ทำไมเฟสบุ๊คเก่งเรื่องหาลูกค้า

ทำไมเฟสบุ๊คเก่งเรื่องหาลูกค้า

20180424094626_IMG_0397

น่าจะมีหลายคนสงสัยว่าทำไมเฟสบุ๊คถึงฉลาดเกี่ยวกับคน  เฟสบุ๊ครู้ว่าเราชอบอะไรและไม่ชอบอะไร มันเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นกับพฤติกรรมมนุษย์มาก่อน  บางคนอาจจะเผลอคิดไปเลยว่าเฟสบุ๊คน่าจะดักฟังเราอยู่ตลอดเวลา  เพราะบางทีการนั่งคุยเรื่องสิ่งของอย่างเช่น เสื้อผ้า  รองเท้า  ไปเที่ยว  ไปดูรถคันใหม่มา  พอวางสายจากการสนทนา หรือกลับถึงบ้าน  หลังจากนั้นไม่นานเมื่อเราหยิบมือถือขึ้นมาดู หรือเข้าไปเล่นเฟสบุ๊คก็พบว่ามีโฆษณาสินค้าที่เราเพิ่งพูดถึง หรือเพิ่งไปดูมา  และเรื่องนี้ก็เกิดขึ้นบ่อยมากกับชีวิตในทุกวันนี้

ในฐานะที่เป็นผู้ทำการสอนการยิงโฆษณาในเฟสบุ๊คมาหลายปี  จะขอบอกว่าวันนี้เฟสบุ๊คเก่งเรื่องคนมากจริงๆ  เฟสบุ๊ครู้จักเราหรือรู้จักเจ้าของเครื่องโทรศัพท์มือถือในหลายแง่มุม  และรู้ลึกรู้จริงจนอาจจะทำนายพฤติกรรมได้เลย  แล้วหลายคนก็อยากรู้ว่าทำไมเฟสบุ๊คถึงมีความสามารถเช่นนั้น  ถ้าจะให้เล่าก็ต้องเล่าไปที่จุดเริ่มต้นว่าจริงๆแล้วเฟสบุ๊คเก่งเรื่องชาวบ้าน  เฟสบุ๊คเคยเปิดเผยข้อมูลว่า คนเข้าไปเล่นเฟสบุ๊คมี 2 วัตถุประสงค์คือ

1 เข้าไปดูเรื่องชาวบ้าน คนอื่นทำอะไร ไปไหน โพสท์อะไร 

2 ไปดูว่าชาวบ้านมาดูอะไรของเรา  เราโพสท์แล้วมีคนอ่านไหม มีคนมากดไลค์  หรือพิมพ์คอมเม้นท์หรือเปล่า

ข้อหนึ่งคงไม่ต้องสงสัย  เพราะเป็นสิ่งที่เราใช้เวลาค่อนข้างมากกับเฟสบุ๊ค  เราจะไปดูความเป็นไปของสังคม ชีวิตเพื่อนเรา ดูชีวิตคนที่เรารู้จัก  เพื่อนเราไปไหน เที่ยวไหน  กินอะไร ซื้ออะไร  เราดูสิ่งเหล่านี้ทุกวันผ่านเฟสบุ๊ค

ส่วนข้อสองเวลาเราจะดูว่าชาวบ้านมาดูอะไรของเรา ก็จะดูจากชาวบ้านมากดไลค์เรื่องของเรา  พอเราไปเที่ยวมีรูปสวยๆกลับมาก็โพสท์ลงเฟสบุ๊ค เพื่อนได้เห็น เพื่อนก็กดไลค์   บางทีเราก็ขอให้เพื่อนมากดไลค์รูปของเราด้วยซ้ำไป  เพื่อนบางคนก็เป็นขาประจำชอบดูภาพที่เราโพสท์  พ่อแม่บางคนก็โพสท์รูปเด็ก  ความเปิ่นความทะเล้นของลูก  แล้วมีคนมาคอมเม้นท์เราก็รู้สึกดี

