รีวิวเป็นเสียง leica minilux

กล้อง leica minilux ผมใช้มานานหลายปีแล้ว ลองเอามาเล่าเป็นเสียงบ้าง แง่มุมที่พูดถึงจะเป็นเนื้อหาที่เพิ่มเติมไปจากรีวิวปกติที่เคยเขียนไว้ เช่น ภาพขาวดำจาก minilux การสแกนภาพจากฟิล์มสีของร้านล้างฟิล์ม ความทนทาน อาการเสียประจำรุ่น เชิญฟังได้ครับ หลังจากฟังแล้วค่อยกลับมาอ่านต่อด้านล่างนี้

ภาพที่ชอบที่สุดจากกล้อง leica minilux คือภาพวันแรกเกิดของลูกผมเอง ก่อนจะได้ถ่ายภาพนี้ผมก็เตรียมตัวมาล่วงหน้าหลายเดือน การเตรียมตัวก็คือ เอาฟิล์มขาวดำมาทดลองถ่ายและล้างฟิล์มออกมาดู ยังมีขั้นตอนการโหลดฟิล์มเข้าแท๊งค์ล้างฟิล์มด้วย ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เสี่ยงต่อความเสียหายที่สุด เพราะหากโหลดฟิล์มติดขัด ฟิล์มไม่เรียงตัวในตะแกรงอย่างเป็นระเบียบ ฟิล์มก็จะทำปฏิกิริยากับสารเคมีไม่ทั่วถึง ภาพก็จะเสียนั่นเอง การซ้อมยังรวมถึงการทดลองผสมน้ำยา ทดลองล้างที่อุณหภูมิตามสเป็ค เพื่อดูผลของฟิล์มว่าผ่านการล้างแล้วเป็นอย่างไร และอีกส่วนที่ต้องทำก็คือเตรียมกล้องให้อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานเพราะกล้องเก่าแล้ว เช็คสภาพก่อนจะถ่ายจริงก็เป็นเรื่องที่ควรทำ ฟิล์มขาวดำผมเลือกใช้ยี่ห้อตลาดราคาไม่แพง ด้วยเหตุผลว่า มันยังมีขายในช่วงเวลานั้นและเคยใช้ฟิล์มตัวนี้กับน้ำยาล้างฟิล์มตัวที่คุ้นเคย และภาพที่ออกมาก็สร้างความรู้สึกตื่นเต้นได้ดี และในตอนที่ถ่ายภาพในเหตุการณ์จริง ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่ซ้อมไว้

IMG_9465
ภาพอัดลงกระดาษขาวดำ

หลังจากไปยืนเป็นพยานตอนลูกเกิด ไปรอถ่ายภาพพ่อแม่ลูกในห้องคลอดเสร็จแล้ว ก็ออกมาที่ห้องพัก คุณหมอจะพาลูกมาให้เริ่มดูดนมแม่ และเปิดโอกาสให้พ่อแม่ได้เห็นหน้าลูกชัดๆ และสามารถถ่ายรูปได้ตามใจด้วย ผมเข็นเตียงเด็กไปอยู่ใกล้ๆหน้าต่างเพื่อให้แสงสว่างมากเพียงพอที่จะถ่ายภาพได้ ยกกล้อง minilux ตั้งค่าที่ตัวกล้องเป็นการถ่ายแบบเลือกรูรับแสงเอง ผมตั้งรูรับแสงของกล้องไว้ที่ 2.4 แล้วก็โฟกัสสิ่งที่ต้องการแล้วถ่ายภาพเลย หลังจากถ่ายไป ประมาณ 2 สัปดาห์ ผมว่างพอจะล้างฟิล์ม ก็ทำการล้างในแบบที่เคยซ้อมไว้ ได้ฟิล์มที่มีภาพบันทึกสมบูรณ์แบบ คุณภาพการล้างเป็นไปตามมาตรฐาน เราสามารถใช้ฟิล์มนี้ไปสแกนด้วยเครื่องสแกนฟิล์มก็ทำได้สวยงาม ทดลองสแกนด้วยการถ่ายภาพผ่านกล้องดิจิทัลก็ทำได้ และ การอัดภาพลงกระดาษขาวดำโดยตรงก็ได้ดังภาพที่เห็น

