เมื่อให้ลูกถือกล้องถ่ายภาพไปโรงเรียน

 

โรงเรียนเพลินพัฒนามีกิจกรรมหนึ่งที่ให้นักเรียนแต่งตัวเป็นคนในครอบครัว  โดยให้เด็กเลือกว่าจะเป็นใครแล้วก็แต่งตัวเลียนแบบไปเลย  ขอบฟ้า ลูกของผม เลือกจะเป็นตัวเอง  คือไม่เป็นพ่อแม่หรือตายาย  ไม่เป็นใครเลย  จะเป็นตัวเอง แต่ตัวของตัวเองแบบขอบฟ้าจะมีกล้องถ่ายรูปที่เล่นอยู่เป็นประจำด้วย  ก็เลยให้ถือกล้องไปโรงเรียน

2015-01-01 newyear partyIMG_0058

การไปโรงเรียนแบบมีกล้องถ่ายภาพ สำหรับเด็ก 5 ขวบก็ดูจะเป็นอันตรายต่อกล้องนิดหน่อย แต่ขอบฟ้าคุ้นเคยกับกล้องถ่ายภาพมาตลอดชีวิตตั้งแต่มีลมหายใจ  ตั้งแต่มือมีแรงก็หยิบจับของเล่นสารพัด และหนึ่งในหลายสิ่งก็มีกล้องถ่ายรูปของพ่ออยู่ด้วยที่หยิบมาเล่น หยิบมาถ่ายเป็นประจำ

IMG_20161204_194617

IMG_20161204_192035

ผมหัดให้ขอบฟ้าได้ถ่ายภาพแบบจริงจังมาสักปีกว่า  คำว่าจริงจังสำหรับเด็กอนุบาลหมายถึงถ่ายภาพแล้วต้องได้ภาพ  ได้ภาพคนเต็มตัว หรือ ได้ภาพคนครึ่งตัวก็ต้องได้ตามที่คิดไว้ รวมไปถึงการชื่นชอบอะไรแล้วถ่ายสิ่งของสิ่งนั้นด้วย  ผลการฝึกมาหลายครั้ง ในระยะเวลาปีกว่าก็ทำให้ขอบฟ้ามีทักษะการถือกล้องถ่ายรูปที่พอใช้ได้  สามารถไหว้วานให้ถ่ายภาพคู่ของพ่อแม่ได้แล้ว  นับเป็นความภาคภูมิใจเรื่องหนึ่งของพ่อและแม่

IMG_20141226_214855

ในกิจกรรมของโรงเรียนที่ให้ขอบฟ้าติดกล้องถ่ายรูปไปโรงเรียน เป็นกล้องคอมแพ็ค kodak รุ่น c140 ที่ผมซื้อไว้เมื่อปี คศ2008 ซึ่งจนป่านนี้ยังไม่พังเลย ผมชอบกล้องตัวนี้ในความเรียบง่ายและทนทาน ใส่ถ่าน AA 2 ก้อนก็ทำงานได้แล้ว    เมื่อกลับมาถึงบ้าน เปิดกล้องดูก็พบว่ามีภาพใหม่ๆมากมายที่ขอบฟ้าไปถ่ายมา  การดูภาพถ่ายจากเด็กคนหนึ่งที่เราไม่รู้ว่าเขาไปเจออะไรมาบ้างเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมาก  เพราะเราได้เห็นโลกที่เราไม่เคยเห็น ได้เห็นมุมมองและการตอบสนองของคนในภาพ  อย่างน้อย ภาพก็เล่าเรื่องว่าขอบฟ้าไปเล่นกับใครมาบ้าง และคนรอบตัวของฟ้ามีอัธยาศัยที่ดีน่ารักเพียงไร

 

100_3396

100_3402

100_3403

100_3400

100_3410

100_3408

100_3413

100_3417

100_3418

100_3419

100_3426

 

เมื่อได้ดูจนจบวันของขอบฟ้า สิ่งที่สังเกตุและเพิ่งจะได้รับรู้ก็คือ มุมมองของเด็กที่มองผู้ใหญ่เป็นมุมเงยเสมอ   แม้จะเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่เราก็ลืมไป  แอบคิดไปว่าการพูดคุยกับเด็ก หากเราย่อตัวไปคุยกับเขาในระยะที่เขาไม่ต้องเงย เราอาจได้ความไว้วางใจ ความเป็นเพื่อน และความสบายใจมากยิ่งขึ้น

 

แวะถ่ายภาพข้างทางเป็นสิ่งที่ไม่ได้ทำมานาน

 

IMG_3781.JPG

 

 

เท่าที่จำได้ เวลาขับรถผ่านจุดที่ดูน่าสนใจ น่าจะเป็นมุมถ่ายภาพที่ให้ภาพได้ดี ก็มีความอยากจะจอดรถแล้วลงไปถ่ายให้พอใจ  ตั้งแต่ช่วงเวลาที่หัดถ่ายรูป ก็มีโอกาสจอดรถถ่ายบ่อยครั้ง จะกรุงเทพ หรือ ต่างจังหวัดก็แวะถ่ายได้เรื่อยๆ  เป็นช่วงเวลาของการค้นหาภาพสวยๆ  เป็นช่วงเวลาที่ได้เสพสุขกับการมองแล้วหามุมที่อยากได้   พอพ้นวันเวลาที่ไม่มีภาระ  วันเวลาที่มีเวลาเหลือเฟือ ก็ก้มหน้าก้มตาทำงาน แล้วก็ถ่ายภาพรับจ้าง แล้วก็ทำงานอื่นๆใดๆไปแทบจะตลอดเวลา  เวลาสุนทรีย์จากการถ่ายภาพก็ค่อยๆหายไป

