หูฟัง Koss KSC35 ของดีราคาไม่แพง

การฟังเพลงจากเครื่องเสียงจะต้องอาศัยการเปิดผ่านลำโพงสักคู่หนึ่ง  การเปิดฟังในบ้านคนเดียวก็จะได้อรรถรสแบบหนึ่ง  แต่ถ้าอยู่นอกบ้านแต่อยากฟังเพลงก็คงไม่พ้นที่จะต้องอาศัยฟังผ่านหูฟังสักตัว  ยิ่งเครื่องเสียงแบบพกพกได้รับความนิยมมากขึ้นเท่าไร  การใช้งานหูฟังก็จะมีความจำเป็นมากยิ่งขึ้นเท่านั้น

เครื่องเล่นเพลง  ipod เป็นเครื่องเล่นเพลง mp3 ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก  เมื่อเราซื้อเครื่องเล่น mp3 มาสักตัวหนึ่ง  สิ่งที่มักจะแถมมาให้ด้วยก็คือหูฟังนั่นเอง  ซึ่งหลายคนก็พอใจที่จะใช้งานหูฟังแถมไปเรื่อยๆ  แต่อีกหลายคนก็พยายามจะหาหูฟังที่มีคุณภาพสูงยิ่งขึ้น  เพื่อพัฒนาคุณภาพเสียงให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้

หูฟัง koss รุ่น ksc 35 เป็นหูฟังที่น่าสนใจ ลักษณะรูปร่างที่ออกแบบให้เป็นแบบแขวนใบหู ช่วยลดการกดทับ และลดการเสียบยัดลงในรูหู ทำให้การใช้งานหูฟังลักษณะนี้ไม่ค่อยมีความเจ็บ สามารถใช้งานได้ต่อเนื่องหลายชั่วโมง ส่วนเรื่องคุณภาพเสียงก็มีบุคลิกที่น่าสนใจ มีแนวเสียงที่อิ่ม ใหญ่ ให้เสียงเบสได้โดดเด่น เบสชัดมากโดยเฉพาะการฟังเพลงร็อค

IMG_1357.JPG

หูฟังแต่ละชนิดก็มีข้อดีข้อด้อยเป็นของตัวเอง koss ksc35 มีข้อดีในแง่น้ำเสียงที่ไม่เสียดหูเป็นจุดเด่น และใส่สบายเหงื่อไม่ออกเป็นจุดเด่นลำดับถัดมา  และสิ่งที่ผมชอบเป็นการส่วนตัวก็คือ ksc35 เป็นหูฟังที่ปล่อยให้เสียงภายนอกเล็ดลอดเข้าไปได้ง่าย  ทำให้เราได้ยินเสียงอื่นๆรอบตัวได้ ซึ่งบางคนไม่ชอบ  แต่ผมชอบ  เพราะมันทำให้เราได้ยินเสียงเรียกจากคนอื่น  ถ้าเราใส่หูฟังที่ป้องกันเสียงภายนอกไว้ทั้งหมด  เวลามีคนเรียก  เราก็ไม่ได้ยิน  จากการเรียกด้วยปาก ก็จะกลายเป็นขว้างของใส่เพื่อให้เรารู้ตัว  หูฟังแนวชวนขว้างของผมจะไม่อยากใช้ในชีวิตประจำวันสักเท่าไหร่

IMG_3231.JPG

ทดลองฟังเพลงแนวออดิโอไฟล์หลายอัลบั้มก็ให้ความไพเพราะและแนวเสียงที่สงบเสงี่ยม เบสเด้งเป็นลูกๆ  เหมาะกับเพลงโชว์เบส  ยิ่งอัลบั้มที่โชว์เสียงเบส โชว์เสียงร้องใหญ่ๆจะไปด้วยกันได้ดี  norah jones ชุด come away with me  เสียงร้องชัด แหบ และเบสเป็นชิ้นๆ  เปียโนใสและมีความเป็นเครื่องเคราะห์ฟังได้ชัดเจน  การแยกแยะมิติ ไม่ได้แม่นยำ ช่องไฟไม่ห่างชัดมาก อาจเป็นเพราะการสวมใบหูที่ไม่ได้กดทับมาก ทำให้เสียงโฟกัสยังไม่แม่นเท่าหูฟังชนิดยัดเข้าไปในหู  แต่มันเป็นเสียงที่ฟังสบายสุดๆ  ถ้าต้องฟังเพลงใส่หูฟังไม่ถอดสัก 2-3 ชั่วโมง ผมเลือกตัวนี้แน่นอน

IMG_20180825_002004

Koss ksc35  เป็นหูฟังที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยมายาวนาน ผลิตครั้งแรกปี 1996  ผู้ขายคนแรกๆในไทยน่าจะเป็นมั่นคงแก็ดเก็จนำมาขายปี 2006 และในปัจจุบันที่เขียนโพสท์นี้หูฟังรุ่นนี้ก็เลิกผลิตแล้ว  และไม่มีของใหม่ให้ซื้อแล้ว  คงเหลือวนเวียนตามเว็บขายของมือสองและของเก่าเก็บจากนักเล่นบางท่านเท่านั้น  ราคาขายล็อตสุดท้ายที่พอหาได้มือหนึ่ง 1890 บาท  มือสองในช่วงเวลาเดียวกันประมาณ 1000-1200 บาท ซึ่งผมซื้อมือหนึ่งไว้ตัวนึงเก็บเอาไว้อย่างดี  และซื้อมือสองไว้ใช้อีกตัวนึง

spec

Frequency Response  15-25,000 Hz

Sensitivity                     101 dB

Impedance                    60 Ohm

update 2018

ได้ข่าวว่ามีหูฟัง ksc35 รุ่นผลิตใหม่ออกมาอีกล็อตหนึ่งในปี คศ2018 นี้  และขายในราคาเดิม 1890 บาท  ใครสนใจต้องลองสอบถามจากผู้ขายดูครับว่าพร้อมให้ซื้อหรือยัง

รีวิว ลำโพงบลูทูธ sony btx300

20141224094419_IMG_0045

ลำโพงบลูทูธเริ่มได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆตามติดไปกับยอดขายของสมาร์ทโฟนและแท็บเบล็ตที่ยึดตลาดไอทีไว้แล้ว แม้ลำโพงระบบบลูทูธจะมีมาหลายปี แต่คุณภาพของลำโพงระบบบลูทูธเพิ่งจะมีการพัฒนาการแบบก้าวกระโดดเมื่อไม่นานมานี้ ย้อนกลับไปก็น่าจะเป็นลำโพงของ bose รุ่น soundlink ที่ทำลำโพงบลูทูธมีแบตเตอรี่ในตัวออกมาซึ่งมีคุณภาพเสียงที่ดีมากจนผู้ใช้เริ่มอยากได้ และทำให้ตลาดลำโพงบลูทูธนี้ร้อนแรงขึ้นทันที

20141224094333_IMG_0042

เมื่อก่อน การทำลำโพงเล็กๆให้สามารถส่งเสียงเบสได้ดีเกินตัว จะใช้เทคนิคการประมวลผลของ DSP มาช่วยแบ่งความถี่เสียงออกด้วยสูตรคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน และสร้างความถี่ฮาร์โมนิคหลายๆลูกเพื่อทดแทนการสร้างความถี่ต่ำตัวจริง เพื่อให้ลำโพงสามารถถ่ายทอดเสียงต่ำได้ราวกับว่ามันเป็นซับวูฟเฟอร์หรือเป็นดอกลำโพงขนาดใหญ่

20141224094340_IMG_0043

ผมเคยมีลำโพงบางๆที่เป็นระบบบลูทูธ มันสามารถให้เสียงกลางแหลมที่พอใช้ได้ และมีเสียงเบสที่พอทนฟังได้ ถ้าเราฟังแค่ลำโพงตัวนี้ตัวเดียวเราก็คงพอใจกับมัน แต่พอเรากลับไปฟังเครื่องเสียงบ้าน เราก็จะค้นพบว่า เสียงเบสที่เราฟังกับลำโพงบลูทูธตัวบางๆตัวนั้นเป็นเสียงเบสที่ไม่เป็นธรรมชาติ จนวันหนึ่ง bose ออกแบบลำโพงบลูทูธเอง และได้ใช้เทคนิคการสร้างคลื่นความถี่ต่ำด้วยระบบ passive radiator เป็นผลทำให้คุณภาพเสียงออกมาดีมาก ฟังผ่านๆแล้วรู้สึกว่ามันใกล้เคียงลำโพงบ้านแล้ว นั่นทำให้ลำโพงบลูทูธเริ่มได้รับความสนใจ และในเวลาไม่นาน ลำโพงทุกยี่ห้อก็ทำลำโพงบลูทูธออกสู่ตลาด

20141224094537_IMG_0050

ณ เวลานี้ที่กำลังจะหมดปี คศ 2014 ลำโพงบลูทูธขนาดพกพาได้ที่ได้รับการกล่าวถึงว่าเสียงดีจะเป็นลำโพงที่มีลักษณะการออกแบบให้เป็นระบบ 2.1 กันเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะการสร้างความถี่ต่ำด้วยระบบซับวูฟเฟอร์แท้ๆนั้นให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า เป็นธรรมชาติกว่าการประมวลผลที่ใช้ DSP แบ่งความถี่ต่ำออกเป็นความถี่ฮาร์โมนิคที่สูงขึ้นหลายๆลูกแล้วค่อยนำมารวมกันในตอนสร้างคลื่นเสียง ระบบเสียง 2.1 ในลำโพงพกพาจึงสร้างความพอใจได้ และทำให้ขายดีมาก

ลำโพงที่เราเอามาลองฟังกันในวันนี้เป็นของ sony รุ่น btx300 เป็นลำโพงพกพา มีแบตเตอรี่ในตัว ใช้ไฟเลี้ยง 12.5โวลท์ มีช่องรับสัญญาณเสียงแบบ Aux และ bluetooth มีปุ่มปรับเสียงให้เลือกลักษณะเสียง 3 แบบ มีช่องต่อสาย usb out ที่ทำหน้าที่จ่ายไฟแต่เพียงอย่างเดียว ไม่สามารถอ่านไฟล์จาก thumbdrive ได้ และที่สำคัญคือ มีระบบ NFC เอาไว้ให้ใช้ช่วยติดตั้งได้ง่ายขึ้น

ในกล่องจะมีเพียงแค่ตัวลำโพง อแด๊ปเตอร์ ซองผ้ากันกระแทก และคู่มือเท่านั้น ไม่มีสายสำหรับ Aux มาให้ การเชื่อมต่อด้วยบลูทูธทำได้ไม่ยาก แถมยังมีระบบ NFC ช่วยอำนวยความสะดวกให้ติดตั้งเข้ากับอุปกรณ์ที่มี NFC ด้วยกันได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

20141224094526_IMG_0049

btx300 เป็นลำโพงที่มีขาตั้งในตัว ขาตั้งด้านขวาจะต้องกางออกมาเพื่อเปิดให้กดปุ่ม power ได้ และจะต้องกางแบบนี้ตลอดการทำงาน ถ้าเราหุบขาต้้งเครื่องก็จะปิดตัวเองไปด้วย วัสดุที่ใช้ประกอบตัวลำโพงให้สัมผัสที่รู้สึกแพง ไม่มีคำว่าก๊องแก๊ง การเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนทำได้ง่าย ลำโพงสามารถใช้พูดคุยโทรศัพท์ได้ด้วยเพราะมีไมค์รับเสียงในตัว ผมลองเชื่อมเข้ากับมือถือ Asus Zenphone5 และ tablet Samsung note8 ก็สามารถเชื่อมได้ง่ายทั้งคู่ ลองกับโน้ตบุ๊คที่มีระบบ NFC ก็ทำได้ง่ายดายเช่นกัน ซึ่งที่ผ่านมา notebook acer w511 ของผมเป็นโน้ตบุ๊คที่ผมไม่เคยเชื่อมต่อบลูทูธเพื่อฟังเพลงผ่านหูฟังบลูทูธได้เลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่พอเชื่อมกับ sony btx300 ด้วยการสัมผัสแบบ NFC กลับทำได้ภายในไม่กี่วินาที ทำให้ผมรับรู้ได้ว่าระบบ bluetooth ในโน้ตบุ๊คไม่เสีย

20141224094445_IMG_0046

คุณภาพเสียงของ btx300 อยู่ในเกณฑ์ที่เสียงดี การฟังเพลงผ่าน btx300 ไม่สร้างความรำคาญใดๆให้กับผู้ฟัง เสียงกลางแหลมที่คมชัด เป็นเรื่องไม่ยากสำหรับลำโพงเล็กๆในยุคนี้ ส่วนเสียงเบสหรือเสียงทุ้มมาในแนวนุุ่ม น่าฟังมาก ไม่กี่วินาทีที่เสียงเพลงเล่นออกมา เราก็รับรู้ได้ถึงเสียงเบสที่กลมกล่อม ระบบ 2.1 ทำงานได้สมราคา คุณภาพเสียงโดยรวมให้ความรู้สึกน่าฟังมากกว่าลำโพงเล็กๆทั่วไป การจัดวางลำโพง btx300 ต้องพิถีพิถันพอสมควร เพราะมันให้เสียงที่เปลี่ยนไปเมื่อย้ายที่วาง วางบนหิ้งหรือโต๊ะไม้ก็เสียงแบบหนึ่ง บางบนพื้นกระเบื้องพื้นปูนก็อีกแบบหนึ่ง

btx300 มีปุ่มปรับเสียงให้ 1 ปุ่ม เมื่อเปิดเครื่องมาปกติ จะเป็นเสียงแบบที่หนึ่งหรือเสียงแบบ flat ซึ่งก็จะให้เสียงเบสที่พอใช้ได้แล้วสำหรับเพลงส่วนใหญ่ แต่หากไม่พอใจก็สามารถกดเพื่อเปลี่ยนเสียงให้มีเบสเยอะขึ้น เสียงเบสนุ่มใหญ่ก็จะเหมือนพองตัวใหญ่ขึ้น และถ้ากดอีกครั้งจะเป็นเสียงระบบเซอราวด์ มีเสียงแอมเบี้ยนส์และย่านเสียงสูงโอบล้อมมากขึ้นหากเรานั่งฟังหน้าตรงกับลำโพง ปุ่มปรับเสียงนี้มีประโยชน์มากเมื่อเราย้ายที่วางลำโพง เพราะแต่ละที่จะมีการตอบสนองของเสียงไม่เหมือนกัน ถ้าเรารู้สึกว่าเสียงบางเราก็กดปุ่มเพิ่มเบส แค่นี้เราก็ได้เสียงที่ดีขึ้นแล้ว

ข้อดีคือ เสียงดี แบตเตอรี่อยู่ได้นาน 8 ชั่วโมง มีซองผ้ามาให้แล้วไม่ต้องซื้อเพิ่ม มีปุ่มปรับเสียงเพิ่มเบสได้ มีช่อง usb ที่จ่ายไฟได้ 1 A ใช้แทน powerbank ได้

ข้อเสียที่พบก็คือ มันมีขนาดใหญ่กว่าลำโพงพกพาของยี่ห้ออื่น น้ำหนักก็ค่อนข้างหนักมาก ถ้าจะต้องหิ้วติดตัว ใส่เป้ มันก็เป็นภาระพอสมควรเลย แต่ถ้ามันถูกใช้งานในบ้าน ย้ายไปมาระหว่างห้องบ้าง มันก็ยอดเยี่ยมครับ

P_20150513_103132

spec

GENERAL

Bluetooth Profiles

Advanced Audio Distribution Profile (A2DP), Audio/Video Remote Control Profile (AVRCP), Hands-Free Profile (HFP), Headset Profile (HSP)

Audio System Nominal Output Power (Total)

20 Watt

Frequency Response

20 – 20000 Hz

Connectivity Technology

wired, wireless

Rechargeable Battery

rechargeable

Run Time (Up To)

8 hour(s)

Power Consumption Operational

31.5 Watt

Power Source

battery

USB charging

Connectivity Interfaces

Bluetooth 3.0, Near Field Communication (NFC)

มินิรีวิว มินิคอมโป JVC EX-A3

มินิคอมโปตัวนี้เพิ่งได้มาไม่นาน จากการประกาศเคลียร์แล้นในเว็บแห่งหนึ่ง เมื่อได้มาก็ลองฟังคร่าวๆและเขียนบันทึกไว้คร่าวๆ จะเป็นรีวิวก็ไม่เชิง

IMG_0812.JPG
IMG_0819.JPG
IMG_0817.JPG

ผมพอใจกับน้ำเสียงของ A3 มาก เสียงเบสทำได้ดีไม่น่าเชื่อ บาลานเสียงของกลางแหลมกับเบสมีพอดีๆ ให้ความรู้สึกเหมือนลำโพงซับแซทชั้นดีที่จูนเสียงมาให้ฉ่ำอิ่ม จังหวะกระแทก เบสอิ่มๆ มีครบถ้วน การวางลำโพง ในคู่มือบอกให้วางห่างผนังประมาณ 15cm ซึ่งคงเป็นจุดที่ให้เบสได้ใหญ่ที่สุด แต่ผมวางห่างผนังหลังประมาณ 30cm ครับ

ราคาระดับนี้ หายากมากที่จะมีตัวที่ดีกว่าคุ้มกว่า จริงๆต้องบอกว่าไม่มีเลย ลำพังแค่ลำโพง หรือแค่ตัวเครื่องก็หาซื้อมาแทบไม่ได้แล้ว คุณภาพเสียงฟังจากแผ่นซีดี คุณภาพดีมาก เป็นเครื่องที่ฟังเพลงได้เพราะมาก ไม่เหมือนเครื่องเล่นดีวีดีทั่วไปที่ฟังแล้วไม่รู้สึกเพราะ

มีรายละเอียดอีกมากที่มันส่งเสริมให้คุณภาพเสียงออกมาดี ถ้าให้สาธยาย ผมต้องไปรับเงินเดือนที่ jvc เลยแหละ
เอาคร่าวๆก็คือ ตู้ลำโพงไม้ออกแบบมาดีดูมีความตั้งใจมาก ตัวซับเสียงภายในก็ไม่ใช่ฟองน้ำทั่วไป แต่เป็นเศษไม้เอามาทำให้เป็นก้อนๆแทนฟองน้ำ ขั้วลำโพงก็มีราคา สายลำโพงที่แถมมาก็เป็นของดี ไม่ใช่สายดำแดงเล็กๆบางๆ
วงจรดิจิทัลแอมป์มีระบบ feedback 2 ชั้น เห็นโลโก้ ที่ฝาบนว่า Hybrid feedback Digital amp
ไปหาข้อมูลเพิ่ม พบว่าเป็นระบบ feedback ที่จะประมวลผลสัญญาณออกลำโพง เพื่อชดเชยทำให้การตอบสนองความถี่เสียงเป็นไปตามที่ออกแบบ มี feedback ระบบดิจิทัลเพื่อควบคุมภาคดิจิทัลแอมป์ให้ทำงานเที่ยงตรง มี feedback analog คุมอีกที ซึ่งส่วนที่เป็นอนาลอกมันคือบล๊อกการทำงานแบบ op-amp มันก็หมายความว่า A3 เป็นโคตร op-amp พลังมหาศาลลลลลลลลลลลลลลลลลล

ถ้าคุณเป็นวิศวกรไฟฟ้า เจอคอนเส็บวงจรแบบนี้ต้องซื้อสองชุดเก็บไว้เลย แม้แต่แท่นเครื่องจุดที่วางพื้นมีสามจุด ก็มีการออกแบบเป็นสามเหลี่ยม มีตัวพยุงที่เกือบสัมผัสพื้นด้วย เพื่อป้องกันการวางเครื่องเอียงหรือเครื่องสั่น จะได้ไม่ทำให้ภายในรวน การอ่านแผ่นจะได้มีคุณภาพตลอดเวลา ภาคดิจิทัลแอมป์ และภาคจ่ายไฟออกแบบให้อยู่คนละด้านของตัวเครื่อง แยกให้ห่างที่สุดเป็นหลักการออกแบบที่ปราณีตและมีหลักการครับ

ถ้าคุณมองเครื่องนี้เป็นดีวีดี มันก็เป็นเครื่องเล่นดีวีดีที่ให้เสียงเพลงได้เพราะมาก
ถ้ามองว่าเป็นชุดลำโพง มันก็เป็นแอมป์พร้อมลำโพงที่หน้าตาดี ขนาดกระทัดรัดและให้เสียงดีมาก คุณอาจจะต้องเสียเงินซื้อชุดแอมป์และลำโพงแยกชิ้นสักห้าหมื่นเพื่อให้เสียงดีกว่านี้

การเชื่อมต่อมีให้หลากหลายครับ สามารถเพิ่มซับวูฟเฟอร์ได้ มี sub out ให้ใช้ สามารถอ่านไฟล์จาก usb ได้ เพลงที่โหลดมาทั้งหลายมีเครื่องเล่นดีๆแล้ว จะต่อจาก ipod หรือ player อื่นๆทางช่อง mini ก็ได้ รับ digital in ได้ด้วย ถ้าคุณมีเครื่องเล่น media player ที่มี digital out ก็ลงตัวเลย เครื่องนี้เครื่องเดียวเข้ามาในห้องฟังผม ผมปิดแอมป์ชุดหลัก เก็บลำโพงชุดหลักไปแล้ว ราคาเต็มสองหมื่นอาจจะซื้อไม่ลง แต่พอลดราคาลงมาขนาดนี้กลายเป็นของโคตรดีไปซะได้เลย บังเอิญช่วงนี้ผมใช้เงินเยอะ ไม่งั้นจะซื้อเก็บไว้อีกตัว

ผมเพลินไปกับการเล่นคอมฯ เล่นเน็ต เล่น ipod จนไม่เคยติดตามเครื่องเสียง mini compo เลย เวลาผ่านไปตามห้างก็เจอแต่เครื่องจีนราคาไม่กี่พัน ฟังกี่รอบก็เมิน ไม่อยากซื้อกลับบ้าน อยู่บ้านก็อยู่กับลำโพงมอนิเตอร์ห้องบันทึกเสียง อยู่กับแอมป์หลอดซิงเกิ้ลเอนด์ มันก็ลงตัว กลมกล่อม ไม่ได้อยากมีอะไรเพิ่มเติมเข้าระบบอีกได้ jvc A3 มาก็ใช้แทนได้ไม่ตะขิดตะขวงใจ เป็นครั้งแรกในรอบเกือบปีที่หยิบแผ่นซีดีมาฟังโดยตรง เพราะที่ผ่านมา ก็ฟังจากไฟล์ที่ริบเก็บไว้ตลอด

แถม รับวิทยุได้ค่อนข้างดีครับ ฟังเสียงดีเจแล้วไม่อยากปิดเครื่องเลย.