ไฟล์สแกนดูบนจอ

ภาพขาวดำบนกระดาษขาวดำแท้ๆ เป็นภาพที่สวยงามมาก ระบบการแสดงภาพบนจอทุกชนิดไม่สามารถให้คุณภาพได้เหมือนกระดาษ ไม่ว่าเราจะพยายามสแกนฟิล์มให้ได้ไฟล์ที่มีคุณภาพอย่างไร ภาพที่ได้ก็ไม่เหมือนภาพบนกระดาษอัดภาพแท้ๆที่ผ่านการฉายแสงด้วยวิธีดั้งเดิม ผมเอาไฟล์ดิจิทัลที่สแกนฟิล์มไปทดลองพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ต่างๆก็ไม่ได้คุณภาพแบบที่กระดาษขาวดำให้ได้ ผมลองทั้งเครื่องดิจิทัลปริ๊นท์ระดับโปรดักชั่นของโรงพิมพ์ราคาเครื่องเป็นล้าน หรือ เครื่องพิมพ์ภาพถ่ายของ canon ที่เป็นระบบการพิมพ์แบบ dye-sublimation ซึ่งเป็นการผลิตภาพที่ให้คุณภาพสีจากไฟล์ดิจิทัลที่สูงที่สุดของเทคโนโลยีทางการพิมพ์แล้ว ความรู้สึกตรงนี้ต้องเห็นด้วยตาตัวเองถึงจะเข้าใจ มันเหมือนการมองโลกผ่านกระจก มันมีอารมณ์ร่วมมากกว่ามองผ่านจอทีวี แล้วชีวิตเราดีขึ้นไหมจากการถ่ายภาพ ล้างฟิล์ม อัดภาพเอง ก็ไม่ได้ดีขึ้นหรอก เราแค่หาความสุขจากการถ่ายภาพให้ครบวงจรเท่านั้นเอง

ภาพจากฟิล์มที่ขายได้

ภาพถ่ายตอนแรกเกิดที่ผมถ่ายลูกด้วยกล้องฟิล์ม ใช้กล้อง Leica minilux ฟิล์มขาวดำยี่ห้อ lucky ที่เคยมีเก็บไว้หลายปีแล้ว  หลังจากที่ถ่ายหมดม้วน  กลับมาอยู่บ้านแล้ว ก็ล้างฟิล์มม้วนนี้ แล้วก็ลองสแกนด้วยกล้องดิจิทัลจนได้เป็นไฟล์ไว้ดู  ผ่านไปหลายปี เลยเอาไปลองขายดู  ปรากฏว่าวันนี้มียอดโหลด ขายได้ด้วย  แม้จะได้เงินเพียงเล็กน้อย  แต่มันเป็นการบอกว่าภาพของเราเป็นที่ต้องการของบางคน  และภาพนี้จะอยู่ในระบบคอมฯตลอดไปจนกว่าโลกเราจะเลิกใช้อินเทอเน็ต

IMG_0284

IMG_0284bw

ภาพนี้มีที่มาจากการสแกนด้วยเลนส์มาโคร ดูรายละเอียดวิธีทำได้จากโพสท์นี้
การสแกนฟิล์มด้วยเลนส์มาโครและกล่องไฟ  

 

 

ilford camera กล้องขาวดำพร้อมใช้

กล้องพร้อมใช้ที่พบมักจะเป็นกล้องที่ใช้ฟิล์มสี เหมาะกับนักท่องเที่ยวที่ลืมกล้องไว้ที่บ้าน ซื้อในห้างแล้วใช้เลย  ในยุคดิจิทัลกลืนกินทุกอย่าง และมือถือถ่ายภาพสวยมีกันเกลื่อนไปหมด กล้องพร้อมใช้ก็ตายลงไปพร้อมกับฟิล์มถ่ายภาพ  ยังคงเหลือเล็ดรอดอยู่เล็กน้อยในมุมเล็กๆของตลาดซื้อขาย และในอินเทอเน็ต