เหตุที่เฟสบุ๊คเก่งเรื่องคน เพราะเฟสบุ๊คเก็บข้อมูลของเราในออนไลน์ในระดับที่ลึกมากถึงลึกที่สุด  โดยมีข้อมูลของเราอยู่ 4 ช่องทางที่เฟสบุ๊คจะรู้จักตัวเรา  และรู้ลึกขึ้นเรื่อยๆตามเวลาที่ผ่านไป รู้มากขึ้นตามพฤติกรรมที่เราทำผ่านเฟสบุ๊คทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว เราลองมานับหรือทบทวนกันว่าเฟสเก็บข้อมูลเรา 4 ช่องทางนี้ ที่ไหน อย่างไรกันดีกว่า

http://www.freepik.com

ช่องทางที่1  เฟสบุ๊คเก็บข้อมูลของเราจากโพรไฟล์ที่เราสมัคร  การกรอกข้อมูลครั้งแรก  ชื่อ อีเมล  และข้อมูลข้างเคียงอื่นๆเราก็มักจะมีบอกหรือกรอกแทบจะครบทุกช่องเลย  อย่างเช่น ข้อมูล อายุ โรงเรียน ทำงานอะไร ชอบเที่ยวแบบไหนดูหนังอะไร อ่านหนังสืออะไร  เราใส่ข้อมูลความชอบส่วนตัวให้กับเฟสบุ๊คไปแล้วตั้งแต่ตอนสมัครเข้าใช้งานครั้งแรก  และบางคนก็กรอกประวัติการศึกษา  รวมถึงประวัติการทำงานก็มีการกรอกเข้าไปด้วย

พอเรามีประวัติที่ละเอียดขึ้น ผู้ประกอบการต่างๆก็ใช้ประโยชน์จากประวัติการศึกษาของผู้ใช้เฟสบุ๊คได้ อย่างเช่นเรื่องประวัติการศึกษา  ถ้าเราจะค้นหาคนที่สนใจจะซื้อสินค้าของเราโดยอยากได้คนที่มีกำลังซื้อ  เราก็ค้นหาจากประวัติการศึกษาได้เพราะประวัติการศึกษาจะเกี่ยวข้องกับกำลังซื้อหรือรายได้  ถ้าเราจะหาลูกค้าที่จบมหาวิทยาลัยชั้นนำ  กลุ่มนี้ก็จะมีกำลังซื้อมากกว่าคนที่จบการศึกษาระดับมัธยม  หรือแม้แต่ประวัติการศึกษาจากเมืองนอกก็จะได้กลุ่มเป้าหมายที่มีกำลังซื้อสูงมาก  สิ่งนี้ภาคธุรกิจใช้ประโยชน์จากเฟสบุ๊คได้โดยตรง

ในส่วนข้อมูลประวัติการทำงาน  ก็ช่วยหาลูกค้ากระเป๋าหนักได้  บางคนใส่ข้อมูลการทำงานระดับสูง  คนเรามักจะใส่ประวัติการทำงานที่สวยหรูละเอียดยิบ  คนส่วนมากอยากใส่โพรไฟล์หน้าที่การงานที่ดี หรูหรา  ชอบที่จะเล่าเรื่องการเรียนจบแล้วเรียนต่อปริญญาโทที่เมืองนอก  ไปต่อปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยท๊อปเท็นของอเมริกา  บางคนยังพยายามเล่าต่อด้วยว่ารับงานเป็น MD ให้บริษัทเอกชนอยู่เป็นปีตั้งแต่ยังเรียนไม่จบปริญญาเอก แถมยังมีบริษัทมาซื้อตัวไปเป็น ceo  เรียกว่าใส่ข้อมูลระเอียดยิบราวกับพระเอกหนังจากวอลสตรีท  นี่คือธรรมชาติของคนเล่นเฟสบุ๊คส่วนใหญ่  จึงทำให้เจ้าของสินค้า หรือนักการตลาด online สามารถใช้ประโยชน์จากโพรไฟล์ขั้นเทพเหล่านี้เพื่อคัดกรองหาลูกค้าที่เหมาะกับสินค้าของเราได้