 

การเดินทางท่องเที่ยวในระยะหลังก็จะมาแนวช่างภาพขี้เกียจ ช่างภาพเบื่อโลก  แล้วพอแต่งงาน มีครอบครัว  มีลูก การถ่ายภาพเกือบร้อยเปอร์เซ็นก็จะเป็นการถ่ายภาพในครอบครัว  ไปเที่ยวกันพ่อแม่ลูกก็ค่อยๆถ่ายกันไป  มีภาพลูกเป็นหมื่นภาพที่สะสมขึ้นมาเรื่อยๆ   ลูกผมเรียนอนุบาลหนึ่ง โรงเรียนเพลินพัฒนา ทุกวันก็จะขับรถไปส่งตอนเช้า  ซึ่งข้างทางที่ขับผ่านในซอยแถวโรงเรียนก็มีที่รกร้างต้นไม้ขึ้นเต็มไปหมด มีเสาสูงๆคงเป็นเสาของโทรศัพท์มือถือที่วางตระหง่านเด่นอยู่ท่ามกลางทุ่งรกๆ  มองผ่านไปตอนขับรถทีแรกก็ไม่ได้สนใจ  จนกระทั่งช่วงเดือนที่ผ่านมา เป็นช่วงที่ต้นไม้รกร้างเหล่านั้นงอกงาม ตั้งตัวกันสลอน  รับกับแดดที่ออกในบางเวลา ทำให้ผมเห็นมุมที่น่ามอง  ก็จำไว้ว่ามุมนี้น่าแวะมาถ่าย  แต่ก็ได้แต่จำแล้วก็ขับผ่านไป ส่งลูกเข้าโรงเรียนแล้วขับรถไปทำงานต่อ

 

มาหลายวันนี้ผ่านมุมนี้แล้วรู้สึกว่ามันสวยทุกวัน  ก็เลยเร่ิมวางแผน บวกกับวันนี้ ลูกผมลืมของไว้ที่บ้านต้องย้อนกลับไปเอาของที่บ้านอีกครั้ง  วันนี้เลยไปโรงเรียนสายกว่าปกติ  เพราะปกติคือไปเช้าแดดยังไม่ออก  แต่วันนี้ไปโรงเรียนสองรอบ รอบที่สองนี่เองที่แดดออกสดในและทำให้มุมนี้สวยขึ้นอีกมาก พอส่งลูกเสร็จก็เลยรอเวลา  เพราะแดด 8 โมงเช้ายังอ่อนเกินไป ระบบวัดแสงของกล้องคงจะวัดแสงแล้วเลือกค่า f ไม่แคบเท่าไหร่  ก็เลยเลือกที่จะกินข้าว กินกาแฟ รอเวลาอีก 1 ชั่วโมง พอเก้าโมงกว่า แดดจัดมากขึ้นก็ขับรถออกมายังจุดที่เล็งไว้ แล้วก็จอดรถข้างทาง

 

IMG_3781.JPG

 

วันเมฆสวยฟ้าใสอะไรก็ดูดีไปหมด มองวิวด้วยตาเปล่าแล้วก็หยิบกล้องออกไปถ่าย  canon eos m รุ่นแรก กับเลนส์ 22f2 ปรับตั้งค่า iso auto เลือกโหมดถ่ายภาพเป็น P  มุมนี้ถ่ายภาพตามแสง ฉากหน้าเป็นต้นไม้โดนแดดเต็มๆ วัตถุสำคัญของภาพเป็นเสาโดนแดดเต็มๆเช่นกัน ท้องฟ้าก็สีฟ้า เมฆก็รวมตัวกันเป็นกลุ่มๆไม่กระจาย เจอมุมแบบนี้ตั้งค่าวัดแสงพอดีไปเลย  ไม่ต้องชดเชยแสงใดๆ   ถ่ายภาพไปสักสี่ภาพก็เปลี่ยนเลนส์  เดินกลับไปหยิบเลนส์ 18-55 มาติดกล้้องบ้าง  เพราะอยากได้ภาพเสาที่ใหญ่ขึ้น  เลนส์ช่วง 55มม. ก็เลยได้ทำหน้าที่

 

การถ่ายภาพในช่วงนี้ของผมเป็นการถ่ายภาพที่เน้นภาพสวยและชัดเป็นสำคัญ เพราะจะเอาภาพไปส่งสต๊อคด้วย  ภาพที่จะส่งขายสต๊อคจะต้องมีความชัดเป็นสำคัญ การเลือกโหมด P ก็เพราะจะให้กล้องเลือกค่า f กลางๆให้ และกล้องก็เลือกค่า f10 ให้กับภาพชุดนี้ แม้จริงๆผมจะชอบเลข f11 มากกว่า แต่ก็ไม่ได้ปรับ  ปล่อยให้กล้องเลือก f ให้อัตโนมัติ

 

