เรื่องน่าคิดของการซื้อไฟล์เพลง
โลกเรามีแผ่นเสียงมานานเกือบร้อยปี มีเทปคลาสเซ็ท มีแผ่นซีดี ตามมาด้วย แผ่นดีวีดี แผ่นบลูเรย์ แผ่น SACD และเมมโมรี่การ์ด จนมาถึงหน่วยความจำแบบโซลิทสเตทในเครื่องเล่นที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลเพลงเอาไว้ฟัง เราเปลี่ยนรูปแบบของสื่อบันทึกจากสื่ออนาลอกมาเป็นรูปแบบของสื่อดิจิทัล ต่อมาไฟล์ดิจิทัลไม่อยู่บนสื่อแต่อยู่บนอินเทอเน็ตรอให้ดาวโหลด และล่าสุดเราไม่โหลดเป็นไฟล์เก็บไว้ในเครื่องอีกต่อไป แต่จ่ายเป็นค่าฟังแบบสตรีม หรือส่งสัญญาณมาตามอินเทอเน็ต ไฟล์เพลงอยู่บนระบบ cloud มีเป็นล้านเพลงให้ฟัง
เมื่อก่อนเราซื้อแผ่นซีดีราคาประมาณ 300-500 บาท สำหรับอัลบั้มเพลงป๊อปและเพลงสากลทั่วไป ส่วนแผ่นออดิโอไฟล์ที่ผลิตน้อยหรือทำแบบปราณีตกว่าก็จะมีราคาสูงขึ้น พอเครื่องคอมพิวเตอร์เริ่มมีราคาถูก พร้อมกับเทคโนโลยีการบันทึกแผ่นซีดีหรือ cd-recorder มีราคาเหลือแค่หลักพันบาท เราก็พบกับการขายแผ่นเพลง mp3 ที่มีทั้งปั๊มจากโรงงานแผ่นซีดี และ เกิดจากการเขียนแผ่น cd-r การละเมิดลิขสิทธิ์ด้วยการขายและแจกไฟล์ mp3 บุกวงการหนังและเพลงจนทำให้การขายแผ่นซีดีเพลงแท้ๆแทบจะหายไปจากตลาด พอแผ่นขายไม่ได้ค่ายเพลงก็หันไปขายไฟล์แทน มีทั้งไฟล์ mp3 wav และไฟล์ความละเอียดสูง หรือ hi-res ซึ่งก็ได้รับความนิยมกับนักเล่นบางกลุ่ม และดูเหมือนจะเป็นทางออกที่นักเล่นระดับจริงจังเรื่องคุณภาพเสียงจะเลือกใช้วิธีซื้อไฟล์ hi-res ก็เท่ากับว่าเรายังคงก็จ่ายค่าฟังเพลงเท่าเดิม แต่ไม่ได้แผ่นเก็บไว้ ได้เป็นไฟล์ดิจิทัลเลย
ระบบสตรีมก็กำลังคลืบคลานเข้ามา ทั้งหนังและเพลงก็ใช้ระบบสตรีม ให้จ่ายค่าสมาชิกรายเดือนแล้วฟังเท่าไหร่ก็ได้ ดูเท่าไหร่ก็ได้ ซึ่งหลายคนก็พอใจที่จะจ่ายเพียงไม่กี่ร้อยบาทต่อเดือน หากเทียบกับเมื่อยุคซีดีรุ่งเรือง นักฟังก็จ่ายเทียบเท่ากับการซื้อแผ่นเพียง 1 แผ่นเท่านั้น แต่ได้ฟังทั้งค่ายเลย มันก็ดูดีมากๆ แต่เราเคยคิดถึงอีกแง่มุมหนึ่งไหมว่าเรายังคงจ่ายเงินอยู่ แต่สิ่งที่หายไปก็คือ….. สิทธิ์การขายต่อ
เมื่อก่อนเราซื้อแผ่นซีดี แผ่นหนังดีวีดี หรือบลูเรย์ เราใช้เบื่อแล้ว เราก็เอาไปขายมือสองได้ ซื้อมา 100 บาท ขายต่ออาจจะได้เงินคืนสัก 50 บาท ก็คือเรามีโอกาสขายออกไปได้ เงินเราไม่ได้หายไปทั้งก้อน แต่มันจะเปลี่ยนกลับเป็นเงินได้บางส่วนตามกลไกตลาด ตามความนิยม บางแผ่นเคยซื้อ 150 บาท แล้วมือสองกลายเป็น 500 ก็มี นี่คือจุดดีของการซื้อแผ่นเก็บไว้ ในขณะเดียวกัน หากเราเปลี่ยนวิธีฟังเพลงมาเป็นการฟังแบบออนไลน์ เราจ่ายค่าสมาชิกไปหลายร้อยบาทต่อเดือน แล้วเราได้ฟังก็จริง แต่เราจะเอาไปขายได้ไหม คำตอบคือ ไม่ได้