http://www.freepik.com

ช่องทางที่2 เก็บข้อมูลจากฟีดที่เราอ่าน  การเลื่อนหน้าจออ่านข้อมูลในเฟสบุ๊คไปเรื่อยๆ  เฟสบุ๊คก็เก็บข้อมูลการใช้งานของเราตลอดเวลา  เฟสบุ๊คไม่ได้เก็บข้อมูลแค่สิ่งที่เราอ่าน แต่เริ่มเก็บตั้งแต่วิธีที่เราไถฟีดเลื่อนหน้าจอเลย เฟสบุ๊คเก็บข้อมูลอัตราความเร็วของนิ้วโป้งที่เลื่อนหน้าจอ  ความเร็วเฉลี่ยในการเลื่อน 1 หน้าจอของคนทั่วโลกอยู่ที่ประมาณหน้าละ 1 วินาที  และเมื่อเราเลื่อนไปเรื่อยๆจนถึงสิ่งที่เราสนใจ เราจะเลื่อนช้าลง  เฟสบุ๊คก็จะมีตัว ai มาจับพฤติกรรมของเราได้ และเก็บข้อมูลว่า เราเห็นข้อมูลอะไรแล้วทำให้เราไถหน้าจอช้าลง หรือ ข้อมูลอะไรทำให้เราหยุดไถหรือหยุดเพื่ออ่าน เฟสบุ๊คก็จะบันทึกไว้ว่าเราหยุดที่เนื้อหาแบบไหน   และหากเราหยุดนานแล้วเอานิ้วไปแตะเนื้อหาเพื่ออ่านละเอียดขึ้น  เฟสบุ๊คก็จะตรวจจับได้ว่าเราสนใจเรื่องนั้น  ระบบจะไปดูเนื้อหาในโพสท์นั้น  caption หรือ details ภายในเป็นเรื่องเกี่ยวกับอะไร ภาพอะไร วิดีโอเกี่ยวกับอะไร  เฟสบุ๊คจะบันทึกสิ่งนั้นเอาไว้ว่าเป็นเรื่องที่เราสนใจ  และถ้าเราอยู่กับโพสท์นั้นอย่างจริงจังมากขึ้นถึงกับไปกดไลค์  เฟสบุ๊คก็จะบันทึกไว้ว่าเรื่องนี้เราชอบมาก   และพอเราทำมากขึ้นไปอีกขั้นเราแสดงความชอบโดยการใส่คอมเม้นท์ เฟสบุ๊คก็จะเก็บข้อมูลว่าเราชอบมากเป็นพิเศษ  

บางโพสท์หากคนใช้งานยังไม่ว่างอ่าน บางคนใช้วิธีกดแชร์ แล้วใส่ tag เอาไว้ว่า “แปะ”   หรือ “เดี๋ยวมาอ่าน”  นั่นก็จะยิ่งทำให้เฟสบุ๊ครู้ว่าเราชอบเรื่องนั้นในระดับซีเรียสสุดๆ  พฤติกรรมแบบนี้อยู่ในสายตาของเฟสบุ๊คทั้งหมด  การกดเข้าไปดูภาพ  ดูคลิปวิดีโอ ก็ทำให้เฟสบุ๊คเก็บข้อมูลได้ลึกขึ้น และทำให้เฟสบุ๊คเริ่มทำการคาดเดาว่าเราน่าจะชอบเรื่องแนวนี้   เฟสบุ๊คก็จะไปหาเนื้อหา ทั้งภาพและคลิปที่คล้ายกันมาให้เราดู  และยิ่งเราตอบสนองต่อสิ่งที่เฟสบุ๊คหยิบยื่นให้  เฟสบุ๊คก็จะยิ่งมีข้อมูลที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้น