IMG_3786.JPG

เมื่อได้ภาพจนพอใจก็เก็บกล้อง ขับรถไปทำงานต่อ  ภาพชุดนี้ถ่ายมา 13 ภาพ  ถึงที่ทำงานก็ก๊อปปี้ภาพส่งเว็บขายทันที  และในอีก 5 นาทีต่อมา ระบบของเว็บก็รับภาพ ภาพชุดนี้ผ่านการ approved ทั้งหมด  เป็นการส่งภาพสต๊อคครั้งแรกที่ส่งเยอะและผ่านทั้งหมด เป็นความรู้สึกที่ดีจริงๆ   จอดรถเพื่อถ่ายภาพในมุมที่ค้นพบเป็นความสุขของช่างภาพ  และความสุขครั้งที่สองจากภาพชุดนี้ก็มาตอนที่ภาพผ่านการ approved  ก็หวังว่าจะมีความสุขครั้งที่สามตามมา นั่นคือ บางภาพในชุดนี้มีการโหลดไปใช้งาน มันคงจะดีไม่น้อยเลย

Screen shot 2016-09-16 at 11.11.57 PM

 

ดูรีวิวกล้อง eos m ได้ที่นี่

การแสดงอนุบาล1 พ่อแม่เล่นละครให้ลูกดู โรงเรียนเพลินพัฒนา

IMG_3194

วันแม่แห่งชาติวนมาถึงอีกปี  ลูกชายผมอยู่ในชั้นอนุบาล1  ปีนี้ทางโรงเรียนเพลินพัฒนามีให้พ่อแม่ไปเล่นละครกันอีกเช่นเคย  การรวมตัวกันของพ่อแม่ในปีนี้ หมุนเวียนกันมาเล่น นักแสดงส่วนใหญ่เป็นหน้าใหม่ เพื่อให้ทุกคนได้หมุนเวียนกันมีส่วนร่วม  ส่วนของช่างภาพก็คือผมเองที่ปีที่แล้วก็่ถ่าย ปีนี้ก็ถ่าย  อาจจะเป็นเพราะพ่อบ้านอื่นติดภารกิจ  ทำให้หน้าที่ถ่ายภาพที่ต้องใช้คนสองคนเหลือมาให้ผมทำ  ซึ่งก็เป็นหน้าที่ไม่ยากสำหรับผมนัก

IMG_3174

การเตรียมตัวจะคล้ายๆปีที่แล้ว  มีการคัดเลือกบท ให้อาสาสมัคแต่ละบ้านมาเลือกว่าจะเล่นเป็นอะไร  ช่างภาพก็มาสังเกตุการณ์ มาดูสถานที่ เพื่อวางแผนการเก็บภาพ  วันซ้อมจริงก็พบกันครบหน้า  วันจริงก็แยกย้ายกันทำหน้าที่  ปีนี้ละครมีความฮาปะปนลงไปด้วย  ทำให้รู้สึกสนุกยิ่งขึ้น

2016-08-11_10-15-52

ปีนี้มีเรื่องเกินคาด  ตัวละครมีบทโดนจับ  เด็กหลายคนร้องไห้ตอนที่ตัวละครโดนจับ ถือว่าละครทำหน้าที่ได้เต็มร้อย เรียกน้ำตาจากเด็กไร้เดียงสาได้หลายคน  โดยเฉพาะ ลูกของผู้แสดงที่ร้องไห้หนักมาก ร้องราวกับว่ามันเป็นเรื่องจริง  ความน่ารักของเด็กทำให้ผู้ใหญ่อย่างผมและนักแสดงท่านอื่นปลาบปลื้ม เป็นการลงทุนเพื่อลูกของเราที่ได้ผลคุ้มค่า นั่นคือ ทำให้เราพวกผู้ใหญ่ได้เรียนรู้ว่า แท้จริงแล้ว เด็กๆของพวกเราน่ารักขนาดไหน  คุ้มค่าต่อการดูแลประคบประหงมกันอย่างดี  ขอขอบคุณพ่อแม่ผู้ปกครองและโรงเรียนของลูกเราที่สร้างโอกาสมากมายให้พ่อแม่ลูกได้เรียนรู้ร่วมกัน

 

หมายเหตุ  เหตุเกิดที่โรงเรียน เพลินพัฒนา  ชั้นอนุบาล1

ภาพนิ่งทั้งหมดดูที่นี่

วิดีโอดูที่นี่

 

การแสดงวันแม่เมื่อปีที่แล้วดูได้จากที่นี่

เพลินพัฒนา เตรียมอนุบาล งานเล่านิทานให้ลูกฟัง

 

บันทึกไว้เกี่ยวกับการถ่ายภาพ

การถ่ายภาพงานกิจกรรมหรืออีเว้นลักษณะนี้ ผมใช้กล้อง eos m ติดเลนส์ 18-55is ด้วยเหตุผลว่า มันามมรถพกพาได้ง่าย เพราะก่อนที่จะเร่ิ่มแสดง ผมต้องจูงลูกเข้าสู่โรงเรียนด้วย การเดินเท้าหน้าโรงเรียนมือต้องจูงลูกตลอดเวลา เหตุผลเพราะริมถนนอันตรายเกินไปสำหรับเด็กสี่ขวบ  พอต้องจูงลูก อุปกรณ์ฺอื่นๆที่อยากได้อยากใช้ก็ไม่สามารถนำติดตัวมาได้ทั้งหมด กล้องตัวใหญ่ เลนส์ตัวใหญ่ ขาตั้งกล้อง ทุกอย่างนอนนิ่งอยู่ในรถ  เหลือเพียงกล้องตัวเล็กอย่าง eos m เท่านั้นที่พอจะพกออกมาได้ไม่เป็นภาระ

