การทดลองของเด็ก ป2

ขอบฟ้าเรียนชั้น ป2 ตอนนี้กำลังเรียน onlineเนื่องจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด19 และสิ่งที่ได้รับมอบหมายให้ทำคือการค้นคว้าสิ่งที่ตัวเองสนใจ และทำในรูปแบบที่เป็นงานวิจัย ซึ่งในยุคของผมผมจะเรียกว่าทำรายงาน แต่ยุคของลูกจะเป็นรายงานที่ต้องเลือกหัวข้อเอง ตั้งคำถามด้วยตัวเอง และหาคำตอบด้วยวิธีการทดลอง ซึ่งมันดูซับซ้อนกว่าสิ่งที่ผมคาดไว้

IMG_20200520_090000

นอกจากการเรียน online ในรูปแบบที่มีการโต้ตอบ ใช้โปรแกรม zoom วันละ 2 ครั้ง ครั้งละประมาณ 1 ชม. เรียนผ่านการพูดคุยหน้าจอแล้ว ก็มีงานที่จะต้องทำส่งทุกวัน เป็นการส่งการบ้านแบบให้ตอนเช้าแล้วส่งตอนบ่าย มีสิ่งที่เรียกว่างานวิจัยที่ให้ทำต่อเนื่องหลายๆสัปดาห์แต่ให้ทะยอยส่งทีละส่วน และในสัปดาห์นี้ก็เป็นงานวิจัยที่มาถึงขั้นตอนการทดลอง ลูกผมก็ออกแบบการทดลองออกมาเป็นการวิ่งและการเลี้ยงลูกฟุตบอลบนสนามหญ้าและสนามปูนเพื่อเปรียบเทียบกัน

IMG_20200614_101454

พ่อแม่ก็เลยต้องเป็นผู้ช่วยทำงานวิจัยไปโดยปริยาย พ่อแม่ต้องหักห้ามใจไม่ให้ช่วยเหลือจนกลายเป็นทำงานแทนเด็ก ปล่อยให้เด็กได้ออกแบบคิดจินตนาการไป แล้วพ่อแม่ก็เป็นมือเป็นเท้า เป็นผู้ช่วย และเป็นผู้ให้คำแนะนำ ประคองให้เด็กได้คิดได้ทำไปทีละนิด

สิ่งที่สนุกกับการร่วมทำงานวิจัยก็คือ ได้เห็นจินตนาการของลูก ได้เห็นว่าลูกได้เรียนรู้อะไรบ้างในการทำงานหาคำตอบสักหนึ่งเรื่อง การเรียนแนวทาง project base learning มันคงเป็นแบบนี้นี่เอง แนวทางของโรงเรียนเป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร พ่อกับแม่เพิ่งจะได้สัมผัสจริงจังตอนลูกอยู่ ป2 อาจเป็นเพราะโควิด19ก็ได้ที่ทำให้พ่อแม่ได้มีโอกาสอยู่ในขั้นตอนการเรียนรู้ของลูกอย่างเข้มข้น หากเป็นช่วงเวลาปกติไม่ได้มีโรคระบาด สิ่งเหล่านี้ก็คงเป็นสิ่งที่พบเจอแค่ในรั้วโรงเรียน ในห้องมีเด็ก 29 คน ก็จะมี 29 โปรเจ็ค ครูคงปวดหัวน่าดู

IMG_20200513_133023

สิ่งที่เด็กในชั้นเรียนได้ทำในโปรเจ็คของเขาเองก็จะเป็นขั้นตอนการทำงานวิจัยเต็มรูปแบบ คือ มีที่มาที่ไป มีสมมุติฐาน หาข้อมูล ออกแบบวิธีการทดลอง ทดลอง สรุปผลการทดลอง และสุดท้ายแถมให้ก็คือ คำถามว่าจะเอาไปต่อยอดอย่างไร สิ่งที่เด็ก ป2 ยุคนี้ทำมันเหมือนสมัยผมเรียนมหาวิทยาลัยเลย

แม้ว่าเนื้อหาสิ่งที่เด็กจินตนาการจะเรียบง่ายและมีคำตอบอยู่แล้วในโลกของผู้ใหญ่ แต่มันก็ใหม่กับชีวิตของเขา จะให้เด็กไปหาคำตอบใหม่ๆได้ยังไง ผมกับแม่ขอบฟ้าก็มองงานของลูกแล้วก็แอบคิดต่อยอด แอบออกแบบการทดลองกันเองให้รัดกุม สุดท้ายพอได้สติก็ปล่อยให้ลูกทำเอง คิดเอง ผิดพลาด และ ไม่รัดกุมในแบบเด็กๆ เพราะผลการทดลองไม่จำเป็นต้องเป็นเรื่องใหม่ เขาไม่ใช่ ป.โท หรือ ป.เอก เขาแค่ป2