http://www.freepik.com

ช่องทางที่3 เก็บจากลิงค์ภายนอกที่เราไปกด   ถ้าในโพสท์ของเฟสบุ๊คมีเนื้อหาเว็บที่เป็นลิงค์สู่ภายนอก  เมื่อเรากด เราจะออกกระโดดออกจากเฟสบุ๊ค   เฟสบุ๊คจะคอยจดจำว่า เนื้อหาเกี่ยวกับอะไรที่ทำให้เราออกจากเฟสบุ๊ค สิ่งนั้นจะเป็นสิ่งที่เราสนใจมากเช่นกัน  ความสนใจแบบนี้ก็จะถูกบันทึกไว้  ตลอดเวลาที่เราใช้งานเฟสบุ๊ค  ระบบ ai ของเฟสบุ๊คจะเรียนรู้ตลอดเวลาว่าเราทำอะไร กดอะไร อ่านอะไร ไปอ่านเรื่องของใครบ่อยๆ  แม้แต่การออกจากเฟสแล้วไปเล่นใน app อื่น หรือไปเล่นในเว็บอื่น  เฟสบุ๊คก็จะยังรู้ได้ว่าเราไปไหน  เพราะเฟสบุ๊คมีเครื่องมือที่ชื่อว่า pixel ที่เป็นชุดคำสั่งสำหรับการฝังไว้ในเว็บ โค้ดชุดนี้จะถูกสร้างจากการโฆษณาของเรา  เจ้าของเพจจะสามารถใส่ pixel ไว้ในเว็บได้  และชุดคำสั่งนี้จะส่งข้อมูลการใช้งานของผู้คนกลับมายังเฟสบุ๊ค  มันละเอียดถึงระดับที่ว่า ลูกค้าอยู่หน้าไหน ลูกค้าอยู่ในเว็บนานแค่ไหน  กำลังดูอะไรอยู่  ทุกอย่างจะถูกรายงานทันที  เจ้าของสินค้าจะรู้ว่ามีคนกำลังใช้เวลากับเว็บ  เราสามารถใช้เงื่อนไขพฤติกรรมนี้เพื่อส่งโฆษณาไปให้เขาได้เลย  พอเขาเปิดเฟสอีกครั้ง โฆษณานี้จะขึ้นในเครื่องเขาในหน้าแรกๆทันที

แล้วกรณีที่บริษัทเราไม่มีเว็บเป็นของตัวเอง เราก็ยังสามารถไปเปิดร้านในมาเก็ตเพลสอย่าง lazada หรือ shopeeได้  เมื่อเราเอาสินค้าไปวางขาย  ตัวระบบของมาเก็ตเพลสก็จะมีเครื่องมือที่จะรายงานว่า มีคนดูโปรดักส์ของเราอยู่กี่คน  เครื่องมือของเฟสบุ๊คนี้ถ้าติดตั้งในเว็บเรียกว่า facebook pixel ถ้าติดตั้งใน application จะเรียกว่า facebook SDK