 

อีเว้นที่เกิดขึ้นเป็นการแสดงละคร มีการเคลื่อนไหวที่เยอะ กล้องโฟกัสไม่ค่อยทัน อาศัยตัวละครมีบทพูดแล้วจะหยุดเคลื่อนที่ทำให้ eos m พอจะรับมือไหว  สภาพแสงใต้หลังคาก็แสงไม่เยอะมาก ภาพโดยส่วนใหญ๋จะมี  iso ประมาณ 1000-3200   เพราะเลนส์ 18-55mm นั้นไม่ค่อยจะเก่งเรื่องแสงน้อย  แถมแบตเตอรี่ก็ยังหมดเร็ว  คือแบตหมดไปตั้งแต่การแสดงยังไม่จบ  โชคดีที่พกแบตไว้สองก้อน  เพราะการทำงานกับ eos m ด้วยแบตก้อนเดียวเป็นเรื่องที่เสี่ยงเกินไป

 

ในส่วนของวิดีโอ บันทึกด้วยกล้องวิดีโอของ zoom รุ่น q4 ซึ่งเป็นกล้องถ่ายวิดีโอที่ใช้งานง่ายมาก  เพียงแค่เปิดให้กล้องทำงาน แล้วมีปุ่มให้เราสั่งการณ์แค่ 1 ปุ่มเท่านั้น คือปุ่ม เริ่มบันทึก  และปุ่มหยุดบันทึก ซึ่งใช้ปุ่มเดียวกัน

 

 

บันทึก เนื้อหา สัมมนา ความสำคัญของการเลี้ยงดู สู่การเรียนรู้ของลูก ณ เพลินพัฒนา 29jul2016

บันทึก เนื้อหา สัมมนา ความสำคัญของการเลี้ยงดู สู่การเรียนรู้ของลูก ณ เพลินพัฒนา 29jul2016 โดย ศ.พญ.วินัดดา ปิยะศิลป์

เลี้ยงเด็กต้องไม่ตามใจ  การตามใจไม่ใช้สมอง คนที่โง่ที่สุดในประเทศก็ตามใจคนอื่นได้

3 ขวบ เป็นวัยเริ่มต้นการเรียนรู้อย่างจริงจัง  เราต้องใส่ข้อมูลที่ถูกต้องให้เด็ก

ถ้าเด็กคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ขึ้นไปชั้น ป1 จะพัง ลูกเราช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ คนอื่นทำได้  ลูกเราคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ คนอื่นทำได้  ลูกเราจะโดดเดี่ยว มีปมด้อย

ถ้าเด็กไม่พร้อมในด้านความสามารถ ไม่พร้อมในด้านการคุมอารมณ์ จะให้ขึ้น ป1 หรือไม่  ควรได้ขึ้นหรือไม่

ชีวิตเด็กยิ่งใช้ยิ่งดี การเก็บไว้ในบ้าน การเก็บไว้ในห้อง ไม่มีประโยชน์  เด็กควรได้ใช้กำลังนอกบ้าน ได้ออกกลางแจ้ง อย่างน้อยวันละ 3 ชั่วโมง เพื่อฝึกความคล่องแคล่ว ฝึกกล้ามเนื้อทุกชนิด และฝึกการแก้ปัญหาในการเล่นต่างๆ

ความอดทน ทำภารกิจจนเสร็จ เป็นรากฐานสำคัญ  ต้องฝึกให้ได้ เช่น การเก็บของเล่นจนเสร็จ

ยกตัวอย่างการวิ่งให้ครบ 2 รอบ  รอบแรกผ่านไปได้คือความอดทน  รอบที่สองที่ผ่านได้คือความสำเร็จ ความภูมิใจ  ความพยายาม  แม้จะอิดออด แม้จะงอแง แต่ก็ควรพยายามผลักดันให้ทำจนจบ

ยกตัวอย่าง การติดกระดุมด้วยตัวเองทุกเม็ด เป็นการฝึกความอดทน ความพยายาม ถ้าไม่ฝึก เด็กจะไม่รู้จักอดทน

เวลาผู้ใหญ่กำหนดกรอบ สร้างกติกาต่างๆ เด็กที่ฉลาดจะทดสอบกรอบ ฝืนได้ไหม แหกกฏได้ไหม  ถ้าทำได้ จะมีปัญหาระยะยาว ถ้าปล่อยให้เด็กเอาชนะกติกาบ่อยๆจะเป็นอย่างไร  ผลลัพธ์คือ ไร้วินัย ไม่ได้ฝึกการยับยั้งชั่งใจ

ของในกระเป๋าแม่ห้ามหยิบ ต้องฝึกให้เข้มงวด เพราะถ้าหยิบตามใจ ต่อไปจะหยิบของกระเป๋าคนอื่น  ต่อไปจะหยิบของอย่างอื่น ปัญหาข้างหน้าจะใหญ่ขึ้น