IMG_0465.JPG

กล้องพร้อมใช้ที่ผมเห็นวางขายในร้านขายของชำที่ญี่ปุ่น ผมเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อปี คศ 2015 และไม่เคยเห็นที่ไหนอีกเลย  ส่วนกล้องที่อยู่ในบทความนี้ คือกล้องพร้อมใช้ที่ใช้ฟิล์มขาวดำแท้ๆ ผลิตโดยบริษัท ilford ชื่อว่ากล้อง ilford camera

IMG_0464.JPG

 

แพ็คเกจอธิบายไว้ว่า เป็นกล้องที่ใช้ฟิล์มขาวดำรุ่น HP5 ความไว 400  กล้องมีระยะชัด 1 เมตรเป็นต้นไป มีแฟลชในตัว  ถ้าใช้แฟลชไม่ควรห่างแบบเกิน 3 เมตร  มีฟิล์มทั้งหมด 27 ภาพ

 

DSC_0978.JPG

 

ขนาดกล้องไม่เล็กไม่ใหญ่ ผู้ใหญ่ใช้ได้ เด็กก็ใช้ได้  ผมลองให้ลูกถือเล่นก็อยู่ในมือได้มั่นคงดี    กล้องพลาสติก เมื่อถ่ายหมดม้วนก็ต้องแงะฟิล์มออกมาล้าง  การแงะก็จะทำให้กล้องเสียใช้ซ้ำไม่ได้  ฟิล์มที่ได้ก็นำไปล้างด้วยขั้นตอนขาวดำแท้ๆ  ซึ่งในตลาดเมืองไทย ไม่มีร้านรับล้างฟิล์มขาวดำแล้ว จะมีแค่รับกลุ่มนักเล่นที่รับจ้างล้างฟิล์มที่หาได้ตามอินเทอเน็ต  แต่ผมล้างเองได้ก็ง่ายหน่อย

 

ขั้นตอนการล้างก็ใช้น้ำยา id-11 ที่เพื่อนแบ่งไว้ให้ใช้  คุณภาพของฟิล์มที่ออกมาก็อยู่ในระดับพอเห็นภาพ แต่ดูแล้วไม่ได้เนื้อฟิล์มที่สวยใสแบบฟิล์มกลักอายุน้อยๆสดใหม่  คงเป็นเพราะอายุฟิล์มในกล้องตัวนี้มันเก่า อาจหมดอายุไปหลายปีแล้ว  ฟิล์มขาวดำที่หมดอายุยังคงเก็บภาพไว้รอล้างได้หลายปี  ถ่ายแล้วเก็บไว้ล้างตอนลูกโต เราก็จะได้ภาพในอดีตกลับมา สร้างความตื่นเต้นได้อยู่

 

คุณภาพของภาพก็อยู่ในระดับของกล้องของเล่นหรือ toy camera แนวฮิสเตอร์ แนวโลโม่ แนวเด็กแนว แนวบ้องแบ๊วไร้การเรียนรู้ ไม่ว่าจะแนวไหนก็คือถ่ายได้ ใช้งานได้ ได้ภาพ และมีเรื่องไปโม้ไปเล่าต่อในแก๊งค์  ในแง่ของคุณภาพก็สู้กล้องคอมแพ็คทั่วไปหรือกล้อง SLR เปลี่ยนเลนส์อื่นๆไม่ได้   ในแง่ของการพกพาก็ไม่ได้เล็กจนใส่กระเป๋ากางเกงได้  นอกจากความอยากลองแล้ว ผมยังหาเหตุผลที่ดีในการใช้งานมันไม่ได้เลย

IMG_20180529_092930edit

 