รีวิว Sennheiser HD800

รีวิว sennheiser hd 800
วันที่ 31 กรกฏาคม2556
โดย วุฒิชัย เจริญบุรี pockethifi@gmail.com
pockethifi.wordpress.com

ตลาดหูฟังค่อยๆเติบโตแบบเงียบๆ คนเล่นเครื่องเสียงบ้านอย่างผมแค่เผลอไปสนใจเรื่องถ่ายภาพ ไปสนใจเครื่องเสียงรถไม่กี่ปี วงการหูฟังและเครื่องเสียงพกพาดันเติบโตอย่างน่าประหลาดใจ จากการกำเนิดของ ipod ที่เป็นเครื่องเล่นพกพาแสนสะดวก การก๊อปปี้เพลงฟังกันอย่างง่ายดายทำให้เครื่องเสียงพกพามียอดขายสูงมาก พอเครื่องเล่นเยอะ หูฟังก็เยอะตาม ใช้กันทิ้งขว้างซื้อใหม่กันเป็นว่าเล่น

IMG_2233

ความนิยมเครื่องเสียงพกพาทำให้วงการหูฟังตื่นตัว มีการออกผลิตภัณฑ์ที่เน้นคุณภาพออกมาให้นักฟังเพลงนอกบ้านได้ใช้งานกันสารพัดรูปแบบ หูฟังคุณภาพต่ำที่แถมมากับเครื่องเล่นก็ถูกแทนที่ด้วยหูฟังที่ดีขึ้น แพงขึ้น หูฟังพกพาเส้นเล็กๆไม่ค่อยสะใจ บางคนก็พกหูฟังตัวใหญ่ขึ้น ไปหาหูฟังแบบครอบหูมาใช้กันนอกบ้าน ทั้งที่ในอดีตหูฟังแบบครอบหูนี้ใช้งานอยู่ในบ้าน ใช้ในสตูดิโอมาตลอดหลายสิบปี แต่มาช่วงไม่กี่ปีนี้เองที่หูฟังแบบครอบหู ได้รับความนิยมจนเห็นกันได้บ่อยในสถานที่ต่างๆ ทั้งบนรถไฟฟ้า ร้านอาหาร กลายเป็นของพกพาไปได้อย่างงงๆ

IMG_2254

พอหูฟังเริ่มเยอะ ก็มีแอมป์ขับหูฟังให้เลือกใช้ นัยว่าเพื่อช่วยยกระดับเสียงให้หูฟังตัวโปรด พอแอมป์หูฟังเริ่มเยอะ หูฟังก็พัฒนาตัวเองให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ต่างคนต่างพาวงการก้าวไปข้างหน้า จนกระทั่งเรามีงานแสดงเครื่องเสียงสำหรับหูฟังกันโดยเฉพาะ พอมีงานเครื่องเสียง เราก็ต้องมีหูฟังระดับไฮเอนด์ไว้แสดงศักยภาพ หูฟังไฮเอนด์ก็พาเหรดกันออกมาเต็มไปหมด วันนี้เราก็เลยจะมารีวิวหูฟังตัวท๊อปตัวหนึ่งของวงการครับ นั่นคือ Senheiser HD800

พูดถึงยี่ห้อ Sennheiser ก็ต้องนึกถึงหูฟัง รุ่นพกพายอดฮิตอย่าง MX400 ซึ่งราคาแสนถูกคุณภาพดีเกินตัว ส่วนหูฟังแบบครอบหูหรือแบบครอบหัว หรือจะเรียกว่าอะไรก็ได้ที่มันยัดเข้ารูหูไม่ได้ ก็จะมีรุ่นยอดนิยมอยู่สามตัว นั่นคือ HD600 HD650 และ HD800 ซึ่งหลังๆอาจจะมีตัวอื่นออกมาเรื่อยๆ แต่รุ่นที่ได้รับความนิยมในวงการหูฟังของต่างประเทศจะเป็นสามตัวนี้เป็นส่วนใหญ่

IMG_2236

หูฟัง HD 800 เป็นหูฟังระดับสูงสุดของตลาดเครื่องเสียงโฮมยูสและสตูดิโอ จริงๆจะมีตัวที่ท๊อปเว่อร์ยิ่งกว่านี้แต่มันไม่ได้เจาะตลาดกลุ่มไหนเลย นั่นคือรุ่น opheus ที่เป็นหูฟังมาพร้อมแอมป์ ใครมีหูฟังตัวนี้ควรทำพินัยกรรมไว้ด้วย เพราะแสดงว่าคุณเป็นคนรวยมาก กลับมาที่ HD800 ต่อดีกว่าครับ เจ้า HD800 เป็นพี่ใหญ่ของค่ายในตลาดโฮมยูส ใครใช้ตัวนี้ไม่ต้องหาตัวอื่นแล้วเนื่องจาก HD800 เป็นตัวที่ราคาสูงที่สุดคุณภาพดีที่สุดที่ทาง sennheiser ตั้งใจทำจริงๆ พอหาซื้อมาใช้แล้วก็พบว่ามันใช้กับเครื่องเสียงพกพาไม่ค่อยเวิร์ค เพราะหูฟังขนาดใหญ่ ความต้านทานสูง ความไวต่ำ มันต้องการกำลังขับที่มากกว่าหูฟังทั่วไป คนที่มีหูฟังระดับนี้เลยจำเป็นต้องมีแอมป์หูฟังอีกตัวหนึ่งซื้อคู่กันมา เหมือนมีมะนาวดองแล้วต้องไปหาซื้อเป็ดมาตุ๋นนั่นเอง แถมราคาแอมป์หูฟังก็ใช่ว่าจะราคาถูก มันแพงกว่าแอมป์ขับลำโพงเสียอีกทั้งๆที่กำลังขับที่ใช้กับหูฟังอยู่ในระดับมิลลิวัตต์เท่านั้น

ข้อมูลทั่วไปของ HD800

IMG_2235

หูฟัง HD800 เป็นหูฟังชนิดครอบหัวที่โครงสร้างส่วนที่แข็งจะทำจากสแตนเลส มีความแข็งแกร่งและน้ำหนักเบา สายคาดที่รับน้ำหนักบนศรีษะจะหุ้มด้วยกำมะหยี่เนื้อนุ่ม ตัวส่วนของหูครอบจะเป็นโครงสร้างที่ใหญ่มาก สามารถครอบใบหูได้ทั้งใบ ถ้าใครมีใบหูไม่ผิดมนุษย์เกินไปคุณสามารถใช้งาน HD800 ได้โดยที่ใบหูไม่โดนสัมผัสกับตัวหูฟังเลย

IMG_2240

ไดรเวอร์ที่ใช้ใน HD800 เป็นแบบไดนามิค มีขั้วต่อสายเพื่อถอดเปลี่ยนหรืออัพเกรดคุณภาพเสียงได้ ในตลาดมีผู้ผลิตสายอัพเกรดมารองรับหูรุ่นนี้อยู่เช่นกัน แจ็คเสียบจะเป็นชนิด 6.3มม. ความยาวสายที่ให้มาประมาณ 3 เมตร มาพร้อมกล่องบรรจุหรูหราสุดๆ ในกล่องมีช่องวางมีผ้ามันวาวสีดำรองรับ แค่เปิดกล่องออกมาก็ไม่อยากเอามือจับหูฟังแล้วเพราะกลัวเปื้อนนั่นเอง

IMG_2249

ด้านที่ใช้คาดผ่านหัวจะทำจากสแตนเลส มีลายสลักเป็นชื่อรุ่น และ ซีเรียลนัมเบอร์ พร้อมด้วยการบอกระยะห่างเพื่อปรับขนาดของตัวคาดเป็นเส้นๆแบ่งเอาไว้หลายระดับ

ข้อมูลทางไฟฟ้า

IMG_2242

ไดรเวอร์ชนิดไดนามิค ความต้านทาน 300 โอห์ม
ความไว 102dB ที่แรงดัน 1 โวลท์
รองรับกำลังขับ 500 มิลลิวัตต์
ความเพี้ยนที่วัดได้ 0.02% ที่แรงดันทดสอบ 1 โวลท์
น้ำหนักกดทับของตัวโครงสร้าง 3.4 นิวตัน +- 0.3
น้ำหนัก 330 กรัม
ขั้วเสียบแจ๊คเป็นแบบสเตอริโอ 6.3 มม.
ตอบสนองความถี่ 14-44100 เฮิร์ตซ์ ที่ระดับ -3dB
สายหูฟังเป็นแบบ OFC ยาว 3 เมตร

ทดลองฟัง

IMG_2237

หูฟัง HD800 จะใช้ทดสอบร่วมกับอุปกรณ์ดังนี้
ใช้ฟังกับคอมพิวเตอร์จะต่อผ่าน DAC แล้วมาเข้าแอมป์หูฟังคือ Audio GD Master8
ใช้ฟังกับ iPod Video จะต่อ ผ่าน Dock ชนิด active แล้วมาเข้าแอมป์ Master8
ถ้าฟังกับ MP3 อื่นๆที่ไม่มี Dock จะต่อผ่านช่อง Headphone ด้วยสาย mini to RCA เข้าแอมป์ Master8
หลักๆก็คือ HD800 จะขับด้วยแอมป์ Master8 นั่นเอง ใช้การเชื่อมต่อด้วยสายที่มากับหูฟังผ่านชั้วต่อ 6.3มม.

IMG_2244

สิ่งที่สัมผัสได้ว่าหูฟังตัวนี้มันออกแบบมาดีก็คือ น้ำหนักเบามากเมื่ออยู่บนศรีษะแล้ว การออกแบบส่วนที่คาดหัวร่วมกับส่วนครอบหูที่ใหญ่โต ดูด้วยตาแล้วน่าจะน้ำหนักเยอะ คออาจจะหักได้เมื่อใช้นานๆ แต่กลับกลายเป็นว่าตำแหน่งที่มันสัมผัสกับหัวเรานั้นมันช่วยกระจายแรงการกดต่างๆไปในบริเวณที่กว้าง จนแทบจะไม่รู้สึกเลยว่าหนัก จะบอกว่าเบาก็ไม่ผิด มันไม่ได้โล่งเหมือนไม่มีอะไร แต่มันไม่หนัก ไม่เป็นภาระในการใช้งานแต่อย่างใด ถ้าต้องฟังเพลงต่อเนื่องหลายชั่วโมง หูฟังอย่าง HD800 นี่แหละที่เหมาะสมอย่างมากในเรื่องสรีระ น้ำหนักกดทับที่แผ่วเบาทำให้มันเหมือนมีใครเอามือมานวดศรีษะให้เบาๆ ราวกับว่ากำลังนวดสปาอยู่

IMG_2245

เพลงแรกดังขึ้น สิ่งที่โดดเด่นและรู้สึกได้ทันทีคือเสียงกลางแหลมที่ชัดและใสอย่างมาก เสียงดนตรีที่เป็นเครื่องเคาะโลหะจะฟังชัดมาก ชัดจนบางคนอาจจะรู้สึกเสียงจัดจ้านเกินไป ซึ่งจริงๆแล้วมันชัดในระดับมอนิเตอร์ คือใช้เป็นมอนิเตอร์เพื่อใช้งานในห้องบันทึกเสียงได้เลย

เสียงกลางนักร้องทั้งชายและหญิงจะมาในโทนที่ชัด ใส เนื้อเสียงมีครบแต่ไม่หนาติดหู ถ้าฟังผ่านๆไม่กี่นาที อาจจะรู้สึกว่าหูฟังตัวนี้เสียงบาง ไม่ฉ่ำ ไม่หวาน ซึ่งอาจจะเป็นเพราะเราต่างก็คุ้นชินกับความหวานของแอมป์หลอด เสียงนักร้องฉ่ำๆของแผ่นออดิโอไฟล์ค่ายจีนที่เอาเพลงเพราะมาร้องใหม่ ถ้าฟังไปนานๆเราจะพบว่า เสียงที่รู้สึกบางนั้น ไม่ได้มีลักษณะที่ว่าความถี่ย่านต่ำหดหาย แต่มันลดระดับความอิ่มลงไป เราจะได้ดุลย์ของน้ำเสียงโดยรวมที่พอดี เสียงร้องที่ใสและชัด ชิ้นดนตรีทุกอย่างชัดเหมือนกัน ไม่ได้เน้นย่านใดเป็นพิเศษ

IMG_2238

ตอนฟังกับแผ่นออดิโอไฟล์ค่ายจีน อย่างของ susan wong หรือ ไช่ฉิน ผมรู้สึกว่าเสียงมันบางลงกว่าที่คุ้นเคย แต่เสียงแหลมจะเหมือนเน้นให้ชัดมากเป็นพิเศษ และบางแผ่นออกจะเน้นเสียง ส ซ มากเกินไป คงเป็นลักษณะที่ตั้งใจทำแผ่นมาให้ฟังแล้วรู้สึกว่าเสียงร้องชัดมาก พอมาเจอกับหูที่ไวต่อเสียงแหลมกลายเป็นเสียงร้องจัดเกินไป แต่พอไปฟังแผ่นออดิโอไฟล์ค่ายฝรั่งของศตวรรษที่แล้ว อย่างJennifer WarnsชุดThe Hunter กลับรู้สึกว่าเสียงมันบาลานซ์พอดี เพลงยอดฮิตในแผ่น The Hunter มีอยู่สองสามเพลง มันฟังแล้วเพลิน ไม่อึดอัด เบสลึกแสดงพลังอยู่ในพื้นที่ของมัน มีตัวตน แต่ไม่แย่งกันเด่น ยิ่งกลับไปฟังแผ่นของ Clair Marlo ชุด Let it go ซึ่งเป็นแผ่นที่อัดมาระดับเสียงค่อนข้างเบา และเบสไม่อิ่ม ไม่ล้นเหมือนแผ่นสมัยใหม่ยิ่งฟังได้ไพเราะกว่าเดิม เพราะความทรงจำของผมคือ แผ่น Let it go นี้ เสียงใส สะอาด แต่ไม่ได้ฉ่ำหวานเรียกลูกค้า หลังๆจะไปชินกับแผ่นค่ายจีนจนกลับมาฟัง Let it go แล้วกลายเป็นบางเกินไป ทำให้ไม่ได้หยิบมาฟังหลายปี พอรอบนี้ขุดมาฟังกับ HD800 กลายเป็นว่าแผ่นนี้เพราะมากจริงๆ เสียงย่านต่ำไล่ไปย่านสูงมีให้ฟังกันครบถ้วน ไม่มีอะไรล้ำ ไม่เน้นย่านใดเป็นพิเศษ มันพอดีจนน่าฟัง

IMG_2252

เสียงเคาะแฉในแผ่นค่าย Shefield Lab กับ Chesky Record ให้ความรู้สึกแข็ง คม ชัดใกล้เคียงเสียงจริงๆอย่างมาก ใครเคยอยู่ในห้องซ้อมดนตรี ถ้าเคยไปฟังกลองสด ลองมาฟังแผ่นคุณภาพดีผ่าน HD800 น่าจะยอมรับได้เลยว่ามันถ่ายทอดได้ใกล้เคียงของจริงเพียงใด HD800 ถ่ายทอดทุกเสียงออกมาอย่างเท่าเทียมกัน ทำให้มอนิเตอร์ทุกเสียงได้อย่างแม่นยำ บางคนอาจจะไม่ชอบแนวทางนี้ แต่ถ้าใครนิยมกับลัทธิ สดดิบ ไม่ปรุง หรือบริสุทธิ์นิยม ต้องลองครับ ต้องลอง

เคยมีคนแสดงความเห็นว่า HD800 น่าจะได้จับคู่กับแอมป์หลอดเพื่อเน้นเสียงเบสให้อิ่มเพิ่มขึ้น อันนี้น่าจะเป็นรสนิยมความชอบของแต่ละคน บางคนแนะนำว่าให้เปลี่ยนสาย ซึ่งก็เป็นประเด็นที่ผมอยากลองอยู่เหมือนกัน ถ้าปรุงแต่งได้ถูกใจก็จะได้เสือติดปีกเลย การจับคู่กับแอมป์โซลิทสเตทคุณภาพสูงๆสักตัวก็ไม่ได้เสียหายอะไร ความใส ความฉับไวที่โดดเด่นของ HD800 มันน่าจะคงอยู่เต็มที่เมื่อใช้งานผ่านโซลิทเสตท แต่อย่างไรก็คงต้องได้ฟังผ่านแอมป์หลอดอีกทีเพื่อจะตัดสินใจได้ตรงความต้องการที่สุด