ของเล่นเป็นของที่รักที่สุด ต้องฝึกให้เก็บให้รักษาให้ได้  ถ้าของเล่นยังเก็บไม่ได้ ต่อไปจะฝึกอย่างอื่นลำบาก

การฝึกเด็ก ต้องมีดังนี้  1 จริงจัง  2 กติกาชัด  3 พ่อแม่ต้องอดทนรอ

ก่อนเริ่มเล่นของเล่น ให้ตกลงก่อนเล่น บอกกติกาให้ชัด  ถ้าเล่นผิดกติกา จะเตือน ครั้งที่ 1 เพื่อบอกว่าผิด  และถ้ามีเตือนครั้งที่2จะให้เลิกเล่น  พ่อแม่ต้องอธิบายว่าให้เลิกเล่นเพราะอะไร บอกเหตุผลสั้น อย่ายาว  ทั้งหมดนี้ต้องคุย ต้องบอกก่อนเริ่มเล่นของเล่น

เด็กจะมี mirror brain คือการทำตามแบบอย่างที่เห็น
แม่ยิ้มเด็กจะยิ้ม
แม่กวาดบ้านเด็กจะกวาดบ้าน
พ่อล้างรถเด็กจะล้างรถ
ถ้าพ่อแม่ทำอะไรที่ไม่ดี เด็กจะทำแบบนั้นเหมือนกัน
ถ้าพ่อแม่ใจร้อน เด็กใจร้อน

เด็กเคลื่อนไหวจะทำให้การเรียนรู้น้อยลง อายุ 3-6 ปี จะเป็นวัยที่ต้องพัฒนาการหยุดให้ได้  การหยุด การนิ่ง การคิด การไตร่ตรองจะมาตอนที่ร่างกายหยุดเคลื่อนที่  จะทำให้เกิดการพัฒนาสมอง

การฝึกให้หยุด เช่น อย่าเดินป้อนข้าว  ให้นั่งโต๊ะ
การฝึกให้นิ่ง ต้องฝึกผ่านกิจวัตรประจำวัน เช่นการฝึกติดกระดุม  พ่อแม่ก็ต้องเฝ้ารอด้วย อย่าไปเร่งให้ติดเร็วๆ อย่าไปช่วย

ถ้าแม่เก่งคนเดียว  หรือ พ่อเก่งคนเดียว เด็กจะไม่เห็นทีมเวิร์ค เด็กจะซึมซับว่าทำคนเดียวก็ได้  ไม่เห็นว่าต้องเป็นทีม ผลเสียจะเกิด เพราะอนาคตคือเด็กต้องเข้าสังคม ต้องทำงานเป็นทีม

แนวทางของโรงเรียน และที่บ้านต้องมีแนวทางเดียวกัน เป้าหมายเดียวกันแต่วิธีการต้องต่าง  กิจกรรมที่บ้านกับที่โรงเรียนต้องต่าง
ถ้าที่โรงเรียนปั้นแป้งโด  กลับบ้านยังเจอปั้นแป้งโดอีก แบบนี้เด็กจะเบื่อบ้าน จะไม่อยากเล่นที่บ้าน

การฝึกความสามารถด้านการเล่นสำคัญอย่างไร
– ฝึกการมีส่วนร่วม การอยู่ร่วมกัน
– เรียนรู้การเคารพกติกา
– ฝึกจินตนาการ
– ฝึกความอดทน
– ฝึกการยอมแพ้

การฝึกหยุด ในชีวิตประจำวัน
– กินข้าว
– ล้างจาน
– แต่งตัว

การฝึกหยุดด้วยการเล่น
– เล่นซักผ้า
– เล่นเกี่ยวกับของในบ้าน

อายุ 3-6 ปี ต้องฝึกเล่นให้ถูกบทบาท เพื่อป้องกันการเบี่ยงเบนทางเพศ
เช่น ลูกชาย ต้องฝึกให้ช่วยถือของให้ผู้หญิง
ลูกชายร้องไห้ได้ แต่อย่านาน

การล้มเหลว
สร้างบ้านต้องใช้เวลาสร้างรากฐานนาน  เด็กก็เหมือนกัน

———-
เอกลักษณ์    12-18 ปี       สับสน
ความสามารถ    6-12ปี          ปมด้อย
ความคิดริเริ่ม         3-6ปี       ความรู้สึกผิด
เป็นตัวของตัวเอง       1-2ปี                  ไม่แน่ใจ
ไว้วางใจ                       0-1                   ไม่ไว้วางใจ

การฝึกความไว้วางใจ ถ้าฝึกได้สำเร็จ จะทำให้เด็กมั่นใจ  กล้าที่จะออกไปสู่ภายนอก
ถ้าฝึกไม่สำเร็จหรือมีปัญหาเรื่องความไว้วางใจเด็กจะวิ่งเข้าหาพ่อแม่ตลอดเวลา

การฝึกให้มีกรอบ  ห้ามทำอะไร  สามารถทำอะไร มีกติกา จะทำให้เด็กเรียนรู้ จะได้ฝึกการยับยั้งชั่งใจ

การใช้ชีวิตในอนาคตจะมีปัญหา ถ้ามีสิ่งต่อไปนี้
– คุมอารมณ์ไม่ได้
– แก้ปัญหาไม่ได้
– ปรับตัวไม่ได้
จึงต้องฝึกให้ควบคุมอารมณ์  ต้องฝึกให้นิ่งเพื่อคิดหาทางแก้ปัญหา  ต้องฝึกให้ปรับตัวง่าย