ถ้าผมต้องไปในที่ธุรกันดาร พื้นที่ห่างไกล ไม่มีไฟฟ้าใช้ หรือไปดวงจันทร์ ผมอาจจะอยากพกกล้องตัวนี้ไปด้วย  แต่ถ้าในพื้นที่ที่เราใช้ชีวิตประจำวันได้ มีมือถือ มีอินเทอเน็ตให้ใช้ ผมจะใช้กล้องตัวนี้ด้วยเหตุผลอะไรก็ยังนึกไม่ออก  การลองเล่นก็ได้คำตอบแล้วว่า กล้องใช้งานได้  ผมซื้อ  ilford camera ตัวนี้จาก amazon ซื้อไว้ 5 ตัว ก็ไม่เข้าใจว่าจะซื้อเยอะๆไว้ทำไม  อาจจะกลัวว่าถ้าวันนึงเกิดอยากเล่นซ้ำอีกครั้งแล้วจะไม่มีให้เล่นก็เป็นได้

 

เรามาเตรียมตัวเพื่อย้อนเวลากันดีกว่า

IMG_0909.JPG

 

การย้อนเวลากลับไปดูอดีตเป็นเรื่องน่าตื่นเต้น  เราสามารถที่จะรับรู้ความตื่นเต้นได้จากการดูหนัง ดูการ์ตูน  ในทีวี  การ์ตูนเรื่องโดเรม่อนมีตัวโดเรม่อนเป็นตัวละครที่ทำให้เรารู้ว่าการเดินทางข้ามเวลาคืออะไร การเดินทางย้อนอดีตและการเดินทางข้ามเวลาไปสู่อนาคตเป็นไปได้ในทางจินตนาการ  และเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์หลายคนก็พยายามหาวิธีข้ามเวลา   มีสมมุติฐานมากมายเกี่ยวกับการเดินทางข้ามเวลา ถ้าเราติดตามบทความเกี่ยวกับฟิสิกส์และจักรวาลเราจะเจอเรื่องเวลาเต็มไปหมด

 

แม้ว่าวันนี้เราจะไม่รู้ว่าเราจะต้องทำอย่างไรกับการข้ามเวลา  แต่เราสามารถสัมผัสความรู้สึกของการข้ามเวลาได้  มันน่าตื่นเต้น มันน่าสนใจ และถ้ารู้ว่าจะรู้สึกดีขนาดนี้จะเตรียมการข้ามเวลาเอาไว้เพื่อจะได้รู้สึกดีแบบนี้บ่อยๆ

leona-prewedding-dpp1-IMG_5879

ผมเดินทางข้ามเวลาหรือย้อนเวลาได้น่ะเหรอ  ยังไม่ได้หรอกครับ แต่ได้รับความรู้สึกนั้นแล้วจากการนั่งมองรูปถ่ายเก่าๆที่ไม่เคยเห็น  การถ่ายภาพเป็นการหยุดเวลาในภาพไว้  เหตุการณ์นั้นถูกทำให้คงที่ สิ่งที่อยู่ในภาพนั้นจะไม่เปลี่ยนแปลง  แต่คนเรา และผู้คนทั่วโลกต่างก็ถ่ายภาพกันมาตลอดชีวิต  แล้วจะมาบอกว่าย้อนเวลากันทำไม  นั่นสิ อย่าเพิ่งสับสน  มันเป็นอย่างนี้

 

หากเราถ่ายภาพ และ ดูภาพเหล่านั้น เราก็จะมีความทรงจำเหล่านั้น และมันก็จะไม่เหมือนการย้อนเวลา มันเป็นความทรงจำที่เข้าสู่ตัวเราในเวลานั้น   แต่หากเราได้ดูภาพที่เราไม่เคยเห็น เป็นภาพที่เราอยากเห็น แต่เพิ่งจะเคยเห็น แบบนี้มันคือได้อรรถรสของการย้อนเวลา  ผมกำลังรู้สึกดีกับการดูภาพถ่ายลูกตัวเองในช่วงชีวิตหนึ่งๆขณะที่เขายังเป็นเด็กน้อย สามารถหกล้มได้ตลอดเวลา  ซึ่งในเวลาปัจจุบันลูกผมกำลังจะอายุ 6 ขวบ แต่การได้ดูภาพตอนเขาอายุ ขวบกว่าๆ มันฟิน  มันปลาบปลื้ม เราไม่เคยเห็น และเราเพิ่งได้เห็น