เคยสังเกตุไหมว่าเมื่อเราดูเว็บagoda เพื่อดูห้องพักโรงแรม  พอเราออกจาก agoda แล้วไปเล่นเฟสบุ๊ค เราจะเห็นโฆษณาจาก agoda เข้ามาในเฟสบุ๊คของเราอีกรอบ  แทบจะทันที  มันเป็นการทำงานของระบบ pixel เวลาเราดูข้อมูลห้องพักโรงแรม แล้วเรายังไม่จอง เมื่อเราไปเล่นในเว็บอื่น หรือ กลับไปเล่นในเฟสบุ๊ค  เราจะไปเจอโฆษณาห้องพักนั้นในเฟสบุ๊ค  โฆษณาจะตามติดไปกับเราอีกพักใหญ่ๆจนกว่าเราจะซื้อ  และเมื่อมีการซื้อไปแล้ว ระบบก็จะรับรู้และเตรียมโฆษณาสินค้าอื่นที่เกี่ยวข้องให้กับเรา  อย่างเช่น เมื่อเราดูโฆษณาเคสโทรศัพท์มือถือ พอดูแล้วเลือกแต่ยังไม่ซื้อ  เราจะเห็นโฆษณาเคสโทรศัพท์เข้ามาในเฟสบุ๊คอย่างสม่ำเสมอ  และเมื่อมีการซื้อไปแล้วระบบก็จะเปลี่ยนโฆษณาโดยอัตโนมัติ  เฟสบุ๊คอาจจะเอาสายชาร์จและเพาเวอร์แบงค์มาให้เราดูแทน  นั่นคือความฉลาดของระบบ ai  ซึ่งเว็บไซต์และ app หลายๆตัวก็มีความสามารถแบบนี้เป็นส่วนใหญ่  เราเรียกกระบวนการเปลี่ยนสินค้าที่โฆษณานี้ว่า cross selling หรือขายสินค้าที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งจะมีอีกคำที่มาคู่กันคือ upselling หรือ ขายสินค้าในปริมาณที่มากขึ้นหรือความพยายามที่จะทำให้นักช็อปจ่ายเงินมากขึ้น

digital-airport-29nov2005f66

ช่องทางที่4 เก็บจาก location หรือ gps บนโทรศัพท์  ปกติที่เราพกโทรศัพท์ติดตัวไปตลอดเวลา  โทรศัพท์ก็จะบันทึกสถานที่ที่เราเดินทางไป เฟสบุ๊คจะรู้ตำแหน่งของเรา  ผู้ประกอบการสามารถใช้ประโยชน์จากตำแหน่งของลูกค้าได้  เจ้าของร้านอาหารสามารถโฆษณาให้คนที่พักอาศัยหรือทำงานใกล้ร้านค้าได้เห็นโฆษณาเมนูอาหารได้  ร้านอาหารไม่ต้องใช้วิธีดั้งเดิมในการเดินแจกใบปลิว  ถ้าเป็นเจ้าของร้านก๋วยเตี๋ยวเราก็สามารถให้เฟสบุ๊คหาคนสนใจก๋วยเตี๋ยวในพื้นที่ ระยะทางไม่เกิน 3 กม. แล้วส่งโฆษณาเข้าไปที่มือถือของเขาได้เลย  ตัวเลข 3 กม.เป็นตัวเลขสวรรค์ ตัวเลขนี้มาจากผู้ให้บริการส่งอาหารแล้วพบว่าลูกค้าส่วนมากจะซื้ออาหารไม่เกิน 3.2 กม. ด้วยเหตุผลว่าค่าส่งจะถูก หรือ ยอมรับค่าส่งได้  ถ้าคุณเป็นเจ้าของร้านอาหาร ก็ควรโฆษณาแล้วหาลูกค้าในระยะ 3 กม. ก่อน หากตอบสนองลูกค้าทัน สามารถรับลูกค้าเพิ่มได้ก็ค่อยเพิ่มระยะทางให้ไกลขึ้นได้

ถ้าคุณเป็น โรงแรม หรือทำธุรกิจท่องเที่ยว  คุณก็สามารถใช้เฟสบุ๊คหาลูกค้าให้ได้เลย  อย่างเช่น ตอนที่เราเดินลงจากเครื่องบินในสนามบินเชียงใหม่  โฆษณารถเช่ารถรับจ้างก็จะเด้งเข้ามาในโทรศัพท์ทันที  เรื่องนี้เกิดขึ้นตลอดเวลาที่สนามบิน  ผู้ให้บริการที่ใช้เฟสบุ๊คหาลูกค้าเช่ารถย่อมไม่พลาดวิธีนี้

