เที่ยวสิงคโปร์ ตอนที่ 2 ไปสวนสัตว์

เราตื่นเช้าวันใหม่ หลังจากกินมื้อเช้าที่โรงแรมแล้วก็เดินทางมาที่สวนสัตว์ ซึ่งอยู่ไกลจากที่พักเหลือเกิน  การเดินทางที่เคยตั้งใจว่าจะนั่งรถเมล์ก็เปลี่ยนเป็นแท็กซี่แทน เพราะการพาลูกไปขึ้นรถเมล์ดูจะเป็นการลำบากเกินไป  เนื่องจากจำนวนคนที่รอที่ป้ายรถเมล์ และสภาพบนรถเมล์ไม่น่าเข้าไปเบียดสักเท่าไหร่ ยิ่งมีรถเข็นเด็กด้วยแล้วยิ่งดูลำบาก เราก็เลยเดินทางด้วยแท็กซี่ และก็โดนค่าแท็กซี่ไปพันกว่าบาท

IMG_2199.JPG

สวนสัตว์ที่สิงคโปร์ได้รับการจัดอันดับว่าดูแลสัตว์ได้ดีระดับต้นๆของโลก  การจัดการภายในสวนสัตว์มีระเบียบเรียบร้อย ดูปลอดภัยและน่าเที่ยว  การจัดเส้นทางต่างๆก็มีส่วนที่เดินสบาย แม้ว่าอากาศจะร้อนไปหน่อย แต่ความร่มรื่น ต้นไม้เยอะก็ช่วยให้เราทนไหว  เสือขาวอยู่ในพื้นที่ของมัน จุดยืนดูของคนจะถูกจัดสรรเอาไว้ค่อนข้างปลอดภัย มีคูน้ำขนาดกว้างกันเอาไว้ระหว่างพื้นที่เสือกับพื้นที่คน  ให้ความมั่นใจว่าเสือคงไม่กระโดดข้ามมาหรือว่ายน้ำข้ามมา

IMG_2209.JPG

สัตว์บางตัวเราก็เพิ่งเคยเห็นจากที่นี่  แม้ว่าเมืองไทยจะมีเขาดิน มีซาฟารีเวิลด์  มีสวนสัตว์เขาเขียว แต่สัตว์ของสวนสัตว์สิงคโปร์ก็มีความแตกต่างไปจากในเมืองไทยพอสมควร  วูฟเวอรีนที่เป็นตัวละครในหนัง x-men มันเป็นสัตว์หน้าตาแบบนี้เองผมก็เพิ่งจะเคยเห็น  ถ่ายรูปมาได้เพียงป้ายบอก เพราะตัวจริงในสวนสัตว์ดูขี้อายไม่ค่อยอยากโชว์ตัว

IMG_2216.JPG

เราเดินเที่ยว แวะดูตามจุดแสดงสารพัดชนิดสัตว์  แวะกินข้าว บ้างก็นั่งรถบัสอำนวยความสะดวกอย่างสนุกสนาน  การกินข้าวในสวนสัตว์ก็ไม่ได้ยากเย็นมาก  ถ้าเรามากินก่อนเวลาเที่ยง เราก็พอจะมีพื้นที่นั่งสบายๆ  แต่ถึงจังหวะเที่ยงที่ทุกคนกินข้าว เราก็ไม่ได้เบียดเสียดหรือต้องต่อสู้กับผู้คนล้นหลาม  เพราะการท่องเที่ยวในสิงคโปร์ไม่ได้มีอาการแย่งกันเที่ยว แย่งกันกิน แย่งกันใช้  อาจจะเพราะวันนี้เป็นวันธรรมดา และอาจจะเพราะสวนสัตว์สิงคโปร์ไม่ได้โด่งดังเป็นเป็นจุดต้องแวะให้ได้