ไฟล์เพลงที่เราสั่งซื้อมาในราคา 1 เหรียญ ทั้งอัลบั้มราคารวมกัน 10-20 เหรียญ เมื่อฟังจนเบื่อแล้ว เราเอาไปประกาศขายต่อก็คงจะเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ ต่อให้ยังไม่มีใครมาจับ แต่ใครจะมาจ่ายเงินให้เราเป็นค่าไฟล์เพลง นักเล่นคนอื่นจะจ่ายเงินให้เรา 50% ไหมถ้าเราแบ่งให้เขาโหลดต่อจากเรา มันคงไม่มีใครมาจ่ายเงินให้เราแน่นอน แต่ถ้าเรามีแผ่นแท้ นอกจากการสัมผัส การอ่านปก การดูข้อมูลที่ละเอียดแล้ว มูลค่าตอนขายต่อก็ยังมีราคาอยู่ ไม่ได้เป็นศูนย์ในแบบไฟล์ดิจิทัล แถมคนซื้อต่อก็มั่นใจว่าได้ของคุณภาพเต็มร้อย เพราะตอนเป็นไฟล์ เราก็ไม่แน่ใจว่าไฟล์เพลงที่นักเล่นคนอื่นเอามาขายต่อให้เราจะเป็นไฟล์ที่ละเอียดจริงๆหรือเปล่า
หลายครั้งที่เราเล่นระบบ bit-torrent เราก็มักจะหาโหลดของฟรีมาฟัง แต่ตอนที่ได้มาเราก็ไม่เคยแน่ใจเลยว่ามันเป็นไฟล์ความละเอียดสูงจริงๆ เพราะมันอาจจะเป็นเพียงไฟล์ความละเอียดต่ำ บิทเรทต่ำ แต่มีการอัพแซมปลิ้งให้บิทเรทสูง ซึ่งในความเป็นจริงก็คือ เราไม่สามารถมั่นใจเลยว่าไฟล์ที่โหลดจากใครก็ไม่รู้จะเป็นไฟล์คุณภาพสูง นั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้การขายไฟล์เพลงโดยนักฟังขายให้นักฟังไม่มีวันเกิดขึ้น
การฟังจากระบบสตรีมเป็นทางออกสำหรับนักฟังที่อยากประหยัดเงินระยะยาวและไม่คิดจะสะสม เพราะค่าใช้จ่ายมันถูกกว่าการซื้อแผ่นทุกๆเดือนอยู่แล้ว แต่สำหรับนักเล่นที่ฟังแผ่นฟังเพลงระดับออดิโอไฟล์ นักเล่นที่มักจะเล่นเพลงซ้ำๆ หรือฟังเพลงจากศิลปินที่เราโปรดปราน อัลบั้มคลาสิคขึ้นหิ้งต่างๆ เราสามารถซื้อแผ่นเก็บไว้ได้เลย เพราะมูลค่าไม่หาย ราคาขายต่อก็มีค่าตัว ยิ่งหากเราพอใจกับมาตรฐานของแผ่นซีดี 16bit 44.1kHz อยุ่แล้ว เราก็สามารถซื้อแผ่นเหล่านี้ได้เลย ไม่ต้องไปซื้อเป็นไฟล์ แม้ว่าเราจะไม่มีเครื่องเล่นแผ่นซีดีคุณภาพสูงให้ซื้อใช้อีกแล้ว เราก็สามารถ rip แผ่นเหล่านี้ด้วยคอมพิวเตอร์ ซึ่งการทำเองจะทำให้เราได้ไฟล์คุณภาพสูงที่แท้จริง สามารถก็อปปี้ไฟล์ไปฟังในระบบเครื่องเสียงยุคใหม่ได้เหมือนเราไปซื้อไฟล์จากอินเทอเน็ตโดยเรามีแผ่นแท้อยู่กับตัวด้วย วันที่เราอยากขายต่อ เราขายแผ่นแท้ออกไป ราคาค่าตัวก็มีอยู่ มันขายต่อได้นั่นเอง