ความโปร่งใส ความฉับไวที่เป็นจุดเด่น และบาลานซ์เสียงที่ดี ทำให้การฟังเพลงได้ยินดนตรีครบทุกชิ้นแบบไม่คลุมเครือ และเมื่อได้ทดลองเอาไปดูหนังด้วยแล้้วต้องบอกเลยว่ามันดูหนังสนุกมาก เอฟเฟ็คสารพัดที่หนังใส่มาให้เราได้ยินต่อเนื่องพร้อมๆไปกับบทพูดที่ฟังชัดเจนไม่คลุมเครือ ดนตรีแบ็คกราวน์ในหนังที่ห่อหุ้มเราไว้ทำให้เราเพลินราวกับว่าดูอยู่ในโรงหนัง อาการล้าหรือปวดเมื่อยไม่มีปรากฏเลย นอกจากคุณภาพเสียงที่ดีพอที่จะถ่ายทอดความอลังการของเพลงเพลงประกอบหนังแล้ว รูปทรงที่ออกแบบมาให้สวมใส่ได้สบายสุดๆทำให้เราอยู่กับหนังได้จบเรื่อง ด้วยความสามารถของไดรเวอร์ที่สามารถรองรับความถี่ต่ำได้ต่ำจริงๆและทนกำลังขับได้มากพอ ทำให้เสียงต่ำลึกในหนังสามารถแสดงออกมาผ่านหูฟังได้เกือบจะครบถ้วน เรียกง่ายๆว่า ถ้าอยู่บ้านคนเดียว ข้างบ้านไม่มีใคร ก็เปิดหนังกับระบบเสียง 5.1 ลำโพง 5-6 ตัวไปเลย แต่ถ้าต้องฟังเงียบๆ ใส่ HD800 แทนก็ได้อรรถรสที่ดีทดแทนกันได้

ฟังแผ่น metalica เพลง entersandman เพลงร๊อคระดับโลกอันเป็นเครื่องหมายการค้าของวงนี้ไปแล้ว เพลงนี้มีกลองและเบสที่เล่นกันง่ายๆไม่ซับซ้อน แต่เพราะ HD800 ให้เสียงกลองที่สด กระชับ ทุกเม็ดของกลองได้ยินครบถ้วน หัวโน้ตของกลองมาเร็ว จบเร็ว ไม่ลากยาวให้บวมเบลอ เสียงกีต้าร์ไฟฟ้าก็มีเอฟเฟ็คโอเวอร์ไดร์ฟแตกซ่านในระดับที่น่าฟัง ไม่ได้เสียดหูเลย การฟังเพลงเฮฟวี่เมทัลแล้วไม่เสียดหูมันแสดงให้เห็นว่า HD800 ไม่ได้มีเสียงสูงที่กัดหูขนาดน่ากลัว มันขึ้นอยู่กับว่าอัลบั้มนั้นๆทำมาสเตอร์ไว้อย่างเที่ยงตรง หรือทำไว้เรียกร้องความสนใจกับซิสเต็มที่ให้เสียงแหลมได้น้อยกว่าที่ควร ผมเชื่อว่าแผ่นออดิโอไฟล์ค่ายจีนหลายๆแผ่นจงใจเน้นเสียงร้องให้ชัดเกินพอดีไปเล็กน้อยเพื่อฟังกับอุปกรณ์ราคาย่อมเยาทั้งหลายแล้วจะรู้สึกว่าเสียงร้องชัดเป็นพิเศษ ซึ่งเมื่อเทียบกับอัลบั้มของฝรั่งที่น่าเชื่อถือแล้ว กลายเป็นเพลงค่ายจีนมันแหลม ล้นเกินไป จนมันไม่เพราะเมื่อฟังกับ HD800

เพลงบรรเลงแนว pop แนว love song หลายๆเพลง ให้น้ำเสียงฟังสบาย ไม่มีอะไรล้น ไม่มีอะไรเกิน ไม่มีลาวเนสแถม ทุกอย่างราบเรียบฟังง่าย โทนเสียงย่านต่ำลงไปลึกมาก เสียงอะคูสติกกีต้าร์ที่เล่นโน้ตเบสมันมีความใหญ่สมเหตุสมผล เบสคมและกระชับมาก แนวเสียงของ HD800 เป็นมอนิเตอร์ดีๆนี่เอง

HD800 เหมาะกับใคร
คนที่ชอบเสียงสด เปิดเผย เสียงเคาะกรุ๊งกริ๊ง ชอบดนตรีเล่นสด
คนที่ชอบนักร้องผู้หญิงเสียงใส
คนที่ชอบดูหนังด้วยหูฟัง แต่ควรใช้ร่วมกับแอมป์หูฟังคุณภาพดีด้วยเช่นกัน
คนที่ทำงานมอนิเตอร์เสียงเพื่อบันทึกมาสเตอร์

HD800 ไม่เหมาะกับใคร
คนที่ชอบสไตล์เสียงฉ่ำหวาน ติดลาวเนสนิดๆ ตรงนี้จะรู้สึกว่า HD800 เสียงบางเกินไป
คนที่ฟังแผ่นค่ายจีนบ่อยๆ โดยเฉพาะนักร้องหญิงบางอัลบั้มเน้นเสียง ส ซ มากจนรู้สึกเกิน

จุดเด่น
HD800 ทนกำลังขับได้สูง มีความฉับไวมาก โน้ตเสียงไม่ปะปนจนโฟกัสยาก
เสียงร้องใส ชัด เสียงเครื่องเคาะต่างๆให้ความรู้สึกเป็นโลหะจริงๆ

จุดด้อย
เสียงค่อยข้างเปิดเผย ถ้าไปเจอกับเพลงอัดไม่ดี แอมป์คุณภาพต่ำ เสียงจะจัดขึ้นมาทันที
ด้วยความที่มีบุคลิกที่เปิดเผยทำให้การเลือกใช้แอมป์เป็นเรื่องที่ต้องคิดเยอะ การเลือกสายก็คงเยอะเช่นกันถ้ายังค้นหาไม่เจอคู่แท้ที่ถูกหู
ใช้กับเครื่องเสียงพกพาลำบาก เพราะว่าแจ๊คแบบ 6.3มม. ต้องหาอแด๊ปเตอร์มาใช้ และพลกำลังของเครื่องเสียงพกพามักจะไม่พอที่จะขับ HD800 แค่พอมีเสียงแต่เปิดดังไม่ได้

สรุป
HD800 เป็นหูฟังระดับมอนิเตอร์ที่มีความเที่ยงตรงของเสียงอย่างมากที่สุดตัวหนึ่งเท่าที่เคยสัมผัสมา ใครเคยเล่นดนตรี เคยใช้เวลาในห้องซ้อมจะคุ้นเคยกับเสียงแนวนี้ การตอบสนองต่อเสียงดนตรีทำได้ฉับไวมาก เครื่องเคาะโลหะจะให้เสียงที่คมแข็งสมจริงมากกว่าหูฟังแนวตลาดทั่วไป ถ้าได้แหล่งโปรแกรม หรือ เพลงที่บันทึกมาได้มาตรฐานจะทำให้การฟังนั้นเพลิดเพลินอย่างแท้จริง ความสบายตอนสวมใส่เป็นเลิศ หากเคยบ่นว่าหนัก หรือหนีบหัวแทบแตกกับหูฟังตัวไหนก็ตาม ลองมาใส่ HD800 แล้วจะรู้สึกเลยว่า คำว่าสบายหัวเป็นอย่างไร ค่าตัวหูฟังเท่าไหร่ต้องเติมเงินค่าแอมป์อีกเท่าๆกันด้วยถึงจะฟิน

แอมป์หลอดเสียงดี antique sound lab se84

พูดถึงเครื่องเสียงมักจะต้องมีเรื่องของแอมป์หลอดเข้ามาเกี่ยวข้อง โดยเฉพาะนักเล่นเครื่องเสียงที่มีใจฝักใฝ่ในระดับที่เข้มข้น เครื่องขยายเสียงแบบหลอดเป็นเทคโนโลยีการขยายเสียงที่เก่าแก่ที่สุดของโลกเรา มันถูกคิดค้นมาเมื่อต้นศตวรรษที่ยี่สิบและถูกใช้งานข้ามศตวรรษมาสู่ศตวรรษที่ 21

เครื่องเสียงแบบหลอดสูญญากาศได้รับความนิยมอยู่เป็นพักๆ บางช่วงเวลาก็รุ่งโรจน์สุดกู่ บางช่วงเวลาก็ซบเซา ซึ่งเป็นจังหวะที่นักออกแบบหันไปสนใจเทคโนโลยีใหม่อย่างโซลิทสเตทหรือทรานซิสเตอร์ แต่ในที่สุดก็หมุนเวียนมาได้รับความนิยมอีกครั้ง แม้ว่าเทคโนโลยีทางวิศวกรรมจะเจริญไปเพียงใดก็ตาม แต่หากว่าทฤษฎีการขยายเสียงยังคงใช้พื้นฐานแบบเดียวกับหลอดสูญญากาศ เครื่องเสียงหลอดก็ยังคงโดดเด่นและเป็นที่สุดของการฟังเพลงได้อย่างไม่ต้องสงสัย

เครื่องเสียงหลอด หรือ แอมป์หลอด มีตั้งแต่ราคาถูกระดับไม่กี่ร้อยบาท ไปจนถึงระดับเป็นล้านบาท และมันสร้างได้ง่ายมากจนได้รับความนิยมจากนักอิเล็กทรอนิกส์สมัครเล่นที่ต้องเคยทดลองสร้างกันอย่างน้อย 1 เครื่องหรือ 1 วงจร เสน่ห์ของมันก็คือ คุณภาพเสียงที่ได้ไม่ได้แปรเปลี่ยนไปตามกำลังเงินที่จ่ายไป แอมป์หลอดหลักพันให้เสียงดีกว่าแอมป์หลอดหลักแสนก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แอมป์หลอดหลักหมื่นจะดีกว่าหลักล้านก็เป็นไปได้ เพราะคุณภาพไม่ได้แปรผันตามระดับราคา มันจึงเป็นเสน่ห์ของนักเล่นเครื่องเสียง เพราะทุกคนต่างก็มีโอกาสสัมผัสคุณภาพเสียงที่ดีมากในระดับราคาที่จ่ายไหว มันไม่เหมือนรถยนต์ เครื่องดนตรี กล้องถ่ายรูปที่ยิ่งแพงก็ยิ่งดี

แอมป์หลอดที่ผมมีอยู่ตัวนี้คือแอมป์หลอดยี่ห้อ antique sound lab รุ่น se84 เป็นแอมป์หลอดทำงานในระบบซิงเกิ้ลเอนด์ กำลังขับ 3.5 วัตต์ต่อข้าง ระบบซิงเกิ้ลเอนด์คือระบบการขยายเสียงที่ใกล้เคียงอุดมคติมากที่สุด สัญญาณไฟฟ้าตลอดลูกคลื่นถูกขยายด้วยวงจรเพียงวงจรเดียว (แต่ไม่ใช่ซิงเกิ้ลเอนด์ซิงเกิ้ลสเตทนะครับ)

แอมป์หลอดตัวนี้ถูกขายครั้งแรกในประเทศไทยประมาณปี พ.ศ.2540 ซึ่งในครั้งนั้นขายกันเพียงเครื่องละ 3250 บาท ผมซื้อแอมป์ตัวนี้ในงานแสดงเครื่องเสียงที่โรงแรมแอมบาสเดอร์ จำไม่ได้ว่าซื้อกับผู้แทนจำหน่ายชื่ออะไร รู้แต่ว่าแอมป์หลอดตัวนี้ขายดีมาก เพราะว่าราคาถูกมากนั่นเอง เงินสามพันกว่าบาทในยุคนั้นทำอะไรไม่ค่อยได้มากนัก เครื่องเสียงทั่วไปคุณภาพดีๆต้องจ่ายกันหมื่นกว่าบาท มินิคอมโปที่ขายตามห้างจายกันหมื่นกว่าบาท โทรทัศน์สีระดับหนึ่งหมื่นบาทจะได้เพียง 21 นิ้ว คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คยุคนั้นต้องจ่ายประมาณ 7 หมื่น คอมพิวเตอร์ประกอบเองต้องใช้เงินประมาณสามหมื่น

แอมป์หลอดตัวนี้ต่อแหล่งโปรแกรมได้แค่ 1 ชุด ขั้วต่อเป็นอาร์ซีเอชุบทอง ขั้วต่อสายลำโพงเป็นบานาน่าปลั๊กชุบทอง สวิตช์เปิดปิดเป็นแบบโยก ด้านหน้าเครื่องมีปุ่มปรับระดับเสียงแค่ปุ่มเดียว ขั้วต่อสายไฟเอซีเป็นแบบถอดได้ แอมป์หลอดตัวนี้ถูกออกแบบให้เป็นเพาเวอร์แอมป์ แต่ว่ามีการใส่วอลลุ่มเข้าไปเพื่อให้สามารถปรับระดับเสียงได้ มันจึงสามารถใช้งานกับเครื่องเล่นซีดีหรือแหล่งโปรแกรมต่างๆได้โดยตรงโดยไม่ต้องต่อผ่านปรีแอมป์

หลอดขยายเสียงมี 3 หลอด หลอดเล็กตรงกลางเป็นภาครับใช้หลอด 12AX7 ทำหน้าที่รับสัญญาณจากวอลลุ่มขยายสัญญาณเบื้องต้นในแบบคลาสเอแล้วส่งสัญญาณไฟฟ้าไปเข้าหลอดใหญ่ หลอดใหญ่ทำหน้าที่ขยายเสียงให้มีกำลังสูงขึ้น หลอดใหญ่นี้คือหลอด el84 ถูกออกแบบการใช้งานในโหมดซิงเกิ้ลเอนด์คลาสเอ ก้อนสีดำสามก้อนคือหม้อแปลง ก้อนทางซ้ายคือหม้อแปลงจ่ายไฟให้กับวงจรทั้งหมด หม้อแปลงส่วนกลางและขวาเป็นหม้อแปลงปรับอิมพีแดนซ์

เครื่องเสียงกำลัง 3.5 วัตต์จะฟังเพลงเพราะได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่คนที่รู้เรื่องทางไฟฟ้าก็คงจะไม่เข้าใจนัก สรุปได้สั้นๆเพียงว่าการฟังเพลงปกติในบ้าน กำลังเสียงเพียง 1 วัตต์ก็ค่อนข้างจะเสียงดังฟังชัดแล้ว การใช้เครื่องเสียงวัตต์ต่ำต้องใช้คู่กับลำโพงความไวสูง การเลือกลำโพงให้เหมาะสมกับแอมป์หลอดตัวนี้ก็เช่นเดียวกัน จะต้องเลือกลำโพงที่มีความไวสูงกว่าปกติ ลำโพงที่เหมาะกับมันควรจะมีความไวระดับ 90dB ขึ้นไป

ผมใช้งานแอมป์หลอดตัวนี้มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 บางช่วงเวลาก็ใช้ต่อกับเครื่องเล่นซีดี บางช่วงเวลาก็ต่อกับคอมพิวเตอร์ บางช่วงเวลาก็ต่อกับ ipod คุณภาพเสียงของแอมป์หลอดคลาสเอเป็นสิ่งที่น่าหลงใหล ต้องได้ลองสัมผัสเองถึงจะเข้าใจ ทุกวันนี้ในเงินหลักพันบาทผมยังไม่พบว่ามีเครื่องเสียงตัวไหนเสียงดีกว่านี้ คุณงามความดีอาจไม่ได้เกิดจากแอมป์หลอดเพียงตัวเดียว แต่มันเกิดจากการเลือกใช้งานลำโพงด้วย ซึ่งลำโพงที่ผมเลือกใช้มันเหมาะเจาะและลงตัวกับแอมป์ตัวนี้พอดี เคยลองเปลี่ยนลำโพงอื่นๆเข้าไปบ้างเช่นกัน ลำโพงบางตัวทำให้แอมป์กลายเป็นของกระจอกไปเลยก็มี ดังนั้น ใครที่เล่นแอมป์หลอด ขอให้เลือกลำโพงให้เหมาะสม ถ้าเสียงยังไม่ดี ไม่ถูกใจ ควรได้ลองเปลี่ยนลำโพงดูก่อน นอกจากนี้ แอมป์หลอดยังเปิดโอกาสให้นักเล่นได้ทดลองเปลี่ยนหลอดด้วยเพื่อเปลี่ยนบุคลิกเสียง ซึ่งมันเป็นความสนุกอีกรูปแบบหนึ่งที่ละลายเงินในกระเป๋าตลอดเวลาถ้าไม่หยุดค้นหา จบห้วนๆดีกว่า

ipod mini เครื่องเล่น mp3 ที่คลาสิคที่สุดรุ่นหนึ่ง

ipod ฮิตมากอยู่ช่วงปีหนึ่ง แล้วก็ค่อยๆแปลงร่างกลายเป็น iphone และ ipod touch เจ้าอุปกรณ์ทรงสี่เหลี่ยมที่มีแป้นหมุนเลยไม่ได้เป็นพระเอกของวงการอีกต่อไป ipod รุ่นใหม่ๆกลายเป็นหน้าตาบอบบาง กระทัดรัด เล็กลงจนรู้สึกจะหยิบจับยาก วันนี้ผมได้เครื่อง ipod mini ตัวเดิมกลับมา หลังจากให้เพื่อนยืมไปเปิดเพลงให้ลูกฟังอยู่สองปี ตั้งแต่เมียเพื่อนตั้งท้องจนตอนนี้กำลังจะเลือกโรงเรียนอนุบาลแล้ว เพิ่งจะได้คืนมา

ipod mini ตัวนี้ผลิตออกมาขายในปี ค.ศ. 2005 ผมก็ซื้อมาใช้ในช่วงปีเดียวกัน ความจุในเครื่อง 4g เก็บเพลงได้ประมาณ 1000 เพลงที่ความละเอียด 128kBit/s จอภาพสีขาวดำ ไฟหน้าจอสีขาว ไม่สามารถดูภาพ และวิดีโอได้ เป็น ipod ที่ถูกลดขนาดลงมาเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรุ่นมาตรฐาน จุดเด่นของมันก็คือมันใช้วัสดุคุณภาพดีสุดๆ คือตัวถังเป็นอลูมิเนียม ถ้าไม่บุบ มันจะไม่มีร่องรอยอะไรเลย แม้ว่าจะหยิบใส่กระเป๋า เสียดสีกับกางเกงหรือกระเป๋าต่างๆ หยิบวางบนโต๊ะ วางในรถก็ไม่มีปัญหา

ผมได้มีโอกาสใช้งาน ipod touch แล้วรู้สึกว่าไม่ชอบ ไม่ใช่ ipod touch ไม่ดี แต่เป็นเพราะการใช้งานในการฟังเพลงผมรู้สึกว่า ipod แบบมีแป้นสัมผัส click wheel (คลิกวีล)แบบดั้งเดิม เป็นสิ่งที่เหมาะกับการฟังเพลง เพราะหลายๆครั้งที่กำลังฟังเพลงอยู่ ผมอยากจะลดหรือเพิ่มระดับเสียง ผมก็แค่คลึงแป้นหมุนตามทิศทางที่ต้องการ มันก็ตอบสนองได้ดี สามารถเพ่ิมหรือลดระดับเสียงได้โดยไม่ต้องใช้สายตา แต่ถ้าเป็น ipod touch หรือ iphone การเพ่ิมลดระดับเสียงมันทำยากกว่าเดิม ถ้าจะเปลี่ยนระดับเสียงทางหน้าจอ จะต้องกดปุ่มด้านหน้า แล้วคลิกเลื่อนเพื่อปลดล็อคหน้าจอ และค่อยเอานิ้วจิ้มปุ่มสไลด์เพื่อเลื่อนระดับ หมายความว่า ผมไม่สามารถหลับตาเปลี่ยนระดับเสียงได้เลย

