร้าง  พ่อตอบว่า นั่นสิพ่อก็นึกไม่ออกว่าทำไมถึงไม่สร้าง
ขอบฟ้าถามต่อว่า  ทำไมไม่สร้างตอนที่อยากสร้าง  พ่อ……..  (สลดในใจ  ไว้จะหาคำตอบดีๆมาให้ขอบฟ้าวันหลัง)

โอนน้ำ โอนไฟ แล้วก็ค่าประกันเล็กๆน้อยๆ

วันนี้นัดไปโอนกรรมสิทธิ์การใช้น้ำ และ ไฟ จากเจ้าของตึกคนเก่ามาเป็นของเราเอง เริ่มต้นที่การปะปา เจ้าของเก่าค้างค่าน้ำไว้เท่าไหร่ต้องจ่ายให้ครบ แล้วก็ทำเรื่องได้ การทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์ จะต้องโอนสิทธิ์ และ เงินค่าประกันด้วย เงินค่าประกันถ้าไม่โอนให้ ก็ต้องยกเลิก เจ้าของใหม่ก็ต้องไปจ่ายเงินค่าประกันเอง เจ้าของเก่าจะโอนค่าประกัน หรือ จะยกเลิกต้องเอาใบเสร็จรับเงินค่าประกันมายื่น ใครทำเรื่องไว้ตั้งแต่บรรพบุรุษก็ต้องไปขุดใบเสร็จออกมาให้ได้ ถ้าไม่มีก็ต้องไปแจ้งความ ทั้งๆที่ในทะเบียนข้อมูลก็มีระบุไว้ว่ามีเงินค่าประกัน ทำไมไม่ให้เขาทำเรื่องยกเลิกได้โดยตรง ใบเสร็จรับเงินเมื่อสิบปีที่แล้วใครจะไปเก็บไว้ ทำให้คิดไปว่านโยบายนี้เป็นนโยบายทำมาหากินกับเงินประกันของประชาชน ใครขยันทำเรื่อง และอดทนไปแจ้งความก็จะคืนเงินให้ ใครไม่อยากเรื่องมากก็จะไม่ได้คืน เงินประกันบ้านหลังหนึ่งหกร้อยบาท สิบล้านหลังเป็นเงินหกพันล้าน…….

โอนไฟง่ายกว่าที่คิด ไม่เห็นต้องแจ้งความเลย…… เงินค่าประกัน ก็อยู่ในทะเบียนไง เปิดข้อมูลดูก็รู้ จะโอนก็ทำเรื่องกันนิดเดียว ไม่เห็นต้องยุ่งยาก การไฟฟ้าน่ารักกว่าปะปาเยอะเลย

เอกสารลักษณะเดียวกัน ธุรกรรมแบบเดียวกัน แต่กลับทำให้เป็นเรื่องที่ยุ่งยากแตกต่างกัน ไม่เข้าใจเลยว่าคนวางนโยบายใช้ส้นเท้าข้างซ้ายหรือขวาคิด.