IMG_20170605_091540_384

 

ลูกเราโตครั้งเดียว โตแล้วโตเลย เด็กตัวเล็กๆหน้าตาไร้เดียงสา เราไม่สามารถเห็นได้อีกแล้วในชีวิตปัจจุบัน เหมือนกับที่เราส่องกระจกก็พบตัวเราเองในปัจจุบัน เราไม่สามารถมองเห็นตัวเราตอน 1 ขวบได้อีก ถ้าเราไม่ถ่ายรูปไว้  แต่การได้เห็นภาพในอดีตที่มันเป็นภาพที่เราลืมไปแล้ว  เราอาจไม่เคยรู้เลยว่ามีภาพนี้อยู่ มันสร้างความตื่นเต้นไปกับภาพอย่างยิ่ง  สิ่งนี้แหละที่ทำให้รู้สึกดี  และถ้ารู้ว่ามันจะรู้สึกดีขนาดนี้ จะถ่ายภาพแบบนี้เก็บไว้ในทุกๆช่วงเวลา

IMG_20170408_100420

 

ถ่ายภาพแบบไม่เห็นภาพ แล้วเราจะทำได้อย่างไร  ก็ถ่ายด้วยฟิล์มไง  หาเราถ่ายด้วยกล้องดิจิทัล หรือถ่ายด้วยโทรศัพท์เราก็เห็นภาพไปแล้ว  ภาพเหล่านี้ก็จะหมดความน่าสนใจลงไป  แรงดึงดูดมันไม่มี  แต่กับภาพจากฟิล์ม  ภาพที่เราเพิ่งล้างฟิล์มออกมาแล้วดูเหตุการณ์ในภาพ ก็เหมือนเราได้ย้อนเวลาจริงๆ  อารมณ์ตอนเห็นภาพมันเป็นความรู้สึกยากจะบรรยาย เรื่องความรู้สึกต้องสัมผัสเองถึงจะเข้าใจ

 

ฟิล์มม้วนนี้ ผมถ่ายไว้เมื่อไหร่ผมก็ลืมไปแล้ว  แต่ดูจากเหตุการณ์ในภาพก็น่าจะช่วงที่ลูกผมอายุ ประมาณ 2 ขวบ ซึ่งมันก็เท่ากับว่าผ่านมาประมาณเกือบ 4 ปี   4ปีของเด็กไม่เหมือน 4 ปีของผู้ใหญ่  ภาพตัวผมเมื่อ 4 ปีที่แล้วดูไม่แตกต่างจากตอนนี้มาก  แต่ของเด็ก 2 ขวบ กับ เด็ก 6 ขวบ มันต่างกันลิบลับ  และความลิบลับนี่เองที่ทำให้คนดูภาพรู้สึกดี

IMG_20180422_082707

 

 

Vsco

 

ยังคงมีภาพที่น่าดูอีกหลายภาพ ผมอัดภาพออกมาเป็นกระดาษหลายใบ  การล้างฟิล์ม การอัดภาพขาวดำเป็นศาสตร์และศิลป์ที่ให้ความสุขทั้งคนถ่ายภาพ คนล้างฟิล์ม คนอัดภาพ และคนดูภาพ ใครทำเองทุกขึ้นตอนก็ฟิน 4 เท่า

 

IMG_20180513_024044

อย่างภาพลูกผมถ่ายคู่กับรถของเล่นคันนี้  อายุลูกในภาพก็น่าจะประมาณขวบเศษ เด็กวัยนี้ยังพูดไม่ชัดเลย  เหตุการณ์นี้แม้ว่าผมจะเป็นคนถ่ายภาพไว้เอง แต่เป็นการถ่ายด้วยฟิล์ม และไม่ได้ล้างทันที เพิ่งมาล้างเมื่อ 4 ปีผ่านไป  ก็เลยได้เห็นภาพอดีตที่ลืมไปแล้ว  การย้อนเวลามันให้ความรู้สึกแบบนี้นี่เอง