แล้วทำไมไม่กดปุ่มสองปุ่มที่อยู่ด้านข้าง iphone หรือ ipod touch ล่ะ นั่นสิ ผมมักจะลืมตำแหน่งปุ่มด้านข้างไปเสมอ และการใช้นิ้วกดปุ่มเพ่ิมลดเสียงด้านข้าง ผมต้องใช้มือกำตัวเครื่องไว้แล้วเอานิ้วโป้งกด ก็คือต้องหยิบตัวเครื่องขึ้นมาถือไว้ในท่าบังคับ และเอานิ้วกดลงไปตามปุ่มที่ต้องการ มันสั่งงานแบบไม่มองก็ได้ถ้าพยายาม แต่มันก็ต้องใช้ทั้งมืออยู่ดี ผมพอใจกับการใช้นิ้วคลึงเท่านั้น ยิ่งหากระหว่างฟังต้องการกดข้ามเพลง หรือย้อนกลับ คลิกวีลระบบแท้ๆของ ipod มันตอบสนองได้ทันที แต่ถ้าเป็นหน้าจอของ ipod touch หรือ iphone มันต้องกดปุ่ม home เพื่อกระตุ้นเครื่อง และเอานิ้วลากแถบล็อคหน้าจอเพื่อให้เริ่มรับคำสั่ง แล้วก็มองหาปุ่ม ข้ามเพลงและย้อนเพลง แล้วค่อยเล็งเพื่อกด แค่นี้ก็รู้แล้วว่ามันลำบากกว่ากัน คลิกวีลระบบดั้งเดิมมันไม่รบกวนสมาธิการทำงานและการขับรถ ipod touch และ iphone มันดีตอนเลือกเพลงเพราะมันเป็นหน้าจอละเอียด แบ่งรายการเพลงต่างๆให้เข้าถึงได้ง่าย แต่มันไม่ดีตอนฟัง เพราะมันกดเพื่อสั่งการยากกว่านั่นเอง

หลายครั้งที่ได้ยินว่าแบตเตอรี่ ipod เสื่อม ผมก็ได้แต่แปลกใจว่าทำไมเสื่อมเร็วจัง เพราะเครื่องที่ผมใช้ยังไม่เคยเปลี่ยนแบตเตอรี่เลย ถ้านับถึงวันนี้ มันก็ผ่านมา 6 ปีกว่าแล้วมันยังคงใช้งานได้ดี และการชาร์จแบตของผม 1 ครั้งสามารถใช้ฟังเพลงได้ประมาณ 6 ชม. หรือมากกว่า ซึ่งผมว่ามันค่อนข้างเยอะแล้ว ผมจำไม่ได้ว่าตอนออกมาใหม่ๆมันรับประกันว่าฟังได้นานกี่ชั่วโมง แต่ 6 ชม.ของผมมันเพียงพอต่อการใช้งานในรถและก่อนนอนแล้ว

ความจุเพียง 4g ในวันนี้ดูเหมือนจะน้อยไป เพราะว่าคลังเพลงที่สะสมมาสิบปีมันมีหลายสิบจิ๊ก นี่ผมเป็นคนที่ไม่ได้ติดตามเพลงมากเหมือนสมัยก่อน ถ้ายังคงฟังเพลงมากๆเหมือนเดิมผมน่าจะมีเพลงสะสมสัก 200g ซึ่ง ipod ตัวไหนก็ไ่ม่พอ การมีเพียง 4G ติดตัวออกจากบ้านก็ไม่ได้เป็นเรื่องเลวร้ายมาก ยังพอจะปรับตัวได้ เนื่องจาก ipod เป็นระบบการเลือกเพลงใส่ที่ฉลาด ผมสามารถเลือกเปลี่ยนเพลงที่บรรจุใน ipod ได้ด้วยการคลิกเพียงไม่กี่คลิก แล้วก็รอเวลามันก็อปปี้เพลงชุดที่ต้องการลงไป หลายครั้งผมเลือกให้มันก็อปปี้เพียงเพลงที่ฟังบ่อยแค่ 25 เพลง ซึ่งโปรแกรม iTune ที่ทำหน้าที่นี้มันทำได้ดีไร้ที่ติ

การฟังเพลงมันต้องได้เครื่องเล่นที่ดีตอนฟังเพลง ไม่ใช่เครื่องที่ดีสำหรับการเล่นเน็ต หรือ ดูภาพ หรือดูวิดีโอ เพราะผมต้องการเน้นเรื่องฟังเพลง การพัฒนาการของ ipod มันมุ่งไปสู่ระบบอินเทอเน็ตและมัลติเมียเดีย จนผมรู้สึกว่าสักวันหนึ่งคลิกวีลอาจจะถูกเลิกใช้ไปในที่สุด หยุดนวัตกรรมไม่ได้ แต่สามารถเลือกใช้ของที่เคยมีได้ ipod mini ยังน่าใช้งานและน่ารักอยู่เสมอ ตราบใดที่ยังซ่อมบำรุงได้ ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแบตเตอรี่ หรือ เพิ่มขนาดความจุด้วย compact flash การ์ด ขอแค่อย่าให้มันเสียก็พอแล้ว มันน่าจะคงกระพันไปอีกหลายปี

panasonic หูฟังราคา 239 บาท

หูฟังของ panasonic รุ่นนี้ขายในร้านเซเว่น ราคา 239 บาท มีให้เลือกสองสี คือสีฟ้า กับชมพู เป็นหูฟังที่ถูกพูดถึงในเว็บมั่นคงแก็ดเก็ทว่าเป็นของถูกคุณภาพดี และดีกว่าหูฟังยี่ห้อ senheiser รุ่น mx400 เสียอีก ผมเคยซื้อ MX400 มาใช้แล้ว และซื้อตุนไว้หลายอัน พอรู้ว่ามัน panasonic ราคาถูกว่าคุณภาพดีกว่าก็เลยไปซื้อมาพิสูจน์

ตอนนี้กำลังเปิดเพลงเบิร์นอยู่ กะว่าอีกสักหลายวันค่อยมาฟังทดสอบอีกที คุณภาพเสียงที่ลองฟังตอนชั่วโมงแรกยังไม่ค่อยรู้สึกว่าดีอย่างไร แต่อย่างน้อยก็ไม่แย่แบบของปลอมทั่วไปที่ขายกันถูกๆ คุณภาพเสียงตอนแกะห่อใหม่ๆถือว่าดีกว่าหูฟังที่แถมมากับโทรศัพท์ซัมซุง monte ที่ผมใช้งานอยู่ รอฟังทดสอบอย่างจริงจังอีกทีจะดีกว่า

ทดสอบ ลำโพง Bose companion2

ในความทรงจำตอนวัยรุ่นตอนต้น มีรุ่นพี่กล่าวถึงลำโพง Bose ว่าเป็นลำโพงเสียงดี ตอนนั้นผมยังเป็นนักเรียนใส่ขาสั้น เดินเล่นบ้านหม้อ อยากได้ลำโพงตัวใหญ่ขนาดโอบไม่รอบ ไม่มีความรู้ทางดนตรี และอิเล็คทรอนิกส์ ได้แต่จำว่า Bose แพง Bose ดี ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกนี้มีเครื่องเสียงอีกมากมาย นอกจาก Sony Kenwood และ ธานินทร์

พอชีวิตเริ่มเกี่ยวกับข้องกับคอมพิวเตอร์ ก็ต้องซื้อลำโพงมาติดคอมฯ ลำโพงที่เลือกซื้อมักจะเน้นตัวใหญ่ เน้นว่าขนาดใหญ่น่าจะเสียงดี ซึ่งมันก็ไม่ผิด ผมเคยเลือกลำโพงให้คนอื่นโดยการไปยืนฟังอยู่นานจนเมื่อยขา แล้วก็อุ้มกลับบ้านด้วยค่าตัวพันกว่าบาท แม้ว่าจะหาเงินได้มากกว่านั้น แต่ก็ไม่รู้สึกว่าอยากจะจ่าย เพราะเสียงที่ได้จากลำโพงคอมฯเหล่านั้นไม่ค่อยดีแบบที่ต้องการ มันอาจจะเป็นเพราะว่าเรามีเงินน้อยเลยต้องเลือกอย่างระวัง และด้วยความจำกัดทางงบประมาณเราเลยได้แต่ทดลองฟังของราคาถูก ของแบรนด์เนม ยี่ห้อฝรั่งแทบไม่อยู่ในหัว เพราะว่า ของจีนมันบังตา ราคามันถูกกว่ากันหลายเท่าตัว

Bose ที่เป็นลำโพงบ้านก็เคยได้ฟังมาบ้าง ฟังจากบ้านเพื่อน ฟังจากร้าน เสียงของ Bose เหล่านั้นไม่ได้เป็นแบบบริสุทธิ์นิยม คือเสียงมันไม่สด เสียงมันไม่ใส ยิ่งลำโพงทรงลูกเต๋าที่มีซับวูฟเฟอร์แยกยิ่งรู้สึกว่าเสียงมันไม่กลมกลืน ตลอดเวลาหลายปีเลยไม่เคยได้สนใจเลย จนกระทั่งร้านขายคอมพิวเตอร์ของ apple ที่มีชื่อว่า istudio เกิดแพร่หลาย คอมพิวเตอร์แม็คอนทอชได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างน่าตกใจ ไปไหนก็เห็นร้านขายแม็คทุกห้าง และอุปกรณ์เสริมต่างๆก็มีวางขายอยู่ในร้านอย่างเป็นระเบียบและสวยงามและมีปริมาณเยอะมาก หนึ่งในของเยอะๆเหล่านั้นก็มีลำโพง bose ด้วยเช่นกัน

คงเป็นผลมาจาก ipod ที่ได้รับความนิยม ร้านขายสินค้าของ apple เลยต้องขายลำโพงด้วย และลำโพง Bose ก็เป็นสินค้าที่มีราคาสูงที่สุดในร้านถ้าไม่นับสินค้า apple เอง ก็เลยมีโอกาสได้ลองฟังบ่อยๆในร้าน istudio เล่ามาซะยาวเลย เข้าเรื่องได้แล้ว


(รูปจากคนอื่น)

ลำโพง bose ที่ผลิตมาสำหรับการใช้งานกับคอมพิวเตอร์มีไม่มากรุ่น ระยะห้าปีหลังมานี้ Bose ค่อยๆสะสมความนิยม มีคนซื้อใช้มากขึ้น อาจจะเป็นเพราะคนที่เคยอยากได้ในอดีดหลายคนเริ่มแก่ขึ้น เร่ิมมีงานมีการทำ เร่ิมมีเงินซื้อ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น


(รูปจากคนอื่น)

Bose companion2 เป็นลำโพงสำหรับคอมพิวเตอร์ มีหน้าตาออกแบบมาเป็นตู้ขนาดฝ่าเท้า (ใหญ่กว่าฝ่ามือ แต่ไม่ใหญ่มาก) หน้าลำโพงเป็นสโล๊ปเอียงขึ้น ถ้าวางบนโต๊ะคอมพิวเตอร์มันก็จะแหงนหน้าขึ้นสู่คนฟัง ถ้าใช้วางข้างโน้ตบุ๊คก็คงมีความลาดเอียงเท่ากับจอภาพ ด้านหน้าเป็นตะแกรงมีปุ่มหมุนปรับระดับเสียงเพียงปุ่มเดียว ปรับเสียงทุ้มแหลมไม่ได้ ใต้ปุ่มหมุนมีรูเสียบหูฟัง 1 ช่อง ด้านหลังเป็นช่องเสียบสัญญาณเสียงเข้า มีช่องรับ 2 คู่ หมายความว่ารับเสียงจากอุปกรณ์ได้สองตัว ไม่มีตัวเลือกว่าจะฟังอะไร ช่องไหนมีสัญญาณเสียงวิ่งเข้าไปก็ส่งเสียงได้หมด แปลว่า ถ้าต่อกับคอมพิวเตอร์สองตัวพร้อมกัน เปิดเสียงพร้อมกัน มันก็จะรวมเสียงแล้วส่งเสียงผสมกันออกมา เป็นหลักการเดียวกับมิกเซอร์ นอกจากนั้นก็มีช่องเสียบไฟตรง 12 โวลท์ และมีช่องต่อสายลำโพงข้างซ้ายอีกตัวหนึ่ง มีรูระบายเบสอยู่ 1 รู ซึ่งเป็นลักษณะของลำโพงตู้เปิด


(รูปจากคนอื่น)

รูปตัวอย่างนี้เป็นรูปจากที่อื่น  ตัวที่ผมได้มาช่องเสียบไฟเลี้ยงเขียนไว้ว่า 12V 1.8A   ส่วนตัวในภาพระบุไว้เพียง 1.2A

การที่ไม่มีปุ่มปรับเสียงทุ้มแหลมมันหมายความว่า Bose มั่นใจในตัวเองอย่างมากว่าเสียงจากลำโพงของเขาเป็นเสียงที่ดีแล้ว ขอแค่แหล่งโปรแกรมที่เอามาเล่นด้วยอย่าห่วยเกินไป มันถือว่าเป็นความสุดโต่งของการออกแบบเพาเวอร์แอมป์และลำโพงระดับหนึ่ง การออกแบบให้เป็นเช่นนี้ถือว่าเป็นดาบสองคม ถ้าแหล่งโปรแกรมที่เอามาใช้เล่นมันมีคุณภาพเสียงที่ดี เสียงก็จะออกมาดี แต่ถ้าแหล่งโปรแกรมมันเสียงแย่ มันก็ออกมาแย่ยิ่งขึ้น

ลองฟัง Bose โดยใช้เครื่องเล่น DVD ต่อผ่านตัวแปลงสัญญาณเสียง D/A converter อีกตัวแล้วค่อยส่งไปให้ Bose ขยายเสียง เสียงที่ได้มีความใส สด มันเป็นบุคลิกของตัวแปลงสัญญาณ แล้วเกี่ยวอะไรกับ Bose ก็ต้องตอบว่าไม่เกี่ยว พล่ามไปให้เปลืองบรรทัดเล่นๆ แต่สิ่งที่ Bose companion2 ทำให้ก็คือ มันส่งเสียงตลอดย่านความถี่ออกมาได้ค่อนข้างสมบูรณ์ เสียงเบสเป็นงานยากของลำโพงขนาดเล็ก Bose Companion 2 ใช้ดอกลำโพงขนาดเพียง 2.5 นิ้ว ดอกเดียวส่งเสียงตลอดย่าน ถึงจะดอกเล็กแต่ให้เสียงเบสได้ลึกเกินตัว เกินตัวไปมากจริงๆ หลับตาฟังแทบจะไม่เชื่อว่ามันออกมาจากลำโพงตัวแค่นี้ เสียงกลางมีความเด่นพอใช้ได้ เสียงสูงยังไม่ใสเท่ากับลำโพงบ้านทั่วไป แต่ก็ไม่ได้น้อยจนทึบ เรายังรู้สึกว่าเสียงฟาดสแนร์ เสียงฉาบ และ แฉ ยังมีความกังวานและมีประกายเสียง แม้ว่าจะไม่สด ไม่กระแทก ไม่รู้สึกมีความแข็งของโลหะแบบลำโพงบ้านราคาหลายหมื่น แต่มันก็มีให้ฟัง

Bose ใส่วงจรพิเศษเข้าไปในระบบลำโพงคู่นี้อย่างน้อยสองอย่าง จริงๆผมเชื่อว่าอาจจะมากกว่านี้ แต่ค้นหาข้อมูลเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เจอเพียงระบบ TrueSpace ที่ทำหน้าที่สร้างเสียงสังเคราะห์ระบบเสียงรอบทิศจากลำโพงเพียงสองตัว กับวงจรปรับโทนเสียงอัตโนมัติ การมีระบบ TrueSpace ผลก็คือทำให้เสียงมีบรรยากาศโอบล้อม คนฟังจะรู้สึกถึงความฉ่ำหวานและมีประกาย มันมีการเล่นเฟสเสียงที่ซับซ้อน การนั่งฟังห่างลำโพงเพียงแค่ไม่ถึงเมตรมันให้คุณภาพที่ดีที่สุด เพราะมันถูกออกแบบมาให้ทำงานบนโต๊ะ แต่หากถอยห่างออกมาเรื่อยๆ ในบางระยะเราจะได้ยินเสียงกลับเฟสของเสียงกลาง เสียงคนร้องจากที่เคยอยู่ตรงกลางระหว่างลำโพงจะมีอาการวูบไปอยู่ด้านขวาบ้างเป็นบางระยะที่เราทดสอบ แต่การนั่งฟังบนโต๊ะทำงานปกติจะไม่พบอาการนี้ แสดงว่า Bose ออกแบบลำโพงคู่นี้เอาไว้ให้นั่งฟังใกล้ๆ แต่ผมกลับขอบฟังจากระยะไกลๆมากกว่า คือใกล้ๆมันก็ได้คุณภาพแบบที่เขาออกแบบ ไกลๆมันก็ได้อีกแบบหนึ่ง เพราะผมไม่ได้สนใจเรื่องความถูกต้องของเสียงว่าจะต้องมีโฟกัสเที่ยงตรง นักร้องยืนอยู่ตรงกลางระหว่างลำโพง การฟังแบบแบล็คกราวน์มิวสิคหรือแบบเปิดทิ้งไว้ฟังไปด้วยทำงานอื่นไปด้วย เราไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องใช้สมาธิในการฟังจับผิด น้ำเสียงที่หวานกลมกล่อมชวนฟังขนาดนี้หาไม่ได้จากเครื่องเสียงบ้านราคาต่ำกว่าสองหมื่น

ระบบปรับโทนเสียงอัตโนมัติเป็นการปรับแต่งเสียงของแหล่งโปรแกรมต่างๆที่เอามาเปิดฟัง อาจจะเป็นเพลง Mp3 คุณภาพต่ำ การฟังเพลงต่างๆผ่านลำโพง Bose มันมีการปรับเสียงให้อัตโนมัติ เพลงแย่ เพลงดี พอเอามาเปิดมันก็เสียงดีเหมือนกันหมด บางเพลงที่ผมโหลดจากอินเทอเน็ตมาฟัง ฟังจาก Bose ไปเรื่อยๆก็ไม่ได้คิดอะไร พอลองเอาหูฟังมาเสียบฟังเพลงเดิม กลับรู้สึกว่ามันแห้งและทึบเหลือเกิน ผมเดาว่าไม่ใช่เพราะ Bose ทำช่องเสียบหูฟังไม่ดี แต่ระบบชดเชยเสียงหรือการปรับโทนเสียงอาจจะไม่ได้ทำงานในการเสียบหูฟัง เพราะ Bose น่าจะออกแบบวงจรพิเศษต่างๆมาให้ทำงานบนตัวลำโพงจริงๆ

การมีหน่วยประมวลผล ตรงนี้คือประเด็นสำคัญ ลำโพงที่จะสามารถทำงานแบบนี้ได้ก็ต้องมีหน่วยประมวลผลในตัวเอง นั่นคือจะมีต้องมีวงจรอิเล็คทรอนิกส์มารับหน้าที่ประมวลผลนอกเหนือไปจากวงจรขยายเสียงปกติ หมายความว่าคุณภาพแบบนี้ เทคนิคแบบนี้จะอยู่ในลำโพงแบบ active เท่านั้น คือมีภาคขยายและมีวงจรประมวลผลในตัว มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ลำโพง Bose บางรุ่นที่ออกแบบเป็น sub+sat ไม่มีกำลังขยายเป็นลำโพงที่ยังเสียงไม่ดี เพราะให้ลูกค้าไปหาเพาเวอร์แอมป์ใช้เอง มันปราศจากเทคนิคและวงจรพิเศษมาช่วยเหลือ ลำโพงอย่าง acoustic mass เลยมีน้ำเสียงที่ยังขาดๆเกินๆไม่กลมกล่อมเหมือนลำโพงสำหรับคอมพิวเตอร์อย่าง companion2 ตัวนี้