เราพอจะเข้าใจได้แล้วว่าเฟสเก็บข้อมูลจาก 4 แหล่งอย่างประสิทธิภาพ  มีความถูกต้องสูงมาก  และเมื่อนำข้อมูลพฤติกรรมทั้งหมดมาประมวลผลทำให้เฟสบุ๊คมีความสามารถในการพยากรณ์ว่าใครน่าจะเป็นลูกค้าเราโดยมีความแม่นยำมากถึง 85%   ความแม่นยำนี้ทำให้มีหลายคนถึงกับพูดว่า เฟสบุ๊ครู้จักตัวเรายิ่งกว่าตัวเราเองเสียอีก  ซึ่งทำให้ข้อสังเกตเรื่องการดักฟังกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นต้องทำเลย  เพราะเฟสบุ๊ครู้จักเราลึกมากจากแหล่งที่มาข้อมูลทั้งหมดที่กล่าวมา

สำหรับธุรกิจ เฟสบุ๊คสามารถหาคนที่น่าจะสนใจสินค้าของเรามาให้ได้อย่างต่อเนื่อง  เรียกได้ว่าเฟสบุ๊คหา opportunity ให้กับเรา ในขณะเดียวกันสินค้าของเราก็ต้องมีความพร้อมที่จะปิดการขายด้วย  ฝ่ายขายของธุรกิจต้องมีความสามารถโน้มน้าวให้ลูกค้าซื้อด้วยถึงจะเกิดผลลัพธ์   แปลว่านอกจากความรู้เรื่องการยิงโฆษณาให้ตรงกลุ่มเป้าหมายแล้ว งานหลังบ้านอย่างทีมเซลส์ที่จะปิดการขาย ทีมเก็บเงิน ทีมส่งสินค้าก็ต้องพร้อมเช่นกัน  

ข้อมูลโดย
James 062 394 9265
https://www.facebook.com/GoldfingerDigital

IMG_0845

งานแต่งงานควรจัดกลางวัน

เวลาไปงานแต่งงานเราก็มักจะได้รับเชิญให้ไปงานเพื่อกินมื้อเย็น  กำหนดการเริ่มงานประมาณ 18.00 น.  แขกที่วางแผนดีๆหน่อย ไปก่อนงานเล็กน้อยก็จะไปถึงตอนที่ฟ้ายังไม่มืด ก็พอมีเวลาถ่ายให้ภาพเล่น และได้ภาพบรรยากาศที่ดูสวยงามกว่าตอนกลางคืน    แต่ถ้าอยากให้ภาพในงานดูสวย ภาพที่แขกมาในงานก็จะมีภาพดูดีกลับไป  ภาพที่แชร์ในเฟสต่างๆก็เป็นภาพสีสันสดใส  ก็ควรจัดงานตอนกลางวันไปเลย  เพราะกลางวันถ่ายภาพให้สวยกว่าตอนกลางคืน

 

IMG_0039

 

นี่คือภาพตอนฟ้ามืดแล้ว นั่งอยู่ที่โซฟ้าหน้าห้องจัดงานแต่งงาน  ถ่ายรูปเล่นก่อนจะเดินเข้าห้อง  เป็นแสงในโรงแรม  แสงสีเหลืองอมแดง  ถ้าถ่ายภาพแบบมั่วๆให้กล้องคิดให้ภาพก็จะติดแดงยิ่งกว่านี้  ผมถ่ายภาพโดยวัดแสงให้โอเวอร์ไว้ 1 สต๊อป  ใช้ค่า white balance แบบ auto ก็เป็นภาพที่พอดูได้  แต่ไม่สวยมาก

 

IMG_0034

 

นี่คือภาพด้านนอกตึก  เวลาเย็นมากแล้ว พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว  ฟ้ากำลังจะกลายเป็นสีดำ  ตอนนี้ถ่ายภาพยังไงก็ไม่สวย  ถ่ายคนก็จะไม่มีแสงธรรมชาติให้ใช้ ภาพคนในเวลานี้ก็จะได้แสงจากไฟในโรงแรมเท่านั้น   แต่ถ้าเราเลื่อนการจัดงานมาเป็นกลางวัน ปล่อยให้แขกได้อยู่ในงานในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินนานหน่อย  คือมีเวลาให้แขกได้เดินเล่นถ่ายรูป กินของที่เจ้าภาพเตรียม  กินแล้วมาถ่ายรูปเล่น ถ่ายรูปเล่นแล้วกลับไปกินต่อ วนเวียนแบบนี้มันจะได้ภาพสวย และมันจะเป็นงานเลี้ยงที่แท้จริง