 

การเตรียมตัวเพื่อย้อนเวลาในแบบของผมก็คือ การถ่ายภาพด้วยฟิล์มเก็บไว้ ยังไม่ต้องล้าง เพื่อจะได้ไม่ต้องดู รอเวลาให้ผ่านไปนานๆหน่อย  ถ้าเป็นไปได้ ตอนนี้อยากจะถ่ายภาพด้วยฟิล์มเก็บไว้ปีละ 2 ม้วน เพื่อให้ในอนาคตผมสามารถได้ย้อนเวลากลับมาดูได้ทุกช่วงปี  กล้องฟิล์ม ม้วนฟิล์มยังคงมีอยู่ในโลกเรา  ถ้าจะใช้ก็มีให้ใช้  กล้องฟิล์มเป็นกล้องที่บันทึกภาพด้วยความละเอียดมหาศาล ไม่มีระบบดิจิทัลใดๆมาทดแทนได้  การใช้งานแม้จะยุ่งยากและสิ้นเปลือง แต่สิ่งที่มันให้กับเรา ในอนาคตเงินเท่าไหร่ก็ซื้อไม่ได้  นั่นคือ เวลาในอดีต  อย่าเพิ่งแย้งว่า ดิจิทัลถ่ายแบบไม่ดูก็ทดแทนได้เหมือนกัน  หลายคนอาจคิดเช่นนั้น แต่สิ่งหนึ่งที่ผมเชื่อว่าดิจิทัลทดแทนไม่ได้  มันไม่เหมือนฟิล์ม  ก็เพราะหน่วยความจำมันพังได้ แต่ฟิล์มไม่พังครับ  ในความเป็นจริงฟิล์มมันอาจมีวันพังก็ได้แต่ฟิล์มที่ผมเคยสัมผัสมาตลอดชีวิต ผ่านมาเกินครึ่งชีวิตแล้ว ไม่มีม้วนไหนที่พังเลย

 

 

การสแกนภาพจากฟิล์มขาวดำอย่างง่าย

คนที่ยังคงถ่ายภาพขาวดำด้วยฟิล์ม นิยมล้างฟิล์ม และชอบงานห้องมืด บางทีการได้ถ่ายภาพด้วยฟิล์มขาวดำสักม้วนเราก็อยากจะดูบางภาพเร็วๆ  อยากจะแชร์ภาพให้เพื่อนดู ก็จะมีวิธีการง่ายๆเร็วๆในการเอาภาพลงจอ  ดังนี้

 

2018-04-23_08-53-36

เมื่อล้างฟิล์มจบแล้ว เราจะได้ฟิล์มขาวดำดังภาพ  ให้เราใช้มือถือถ่ายภาพฟิล์มโดยให้ด้านหลังของฟิล์มเป็นส่วนสีขาวเรียบๆ  ซึ่งผมเลือกใช้ท้องฟ้า  บางคนอาจจะใช้ผนังบ้านก็ได้  เราจะได้ภาพฟิล์มขาวดำมาอยู่ในโทรศัพท์

 

2018-04-23_08-53-16

ให้จัดการคร็อปภาพให้เรียบร้อย และหมุนภาพให้ได้ฉากแบบที่เราชอบ  ซึ่งผมชอบภาพที่วางไม่ตรงเป๊ะ มันดูดิบและเป็นธรรมชาติของงานแฮนด์เมดดี

 

2018-04-23_08-52-57

จากนั้นให้เรากลับสีด้วยคำสั่ง invert ซึ่งหากทำในคอมพิวเตอร์ ก็ต้องอาศัย photoshop ทำ แต่หากทำในมือถือ ก็ต้องหา app มากลับสี  ผมใช้ app ชื่อ negative image ใน android มาทำให้  เราก็จะได้ภาพจากฟิล์มขาวดำเน็กกาทีฟกลับมาเป็นภาพขาวดำแบบปกติ  แต่ภาพจะยังไม่ดำ เพราะกล้องที่ใช้ถ่ายภาพมักจะถ่ายเป็นภาพสี  ไม่ได้ถ่ายเป็นขาวดำตั้งแต่ต้น