IMG_2227.JPG

ขอบฟ้าลูกชายแสนซน มาเที่ยวสวนสัตว์แต่ก็ตาไวเห็นเครื่องเล่นที่ดูเหมือนสวนสนุก ก็ขอเล่น และก็ติดอกติดใจซะเหลือเกิน  เป็นการเดินเที่ยวสวนสัตว์ที่คุ้มค่าที่สุดของขอบฟ้า  เพราะไปสวนสัตว์อื่นๆที่ผ่านมาก็ไม่เคยเจอเครื่องเล่นแนวนี้เลย

IMG_2238.JPG

พอได้เวลาบ่ายแก่ๆ ขอบฟ้าเริ่มเหนื่อยและหลับไปในที่สุด การเดินทางกลับที่พักก็เลยต้องใช้แท็กซี่เช่นเคย  แท็กซี่ที่นี่เป็นรถใหม่ๆสวยๆ มีรถหลากหลายให้เราเลือก บางคันก็อัตราปกติ บางคันก็มีอัตราค่าบริการที่สูงขึ้นด้วยเงื่อนไขบางอย่าง  รถหน้าตาแพงก็จะมีค่าโดยสารที่สูงกว่ารถหน้าตาถูก  ผมก็ไม่รู้ว่าเขามีวิธีคิดยังไง  เรายืนรอคิวอยู่เห็นรถหน้าตาถูกผ่านไปหลายคัน จนถึงคิวของเรา เราโดนรถแพงเข้าจนได้

IMG_2245.JPG

เราก็ได้นั่งอัลพาธก็คราวนี้เอง  สิ่งที่เหมือนกันในแท็กซี่สิงคโปร์ก็คือ คนขับไม่มียูนิฟอร์ม  แต่งตัวเหมือนเรานั่นเอง  และมีอุปกรณ์สื่อสารเต็มไปหมด  มีโทรศัพท์กันคนละสามเครื่องเป็นอย่างน้อย  คือ 1 เครื่องติดตัวเอาไว้คุย อีกสองเครื่องติดไว้ที่กระจกรถเอาไว้เปิด app เรียกแท็กซี่  มีโทรศัพท์มือถือโบราณด้วยที่ผมไม่รู้ว่าเอาไว้ทำอะไร มีเครื่องอ่านบัตรเครดิต  มีกล้องหน้า กล้องหลัง ทุกอุปกรณ์ใช้ที่ชาร์จเสียบไว้  ผมจินตนาการไม่ออกเลยว่าช่องเสียบไฟในรถเขาจะมีกี่ช่อง

IMG_2248.JPG

ตอนเย็นเราก็กลับมาที่พักของเราด้วยความเหนื่อยอ่อน แวะมาเดินตลาดฝั่งตรงข้ามที่พัก หาของกิน และร้านข้าวที่ชื่อ นคร หรือ nakhon ดูป้ายดูชื่อก็รู้ว่าเป็นร้านอาหารไทย มีคนต่อคิวรอกินจำนวนมาก  เราเป็นคนไทยก็ขอผ่านไม่แวะดีกว่า  เพราะเราอยากมาสัมผัสสิงคโปร์ อยากกินอาหารสิงคโปร์ทุกมื้อมากกว่า  แต่ภาพที่เห็นก็เป็นเครื่องยืนยันได้ว่า อาหารไทยเป็นสิ่งที่ถูกปากคนทั่วโลกจริงๆ