ผมพาลูกและภรรยาไปร่วมงานแต่งงาน กำหนดการคือตอนเย็น  แต่ผมไปถึงก่อนงานนานหน่อยเพื่อจะถ่ายรูปเล่น  และการถ่ายภาพภายใต้แสงธรรมชาติตอนพระอาทิตย์ยังไม่ตกก็ให้ผลที่สวยงามกว่าตอนมืดมากมาย  ดูจากภาพเหล่านี้

 

IMG_0010

กล้อง eos 6d เลนส์ 85f1.8  ชดเชยแสง +1

 

IMG_0012

กล้อง eos 6d เลนส์ 85f1.8  ชดเชยแสง +1  วางกล้องไว้บนชั้นวางใกล้ๆ แล้วใช้ self timer ตั้งเวลาถ่าย กดแล้ววิ่งเข้ามาอยู่ในเฟรม  ทำหน้าไม่เหนื่อย

 

IMG_0015

ถ่ายภาพลูกกับญาตผู้ใหญ่ท่านอื่นๆก็ให้ภาพโทนสดใส  อารมณ์ภาพอบอุ่นแบบนี้จะหาไม่ได้ในเวลาฟ้ามืด

 

IMG_0023

 

ภาพจากกล้องไม่ต้อง process ใดๆก็สวยแล้วถ้าเราเพียงแต่คิดและเลือกเวลาถ่าย เลือกแสงสวยๆ มันก็สวยได้เอง  ผมพอใจภาพที่ระเบียงโรงแรมนี้มาก  เพราะเป็นภาพถ่ายจากงานแต่งงานที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น  เนื่องจากงานแต่งงานแต่ละงานก็มักจะจัดกันเพื่อกินมื้อค่ำ  เวลาที่จะได้เดินถ่ายรูปสวยๆไม่ค่อยมี  แต่หากเราอยากได้ภาพสวยจริงๆก็ต้องไปก่อนงานแล้วเดินเล่นถ่ายภาพกันก่อน

 

เจ้าภาพเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในงานนี้ทั้งงาน  จ่ายเงินไปเป็นแสน  มันน่าเสียดายหากภาพส่วนใหญ่ในงานเป็นภาพในช่วงเวลาฟ้ามืด  ถ่ายภาพด้วยแฟลช ถ่ายภาพด้วยแสงไฟในโรงแรม  ต่อให้มีความรู้เรื่องการถ่ายภาพอย่างลึกซึ้งก็ยังให้ภาพกลางคืนในโรงแรมสวยแบบตอนฟ้าสว่างแล้วถ่ายด้วยโหมด auto ในกล้องไม่ได้

 

IMG_0011

ภาพนี้ลูกผมถ่ายให้  ตั้งกล้องเป็น Full auto กล้องจะเลือกค่า iso เลือกโฟกัส เลือกทุกอย่างให้ คนถ่ายเพียงแค่ยกกล้องเล็งภาพแล้วกดถ่าย   เด็ก 6 ขวบ ไม่ได้มีความรู้เรื่องการถ่ายภาพยังให้ภาพสวยกว่าภาพถ่ายด้วยช่างภาพโปรตอนฟ้ามืด  แสงสวยหรือแสงที่สมบูรณ์คือคำตอบของภาพสวย