การมีหน่วยประมวลพิเศษเพื่อช่วยให้ลำโพงทำงานได้อย่างมหัศจรรย์ไม่ได้มีแต่ข้อดีฝั่งเดียว มันมีข้อเสียตามมาด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ มันเสียเวลาไปกับการประมวลผลเล็กน้อย ทำให้เสียงมีอาการดีเลย์อย่างรู้สึกได้ ไม่ใช่ว่าเสียงยืด แต่เป็นอาการมาช้าไปนิดหน่อย ถ้าเราต่อลำโพง Bose คู่กับลำโพงอื่นๆที่ส่งเสียงตรงๆไม่มีวงจรประมวลผลมาทำให้เสียเวลา เราจะได้ยินเสียงโน้ตเดียวกันสองครั้ง คือเสียงที่ได้ยินทันทีจากลำโพงตัวอื่นและตามมาด้วยเสียงจาก Bose เพราะมัวแต่ไปเสียเวลาประมวลผล มันเหมือนเป็นอาการเสียงก้องในห้องกระจก คือมีเสียงหลักกับเสียงที่สองวิ่งคู่กันตลอดเวลา ถ้าเราใช้ฟังเพลงอย่างเดียว ก็จะไม่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหา แต่ไม่แน่ใจว่าถ้าเอาไปใช้เล่นเกมส์จะมีปัญหาหรือไม่ ข้อเสียอีกประการก็คือมันเปิดดังไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าต้องฟังเบาๆ มันเปิดดังให้พอดีในห้องได้ ให้อารมณ์การฟังเพลงได้ดี แต่มันยังเอาไปเปิดในงานปาร์ตี้ไม่ได้ มันเปิดดังเผื่อคนเป็นสิบคน หรือเปิดในที่โล่งแล้วยังไม่ดี เพราะความที่มันพยายามส่งเสียงเบสให้ได้เกินตัว ทำให้มันต้องใช้พลังงานเยอะ เหมือนกับว่าลำโพงทำงานหนักมาก ขณะที่ไฟเลี้ยงวงจรยังมีจำกัดเนื่องจากใช้ไฟเพียง 12 V 1.8 amp เท่ากับความดังประมาณไม่เกิน 21.6 วัตต์ หากคิดประสิทธิภาพระดับ 100% แต่ในความเป็นจริง วงจรขยายเสียงหากสามารถทำประสิทธิภาพได้สูงสัก 70% ก็ถือว่าดีมากแล้ว ผมเดาว่า Bose ตัวนี้น่าจะมีประสิทธิภาพประมาณ 70% มากกว่าจะเป็นแค่ 25% แบบเครื่องเสียงไฮเอ็นด์ทั่วไป การเปิดดังมากๆทำให้วงจรมีอาการคลิป คล้ายกับว่าลำโพงกำลังจะแตก มันเหมือนกับคุณเอารถซิตี้คามาวิ่งในเมืองได้อย่างสนุกสนาน แต่พอต้องออกต่างจังหวัด ต้องทำความเร็วสูงๆ มันสู้รถใหญ่ หรือรถกระบะไมไ่ด้ เพราะมันออกแบบการใช้งานมาคนละประเภทกัน

ประมาณสามวันวันละหลายชั่วโมงที่อยู่กับลำโพงคู่นี้ผมเริ่มรู้สึกว่า Bose น่าจะเป็นลำโพงที่เหมาะแก่การใช้งานระยะยาว การลงทุนที่สูงกว่าลำโพงคอมพิวเตอร์ทั่วไปมันเป็นเรื่องที่รู้สึกคุ้มค่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้กลับคืนมา จ่ายแพงกว่าอีกหน่อย แต่ได้ของที่ใช้ได้ถูกใจและไม่ต้องขวนขวายหาตัวอื่นๆมาแทนมันเป็นสิ่งที่น่าลองทำ เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเงินซ้ำซ้อน ผมเคยเสียเงินซื้อลำโพงมาหลายคู่ เพราะมัวแต่เลือกของถูก ยอมประณีประนอมกับบุคลิกเสียงบางอย่างเพราะว่าต้องดูตามงบประมาณ ผลก็คือมีลำโพงที่ไม่ค่อยได้ใช้อยู่ในบ้านเต็มไปหมด ถ้าซื้อ Bose ตั้งแต่ต้นอาจจะประหยัดกว่านี้

ลำโพง Bose ไม่ได้ให้เสียงที่ถูกต้องแม่นยำ เพราะมันมีการปรับแต่งใส่สีสันต่างๆเข้าไปจนฟังแล้วเคลิ้ม อย่าถามหาความจริงกับ Bose เพราะ ฺBose มันฉอเลาะ ตอแหล กว่าปกติ การเลือกใช้ Bose มันเหมือนเป็นรูปแบบชีวิต เป็นสไตล์หนึ่งๆ ถ้า Bose เป็นกาแฟ ก็จะเป็นกาแฟสตาร์บั๊คส์ คือกลมกล่อม เต็มไปด้วยอารมณ์และบรรยากาศ เข้าไปนั่งแล้วสั่งกินได้ไม่ผิดหวัง นั่งในร้านแล้วรู้สึกปลดปล่อย ไม่เครียด กาแฟทำหน้าที่เป็นเครื่องดื่ม แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้นคือความรู้สึกว่าการมีเวลาส่วนตัว มีโลกส่วนตัว มีความสบายส่วนตัว มีร้านอื่นที่ขายกาแฟเช่นกัน มีกาแฟราคาถูกกว่านี้ มีราคาแพงกว่านี้ แต่สตาร์บั๊คมีมากกว่านั้น บางคนจ่ายสิบกว่าบาทก็แลกกาแฟข้างถนนได้ แต่มันคนละอารมณ์ คนเรากินกาแฟไม่ใช่เพราะต้องการเพียงแค่คาเฟอีน อารมณ์กาแฟต่างหากที่ต้องการ

ถ้า Bose เป็นภาพถ่าย Bose คือภาพที่ได้จากฟิล์มสไลด์ fuji Velvia ซึ่งเป็นฟิล์มสไลด์ที่ให้สีสันสดจัดจ้านที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมีมา ภาพจากฟิล์มสไลด์ตัวนี้มีความอิ่มตัวของสีที่สูงมาก มีรายละเอียดสูงมาก และภาพในหนังสือ National Geographic ในยุคก่อนดิจิทัลจะครองเมืองจะเป็นภาพจากฟิล์มตัวนี้เป็นส่วนใหญ่

ถ้า Bose เป็นรถยนต์ มันอาจจะเป็น Honda CRV ที่เป็นรถอเนกประสงค์ ขับไปร่วมงานอะไรก็ได้ ไปงานหรูก็ได้ ไปงานบวชงานวัดก็ได้ สมรรถนะพอใช้ ไม่แรงไม่ลุยเท่าโฟวีลแท้ๆ ไม่คล่องตัวอย่างซิตี้คาร์ แต่ขับได้ทุกวัน ใช้ได้ทุกวัน ในเมือง หรือนอกเมือง ชีวิตบนตึกหรือท่องเที่ยวก็ได้หมด

ถ้า Bose เป็นอาหาร ผมคิดว่ามันเป็นข้าวผัด บางคนชอบกินข้าวขาว บางคนชอบกินข้าวกล้อง Bose เป็นข้าวที่ปรุงเสร็จแล้ว สามารถกินเปล่าๆ หรือ กินพร้อมกับก็ได้ มันมีรสชาด มีความหวานมัน

ลำโพงสำหรับการพกพา เสียงดีและไฮเทค Altec lansing imt525

ท่าทางผมจะเป็นคนบ้าลำโพงเอามากๆ เวลาเจอลำโพงที่เสียงดีก็มักจะดีใจและถ้ามีเงินในกระเป๋าก็แทบจะซื้อเก็บไว้เสมอ ตั้งแต่มีคอมพิวเตอร์เป็นของตัวเอง(เกือบยี่สิบปี) ผมก็ทะยอยมีลำโพงในครอบครองมากขึ้นเรื่อยๆ ค่าเฉลี่ยอาจจะไม่ถึงปีละคู่ แต่มันก็เยอะพอที่จะทำให้สมาชิกในบ้านเริ่มมองอย่างเอือมระอา

ครั้งหนึ่งสมัยเขียนบล็อกใหม่ๆผมเคยแนะนำลำโพงพกพาเสียงดีมากไว้ตัวหนึ่ง มันมีรูปทรงเป็นกระบอก มาวันนี้ ผมกำลังจะรีวิวลำโพงสำหรับพกพาตัวใหม่ ที่ผมถูกใจมากกว่า ทั้งในแง่คุณภาพเสียงซึ่งเป็นประเด็นหลัก และในแง่ความสะดวกในการพกพาซึ่งเป็นประเด็นลำดับสอง ลำโพงที่กำลังจะพูดถึงนี้ทำให้ลำโพงคู่เก่า(กระบอก)กลายเป็นลำโพงเสียงไม่ดีไปเลย เป็นอาการได้ใหม่ลืมเก่าอย่างสิ้นเชิง

ลำโพงคู่ที่ว่านี้ก็คือ Altec lansing imt525 ซึ่งเป็นลำโพงแบบแบนบาง นอกจากจะเอาไว้ต่อกับคอมพิวเตอร์หรือเครื่องเล่น mp3 ทั่วไปแล้ว ยังมีการรับสัญญาณเสียงอ่านระบบ Bluetooth อีกด้วย ซึ่งมันทำหน้าที่เป็น Handfree ไปได้ในตัว สามารถใช้คุยโทรศัพท์ได้เลย หน้ากล่องยังมีรูปโทรศัพท์มือถือโชว์อยู่อีกต่างหาก ทำนองว่าเน้นการใช้งานร่วมกับโทรศัพท์มือถือนั่นเอง

เปิดภายในออกมาก็จะมีอุปกรณ์ต่างๆมาอยู่จำนวนหนึ่ง ประกอบไปด้วยตัวลำโพง หม้อแปลงไฟ 9 โวลท์ สายสัญญาณ mini3.5 to mini3.5 ถุงผ้า และคู่มือ ซึ่งผมค่อนข้างตื่่นเต้นกับถุงผ้าเป็นพิเศษ เพราะตั้งแต่ซื้อลำโพงมาหลายชนิด ไม่เคยได้แถมถุงผ้ากับเขาเลย

ตัวลำโพงเป็นทรงแบนบาง ปุ่มควบคุมอยู่ด้านบน มีช่องวงกลมเหมือนรูขนาดเล็กเป็นไมโครโฟนเพื่อรับสัญญาณเสียงพูดซึ่งจะใช้ตอนคุยโทรศัพท์ ช่องเสียบหม้อแปลงไฟอยู่ด้านหลัง ระบุไว้ว่าต้องใช้แรงดัน 9V 1600ma ช่องเสียบสายสัญญาณเสียง line-in อยู่ด้านหลัง สามารถใส่ถ่าน AA ได้ 6 ก้อน หมายความว่ามันถูกออกแบบมาให้พกพาจริงๆ ดอกลำโพงคู่ matched pair ขนาด 2 นิ้ว ขนาดน่ะผมเชื่อ แต่ matched pair อันนี้ไม่ค่อยแน่ใจ

ที่ด้านหลังมีจุดที่กดเพื่อให้ขาตั้งเด้งออกมา เมื่อกางขาตั้งแล้วมันจะวางบนโต๊ะได้สวยงาม มุมเอียงหน้าขึ้นเล็กน้อย จะวางบนหัวเตียงก็ไม่มีใครว่าอะไร แต่ผมคิดว่าผมอาจจะเอาไปวางไว้ในรถยนต์ของผมเอง เพราะเครื่องเสียงที่แถมมากับรถคุณภาพค่อนข้างต่ำ ซึ่งถ้าเอาไปใช้ในรถจริงๆก็จะได้ประโยชน์จากการโทรศัพท์ด้วย เพราะจะใช้งานเป็นแบบ Handfree ได้เลย ซึ่งมีประโยชน์ต่อการขับรถไปคุยโทรศัพท์ไปด้วยอย่างยิ่ง

แต่ผมก็คงไม่เอาไปไว้ในรถจริงๆหรอก เพราะว่ามันพกง่าย และผมก็มักจะพับเก็บและขนลำโพงตัวนี้ไปพร้อมกับกระเป๋าโน้ตบุ๊ค เพราะความหนาของมันเท่ากับโน้ตบุ๊คขนาดมาตราฐานทั่วไป การพกพาใส่กระเป๋าไปพร้อมโน้ตบุ๊คจึงเป็นสิ่งที่ทำได้ทันที ไม่ต้องหากระเป๋าโน้ตบุ๊คใบใหม่ และพอมันอยู่ในกระเป๋าโน้ตบุ๊คแล้ว ผมก็ขี้เกียจหยิบมาวางไว้หน้ารถนั่นเอง

พกพาง่ายแล้วคุณภาพเสียงเป็นอย่างไร เสียงของมันมีจุดเด่นที่เสียงกลาง มีความคมชัดของเสียงร้องค่อนข้างมาก เสียงคนกับเสียงกีต้าร์เป็นเสียงถนัดของลำโพงตัวนี้เลย ความใสก็มีอยู่ค่อนข้างดี ลำโพงราคาถูกทั่วไปมักจะส่งเสียงได้ เปิดดังได้ แต่เสียงจะไม่ค่อยใส ความใสที่ว่านี้เป็นความใสที่ทำให้น้ำเสียงมีประกาย มีน้ำมีนวล ด้วยความบางของลำโพงทำให้การส่งเสียงเบสจะต้องอาศัยเทคโนโลยีมาช่วยอยู่บ้าง นั่นคือลำโพงนี้มีระบบ SRS Tru-bass ซึ่งเป็นวงจรเพิ่มเสียงเบสให้มากขึ้น มันเป็นเทคโนโลยีที่ถูกนำมาช่วยลำโพงเล็กให้ส่งเสียงทุ้มได้มากขึ้น มันเป็นการประมวลผล DSP แนวทางหนึ่งที่ช่วยให้คนฟังได้ยินเสียงเบสที่เกินตัว ไม่น่าเชื่อว่าจะมาจากลำโพงตัวเล็ก แต่เสียงเบสที่ผ่าน DSP ของลำโพงตัวนี้ก็ทำได้ในระดับหนึ่ง เพราะข้อจำกัดทางกายภาพที่อยากจะให้ลำโพงมันเล็กและบาง ทำให้เสียงเบสที่พยายามใช้ DSP ช่วยแล้วก็ยังน้อยไปอยู่ดีเมื่อเทียบกับลำโพงที่มีซับวูฟเฟอร์ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่เท่าที่ได้ยินก็ถือว่า Altec lansing ทำได้ตามที่โม้ไว้ว่า speaker phone ก็ทำแบบเสียงดีได้

การที่ลำโพงนี้สามารถใช้เป็น Handfree ได้ด้วย หมายความว่ามันจะต้องออกแบบมาให้สามารถคุยกันได้รู้เรื่อง ไมโครโฟนรับเสียงที่อยู่ติดกับลำโพงส่งเสียงจะต้องมีการออกแบบไม่ให้มีเสียงหอน หรือ ฟี้ดแบ็ค ซึ่ง imt525 ก็ทำได้ดีน่าชื่นชม เหตุที่ทำได้ก็เพราะเทคโนโลยีอีกตัวหนึ่งที่ชื่อว่า echo-canceling ผมสามารถรับสายระหว่างฟังเพลงได้ และคุยธุระจนจบโดยที่ไม่ได้รู้สีกเหมือนใช้ handfree ในมือถือเลย สามารถคุยกันรู้เรื่อง พูดแทรกกันก็ค่อนข้างได้ยินชัด ไม่ใช่เสียงหายเหมือนสื่อสารทางเดียว

ปุ่มกดจำนวนมากที่ด้านบนลำโพงทำหน้าที่เป็นปุ่มควบคุมการเล่นเพลง เพราะลำโพงตัวนี้เป็น Speaker Bluetooth ที่สนับสนุนโปรโตคอล A2DP หรือการส่งเสียงผ่าน Bluetooth และยังสามารถควบคุมการเล่นได้ด้วย จะหยุด จะเปลี่ยนเพลงทำได้ที่ฝั่งลำโพงเลย โดยในการทดสอบกับโทรศัพท์ผมใช้โทรศัพท์ Samsung รุ่น Monte เมื่อทำการ paired กันเรียบร้อยแล้ว ผมเปิดโปรแกรมเล่นเพลงในมือถือแล้วเลือกรายการเพลงที่ต้องการ กด play บนมือถือปุ๊ป เพลงก็ไปดังที่ลำโพงทันที และพอไปกดเปลี่ยนเพลงที่ลำโพงโดยการกด next มันก็เปลี่ยนเพลงจริงๆ หน้าจอมือถือก็แสดงรายชื่อเพลงใหม่ที่กำลังเล่นทันทีเช่นกัน แบบนี้ก็ถือว่าสะดวกดี ผมรู้สึกว่ามันเหมาะกับการนำโทรศัพท์ที่มี Bluetooth A2DP มาใช้เป็นเครื่องเล่น MP3 แทน iPod ไปเสียเลย ยิ่งถ้าเป็นมือถือรุ่นใหม่ๆที่สามารถเพิ่มหน่วยความจำเข้าไปได้ยิ่งทำให้ลำโพงตัวนี้น่าใช้งานมากยิ่งขึ้น

พอลองกับมือถือเสร็จแล้วก็เอามาลองกับโน้ตบุ๊คบ้าง โน้ตบุ๊คที่มี ฺBluetooth ก็สามารถใช้งานกับลำโพงนี้ได้ ผมลองทั้งเครื่อง macintosh รุ่น macbook pro และลองกับเครื่องที่เป็น windows อย่าง acer aspire1 ก็ทำงานได้ดี สามารถเปิดเพลงจากคอมพิวเตอร์ให้ไปออกที่ imt525 ได้อย่างไม่ยากเย็น คุณภาพเสียงก็ไม่แตกต่างไปจากการเล่นกับโทรศัพท์มือถือ

เอา imt525 ไปลองกับ iPodtouch Gen2 ซึ่งผมก็เพิ่งรู้ว่า iPod Touch รุ่นนี้มี Bluetooth เช่นกัน แต่ใช้งานได้แค่ส่งสัญญาณเสียงเท่านั้น ไม่สามารถใช้สื่อสารเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลอื่นๆได้ เมื่อเชื่อมต่อกับ ipod touch แล้ว เสียงต่างๆของ iPod Touch ก็จะมาออกที่ลำโพง ไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง หรือฟังเพลง ทุกเสียงจะวิ่งเข้าลำโพงทั้งหมด นับว่าสะดวกมาก มีข้อจำกัดอย่างเดียวที่ iPod Touch Gen2 ยังทำไม่ได้ก็คือ มันยังไม่รองรับระบบ A2DP ทำให้กดเปลี่ยนเพลงที่ลำโพงแล้วเสียงเพลงยังไม่เปลี่ยน

ผมใช้งานลำโพงตัวนี้มาประมาณ 1 เดือน ถือว่าคุณภาพถูกใจ การพกพาก็เป็นเรื่องง่าย ราคาก็ไม่แพงเกินไป ที่บอกว่าไม่แพงก็เพราะผมซื้อมาในราคา 2490 บาท ที่ร้าน iStudio สาขาเซ็นทรัลพระรามสาม หลังจากที่ซื้อกลับมาแล้วก็มาหาข้อมูลเพิ่มก็พบว่ามันเคยมีราคาอยู่ที่ระดับ 7-8 พันบาทกันเลย ก็ทำให้หลงดีใจว่าได้ของถูกอยู่หลายวัน แล้ววันดีคืนดีผมก็เห็นลำโพงตัวนี้อยู่ในร้านขายของร้านหนึ่ง เขาติดราคาไว้ที่พันกว่าบาท ผมเห็นแล้วก็รู้สึกมืนๆเล็กน้อย เสียดายที่ไม่เห็นราคานี้ก่อนจะได้ไม่ต้องเสียเงินเยอะเกินจำเป็น แต่คิดอีกที ถ้ามันถูกๆแค่พันกว่าบาท ผมอาจจะไม่ได้สนใจที่จะหามาฟังก็เป็นไปได้