สำหรับงานเพลงที่ทำขึ้นในยุคปัจจุบัน มาสเตอร์ของศิลปินเป็นไฟล์ความละเอียดสูงแต่กำเนิด การฟังไฟล์หรือการซื้อไฟล์ก็เป็นทางเลือกที่ง่าย แต่ราคาก็ไม่ใช่ถูกๆ ค่ายและศิลปินน่าจะยังคงทำแผ่นซีดีหรือแผ่นเสียงออกมาอยู่ หากเราเพิ่มเงินอีกนิดแล้วไปซื้อแผ่นเสียงของศิลปิน เราก็จะได้แผ่นแท้มาเก็บไว้ ได้แผ่นมาเปิด และได้แผ่นมา rip ด้วย แม้ว่าการ rip แผ่นเสียงจะเป็นเรื่องยาก ต้องใช้ความรู้และงบประมาณกับเครื่องมือเยอะมาก แต่ถ้าเราเป็นนักเล่นเครื่องเสียง ระดับทุ่มเท ระดับบ้าเข้าเส้น ระดับที่จ่ายเงินค่าอุปกรณ์ทั้งชุดหลักแสนหรือหลักล้านได้ เราก็ลงทุนกับระบบแผ่นเสียงคุณภาพดีได้ เพราะในปัจจุบันระบบของแผ่นเสียงเป็นเพียงระบบเดียวที่ทำสำเนาเพลงระดับ hi-res ได้ โดยไม่ต้อง down sampling ข้อมูลเสียงบนแผ่นเสียงจะคงคุณภาพของต้นฉบับระดับ hi-res เอาไว้ได้มากกว่าแผ่นที่ต้อง down sampling อย่าง CD และ SACD แถมแผ่นเสียงยังใช้ฟังกับเครื่องเสียงยุคโบราณได้อีกด้วย ไม่ต้องคิดเรื่องสเป็คเครื่องคอมพิวเตอร์และการปรับแต่งคอมพิวเตอร์ ไม่ต้องคิดเรื่องการเลือกใช้ Dac ให้ปวดหัว ซึ่งว่าไปแล้วการเลือกเครื่องคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องเพื่อฟังเพลง Hi-res สามารถเขียนเป็นบทความตอนยาวๆได้อีกหลายตอนเสียด้วย
ลองดูตัวอย่าง อัลบั้ม Kind of Blue ของ Miles David ผู้ซึ่งเป็นตำนานเพลง Jazz ระดับหัวแถว ไฟล์ที่มีขายในเว็บระบบ Hires ขายอยู่ที่ 17.99 ดอลล่าร์ ส่วนแผ่นเสียงของอัลบั้มเดียวกัน ขายอยู่ที่ 14ดอลล่าร์ แบบนี้คิดว่าถ้าผมจะซื้อ ผมก็คงซื้อแผ่นเสียงครับ
อีกตัวอย่างหนึ่ง Suasan Wong นักร้องเสียงหวาน ทำเพลง cover เอาไว้เยอะมาก อัลบั้ม wonman in love ที่ทำในปี คศ 2014 มาสเตอร์เป็น 24/96 ไฟล์นี้วางขายในเว็บขายไฟล์ 17.98 ดอลล่าร์ ส่วนแผ่นซีดีและแผ่นเสียงก็มีวางขายเช่นกัน ราคาแผ่นเสียง 39.99 ดอลล่าร์ ส่วนราคาแผ่นซีดีเท่าที่หาเร็วๆ ก็เจอเป็นราคาไทย 580.13 บาท
ผมไม่ได้แนะนำให้คุณเลิกซื้อไฟล์ หรือ เลิกฟังสตรีม แต่เสนอให้ลองพิจารณาซื้อแผ่นที่เป็นอัลบั้มที่ชอบ ทั้งอัลบั้มที่มีแผ่น CD หรือมีเป็นแผ่นเสียง มีแผ่นจำนวนมากที่ราคามือสองแพงกว่าราคามือหนึ่ง และทุกแผ่นมีราคาขายต่อที่เปลี่ยนเป็นทุนไปซื้อแผ่นใหม่ได้ อย่ากลัวที่จะซื้อแผ่นมาฟังกับเครื่องของเรา ยิ่งใครเล่นแผ่นเสียง มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงอยู่แล้ว ยิ่งมีโอกาสได้ฟังเพลงความละเอียดสูงยุคใหม่ได้ง่ายกว่านักเล่นกลุ่มไฮเทคที่ฟังไฟล์เสียด้วยซ้ำ