ต้องให้เด็กไปพบเจอปัญหา ได้หัดแก้ปัญหา เช่น ไปเล่น ไปแก้ปัญหาในการเล่นกิจกรรมต่างๆ

ต้องทำงานเป็นทีม  โรงเรียนกับที่บ้านต้องเป็นทีมเดียวกัน
ทีมที่บ้านคือ พ่อกับแม่ต้องช่วยกัน

เด็กที่มีอารมณ์รุนแรง ต้องฝึกให้เขามีความสามารถหลายๆอย่าง  ให้เลือกกิจกรรม 1 อย่างต่อสัปดาห์ ค่อยๆฝึกไปทีละเรื่อง เพื่อให้เด็กสะสมความมั่นใจในตัวเอง
เช่น  สัปดาห์นี้ ปอกเปลือกไข่
สัปดาห์ถัดไป  ผัดมาม่า
สัปดาห์ถัดไป ทอดไข่
สัปดาห์ถัดไป  ปลูกต้นไม้
หากิจกรรมทำทุกสัปดาห์ ให้เด็กได้ทำสำเร็จทีละเรื่อง

มีงานวิจัยตัวนึง ค้นหาคนที่มีความสุข แล้วหาว่าคนเหล่านั้นมีอะไรเหมือนกัน
ผลวิจัยบอกว่า  คนมีความสุขคือ คนที่มีอดีตที่ดี
ในวันนี้เราอยู่กับการสร้างอดีต  เราจะต้องทำให้มันเป็นอดีตที่ดี
จะต้องไม่เสียใจ ไม่ต้องพูดว่าถ้าย้อนกลับไปแก้อดีตจะทำอะไร
เราต้องไม่เสียใจกับอดีตของเราเอง
เราต้องลงมือทำสิ่งที่ดี เพื่อให้มันเป็นอดีตที่ดี

เขียนบันทึกให้ขอบฟ้า บันทึกช่วงเวลา ตุลาคม2558-มีนาคม2559

ในช่วงสองเทอมสุดท้ายของเตรียมอนุบาล ที่โรงเรียนเพลินพัฒนา ขอบฟ้ากลับกลายเป็นคนที่อยากไปโรงเรียนแต่เช้า อยากไปนั่งกินข้าว กินน้ำที่โรงเรียนให้เรียบร้อย ทั้งๆที่ช่วงสองเทอมแรกเป็นเด็กที่อยากไปสายที่สุด อยากเข้าห้องเรียนเป็นคนสุดท้าย  การไปโรงเรียนแต่เช้าให้พอมีเวลานั่งกินข้าวและนั่งปล่อยอารมณ์ของเด็กสามขวบกว่าๆทำให้มีเวลาพูดคุยกับพ่อพอสมควร  ขอบฟ้าสนใจอ่านตัวหนังสือที่ติดอยู่ในป้ายต่างๆรอบตัว  ตอนนั่งโรงอาหาร ก็ขอให้อ่านชื่อร้าน  ร้านอาหารตามสั่ง  ก๋วยเตี๋ยวต้มยำ คำเหล่านี้อ่านให้ฟังแทบจะทุกวัน  และแม้แต่การเข้าห้องน้ำก็ยังต้องอ่าน อย่าทิ้งกระดาษชำระลงในชักโครก ทุกประโยคที่อ่านได้ขอบฟ้าจะขอให้อ่านให้ฟังทั้งหมด

ขอบฟ้าชอบร้องเพลงมาก เพลงภาษาอังกฤษที่เป็นเพลงเด็กขอบฟ้าฟังบ่อยและร้องได้  มีเพลงประจำอยู่หลายเพลง แต่ละเพลงจะถูกร้องซ้ำๆอยู่หลายสัปดาห์ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเพลงใหม่  ในเรื่องสัตว์สังเกตุว่าขอบฟ้าชอบไดโนเสา  ชอบปลาวาฬ  จะจำรายละเอียดของสัตว์ทุกตัวที่ชอบได้

การจับปากกาหรือดินสอยังไม่ถูกต้อง  ยังคงจับแบบกำมือ การวาด การลงเส้นจะไม่แม่นยำ แต่ก็อยากระบายสี อยากลากเส้นต่างๆ  ของเล่นแนวขีดเขียนที่อยู่ในบ้านอาจจะไม่เยอะมากพอทำให้ความสนใจในการใช้ปากกาและดินสอยังไม่มาก  แต่ของเล่นพวกจิ๊กซอร์ หุ่นยนต์ เลโก้ ขอบฟ้าเล่นได้ดีและซับซ้อนมากขึ้น  สามารถประกอบตัวต่อให้สูงและมีแขนยกของได้แล้ว