ทดสอบเครื่องเสียง q box

สัปดาห์ที่แล้วมีพนักงานขายของร้้านเครื่องเสียงร้านหนึ่งโทรศัพท์มาบอกว่าทางร้านจะมีการจัดงานขายแบบเคลียร์แลนซ์ คือลดราคาห้าสิบเปอร์เซ็นขึ้นไป ผมเลยถามกลับไปว่า มีอะไรถูกมากๆ หรือลดเยอะๆไหม ทางร้านเลยให้เข้าไปดูในเว็บ ก็เห็นอุปกรณ์ตัวหนึ่งที่เรียกว่า q box ซึ่งเป็นตัวปรับเสียงชนิดหนึ่ง เคยมีราคาขายอยู่ที่ 2900 บาท ตอนนี้เอามาลดเหลือ 590 บาท

ผมเลยโทรคุยกับเพื่อนเพื่อเล่าให้ฟังว่ามีเครื่องเสียงลดราคาเยอะดี ดูมันน่าสนใจ และเชียร์ว่าให้ซื้อ q box เก็บไว้ เพราะเท่าที่อ่านตามเน็ท และรีวิวทดสอบในหนังสือบางเล่ม ก็ได้รับความเห็นคล้ายๆกันคือเป็นตัวช่วยปรับปรุงคุณภาพเสียงให้ดีขึ้น ทำให้ระบบเสียงที่มีอยู่มีคุณภาพสูงขึ้นอย่างคุ้มค่า เหมาะกับชุดเครื่องเสียงโฮมเธียเตอร์ที่อยากจะได้คุณภาพการฟังเพลงที่ใกล้เคียงเครื่องเล่นซีดีระดับสูงๆกับเขาบ้าง เพราะเป็นที่รู้กันมานานแล้วว่า เครื่องเสียงสำหรับดูหนังจะฟังเพลงไม่ได้เรื่องเลย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร เครื่องเล่นดีวีดีจะยุคไหนๆ ก็ให้เสียงได้แย่อย่างรับไม่ได้จริงๆ นักทดสอบหลายค่าย จากหลายสำนักพิมพ์ก็ได้ทดสอบ q box แล้วสรุปคร่าวๆไว้ว่ามันสามารถช่วยให้เครื่องเล่นดีวีดี หรือ เครื่องเล่นซีดีราคาถูก มีคุณภาพสูงขึ้นอย่างมาก สามารถรับรู้ได้ทันที ราคาเครื่องเล่นดีวีดีรวมกับ q box ถือว่าไม่มาก แต่ได้คุณภาพที่สามารถสู้กับเครื่องเล่นซีดีที่มีราคาสูงหลายเท่าตัวได้เลย เว่อร์มากๆ

ตั้งแต่มี iPod ผมก็เลิกฟังเพลงจากเครื่องเล่นดีวีดีไปเลย เพราะคุณภาพเสียงมันต่างกันจริงๆ ผมมีเครื่องเล่นดีวีดีเอาไว้ดูหนังแค่บางเรื่อง การฟังเพลงส่วนใหญ่จะใช้ iPod หรือเปิดตรงกับคอมพิวเตอร์เลย และเสียงจากคอมพิวเตอร์ก็ต่อเข้ากับเครื่องขยายเสียงอีกที

หลังจากยุให้เพื่อนซื้อ q box ไปแล้ว ผมก็ฝากซื้อด้วย 2 ตัว เพราะเห็นว่าราคาถูกดี และถ้ามันคุณภาพดีก็ถือว่าได้ของดีในราคาถูก จริงๆ ผมไม่ได้ต้องการเครื่องเสียงชิ้นนี้เลย แต่เห็นว่า ตัวถัง และขั้วต่อ และวงจรจ่ายไฟของเครื่องเสียงตัวนี้มันมีราคาเกินค่าตัวไปเยอะ ลดราคาเหลือ 590 บาท แค่ผมซื้อมาถอดชิ้นส่วนออก เอาตัวถังกับภาคจ่ายไฟไว้ใช้งานก็คุ้มแล้ว และผมมีโครงการจะทำเครื่องเสียงไว้ใช้เองอยู่แล้วด้วย ดังนั้นการสะสมอุปกรณ์ชิ้นนี้เอาไว้ดัดแปลงเป็นสิ่งที่อยู่ในดุลยพินิจ

เมื่อได้ q box มาอยู่ในมือแล้ว ผมเปิดดูข้างในให้หายสงสัย แล้วก็พบว่า มันเป็นสิ่งที่ผมคาดไว้จริงๆ สิ่งที่ยังไม่รู้ก็คือ ไม่รู้ว่าข้างในใช้ ic เบอร์อะไร รู้แต่ว่า มันเป็นวงจรขยายและทำหน้าที่เป็นบัฟเฟอร์ชนิดหนึ่งเท่านั้น เป็นวงจรที่นักออกแบบเครื่องเสียงจะต้อง”คิด”ที่จะใช้อยู่แล้ว สิ่งที่ถือว่าผู้ออกแบบ q box มีความตั้งใจก็คือ การเลือกใช้วงจรจ่ายไฟที่มีการใช้ capacitor ค่อนข้างเยอะชิ้นเพื่อเพิ่มความไวในการจ่ายกระแสไฟฟ้า การเลือกติดตั้งขั้วต่อและวงจรหลักไว้ใกล้ๆกันเพื่อลดระยะทางเดินของสัญญาณให้สั้นที่สุด แต่มันก็เป็นเรื่องของความปราณีตประการเดียวที่มองเห็น แต่สิ่งที่นอกเหนือจากนี้ สิ่งที่อยากสัมผัสคือ ศิลปะการออกแบบ หรือชั้นเชิง หรือ แนวคิดที่แหวกแนว ซึ่งผมสรุปเองว่า ผมมองไม่เห็น จริงๆผมไม่ควรจะคาดหวังว่าจะได้เห็นนวัตกรรมใดๆจากเครื่องเสียงราคาแค่หลักพันบาท

ผมต่อเครื่องเสียง q box เพื่อทดลองใช้งาน เริ่มจากใช้เครื่องเล่นดีวีดียี่ห้ออะไรผมก็ลืมไปแล้ว เป็นเครื่องเล่นดีวีดีที่ผมได้มาเมื่อปีที่แล้ว มันมีช่องต่อสาย HDMI ด้วย แต่ผมไม่ได้ใช้ช่องนี้ เพราะผมไม่มีทีวีเป็นของตัวเอง ที่ใช้งานหลักคือเอาไว้เปิดเพลง ซึ่งจริงๆก็ไม่ค่อยได้เปิด ก่อนจะหยิบมาใช้งานผมต้องเอาผ้าขี้ริ้วมาเช็ดฝุ่นก่อนหลายรอบ สัญญาณเสียงจากเครื่องเล่นดีวีดีผมต่อเข้ากับ q box และสัญญาณออกจาก q box ต่อเข้ากับเครื่องขยายเสียง ซึ่งผมใช้อินทิเกรตแอมป์ VCL รุ่น the legend ปัจจุบันยี่ห้อนี้ตายไปแล้ว ลำโพงที่ใช้เป็นของ MRZ ซึ่งเป็นลำโพงเซอร์ราวด์ ตัวเล็กๆราคาไม่แพง คุณภาพของลำโพงเป็นอย่างไรผมยังระบุไม่ได้เพราะใช้ลำโพงตัวนี้ไม่บ่อย แต่การทดสอบครั้งนี้ ผมตั้งใจหาความแตกต่างของการใช้ และไม่ใช้ q box เท่านั้น คุณภาพของลำโพงจึงไม่เป็นปัญหาในการทดสอบ

สายสัญญาณและสายลำโพงเป็นเกรดธรรมดา เป็นสายจำพวกที่หยิบแถมไม่มีค่าตัว ต่ออุปกรณ์ทุกอย่างเสร็จก็เริ่มฟังแผ่นซีดี เลือกกดปุ่ม bypass ที่ด้านหลัง q box เพื่อให้สัญญาณวิ่งตรงเข้าแอมป์ เสียงที่ได้ก็จะเป็นเสียงจริงของระบบ จะดีจะแย่ก็เป็นผลของระบบเสียงทั้งหมด เมื่อฟังจนรู้แล้วว่าเสียงเป็นอย่างไร ก็กดปุ่ม bypass ให้เด้งออก เพื่อให้สัญญาณเสียงผ่าน q box ตามเจตนาของมัน เสียงที่ได้ยินผมรู้สึกว่ามันดังขึ้นเล็กน้อย ทำให้ได้ยินเสียงเล็กๆน้อยๆมากขึ้น เสียงดัง แต่เสียงไม่เปลี่ยน ไม่เห็นดีขึ้นเลย ผ่านไปสามสิบนาที ผมอยากจะสรุปไว้เลยว่า q box ไม่คุ้ม คุณภาพเสียงยังไม่ดีขึ้นอย่างที่คิด มันแค่เสียงดังขึ้นเท่านั้น แต่มันอาจจะใช้เวลาทดสอบสั้นเกินไปก็ได้ ถ้าจะให้ชัวร์ต้องใช้งานไปสักหลายๆชั่วโมงแล้วค่อยทดสอบจริงจังอีกครั้ง

หลังจากกดปุ่ม bypass ใช้ และ ไม่ใช้สลับไปมาอยู่หลายเที่ยว ผมก็รู้สึกว่า q box ทำหน้าที่ของมันได้ไม่ดีเท่าที่ข่าวลือเขาว่าไว้ คุณภาพเสียงของมันยังไม่สามารถใช้คำว่าไพเราะขึ้นได้เลย จบการทดสอบเที่ยวนี้ ผมนั่งคิดอยู่สักพัก แล้วก็ตัดสินใจ เดินไปหยิบเครื่องแปลงสัญญาณ D/A มาต่อกับเครื่องเล่นดีวีดี โดยเอาสัญญาณดิจิทัลจากเครื่องเล่นดีวีดีมาต่อเข้ากับตัวแปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นอนาลอกหรือ D/a ซึ่งเป็นสินค้าของ California Audio Lab รุ่น Gamma เครื่องแปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นอนาลอกตัวนี้เป็นเครื่องรุ่นราคาถูกย่อมเยา สมัยออกใหม่ๆราคาหมื่นกว่าบาท แต่ผมซื้อมือสองตอนที่มันมีอายุสิบปี ซึ่งซื้อมาได้ในราคาสองพันห้าร้อยบาท สัญญาณขาออกจาก Gamma ต่อตรงเข้าอินทิเกรตแอมป์ the legend ตัวเดิม ลำโพง MRZ คู่เดิม

เสียงที่ผ่าน Gamma มีความสด และ ใสมากกว่าอย่างเห็นได้ชัด มีเสียงกลางที่เด่นและเป็นตัวเป็นตน มีไดนามิค มีแรงประทะ มีจังหวะจะโคนที่กระชับ ที่มีน้ำหนักเสียงที่หนักและเบาผสมกันอย่างพอดี เหมือนภาพถ่ายที่วัดแสงพอดี ไม่มืดจนดำ หรือ สว่างจนขาวโพลน เสียงไม่ทึบ ไม่อึดอัด และไม่บาง ส่วนเสียงที่ผ่าน q box กลับเป็นตรงกันข้าม คุณภาพเสียงไม่ดีขึ้น แทบไม่รู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงระหว่างการใช้และไม่ใช้ q box เลย เสียงที่จืดชืดอย่างไร ผ่าน q box ก็ยังเป็นแบบนั้น แบบนี้ต้องเรียกว่า q box ไม่ได้ผลถึงจะถูกต้อง

มาคิดอีกทีหนึ่ง q box อาจจะเป็นปรีแอมป์ที่คุณภาพดีมากก็ได้ คือเป็นปรีแอมป์ที่ส่งผ่านสัญญาณเสียงได้อย่างเที่ยงตรง ไม่เปลี่ยนคุณภาพเสียง ถ้าเรามีปรีแอมป์แบบนี้เพื่อใช้งานน่าจะเป็นสิ่งที่ใกล้เคียงอุดมคติ หากติดวอลลุ่มเข้าไป เพิ่มซีเล็คเตอร์เข้าไป มันก็คือปรีแอมป์ทันที

ทำไม q box ถึงไม่ได้ผลกับระบบเสียงของผม ทั้งๆที่คนอื่นเขาทดสอบกันแล้วบอกว่ามันดีขึ้น ถ้าจะวิเคราะห์ในแง่ของอิเล็คทรอนิกส์ q box เป็นอุปกรณ์ประเภท matching impedance หรือ เป็นตัวที่ปรับสภาพความต้านทานของอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อกัน พูดภาษาชาวบ้านก็คือ ลดผลความไม่ match หรือความเข้ากันไม่ได้ ลดให้มันน้อยลง หรือลดให้มันไม่เป็นปัญหา ระบบที่มีปัญหากับ impedance matching เลยได้อานิสงค์นี้ ระบบเสียงของผมโดยดั้งเดิมไม่มีปัญหาเรื่อง impedance matching ที่ว่า เพราะเครื่องเล่นดีวีดีมีความต้านทานขาออกเท่าไหร่ไม่รู้ แต่เครื่องเสียงผม the legend มีความต้านทานขาเข้าที่สูงกว่ามาก น่าจะสูงถึง 50k หรือ 100k เสียด้วยซ้ำ เนื่องเป็นวงจรที่ใช้ op-amp และถ้าผมต้องออกแบบ op-amp ผมก็จะออกแบบความต้านทานขาเข้าให้อยู่ในระดับ 50k หรือ 100k แน่นอน พอเครื่องเสียงของผมมีความต้านทานขาเข้าที่สูง จะเอาเครื่องเล่นแบบไหนมาต่อร่วมกันก็จะไม่มีผลความต้านทานไม่ match นั่นเอง เครื่องที่มีปัญหาความต้านทานขาเข้าต่ำเกินไป อาจจะเป็นเครื่องหลอดสูญญากาศ ซึ่งบางครั้งมีความต้านทานต่ำในระดับไม่ถึง 10k ได้ q box มาช่วยปรับความต้านทานก็ทำให้ปัญหามันลดลง มันเลยแสดงผลดีให้ได้ยิน

สรุปว่า ถ้ามีเครื่องเสียงใช้งานปกติอยู่แล้ว การอัพเกรดคุณภาพเสียงด้วย q box อาจจะไม่ให้ผลที่เด่นชัดถ้าระบบเดิมไม่มีปัญหาอะไร แต่ถ้าอยากจะปรับปรุงคุณภาพเสียงจริงๆ ลงทุนเพิ่มตัวแปลงสัญญาณ ดิจิทัลเป็นอนาลอกสักตัวไปเลยดีกว่า อย่าง Gamma นี่เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน สามารถเพิ่มคุณภาพเสียงของเครื่องเล่นดีวีดีราคาพันกว่าบาทได้อย่างดี เห็นผลชัดเจน และไม่รู้สึกเสียดายเงิน

ทดสอบ q box แต่ค้นพบว่า D to A อย่าง Gamma นี่มันเป็นของดีคุ้มราคาจริงๆ และลำโพง MRZ ที่เป็นลำโพงเซอร์ราวด์ มีคุณภาพเสียงดีอย่างน่าประหลาดใจ ราคาค่าตัวลำโพงเซอร์ราวด์รวมกับลำโพงเซ็นเตอร์ที่ขายรวมกัน 3 ตู้เขาขายผมเพียง 2700 บาท นับว่าเป็นลำโพงวางหิ้งที่ถูกที่สุดอีกคู่หนึ่งที่เสียงดีน่าใช้

จริงๆแล้วยังมีเหตุผลอีกมากที่ต้องอธิบายว่าทำไมเสียง DVD + D/A gamma ถึงดีกว่า DVD + q box แต่มันจะยาวเกินไป ไว้โอกาสหน้าค่อยโม้เพิ่มเติมดีกว่า

เครื่องเสียงรถยนต์ของผม

ผมได้รถยนต์มาขับคันหนึ่งในปี ค.ศ. 2000 เป็นรถโตโยต้า โคโลร่า 1.6GXI ซึ่งตอนเลือกซื้อก็เลือกเอารุ่นที่แท๊กซี่นิยมใช้กันเพื่อความมั่นใจว่ามันเป็นรถที่ทนและน่าจะซ่อมบำรุงไม่แพง ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่คิด

ตอนที่ได้รถมา เพื่อนที่รู้จักสนิทกันก็ถามว่าจะเปลี่ยนเครื่องเสียงเมื่อไหร่ เพราะผมเป็นคนที่ชอบเครื่องเสียงมาก และยังเป็นคนเขียนบทความส่งพิมพ์ในหนังสือเครื่องเสียงด้วย ผมยังไม่ได้ตัดสินใจเปลี่ยนเครื่องเสียงในช่วงปีแรกๆ มันเป็นไปด้วยสองสาเหตุ สาเหตุแรกคือ ยังไม่มีเงินพอจะเปลี่ยน สาเหตุที่สองก็เพราะว่าสิ่งที่ผมอยากได้ ผมจ่ายไม่ไหว มันแพงเกินไป ก็เลยทนฟังเครื่องเล่นเทปที่แถมมากับรถ

ประมาณปีค.ศ. 2004-2005 ผมจำไม่ได้แม่นนัก เป็นปีที่ผมเปลี่ยนเครื่องเสียงรถยนต์ โดยอาศัยว่าซื้อของมือสองจากรุ่นพี่ที่รู้จักกัน ผมเลือกของแต่ละชิ้นอย่างคิดแล้วคิดอีก เครื่องเล่นซีดี เพาเวอร์แอมป์ ลำโพง ระบบที่จะติดตั้ง พอได้ของทุกอย่างที่ผมออกแบบไว้ก็เลือกร้านติดตั้งที่ทำได้ตามที่ผมเลือก คนอื่นเขาจ่ายกันหลายหมื่นหรือเป็นแสนก็จ่ายกันง่ายๆ แต่ผมไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้น เลยต้องคิดกันให้รอบคอบหน่อย ผมเลือกจะจ่ายค่าของประมาณสามหมื่นบาท และค่าติดตั้งอีกประมาณสามหมื่นบาท ซึ่งดูเหมือนจะบ้าไปแล้ว ในงบเท่านี้ผมสามารถได้ชุดเครื่องเสียงที่อยู่ในหน้าโฆษณาในหนังสือแต่งรถได้เกือบทุกหน้า แต่ที่ผมไม่เลือกตามหน้าหนังสือ หรือชุดที่ทางร้านเลือกให้ เพราะว่าไปฟังแล้วมันไม่ดีอย่างที่ต้องการ สิ่งที่ต้องการคืออะไร ก็คือเสียงดนตรีที่ผมได้ยินมันต้องเป็นแบบที่ผมชอบน่ะสิ ถึงจะเล่นดนตรีไม่ได้เรื่อง แต่ผมก็รู้ว่าเสียงดนตรีดีๆมันเป็นแบบไหน และผมก็ต้องการได้ยินเสียงแบบนั้นในรถผม

ต่อไปนี้เป็นข้อมูลทางเทคนิค เรื่องเล่ายาวๆจากคนเล่นเครื่องเสียงที่มีความรู้ทางไฟฟ้า และแบกเครื่องดนตรีมากกว่าขวดเหล้า