ผ่านไปหลายสัปดาห์ งานดำเนินการมาถึงสรุป หลังจากอ่านบทสรุปงานวิจัยของขอบฟ้าแล้ว ก็ดีใจที่มีการสรุปว่า ผลการทดลองไม่เป็นไปตามสมมุติฐาน ผมเข้าข้างคนที่ทดลองแล้วได้คำตอบว่าไม่ใช่ เพราะชีวิตจริงเราจะมีความสำเร็จแค่วิธีเดียว แต่เรามีเป็นร้อยวิธีที่ผิด การค้นหาแล้วพบกับวิธีที่ผิดจึงเป็นเรื่องปกติ มันไม่ได้เป็นเรื่องเสียหาย นึกถึงคำพูดหล่อๆที่ไม่รู้ใครแปลมาให้ เอดิสันบอกว่า เขาไม่ได้ล้มเหลวพันครั้งในการสร้างหลอดไฟ แต่การสร้างหลอดไฟมีพันวิธี ไม่กล้าเอามาสอนลูกหรอก ผมไม่ใช่นักคิด ไม่ใช่นักพูดให้แรงบันดาลใจ ผมเป็นแค่ผู้ช่วยงานวิจัย

สังเกตความเปลี่ยนแปลง 7 วัน

IMG_20190822_064608

ขอบฟ้ามีการบ้านโครงงานวิทยาศาสตร์ให้สังเกตุความเปลี่ยนแปลงของใบไม้หรือดอกไม้ 7 วัน ก็เลยจัดการเด็ดดอกไม้ และใบไม้มาอย่างละ 1 ชิ้น เพื่อคอยถ่ายภาพบันทึกไว้ทุกวัน โดยพ่อกับแม่ช่วยกันคิดแล้ว เลือกวิธีถ่ายภาพน่าจะง่ายสำหรับขอบฟ้ามากกว่า เพราะการจดบันทึกด้วยการวาดเป็นสิ่งที่น่าจะต้องใช้สมาธิและเวลามากเป็นพิเศษ ขอบฟ้ายังไม่สามารถใช้เวลานานๆกับการวาดภาพได้

การถ่ายภาพพ่อเลือกวิธีให้ใช้กล้อง DSLR ในการถ่ายภาพ ให้ถือเองถ่ายเอง โดยพ่อช่วยปรับกล้องให้เบื้องต้นเพื่อเตรียมกล้องให้พร้อมสำหรับการบันทึกภาพในสถานการณ์นั้นๆ

IMG_20190822_064402

IMG_0004
วันที่1
IMG_0011
วันที่2
IMG_0016
วันที่3
IMG_0025
วันที่4
IMG_0027
วันที่5
IMG_0033
วันที่6

ผมก็ขอให้ขอบฟ้ายืนถ่ายคู่กับงานครั้งนี้ด้วย เพื่อให้ภาพมีเนื้อหาครบถ้วนสำหรับการเล่าเรื่องในครั้งนี้ ภาพขอบฟ้า พยายามยิ้มก็เลยออกมาดูปากโย้ๆนิดหน่อย ยังไม่รู้จะสอนให้ยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติได้ยังไง

IMG_0031

หมายเหตุ

การให้ขอบฟ้าถ่ายภาพครั้งนี้พบกับปัญหาเรื่องช่องมองภาพของกล้องถูกปรับตั้งให้พอดีกับตาของผม และมันทำให้ขอบฟ้ามองเห็นภาพในช่องมองไม่ชัด แม้ว่าสิ่งที่อยู่หน้ากล้องจะอยู่ในโฟกัสแล้ว การปรับสายตาของกล้องเป็นลูกเล่นที่กล้องออกแบบมาให้คนสายตาไม่ปกติได้ใช้งานกล้องได้อย่างสะดวกได้คุณภาพ นั่นก็คือ สายตาผมไม่ปกติแล้วนั่นเอง อาการสายตายาวมาเยือนกับคนวัยสี่สิบกว่าๆ ผลก็คือ กล้องของพ่อ กับ กล้องของลูก อาจจะต้องเป็นคนละตัวกันจริงๆ นี่อาจเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้กล้องถ่ายภาพเป็นของที่ไม่ควรยืมกัน ไม่ใช่เรื่องของแพงหรือ หวงของ แต่มันเป็นของที่ต้องมองด้วยสายตาคนใช้งาน มันก็เลยต้องปรับตั้งละเอียดสำหรับเจ้าของเท่านั้น และสายตาของคนอายุต่างกันมากๆก็ต้องการช่องมองภาพที่ตั้งไม่เหมือนกันเลย แก่แล้วจริงๆ