ขอปิดตอนด้วยภาพแรกของวันนะครับ

IMG_2201.JPG

ย้อนดูตอนที่ 1 เที่ยวสิงคโปร์ เขามีทุกอย่างที่อยากมี

เที่ยวสิงคโปร์ เขามีทุกอย่างที่อยากมี

สิงคโปร์เป็นเกาะเล็กๆที่อยู่ใกล้ๆเส้นศูนย์สูตร ขนาดใหญ่ประมาณภูเก็ตของเรา  สิ่งที่ได้ยินมาตลอดชีวิตของคนไม่เคยไปสิงคโปร์ก็คือ ที่นี่ข้าวมันไก่ดังมาก  สิงคโปร์ทันสมัย สิงคโปร์เป็นเมืองท่า เป็นศูนย์กลางการค้าของเอเชีัยตะวันออกเฉียงใต้  การลงทุนในระดับบริษัทข้ามชาติจะมีสาขาใหญ่อยู่ที่สิงคโปร์  แม้แต่ ระบบ cloud ของอเมซอนก็อยู่บนเกาะเล็กๆแทนที่จะอยู่ในแผ่นดินกว้างใหญ่อย่างไทยหรือมาเลเซีย

IMG_1938.JPG

ทริปไปสิงคโปร์พ่อแม่ลูกเป็นทริปนอกประเทศทริปที่สองของการเดินทางแบบมีเด็กเล็ก หลังจากที่เราได้ไปฝึกฝนการพาลูกเที่ยวที่ญี่ปุ่นมาแล้ว การไปสิงคโปร์ก็กลายเป็นเรื่องที่เชื่อว่าไม่ยากลำบากอีกต่อไป  จองตั๋วกันล่วงหน้าประมาณสามเดือน แล้วพอใกล้ๆวันเดินทางเหลือเวลาอีก 1 วัน ปรากฏว่าผมเช็คอินยืนยันตั๋วเครื่องบินไม่ได้  เหตุผลเพราะพาสปอร์ตกำลังจะหมดอายุในอีกสองเดือน  ผู้รู้ทุกท่านให้ข้อมูลว่าการเดินทางไปต่างประเทศจะต้องมีอายุพาสปอร์ตเหลือเกิน 6 เดิอน  เดือดร้อนต้องรีบไปทำพาสปอร์ตและต้องทำเร่งด่วนภายใน 1 วัน ซึ่งจะต้องไปทำที่กงสุลซึ่งตั้งอยู่ที่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะเท่านั้น  ราคาความด่วนต้องจ่าย 3000 บาท จากเดิม 1000 บาทเท่านั้น  นับว่าเป็นความวุ่นวายที่ไม่คาดฝันจริงๆ

IMG_1945.JPG

ตีสี่เราเดินทางไปดอนเมือง ใช้เวลาต่อแถวเช็คอินสายการบินประมาณสองชั่วโมง และรอขึ้นเครื่องในอีก 1 ชม.ต่อไป  เราถึงสิงคโปรประมาณ 9.30 น.เวลาท้องถิ่นสิงคโปร์ ซึ่งเป็นเวลาที่เร็วกว่าเมืองไทย 1 ชั่วโมง  รถจากโรงแรมมารอรับพวกเรา  ซึ่งคิดว่าจะมีนักเดินทางหลายคนแต่ปรากฏว่ามีแค่เราสามคนเท่านั้นที่นั่งรถบัสคันโตเข้าโรงแรม grand mercue roxy

IMG_1941.JPG

ลูกหลับเร็วมากระหว่างเดินทางไปโรงแรม เราก็เลยรีบเช็คอินที่โรงแรมแล้วพาลูกนอนเตียงให้สบายๆ  กลางวันเดินออกมาฝั่งตรงข้ามโรงแรมเพื่อซื้ออาหารกิน  อาหารในตลาดที่หน้าตาคล้ายๆตลาดสามย่านในความทรงจำ  ราคาอาหารจานเดียวมีตั้งแต่ 2 เหรียญจนถึง 10 เหรียญสิงคโปร์  เทียบเป็นเงินไทยก็คูณ 26 เข้าไป  โดยมื้อแรกของผมในสิงคโปร์ก็คือข้าวมันไก่ราคา 4.8 เหรียญสิงคโปร์ รสชาดก็คล้ายๆของไทย ถือว่าอาหารไม่แพงเท่าไหร่ แต่ที่แพงบาดใจเลยก็คือน้ำดื่ม  น้ำเปล่าขวด 600ซีซี ที่บ้านเราขาย 10 บาท ที่สิงคโปร์ขาย 3 เหรียญ  กินแทบไม่ลงเลย