 

dxz935

ระบบในรถผมเริ่มจากเครื่องเล่นซีดีซึ่งมีตัวเลือกมากมายหลายยี่ห้อ ผมเคยฟังยี่ห้อ Sony , Pioneer , Alpine ในระดับราคาไม่กี่พันจนถึงหมื่นกว่าบาท ผมก็ยังไม่ถูกใจในเรื่องของเสียง เชื่อว่าเป็นเพราะราคาต่ำเกินไป และบางยี่ห้อไม่ได้เน้นคุณภาพเสียงเท่ากับปุ่มกดฟู่ฟ่า ไฟกระพริบปวดหัว จนได้ฟังยี่ห้อ CLARION ก็รู้สึกว่าเออ เข้าเค้า แล้วก็เลือกที่จะซื้อรุ่นสูงสุดเกือบท๊อปของยี่ห้อนั้นๆ ซึ่งราคาขายมือหนึ่งสามหมื่นกว่าบาท เป็นระดับที่ผมคิดว่าผมพอจ่ายได้ และดูไม่ขาดสติเกินไป แต่ผมก็ไม่ซื้อของมือหนึ่งอยู่ดี สุดท้ายผมได้ของมือสองราคาห้าสิบเปอร์เซ็นมา นั่นคือ CLARION DXZ935 สังเกตุจากการตั้งชื่อรุ่นก็พอจะเดาได้ว่ารุ่นนี้เป็นรุ่นสูงสุดในอนุกรม DXZ ซึ่งของถูกๆรุ่นเล็กๆจะเป็น DXZ3xx 4xx 5xx 8xx สารพัด ผมเลือกรุ่น 9xx ไปเลย สาเหตุที่ต้องเลือกรุ่นค่อนข้างสูงก็เพราะผมต้องการสเป็คตามนี้ คือ ต้องมีปรีเอ๊าท์หรือสัญญาขาออก 6 ช่อง หรือในโบรชัวร์จะบอกว่าเป็น 3 ปรีเอ๊าท์ ( 3 pre-out ) ซึ่งหมายความว่ามีสัญญาณสเตอริโอขาออก 3ชุด สเตอริโอแปลว่า 2 คือซ้ายและขวา นับรวมก็คือ 6 ช่อง เพราะผมจะใช้ลำโพง 6 ตัวนั่นเอง

ในส่วนของลำโพง อย่างที่เล่าไว้ ผมใช้ลำโพง 6 ตัว นั่นก็คือ ผมจะมีลำโพงคู่หน้า 4 ตัว โดยเป็นทวิตเตอร์ส่งเสียงสูง 2 ตัว เป็นวูฟเฟอร์อีก 2 ตัว ทั้งหมดจะวางไว้ด้านหน้ารถ อีกสองตัวคือซับวูฟเฟอร์ หรือลำโพงความถี่ต่ำลึกทำหน้าที่ส่งเสียงความถี่ต่ำมากๆ ซึ่งผมเลือกจะใช้แบบสเตอริโอซับวูฟเฟอร์ คือมีเสียงซับแยก ซ้ายและขวา ลำโพงซับวูฟเฟอร์จะวางไว้ท้ายรถ

ลำโพงคู่หน้าปกติก็มักจะมีให้ 4 ดอกอยู่แล้ว ผมเลือกลำโพงของ PRISM รุ่น Studio pro6002 ซึ่งเป็นลำโพงวูฟเฟอร์ 6 นิ้ว ทวีตเตอร์ประมาณ 1 นิ้ว เป็นลำโพงสองทาง มีครอสโอเวอร์แยกความถี่ให้ ปกติที่คนอื่นเขาต่อกันก็จะใช้เพาเวอร์แอมป์ 1 ช่องสำหรับลำโพง 2 ดอก คือสัญญาณขาออกจากแอมป์ไปเข้ากล่องแยกความถี่ แล้วขาออกของกล่องแยกความถี่ต่อไปยังลำโพงทวิตเตอร์และวูฟเฟอร์ แบบนี้เขาเลือกว่าซิงเกิ้ลแอมป์ แต่ผมต้องการ ไบแอมป์ คือใช้แอมป์แยกเพื่อขับทวิตเตอร์และวูฟเฟอร์คนละวงจรเลย ตัวใครตัวมัน เพื่อให้คุณภาพเสียงดีที่สุดเท่าที่ระบบจะทำได้ และการแยกทำไบแอมป์ก็จำเป็นต้องเลือกลำโพงที่สามารถซื้อเป็นชุดแล้วมาแยกทำไบแอมป์ได้ด้วย ซึ่งในตลาดเป็นร้อยรุ่นจะมีไม่กี่รุ่นที่สามารถทำได้ การดูว่าลำโพงคู่ไหนเอามาต่อไบแอมป์ได้นั้นต้องดูสเป็คกล่องแยกความถี่ ว่าเขาออกแบบมาให้สามารถทำไบแอมป์ได้ไหม ถ้าได้ก็จะบอกมาเลย ถ้าไม่ได้บอก ก็ต้องไปไล่วงจรไฟฟ้าของวงจรแยกความถี่ว่า มัันสามารถแยกได้ไหม PRISM 6002 ตัวนี้ ไม่ได้บอกว่าแยกทำไบแอมป์ได้ แต่ไล่วงจรดูแล้วพบว่า ทำได้ ก็คือวูฟเฟอร์จะต่อตรงจากแอมป์ ส่วนทวีตเตอร์จะผ่านกล่องแยกความถี่ แม้ว่าจะต่อทุกอย่างออกจากกล่องแยกความถี่ แต่ภายในกล่องไม่ได้มีวงจรใดๆสำหรับวูฟเฟอร์ เพราะลายวงจรมันวิ่งตรงเข้าวูฟเฟอร์เลย ทำให้เราสามารถต่อตรงจากแอมป์เข้าวูฟเฟอร์ได้ทันทีมันต้องใช้กล่องก็ได้

ลำโพงซับวูฟเฟอร์ หรือลำโพงความถี่ต่ำลึก ผมเลือก JL10w6 ซึ่งเป็นลำโพงดอกเดียวแต่มีวอยซ์คอยล์ 2 ชุด เหมือนมีลำโพงสองตัวแต่อาศัยโครงสร้างเดียวกัน สามารถเอาลำโพงตัวนี้มาใช้งานในโหมดสเตอริโอได้ทันที ซึ่งลำโพงตัวนี้จะถูกติดตั้งไว้ที่ืท้ายรถ ทำหน้าที่ปล่อยสัญญาณความถี่ต่ำ

เพาเวอร์แอมป์ที่เอามาใช้ขับลำโพงคู่หน้าซึ่งแยกเป็นไบแอมป์ ก็เลยต้องใช้เพาเวอร์แอมป์ 4CH ซึ่งหมายความว่าเป็นเพาเวอร์แอมป์ตัวเดียวแต่ข้างในมีวงจรขยายเสียง 4 วงจร มีช่องรับสัญญาณขาเข้า 4 ช่อง ช่องต่อสายลำโพง 4 ช่อง ผมเลือก POWERAMPER รุ่น QA60X ซึ่งเป็นเพาเวอร์แอมป์ที่มีกำลังขับ 30 วัตต์ต่อหนึ่งวงจรขยาย และทำงานในโหมดคลาสเอ ซึ่งเป็นคลาสที่ให้คุณภาพการขยายเสียงได้ดีที่สุด คือความเพี้ยนต่ำสุด เป็นระบบการขยายเสียงที่ใกล้เคียงอุดมคติมากที่สุด

ส่วนเพาเวอร์แอม์ขับซับวูฟเฟอร์ผมก็เลือก POWERAMPER รุ่น PA150 เป็นเพาเวอร์แอมป์คลาสเอเช่นเดียวกัน มีกำลังขับ 75×2 วัตต์ คือช่องละ 75 วัตต์จำนวน 2 วงจร สาเหตุที่เลือกก็เพราะว่าเป็นเพาเวอร์แอมป์คลาสเอด้วยเหตุผลเรื่องคุณภาพสถานเดียว ปกติร้านติดตั้งมักจะเลือกเพาเวอร์แอมป์ขับซับวูฟเฟอร์ที่มีกำลังขับสูงๆและไม่ได้ทำงานในโหมดคลาสเอ เพราะเขาคิดว่าซับวูฟเฟอร์เป็นลำโพงความถี่ต่ำ ต้องการกำลังสูงๆ และไม่จำเป็นต้องเป็นคลาสเอ เน้นกำลังมากกว่าคุณภาพ และมักจะเลือกกำลังขับระดับหลายร้อยวัตต์ หรือเป็นพันวัตต์สำหรับรถบางคัน แต่ผมคิดไม่เหมือนเขา ผมไม่อยากได้กำลังมหาศาลที่ไร้คุณภาพ มันเหมือนนักมวยเฮฟวี่เวทที่เคลื่อนที่ช้า ไม่คล่องตัว ไม่มีความว่องไว ถ้าจะออกแบบเพาเวอร์แอมป์คลาสเอ(คุณภาพดีที่สุด) ที่มีกำลังขับสูงๆ อาจจะต้องจ่ายเงินกันเป็นแสนหรือเป็นล้าน เพราะในโลกนี้ยังไม่เคยมีเพาเวอร์แอมป์คลาสเอที่มีกำลังขับเกิน 300 วัตต์เลย(เทียบกับลำโพง 8 โอห์ม) การที่ผมเลือก 75วัตต์ ก็คือว่าดีที่สุดในงบประมาณนี้แล้ว

การเดินสายก็เป็นเรื่องจำเป็นและต้องจ่ายแพงมากสำหรับระบบของผม เพราะปกติระบบพื้นฐานหรือซิงเกิ้ลแอมป์เขาจะเดินสายสัญญาณจากเครื่องเล่นซีดี 2 เส้น( 1 คู่) มายังเพาเวอร์แอมป์ และจากเพาเวอร์แอมป์จะแยกสัญญาณไปขับคู่หน้า คู่หลัง และซับวูฟเฟอร์ได้ในตัวเลย แต่ผมแยกแอมป์ แยกวงจรสำหรับลำโพงแต่ละตัว ผมเลยต้องเดินสายสัญญาณจากเครื่องเล่นซีดีออกมา 6 เส้น เพื่อเขาแอมป์สองตัว คือ 4 เส้นเข้าแอมป์ 4×30 วัตต์ และอีก 2 เส้นเข้า 2×75 วัตต์

สายลำโพงก็ใช้เปลืองเช่นกัน เพราะต้องเดินจากแอมป์ออกไปลำโพงทุกตัว ก็หมายความว่าใช้ 6 เส้น เปลืองสายและเปลืองค่าแจ็คเชื่อมต่ออย่างไม่น่าเชื่อ รวมสายลำโพงกับสายสัญญาณเข้าด้วยกันแล้ว ผมต้องจ่ายค่าสายเพิ่มอีกหมื่นกว่าบาท ไม่รวมค่าแรงติดตั้ง ดูเหมือนจะเยอะ แต่จริงๆก็พยายามประหยัดแล้ว เพราะผมเลือกสายคุณภาพธรรมดา ไม่ได้เป็นยี่ห้อที่ราคาสูง เนื่องจากผมเชื่อว่าระบบที่ดีบนอุปกรณ์ราคาธรรมดา จะดีกว่า ระบบธรรมดา(ไม่ได้คิด)ที่ใช้อุปกรณ์ราคาแพง

ติดตั้งเสร็จแล้วยังให้เสียงดีๆไม่ได้หรอกนะครับ เพราะว่าทันทีที่เปิดเสียงขึ้นมา มันมั่วมากๆเนื่องจากยังไม่ได้ปรับแต่งใดๆเลย การที่จะทำให้อุปกรณ์ทุกชิ้นทำงานอย่างลงตัวเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยทักษะการปรับ และต้องอาศัยอุปกรณที่มันแยกชิ้นทำให้ปรับแต่งได้ค่อนข้างง่าย นั่นเป็นที่มา เป็นเหตุผลที่ทำไมผมถึงเลือกติดตั้งแบบไม่ปกติ แบบที่แยกกันทุกอย่าง ใช้สายเปลือง เพราะต้องการปรับทุกอย่างแยกกันเด็ดขาดนั่นเอง การปรับแต่งผมเริ่มจากสมมุติฐานว่า แอมป์ทุกตัวจะทำงานเต็มย่านความถี่ คือไม่มีการปรับแต่งใดๆให้กับแอมป์เลย เนื่องจากปกติเพาเวอร์ทั่วไปจะมีวงจรแบ่งความถี่มาในตัว เพื่อแยกความถี่ให้ลำโพง แต่ในเมื่อลำโพงเรามีการเลือกค่าความถี่มาแล้ว(มีกล่องแบ่งความถี่มาพร้อมลำโพง) เราก็ไม่ควรไปแบ่งความถี่แทนมัน เพราะลำโพงมันออกแบบมาให้รับสัญญาณแยกความถี่จากกล่องของมันเอง เพาเวอร์แอมป์ที่เอามาต่อใช้งานก็ควรจะไม่ไปยุ่งเรื่องความถี่ใดๆเลย มีสัญญาณมาแบบไหนก็ขยายส่งไปแบบนั้น ซึ่งจะทำให้ลำโพงทำงานตรงสเป็คมากที่สุด

ส่วนสัญญาณที่ส่งไปยังลำโพงซับวูฟเฟอร์ ผมก็เลือกให้เพาเวอร์แอมป์ไม่ไปยุ่งกับความถี่เสียงเช่นกัน แต่ให้เครื่องเล่นเป็นตัวแบ่งแทน แบ่งตั้งแต่ยังไม่ถึงแอมป์ เพราะเครื่องเล่นระดับกลาง ถึงระดับสูง จะมีวงจรแบ่งความถี่มาให้ในตัวอยู่แล้ว มันเหมาะที่จะเอามาใช้ในระบบที่มีซับวูฟเฟอร์

ระบบโดยรวมเมื่อปรับแต่งแล้ว ผมได้เสียงเพลงที่ดีกว่าเสียงที่ฟังจากหูฟังวอล์คแมน เสียงที่ได้จะมีความสด ไว กระฉับกระเฉง คนที่ไม่ได้สนใจเรื่องเครื่องเสียงคงไม่เข้าใจความหมายของคำที่ผมอธิบายไป ถ้าจะให้เปรียบเทียบ เครื่องเสียงติดรถก่อนที่ผมจะเปลี่ยนถ้าเปรียบกับก๋วยเตี๋ยว ก็เป็นก๋วยเตี๋ยวน้ำที่ไม่ร้อน แต่ระบบที่ผมเลือกจะให้ก๋วยเตี๋ยวที่ร้อนพร้อมกินทันที ความอร่อยมันต่างกัน แม้มันจะเป็นก๋วยเตี๋ยวเหมือนกัน มีคุณค่าทางอาหาร(ความหมายของเพลง)เหมือนกัน แต่รสชาดต่างกัน

ทั้งหมดที่เขียนมา มันเป็นอดีตไปแล้ว เพราะวันนี้ผมเพิ่งไปถอดทุกอย่างออก ใส่เครื่องเสียงแถมมากับรถกลับที่เดิม ก๋วยเตี๋ยวร้อนกรุ่นกินอร่อยกลายเป็นก๋วยเตี๋ยวชืดๆเหมือนเดิม ผมถอดทุกช้ินออกเพราะเตรียมตัวขายรถออกไป ของที่ถอดออกมาตอนนี้กองอยู่ที่บ้าน เตรียมตัวส่งไปขายต่อเป็นของมือสอง

บทความ-ทดสอบเครื่องเสียง TEAC R-1

บทความ-ทดสอบเครื่องเสียง TEAC R-1

teac r1 review

IMG_9000

“ทดลองใช้ วิทยุเสียงดี TEAC R1”

นานมาแล้วผมเคยพยายามมองหาลำโพงชุดหนึ่งเพื่อนำมาใช้งานร่วมกับเครื่องเล่น iPod ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ต้องการเสียบหูฟังตลอดเวลา เนื่องจาก iPod เป็นเครื่องเล่นเพลงชนิด Mp3 ที่มีคุณภาพดีมาก หลายคนที่เคยปฏิเสธการฟังเพลงจากไฟล์ Mp3 กลับหันมาเลือกใช้ iPod เป็นเครื่องเล่นเพลงประจำตัว อย่างน้อยก็มีผมคนหนึ่งที่กลืนน้ำลายตัวเอง เคยสบประมาทและดูถูก Mp3 ไปต่างๆนานา แต่สุดท้ายก็หันมาลงทุนกับอุปกรณ์กลุ่มไฮเทคโนโลยีอย่างลุ่มหลงไม่รู้ตัว

เมื่อได้ ipod มาใช้ก็เลยอยากให้มันส่งเสียงได้ พยายามมองหาลำโพงมาหลายตัว ไม่ว่าจะเป็นลำโพงเล็กๆย่อมๆซึ่งผมซื้อมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ตัว แต่ละตัวถูกคาดหวังว่าจะเป็นลำโพงสุดรัก พกพาไปฟังได้ทุกที่ ทุกเวลา บางตัวรูปร่างเป็นทรงกลม บางตัวเป็นทรงกระบอก บางตัวเป็นลูกบาศก์ บางตัวใส่กระเป๋าโน้ตบุ๊คได้ บางตัวไม่อยากจะหิ้วขึ้นรถเลยก็มี นอกจากลำโพงขนาดย่อมเหล่านี้ ผมยังหาลำโพงคู่ใหญ่ๆมาใช้กับอินทิเกรตแอมป์ที่ใช้ในบ้านอีกด้วย ลงทุนซื้อ Docking สำหรับวาง iPod ติดแท่นเอาไว้ แล้วต่อสายสัญญาณเสียงมาเข้าแอมป์ เวลาฟังเพลงผ่านอินทิเกรตแอมป์ที่ใช้งานประจำจะได้คุณภาพเสียงที่ดี ซึ่งความดีมันต้องยกให้ทั้งสองส่วน คือเครื่องเล่นเพลงให้คุณภาพที่ดี และระบบขยายเสียงก็ให้คุณภาพที่ดี แต่มันก็ขนาดใหญ่เกินกว่าจะพกพา หรือใช้งานไม่สะดวกสักเท่าไร การจะมองหาลำโพงเล็กๆพกพาได้หิ้วไปมาใช้งานแทนอินทิเกรตและชุดลำโพงในบ้านจึงเป็นเครื่องเพ้อฝันจริงๆ เพราะลำโพงเล็กแต่เสียงดีหายากมาก

วันหนึ่งผมไปเดินเล่นแถวบ้านหม้อ แวะไปร้านขายอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์รายใหญ่ ในร้านนั้นมีเครื่องเสียงหลายประเภทวางขายอยู่ ส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องเสียง PA มีตั้งแต่ลำโพงยักษ์แอมป์ใหญ่ๆ ไล่ไปจนถึงไมโครโฟนขนาดต่างๆ มีอยู่มุมหนึ่งขายเครื่องเสียงบ้าน ผมเหลือบไปเห็นกล่องสี่เหลี่ยมหน้าตาดีอยู่ตัวหนึ่ง มันคือเครื่องรับวิทยุยี่ห้อ TEAC รุ่น R1 ซึ่งลักษณะเป็นสี่เหลี่ยมไม่เล็กไม่ใหญ่ ขนาดสามารถจับด้วยมือเดียวและยกขึ้นมาได้ มันเป็นเครื่องรับวิทยุที่สามารถต่อสัญญาณเสียงเข้าทางช่อง Aux ได้ ผมเลยคิดว่ามันน่าจะเอามาลองใช้งานคู่กับ iPod เสียหน่อย แม้ว่าจะมีวิทยุมาด้วยในตัวแต่ผมก็ไม่เคยคิดว่าจะได้ใช้ส่วนที่เป็นเครื่องรับวิทยุ

ยืนฟังรายการวิทยุจาก TEAC R1อยู่ในร้านสักพักหนึ่งผมก็รู้สึกว่าเครื่องนี้เสียงดี มันให้เสียงเบสได้ค่อนข้างลึก และดััง เสียงกลางชัดมาก เสียงแหลมก็มีประกาย คือฟังโดยรวมแล้วผมคิดว่ามันเสียงดี น่าใช้ แต่ ณ วันนั้นผมยังไม่ได้ซื้อ เพราะว่ายังไม่มั่นใจในหลายๆประเด็น อย่างเช่น เปิดดังได้ไหม เสียงแตกไหม ถ้าเอามาต่อช่อง Aux มันจะเสียงดีรึเปล่า ดูท่าทางมันมีลำโพงแค่ตัวเดียวแล้วมันรับคลื่นวิทยุเป็นสเตอริโอรึเปล่า วงจรขยายเสียงข้างในเป็นแบบสเตอริโอหรือโมโน ถ้าเอามาเสียบใช้เป็นแอมป์หูฟังมันจะเป็นโมโนหรือสเตอริโอ ความสงสัยเหล่านี้ไม่รู้จะหาคำตอบได้จากที่ไหน