IMG_9745.JPG
oct2015

IMG_9931.JPG
nov2015

IMG_0003
dec2015

IMG_0012
jan2016

IMG_0927.JPG
feb2016

IMG_1201.JPG
mar2016

เพลินพัฒนา เตรียมอนุบาล งานเล่านิทานให้ลูกฟัง

ละครวันแม่ เพลินพัฒนา 14aug2015

โรงเรียนเพลินพัฒนา มีการจัดงานสัปดาห์เล่านิทานให้ลูกฟัง โดยให้ผู้ปกครองของชั้นเตรียมอนุบาลจนถึงอนุบาล3 ผลัดกันมาเล่นละครในช่วงเช้าหลังเข้าแถวกันตลอดสัปดาห์ ซึ่งสัปดาห์นี้ตรงกับวันแม่แห่งชาติ ทั้งสัปดาห์มีเรียน 4 วัน ก็พอดีชั้นปีละ 1 วัน เริ่มจากอนุบาล3ก่อนแล้วไล่มาจนถึงเตรียมอนุบาลในวันสุดท้าย

ขอบฟ้าเรียนเตรียมอนุบาล ดังนั้นคิวการเล่นละครก็อยู่ในวันศุกร์ที่ 14 สิงหาคม 2558 โดยการเตรียมการต่างๆมีแม่ของเด็กกลุ่มหนึ่งเป็นอาสาสมัครมาช่วยกันเล่นละคร เตรียมอนุบาลมี 4 ห้อง ส่งอาสาสมัครมาช่วยกันทำกิจกรรม บรรดาแม่ๆหลายท่านก็อาสาเล่นละคร เป็นนักแสดง ส่วนผมก็อาสาเป็นช่างภาพ มีพ่อบ้านอื่นเป็นช่างภาพเช่นกันก็แบ่งหน้าที่กัน ผมถ่ายภาพนิ่ง อีกท่านถ่ายวิดีโอ

ส่วนของละครก็ได้รับความร่วมมือจากแม่ๆทั้งหลายเป็นอย่างดี ตั้งแต่การเตรียมเนื้อเรื่อง ดัดแปลงเนื้อเรื่อง กำหนดตัวละคร เสื้อผ้าชุดประกอบต่างๆ และการนัดซ้อมนอกรอบ ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ ละครผ่านไปได้ด้วยดี ข้อคิดต่างๆที่สอดแทรกไปในละครก็ถ่ายทอดได้ตรงไปตรงมา เชื่อว่าเด็กหลายคนก็รับสารได้

ภาพถ่ายวันซ้อมและวันจริงผมถ่ายเสร็จก็อัพโหลดเข้าไปเก็บไว้ใน flickr.com เพื่อให้สามารถแบ่งปันหรือแชร์ให้คุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นได้ดูสะดวกๆ เพราะในทางปฏิบัติคงไม่สามารถก๊อปปี้ไฟล์ใส่แผ่นไปแจกได้ทุกคนอยู่แล้ว การฝากไฟล์ไว้แบบ online น่าจะเป็นทางเลือกที่ทำให้ทุกท่านเข้าถึงได้ง่ายที่สุด

ต่อไปนี้คือภาพประวลคร่าวๆของละครในกิจกรรม “เล่านิทานให้ลูกฟัง” เริ่มจากภาพวันซ้อมกันก่อน
IMG_8505

IMG_8520

IMG_8528

IMG_8531

IMG_8547

และก็มาถึงวันจริงนักแสดงรวมตัวกันตั้งแต่ 8.00 น. และเริ่มแสดงในเวลาประมาณ 8.30 น.
IMG_0001

IMG_0002

IMG_0005

IMG_0006

IMG_0011

IMG_0014

IMG_8558

IMG_0028

IMG_0029

IMG_0035

IMG_0045

IMG_0071

IMG_0089

IMG_0098

เพลินพัฒนา โรงเรียนทางเลือก ตอนที่ 1

IMG_1245.JPG

เพลินพัฒนา เป็นโรงเรียนแนวทางเลือกแห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงในระดับหัวแถว ทั้งเรื่องแนวทางการสอน หลักสูตร และ ค่าเทอม ลูกผมเกิดเดือนกรกฎาคม 2555 ไปสมัครเรียนโรงเรียนนี้ตั้งแต่กลางปีพศ 2557 คือสองขวบนิดๆก็ไปสมัครแล้ว แล้วก็ได้โอกาสเรียนชั้น pre-nurse ซึ่งเป็นชั้นเรียนที่มีนักเรียนไม่มาก

ตอนไปสมัครก็เตรียมความพร้อมไปพอสมควร แม่ของขอบฟ้าหัดให้ขอบฟ้าหยิบของ หัดบอกสี หัดกระโดดมาแล้วหลายเดือน จริงๆก็ไม่ได้พยายามสอนเพื่อให้เข้าโรงเรียนแต่อย่างใด แต่เป็นการสอนไปตามพัฒนาการเด็กซึ่งมีตำราแนะนำไว้  ตำราจะบอกแต่ละช่วงวัยเด็กควรทำอะไรได้บ้าง และโรงเรียนเพลินพัฒนาก็ใช้วิธีวัดผลจากพัฒนาการของเด็ก  เด็กคนไหนผ่านเกณฑ์ถึงจะได้เข้าเรียน เรียกได้ว่า อ่านตำราเล่มเดียวกันนั่นเอง

ขอบฟ้าสอบผ่านการทดสอบในระดับสองขวบ มีพัฒนาการเลยวัยเดียวกันไปเกือบปี เป็นความภูมิใจของพ่อและแม่ที่เห่อลูก เอากลับมาโม้กันที่บ้าน โม้ให้ญาตฟัง จนแม่ขอบฟ้าต้องเตือนผมว่า “เด็กคนไหนก็พัฒนาการระดับนี้แหละ ต่างกันไม่มาก” ทำเอาผมเงิบไปเล็กน้อย พอได้สติก็เห่อต่อ