IMG_1952.JPG

IMG_1956.JPG

IMG_1959.JPG

บ่ายแก่ๆใกล้ๆเย็นเราสามคนเริ่มเที่ยวสวนดอกไม้ ชื่อ garden by the bay ซึ่งมีความอลังการและน่าตื่นตาตื่นใจมาก ต้นไม้หายาก ดอกไม้หายากดูได้จากที่นี่  อาคารกระจกทรงโค้งๆสวยงามติดแอร์ ปลูกต้นไม้แปลกๆไว้เต็มไปหมด  นอกจากความแปลกแล้วยังได้ดูการจัดสวนที่น่ามองยิ่งกว่าสวยใดๆที่เคยเห็นในประเทศไทย  การจัดสวนแนวตั้งที่เมืองไทยเริ่มฮิตอาจมีที่มาจากสวนของสิงคโปร์แห่งนี้

IMG_1971.JPG

ต้นไม้ยักษ์ที่สร้างขึ้นเป็นเสาสูงๆและมีส่วนบานอยู่ข้างบนเป็นสิ่งที่เรียกความสนใจให้ถ่ายรูป  สวนแห่งนี้เป็นจุดแวะอันดับต้นๆของสิงคโปร์  การถ่ายรูปดอกไม้ต้นไม้ในสวนแห่งนี้ถ่ายได้เรื่อยๆหลายร้อยรูป  ความสดชื่นของต้นไม้ที่ได้รับการดูแลอย่างดีและอยู่ในบรรยากาศที่ควบคุมไว้ด้วยเทคโนโลยีการออกแบบอาคารกระจกรวมไปถึงระบบปรับอากาศที่เย็นแสนสบายมันช่างเป็นโชคดีของต้นไม้หายากเหล่านี้จริงๆ  ไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวที่ต้องแวะสวนแห่งนี้  แต่นักเรียนนักศีกษาต่างก็ต้องแวะมาหาข้อมูลจากสวนแห่งนี้เช่นกัน  การลงทุนพัฒนาระบบการปลูกต้นไม้แบบไม่กลัวจนมันช่างให้ผลที่คุ้มค่าเหลือเกิน

IMG_1982.JPG

IMG_1999.JPG

IMG_2001.JPG

IMG_2006.JPG

ดอกไม้รูปทรงแปลกตา สีสันประหลาดแบบที่ไม่คิดว่าจะมีจริง ทุกสิ่งทุกอย่างดูเป็นของที่ไม่เคยพบเจอในประเทศไทย ความหลากหลายของต้นไม้ดอกไม้ในโลกนี้มีมหาศาล สวนดอกไม้แห่งนี้อาจเป็นห้องสมุดดอกไม้ของโลก มนุษย์ที่สนใจดอกไม้มาเดินที่นี่ที่เดียวอาจจะได้เห็นของดอกไม้ใบไม้เกือบทั่วโลก นอกจากดอกไม้แล้ว ยังมีส่วนที่ทำเป็นน้ำตก แม้ว่าจะไม่ได้เป็นรูปทรงธรรมชาติแบบที่คนไทยอย่างเราๆเคยเห็น แต่มันก็เป็นน้ำตกที่กลมกลืนกับอาคารแก้ว และความสมบูรณ์ของระบบนิเวศน์แห่งนี้มันเกิดขึ้นจริง มันสมจริงจนตะไคร่น้ำยังขึ้นมาเป็นพยาน