ผมลองเข้า internet ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมก็ไม่พบ ไม่มีใครพูดถึงการใช้งานโดยละเอียดเลย มีแต่บอกว่ามันรับวิทยุได้ ต่อ Aux ได้ ส่งเสียงได้ มีแบตเตอรี่ในตัว ราคาขายเท่าไร ซึ่่งเป็นข้อมูลที่ไม่มีประโยชน์ต่อผมเลย ในช่วงนั้นเลยยังไม่ได้ซื้อ เพราะว่าหลายครั้งก่อนหน้านี้ผมซื้อลำโพงเล็กๆมาหลายตัว แต่ละตัวจะมีข้อดีที่ผมรับรู้ แต่ก็มีข้อจำกัดหลายอย่างทำให้ไม่ค่อยประทับใจ TEAC R1 ก็ดูจะคล้ายกับตัวอื่นๆที่เคยลอง เลยยังไม่ซื้อ
เวลาผ่านไปนานจนผมลืมไปแล้ว วันหนึ่งผมสังเกตุที่บ้านพบว่าแม่ผมชอบฟังรายการวิทยุ และวิทยุที่แม่ใช้ก็เป็นวิทยุแบบแถม หรือแจกฟรีตามงานปีใหม่ มันส่งเสียงได้ รับคลื่นได้ แต่จะปรับเปลี่ยนคลื่นแต่ละทียากเย็นเหลือเกิน บิดไปนิดเดียวกระโดดข้ามไปหลายคลื่น ไม่สามารถรับคลื่นได้ชัดๆเลยแม้แต่สถานีเดียว แม่ผมก็เลยฟังคลื่นวิทยุอยู่คลื่นเดียวเพราะไม่กล้าบิดเปลี่ยนไปช่องอื่นเนื่องจากกลัวว่าจะบิดกลับมาไม่เจอคลื่นเดิม ผมเลยให้ของขวัญแม่ด้วยการไปซื้อ TEAC R1 ตัวนี้มาให้ใช้แทน เลยถือโอกาสทดสอบการใช้งานในรูปแบบต่างๆเพื่อให้หายสงสัย และเพื่อให้เป็นข้อมูลการทดสอบสำหรับนักเล่นท่านอื่นๆที่กำลังสนใจเครื่องเล่นลักษณะนี้

IMG_9009

TEAC R1 เป็นเครื่องรับวิทยุที่มีลำโพงในตัว สามารถรับคลื่น FM และ AM ได้ ใช้พลังงานจากหม้อแปลง 12 โวลท์ และมีแบตเตอรี่ในตัวสามารถชาร์จไฟขณะใช้งานได้ ถ้าใช้พลังงานจากแบตเตอรี่จะใช้งานได้ประมาณ 7 ชั่วโมง สามารถต่อสัญญาณขาเข้าจากแหล่งโปรแกรมอื่นๆได้ทางช่อง Aux มีวงจรขยายในตัว สามารถเปิดใช้งานได้ค่อนข้างดังในห้องทำงานทั่วไป หรือในห้องนอนก็กำลังเหมาะสม

IMG_9004

ด้านบนตัวเครื่องมีปุ่มอยู่ 4 ปุ่มดังนี้ ซ้ายสุดเป็นปุ่มเปิดปิดและทำหน้าที่เลือกรับคลื่น FM AM และ เลือกฟังช่องสัญญาณขาเข้า Aux ปุ่มที่สองจากซ้ายเป็นปุ่มปรับเสียง Bass ถ้าบิดไว้ที่ตำแหน่งตรงกลางจะมีคลิกหยุดเป็นตำแหน่ง Flat ส่วนปุ่มที่สามเป็นปุ่มปรับเสียงสูงหรือ Treble มีตำแหน่งกลางเป็น Flat เช่นกัน ปุ่มสุดท้ายหรือทางขวาเป็นปุ่มกลมขนาดใหญ่ที่สุดทำหน้าที่ปรับความดังของเสียง ใต้ปุ่มซ้ายจะมีหลอดไฟแสดงสถานะการทำงาน ตอนเปิดจะติดสว่างเป็นหลอดไฟสีน้ำเงิน ตอนปิดถ้าเสียบหม้อแปลงไฟไว้แล้วเครื่องกำลังทำการชาร์จไฟเข้าแบตเตอรี่อยู่หลอดไฟดวงนี้จะกระพริบตลอดเวลา และจะดับไปเองเมื่อแบตเตอรี่เต็ม

IMG_9006

ด้านหลังมีช่องสำหรับเสียบสายต่างๆ และมีช่องระบายอากาศสำหรับลำโพงภายในด้วย นั่นก็หมายความว่าเครื่องเล่นเครื่องนี้เป็นลำโพงชนิดตู้เปิด เดาว่าภายในใช้ดอกลำโพงดอกเดียวทำงานเป็นแบบ Full range คือส่งเสียงทุกย่านความถี่ด้วยดอกลำโพงเพียงดอกเดียว อาศัยช่องระบายอากาศเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในย่านเสียงเบส ตรงกลางเครื่องด้านหลังเป็นช่องเสียบสายอากาศ ซึ่งมีแถมมาให้ในกล่องด้วย

IMG_9027

ถัดลงมาเป็นช่องต่อสัญญาณขาเข้า Aux in ซึ่งแถมสาย mini 3.5mm สองหัวมาให้ด้วยเช่นกัน ช่องถัดลงมาเป็นช่องเสียบหูฟัง สามารถใช้งานกับหูฟังทั่วไปได้ หมายความว่าเราสามารถใช้เครื่องเล่นเครื่องนี้เป็นแอมป์ขยายสัญญาณเสียงให้กับหูฟังที่เราต้องการได้ ช่องด้านล่างสุดเป็นช่องเสียบหม้อแปลงไฟ หม้อแปลงที่แถมมาให้เป็นแบบแปลงไฟ 220v แปลงเป็น 12V คิดว่าถ้านำ TEAC R1 ไปเสียบกับไฟในรถยนต์ก็คงสะดวกดีเพราะแรงดันไฟตรงกัน ด้านขวาเหนือช่องระบายอากาศเป็นเสาอากาศแบบชัก การชักเสาอากาศยืดขึ้นมาจะช่วยให้รับคลื่นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น มีผลมากในการใช้งานที่อยู่ในตึกอาคารต่างๆ ซึ่งคลื่นวิทยุจะรับค่อนข้างยาก เสาชักในตัวทำงานได้ดีเยี่ยม แทบไม่พลาดการรับคลื่นเลย จะมีเพียงบางสถานีเท่านั้นที่เสียงค่อนข้างเบา หรือมีการทับซ้อนกันบ้างเนื่องจากคลื่นวิทยุชุมชนในกรุงเทพค่อนข้างจะถี่ พาลเบียดคลื่นหลักไปบ้างก็มี

IMG_9012

ด้านหลังซ้ายเป็นช่องใส่แบตเตอรี่ ต้องใช้ไขควงเพื่อเปิดฝาครอบออก ภายในเป็นแบตเตอรี่แรงดัน 7.2 โวลท์ ขนาดความจุ 1200 มิลลิแอมป์

มาทดลองฟังกันเลยดีกว่า ผมเสียบหม้อแปลงแล้วเปิดเครื่องให้รับคลื่น FM หมุนหาคลื่นไปเรื่อยๆ ลูกบิดหน้าเครื่องทำหน้าที่หมุนหาคลื่น ลูกบิดนี้ได้รับการออกแบบมาเป็นพิเศษ เป็นระบบกลไกที่มีการทดรอบเพื่อให้หมุนได้กว้างขึ้น กล่าวคือวงแหวนหน้าเครื่องวงเล็กที่ทำหน้าที่ให้มือจับจะต้องหมุนด้วยรอบที่มากกว่าเพื่อให้วงแหวนอีกวงซึ่งมีตัวเลข 88-108MHz ขยับไปทีละนิด ซึ่งจากการวัดคร่าวๆ ผมต้องหมุนลูกบิดไปประมาณ 2 รอบเต็มๆ ถึงจะทำให้ตัวเลขคลื่น FM ขยับจาก 88 ไปเป็น 108 Mhz หรือวงใหญ่หมุนไปครึ่งรอบเท่านั้น การออกแบบเช่นนี้ทำให้การหมุนหาคลื่นทำได้ง่ายขึ้น แต่ละสถานีที่อยู่ติดกันจะมีระยะหมุนค่อนข้างมาก ทำให้ปรับคลื่นได้ละเอียดมากยิ่งขึ้น

IMG_9001

เสียงรายการวิทยุที่ได้รับค่อนข้างชัดเจนมาก ยิ่งเป็นคลื่นวิทยุชุมชนที่สถานีส่งอยู่ใกล้บ้านผมยิ่งชัดเจน ชัดขนาดที่ว่าผมต้องหยุดฟังเลย แม้จะเป็นแค่เสียงพูดก็ตาม ฟังเพลงสตริงตามคลื่นยอดฮิตต่างๆก็ให้เสียงที่ชัด มีเสียงเบสที่แน่นและคม เสียงกลางชัด เสียงแหลมก็มีไม่ตกหล่นแถมยังเป็นประกาย เสียงเบสค่อนข้างเยอะเป็นพิเศษ ดูเหมือนลักษณะลำโพงตู้เปิดจะถูกจูนเสียงให้มีเสียงเบสเยอะเป็นพิเศษ การเปิดฟังเพียงเบาๆจะให้เสียงที่มีน้ำหนักพอดี แต่ถ้าเปิดให้ดังขึ้นมากสักหน่อยจะรู้สึกว่าเสียงเบสเยอะเกินไป การฟังตลอดการทดสอบนี้จะปรับเสียงไว้ที่ flat ซึ่งก็ให้น้ำเสียงที่ดีน่าฟังเพียงพอแล้ว สรุปคร่าวๆในส่วนของวิทยุได้เลยว่า เครื่องเสียงตัวนี้รับวิทยุได้ชัด ให้เสียงเพลงได้น่าฟังมาก เสียงกลางชัดมาก

IMG_9015

ผมลองเสียบหูฟังเข้ากับช่องด้านหลัง เพื่อทดลองฟังในแบบสเตอริโอ เนื่องจากมันมีลำโพงแค่ดอกเดียว ผมเคยคิดว่ามันอาจจะเป็นเครื่องเล่นแบบโมโน แต่พอลองฟังผ่านหูฟังแล้วก็พบว่า R1 เป็นสเตอริโอ มันรับคลื่นและขยายเสียงเป็นสเตอริโอ อันนี้ทำให้ผมรู้สึกโล่งใจ หายสงสัย และคิดเลยต่อไปว่ามันสามารถใช้งานเป็นเครื่องรับวิทยุสำหรับห้องฟังเพลงได้เลย โดยการต่อสัญญาณจากช่องเสียบหูฟังเข้ากับอินทิเกรตแอมป์หรือชุดเครื่องเสียงชุดหลักของห้องฟัง ซึ่งมันมีราคาค่าตัวต่ำมากเมื่อเทียบกับเครื่องเสียงแยกชิ้นอื่นๆ

IMG_9022

มาลองฟังแบบต่อกับ iPod ดีกว่า ผมต่อ iPod Shuffle สลับกับ iPod Video เข้าทางช่อง Aux โดยสายที่แถมมากับเครื่อง เพลงที่อยู่ใน iPod เป็นเพลงที่ก๊อปปี้มาจากคนอื่นบ้าง ริบแผ่นแท้ต่างๆเอาไว้บ้าง เสียงเข้าไปฟังแล้วก็รู้สึกดี เสียงที่ได้ยินค่อนข้างชัดเจน เสียงเบสเยอะเพียงพอ น่าฟังมาก ความคมชัดและความกระฉับกระเฉงเป็นจุดเด่นที่มีให้รับรู้ตั้งแต่เริ่มต้น ไดนามิคเร้นจ์ที่จะแจ้ง เสียงเครื่องเคาะก็มีความแข็ง คม มาพร้อมกับเสียงเบสที่ติดตามได้ ผมลองกับเพลงที่หลากหลายเพื่อจะได้รู้แนวว่า TEAC R1 มีคุณภาพระดับใด เพลงป๊อปทั่วไปทำได้ยอดเยี่ยม ไม่มีจุดให้ติ สิ่งหนึ่งที่ผมยอมรับและไม่คิดว่ามันเป็นจุดด้อยก็คือ ถ้าเปิดเสียงดังมันจะเสียงแตก ซึ่งมันเป็นสิ่งที่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นกับเครื่องเสียงระดับเล็กๆ ยิ่งใช้ไฟเลี้ยงระดับต่ำและใช้ลำโพงขนาดเล็ก ยิ่งไม่ควรคาดหวังว่ามันจะเสียงแน่นแม้จะเปิดลั่นบ้าน ระดับเสียงที่ฟังทดสอบก็อยู่ในระดับนั่งฟังในห้อง ไม่ได้ไปเปิดแข่งกับใคร ฟังกับเพลงร๊อคก็ได้เสียงกลองที่ชัดมาก ผมเลือกวง dreamtheater มาใช้ทดสอบ เพราะผมชอบวงนี้เป็นการส่วนตัว ชอบเพราะแนวเพลงแปลกดี และฝีมือนักดนตรีอยู่ในระดับไม่ใช่คน แม้จะดูเหมือนพูดเกินจริง แต่ผมก็คิดว่าหาคนเล่นได้แบบนี้ยาก กลองที่เล่นได้ระห่ำสุดๆจากอัลบั้ม awake ซึ่งออกมาเกินสิบปีแล้ว เสียงกระเดื่อง เสียงทอม เสียงสแนร์ เสียงแฉ ฉาบ ทุกเสียงได้ยินครบถ้วนและติดตามได้ทุกเม็ด ความฉับไวเป็นจุดเด่นของ R1 อย่างไม่ต้องสงสัย เลยไปถึงเสียงกีต้าร์ที่เล่นได้ดุดันสะใจ เสียงเบสที่ฟังออกแทบทุกเม็ด ผมคิดว่านักดนตรีสามารถใช้ R1 เพื่อแกะเพลงได้แน่นอน จบจากร๊อคผมลองกับเพลงแจ๊สนุ่มๆของน้องนอร่าโจนส์ซึ่งมีจุดเด่นที่เพลงนุ่มนวล เสียงร้องชัด เบสอัดได้ดีมาก ผมได้ยินเสียงเบสไล่ไปทีละโน๊ต นุ่มและคม คือนุ่มแบบไม่เบลอ หัวโน้ต หางโน้ต เกิดขึ้นแล้วจบลงแบบมีระยะของตัวเองที่พอดิบพอดี แต่เพลงของนอร่าโจนส์จะสร้างปัญหาให้กับ R1 ได้ง่ายๆถ้าเปิดดัง เพราะว่าลำโพงของ R1 ถูกออกแบบให้ไวต่อเสียงเบส เพื่อชดเชยกับรายการวิทยุที่อาจจะส่งเสียงเบสมาได้ไม่ค่อยเยอะนัก พอฟังเพลงแจ๊สที่มีเบสเด่นๆ จะรู้สึกว่ามีอาการกระพือเล็กน้อย จำเป็นต้องลดระดับเสียงลงไปให้น้อยกว่าปกติที่ฟังเพลงป๊อปและร๊อคทั่วไป แต่เชื่อเถอะว่า เบส และ กลางของ R1 มันเพราะจริงๆ

IMG_9002

นอกจากนี้ผมลองฟังแจ๊สที่เน้นเสียงร้องกับกีต้าร์อะคูสติก ผมว่ามันลงตัวกับ R1 มากที่สุดเลย อัลบั้มของ Snow rose ซึ่งเธอเป็นใครผมก็ไม่รู้ แต่เพลงที่เธอเอามาร้องใหม่ ทำใหม่ โดยร้องคู่กับกีต้าร์แค่ตัวเดียวมันหวานซึ้งและน่าฟังมาก เสียงร้องที่เป็นจุดเด่นก็ทำได้ดีไม่สงสัย เสียงกีต้าร์อะคูสติกให้ความรู้สึกว่านักดนตรีเล่นเก่งดี และมั่นใจในการเล่นเสียด้วย เสียงตีคอร์ทและเล่นเป็นโน๊ตสลับกันออกมาแบบว่า เหมือนจริงมาก แม้ว่ามันจะใช้ลำโพงดอกเดียว ก็ยังรู้สึกว่าเพราะดี

แบตเตอรี่ในตัวสามารถใช้งานได้ต่อเนื่องประมาณ 7 ชั่วโมง ซึ่งระยะเวลานี้ผมไม่ได้เป็นคนทดสอบเอง แต่มันเกิดจาก ผมดึงปลั๊กไฟออกจาก R1 ตอนเก้าโมงเช้า แล้วก็ปล่อยให้แม่ฟังเพลงใช้งานไปตลอดวัน จนตอนเย็นกลับมาบ้าน แม่บอกว่า วิทยุเป็นอะไร ทำไมอยู่ๆก็ดับไป ผมถามว่าดับไปตอนไหน แม่บอกประมาณสี่โมงเย็น ผมก็เลยได้คำตอบว่า แบตเตอรี่มันใช้งานได้ประมาณ 7 ชั่วโมง

IMG_9039

ผมคิดว่า TEAC R1 เป็นตัวแทนของลำโพงไฮไฟหรือลำโพงเสียงดีได้อย่างไม่ขัดเขิน เสียงที่ดีจากเครื่องเสียงคุณภาพดีเป็นยังไง ผมคิดว่ามันเป็นเสียงแบบนี้แหละครับ ปกติแม่ผมจะเป็นแม่บ้านที่ใช้เงินค่อนข้างประหยัด ไม่ค่อยกล้าซื้อของอะไรแพงๆ และวิทยุที่แม่เคยใช้มาตลอดชีวิตก็เป็นของถูกๆ คุณภาพแย่ ถึงแย่มาก วิทยุเครื่องนี้ถือว่าเป็นเครื่องที่แพงที่สุดที่แม่เคยใช้มา แต่มันน่าภูมิใจอย่างหนึ่งตรงที่ มีวันหนึ่งแม่คุยกับผมแล้วเล่าให้ฟังว่า วิทยุตัวนี้มันเสียงดีนะ ฟังเพลงอะไรก็เพราะ เพิ่งรู้ว่าแต่ละเพลงมันมีเสียงกลอง เสียงกุ๊งกิ๊ง เดี๋ยวก็มีเสียงโน้นเสียงนี้โผล่มาในเพลง ฟังได้เพลินไปเลย เมื่อก่อนเวลาเปิดฟัง จะรู้แต่ว่าสถานีเขาพูด เขาเปิดเพลง แต่ไม่เคยรู้ว่าในเพลงมันมีเสียงอะไรบ้าง เพราะมันแบนๆฟังไม่ค่อยออก ผมฟังแล้วก็อมยิ้มเลย นานๆทีแม่ของคนเล่นเครื่องเสียงจะเห็นดีเห็นงามด้วยว่าเครื่องเสียงที่เสียงดีมันเป็นยังไง แม้ว่าค่าตัวของวิทยุเครื่องนี้จะไม่มาก บางทีสายสัญญาณยี่ห้อดังยังแพงกว่าหลายเท่า แต่ค่าตัวที่ย่อมเยาก็ไม่ได้ทำให้ความเป็นดนตรีมันลดน้อยลง ตรงนี้มันขึ้นอยู่กับแต่ละคนว่าต้องการอะไร ต้องการเสพเครื่องหรือเสพดนตรี ของขวัญวันแม่ปีนี้ผมจ่ายน้อยลงกว่าปีที่แล้วเยอะ แต่ว่ามันสร้างความสุขใจได้ทั้งคนให้และคนรับ และที่สำคัญแม่ได้ใช้งานทุกวัน