ตอนที่จะสมัครเรียน ทางโรงเรียนเพลินพัฒนามีการเปิดโรงเรียนเพื่อให้ผู้ปกครองได้รับทราบข้อมูล ผู้อำนวยการโรงเรียนมาพูดบรรยายด้วยตัวเอง สิ่งที่ผมจับประเด็นสำคัญได้สองอย่างสำหรับผมคือ

ประเด็นที่ 1 โรงเรียนมีหลักสูตรพิสดารที่ผมไม่เคยรู้ว่ามี และคิดว่าโรงเรียนอื่นอาจไม่มี หรือถ้ามีก็คงเป็นโรงเรียนแนวประหลาดแบบเดียวกับเพลินพัฒนา แต่ที่แน่ๆ สมัยเด็กๆของชีวิตผมไม่เคยเจอหลักสูตรเหล่านี้ ซึ่งมันประกอบไปด้วย หลักสูตรว่ายน้ำนาน survival swimming เจตนาเขาตั้งใจให้ว่ายน้ำลอยตัวในน้ำได้นานๆ เพราะโรงเรียนมีสมมุติฐานว่า เด็กว่ายน้ำ 25 เมตร หรือ 50 เมตร ยังไม่ใช่สิ่งที่จะทำให้เด็กรอดชีวิตถ้าหากเกิดเรือล่มจริงๆ แต่คนที่ลอยตัวได้นานต่างหากที่จะรอดชีวิต เหตุผลแบบนี้ผมฟังแล้วก็ไม่เถียงอะไร เห็นด้วยทุกอย่าง แต่สงสัยว่าจะสอนให้ว่ายนานแค่ไหน นานระดับหลายๆชั่วโมง หรือทั้งวันเลยหรือเปล่า รอดูกัน

หลักสูตรพิสดารอื่นๆก็มีอีกเช่น วิชาแล่นเรือข้ามเกาะ โรงเรียนให้เหตุผลว่าการแล่นเรือข้ามเกาะจะเป็นเครื่องมือทดสอบที่ดี เด็กได้รู้สึกกลัวจริงเมื่ออยู่กลางทะเล ขับเรือคนเดียว ลากเรือลงทะเลคนเดียว ผมว่ามันก็เท่ห์ดี แต่ในหัวก็จินตนาการถึง เรือที่เราต้องซื้อ รถที่ต้องลากเรือไปทะเล ผมต้องใช้ชีวิตเป็นคนรวยลากเรือไปทะเลในวันหยุดเหรอเนี่ย จะเอารถและเรือจากไหนกัน รอเวลานั้นมาถึงก่อนค่อยมาเล่าต่อเรื่องนี้

หลักสูตรพิสดารอีกอันก็คือ วิชาการเงิน ผู้อำนวยการบอกว่าจะมีวิชาที่ให้เด็กได้เล่นกับเงิน จะให้เด็กมีเงินตั้งต้นจำนวนหนึ่ง แล้วให้เด็กได้ขายของ ให้เด็กได้ซื้อของ ให้เด็กได้มีความอยากได้ อยากซื้อ แล้วก็บริหารเงินกัน ผมฟังแล้วก็อยากให้ลูกได้ประสบการณ์เรื่องการเงินอยู่เหมือนกัน เพราะชีวิตผมไม่ค่อยมีวินัยทางการเงินเท่าไหร่ ความเชื่อส่วนตัวของผมมีแค่ กิเลสดับได้ด้วยการซื้อ ก็เลยอยากให้ลูกได้ประสบการณ์และบทสรุปเกี่ยวกับการเงินที่ดีตั้งแต่เด็กๆ

ประเด็นที่ 2 ที่ผมจับใจความได้ก็คือ ค่าใช้จ่ายโรงเรียนแพงมาก ขอให้ผู้ปกครองวางแผนทางการเงินให้ดี ใครไม่ไหวให้ถอนตัวตั้งแต่วันนี้ อย่าแย่งที่ครอบครัวคนอื่นที่มีความพร้อม เตือนกันแบบนี้เลยนะเนี่ย และที่สำคัญ ค่าใช้จ่ายจะขึ้นทุกปี ปีละ 5 เปอร์เซ็น โรงเรียนชี้แจงว่าที่มาของการขึ้นราคาก็เพราะ เราต้องอยู่กับเงินเฟ้อ เงินเดือนครูต้องขึ้น ค่าใช้จ่ายต้องขึ้น โอเคเลย จำแม่นละ ผมคิดเร็วๆในใจ สูตรดอกเบี้ยทบต้น 5 %สมัยเรียนมหาลัยมันกดเครื่องคิดเลขยังไง กลับบ้านรีบกด เงินตั้งต้นแสนสอง อยู่สิบสองปี ต้องจ่ายปีสุดท้ายเท่าไหร่ พอเห็นตัวเลขแล้ว ปิดคอมฯ ออกไปหาลูกค้า ออกไปหางานเพิ่มเลย  เพราะแค่หยอดกระปุกไปจ่ายไม่ทันแน่นอน