IMG_2043.JPG

IMG_2058.JPG

IMG_2066.JPG

IMG_2070.JPG

IMG_2123.JPG

IMG_2130.JPG

IMG_2159.JPG

IMG_2170.JPG

เราใช้เวลาในสวนดอกไม้แห่งนี้ประมาณสามชั่วโมงแบบเร่งเดิน เพราะหากเราปล่อยอารมณ์ไปตามความสวยงามของดอกไม้ต้นไม้เหล่านี้ เวลาทั้งวันก็อาจไม่พอ ความคิดสร้างสรรของสวนดอกไม้แบบนี้คงยากจะเกิดขึ้นในเมืองไทย เพราะคนไทยไม่ได้มีนิสัยรักสิ่งแวดล้อมและต้นไม้อย่างแท้จริง สิงคโปร์เป็นเพียงเกาะเล็กๆที่ไม่ได้มีทรัพยากรอะไรมากมาย เทียบกับเมืองไทยแล้ว ไทยมีธรรมชาติที่เพียบพร้อม แต่คนไทยกลับเลือกทำลายเบียดเบียนจนทุกวันนี้เราได้ยินแต่ข่าวน้ำแล้ง คนแย่งน้ำ เกษตรกรล่มจม เพาะปลูกไม่ได้ผล ขณะที่สิงคโปร์เล็กกระจิ๋วหลิว แต่มีต้นไม้ใหญ่ในทุกถนนปกคลุมทางเดินฟุตบาทให้เดินได้อย่างร่มรื่น มีสวนดอกไม้ที่เป็นงานทดลองชั้นยอด และอีกไม่นาน เราคงจะเห็นฟาร์มแนวตั้ง ที่ติดตามสวนแนวตั้งมาติดๆ ทรัพยากรจำกัดไม่ได้ทำให้ประเทศนี้ตกต่ำ แต่ทรัพยากรคนที่ดีเลิศต่างหากที่เสกทุกอย่างที่ต้องการได้ ถือเป็นโชคดีของสิงคโปร์อย่างมากที่ไม่มีคนหัวใจไทยในระบบราชการของเขา

IMG_2183.JPG

IMG_2175.JPG

ขณะที่เมืองไทยขอร้องกันทั้งประเทศว่าอย่าเล่นสงกรานต์แบบสิ้นเปลือง เพราะชาวนาชาวสวนกำลังจะขาดน้ำตายแล้ว แต่สิงคโปร์ที่ล้อมรอบด้วยทะเล ไม่มีแหล่งน้ำจืดใหญ่เท่าเมืองไทย ยังสามารถปล่อยน้ำให้เด็กเล่นอย่างสนุกสนาน ขอบฟ้าเป็นเด็กตลก อยากเล่นน้ำแต่ไม่อยากเปียก พ่อแม่เลยต้องใช้เสื้อกันฝนใส่ให้ ขอบฟ้าก็เลยได้เล่นน้ำแบบไม่เปียกในความคิดและความเชื่อแบบเด็กๆ แต่สภาพจริงเปียกถึงข้างในอยู่ดีแหละลูกเอ๋ย

IMG_2192.JPG

เราจบวันนี้ด้วยอาหารเย็นแบบร้านอาหารจานเดียว ผมสั่งของที่หน้าตาเหมือนต้มยำกุ้งที่ชื่อรักสะ laksa แต่พอกินแล้วก็อยากจะตั้งชื่อให้ใหม่ว่า ขนมจีนน้ำยา รสชาดต้มยำเป็นสิ่งที่คนต่างชาติทำยังไงก็ไม่เหมือนคนไทยทำ เปรี้ยว เค็ม เผ็ดแบบไทยนี่เป็นสิ่งที่สิงคโปร์ยังทำไม่ได้ แต่อาจจะเป็นเพราะเขาไม่ได้อยากทำก็ได้ แค่หน้าตามันเหมือนกันและคนไทยอย่างผมก็คิดว่ามันจะเป็นต้มยำกุ้งแน่ๆ

IMG_2195.JPG

จบวันที่หนึ่งแบบเหน็ดเหนื่อย วันที่สองจะเป็นวันสวนสัตว์ โปรดติดตาม

เที่ยวสิงคโปร์ ตอนที่ 2 ไปสวนสัตว์