ลงหนังสือ weddingguru

ภาพงานแต่งและรายละเอียดเบื้องต้นในงานแต่งงานของผมได้ลงในหนังสือ wedding guru เป็นฉบับประจำเดือนมกราคม 2555 แม้ว่าข้อมูลจะเพียงเล็กน้อยแต่ก็รู้สึกดีใจที่ได้ลง เพราะปีหนึ่งๆมีคู่แต่งงานมีหลายพันหลายหมื่นคู่ การได้ลงข้อมูลของงานในหนังสือเหล่านี้ก็เป็นเรื่องน่าภูมิใจ และเอาไว้คุยโม้กับเพื่อนฝูงได้สนุกปาก

งานแต่งงานของผมจัดวันที่ 12 มิถุนายน 2555 ใช้เวลาเตรียมงานประมาณ 6 เดือนไม่จริงจัง แต่จะเข้มข้นในสองเดือนสุดท้าย ซึ่งตอนช่วงเวลาเข้มข้นนั้นผมแทบไม่ได้ทำงานอย่างอื่นเลย ผลของงานออกมาตามภาพที่เห็น แม้ว่าจะมีข้อบกพร่องให้ติได้อยู่หลายข้อ แต่ผมก็ให้อภัยตัวเอง ไม่คิดจะจัดงานซ้ำในรอบแก้ตัว

ทีมงานที่จัดงานให้ผมได้แจ้งกับผมหลังจากจบงานไปสองเดือนว่ามีหนังสือสนใจอยากจะเอาข้อมูลในงานผมไปลง ซึ่งผมก็ไม่มีปัญหา (อยากอยู่แล้ว) ก็เลยนัดคุยกับทีมงานของหนังสือ คุยกันเดือนตุลา หนังสือออกมกราคมปีถัดมา

ผมเห็นภาพที่ลงหนังสือแล้วก็ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ต่างๆในงาน มีภาพหลายภาพที่ผมชอบมากกว่าที่เห็นในหนังสือ อีกอย่างหนึ่ง ผมเองก็คิดจะเขียนสรุปเกี่ยวกับงานแต่งงานของตัวเองบ้างเช่นกัน แต่ก็ไม่ได้มีเวลาว่างที่ยาวนานพอจะสรุปความคิดให้ตกผลึกได้ มีหนังสือออกมากระตุ้นทำให้ความอยากเขียนกลับมาใหม่ เดี๋ยวจะค่อยๆเขียนออกมา เพราะสิ่งที่พยายามทำก่อนจะจัดงานแต่งงานมันน่าจดจำกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในงานเสียอีก


ระหว่างไปถ่ายภาพคู่เก็บไว้ใช้ในงาน


ทองที่ใช้ในพิธี

From for wordpress5

คนขายแหวน

From for wordpress5

แหวน


ตุ๊กตาของแจกในงาน


ลองชุดเจ้าสาว


สมุดโน้ตแทนของชำร่วย


เข็มกลัดติดเสื้อให้สต๊าฟและเจ้าภาพใช้


ป้่ายร้อยของแจกอื่นๆในงาน


จานรองแก้ว


เจ้าสาว


ตอนแจกการ์ดเพื่อน


การ์ดแต่งงานรุ่นผู้ใหญ่


การ์ดแต่งงานรุ่นที่ออกแบบตามใจ แต่ไม่ได้แจก


ดูสถานที่โรงแรมกลางเมือง


ไปดูโรงแรมใกล้บ้าน


ดูสถานที่จัดงานเช้าแบบเล็กๆ


ดูสถานที่ ราชนาวีฯ ติดเจ้าพระยา

รูปถ่าย0034


ซ้อมดนตรี

รูปถ่าย0035


ระดมทุน

รูปถ่าย0187


ลองทำของชำร่วย

รูปถ่าย0270


กล่องรับซองจากญาติ ผ่านมาหลายงานแล้ว เตรียมไว้แต่ไม่ได้ใช้

รูปถ่าย0293


ดูสถานที่ ตรัยย่า

รูปถ่าย0303


รูปแบบการถ่ายภาพหมู่ในงาน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถ่ายแนวนี้ เพราะลืม