 

2018-04-23_08-52-41

เมื่อได้ภาพคร็อปที่สีปกติเกือบตรงแล้ว ก็ให้ทำการปรับสีของภาพให้เป็นขาวดำ และปรับส่วนเข้มให้ดูดำสมจริง  ขั้นตอนนี้ในคอมพิวเตอร์ก็คือใช้ photoshop  แต่ถ้าในมือถือ ผมใช้ app ชื่อ snapseed ปรับสีให้    ซึ่งเราก็จะได้ภาพขาวดำที่ถูกใจในที่สุด

 

 

PHOTO_COLLAGE1524441900259

 

ภาพที่ได้จากการลองเล่นครั้งนี้ เอาภาพแต่ละขั้นตอนมาเรียงด้วยโปรแกรมต่อภาพที่ชื่อ picture collage ก็จะได้ภาพเล็ก3 ภาพต่อกัน ดูสวยไปอีกแบบ

 

 

PHOTO_COLLAGE1524469103374

 

ถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์ม leica minilux

 

กล้องฟิล์มเป็นสิ่งที่แทบจะไม่มีคนใช้ทำงานแล้ว คงเหลือแต่การใช้เพื่อความบันเทิง เพื่อความสุข เพื่อความมันส์ของช่างภาพยุคเก่าและช่างภาพรุ่นใหม่ที่อยากลองของเก่า ผมก็นับว่าเป็นช่างภาพยุคเก่า ยุคที่หัดถ่ายรูปในช่วงที่ฟิล์มได้รับความนิยมสูงสุด ยุคที่การถ่ายรูปรับปริญญาและงานแต่งงานคุยกันว่าถ่ายกันกี่ม้วน ยุคที่มีร้านล้างอัดฟิล์ม 24 ชั่วโมง ยุคที่ฟิล์มตลาดราคาสามม้วนสองร้อยบาท

พอพ้นจากช่วงเวลายุคทองของฟิล์มไปแล้ว ทุกคนก็หันหน้าเข้าสู่ดิจิทัล การทำงาน การรับจ้างถ่ายภาพเป็นระบบดิจิทัลทั้งหมด จากงานรับปริญญาที่ถ่ายกัน 4-5 ม้วน ได้ภาพเป็นเล่ม รวมกันไม่ถึงสองร้อยภาพ กลายเป็นงานรับปริญญามีภาพให้ดูพันภาพจากกล้องดิจิทัล งานแต่งงานมีภาพให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวดูกันสามพันภาพ ซึ่งไม่มีทางดูกันได้ครบถ้วน ฟิล์มที่เคยตุนเอาไว้เพื่อรับงานก็ยังคงนอนนิ่งอยู่ในบ้านไม่ถูกจับต้องอีกเลย ผ่านไปเกือบสิบปี ฟิล์มเหล่านั้นก็หมดอายุ และระหว่างที่เพลินกับการใช้กล้องดิจิทัล ผมก็ลืมฟิล์มไปแล้ว และคิดไปว่า ไม่มีฟิล์มสีดีๆขายอีกแล้ว เพราะมีแต่ข่าวการเลิกผลิต ปิดโรงงาน รวมไปถึงข่าวการล้มละลายของโกดัก

แต่ในความเป็นจริง ฟิล์มยังมีลมหายใจอยู่ แต่อยู่ในกลุ่มเล็กๆ ร้านถ่ายรูปย่านลาดพร้าวก็ปรับตัว หลายร้านปิดตัวลง บางร้านที่เคยเปิด 24ชม. ก็เปลี่ยนมาเป็นเปิดปิดเป็นเวลา ผมถ่ายรูปด้วยฟิล์มขาวดำอยู่บ้าง ซื้อน้ำยาไว้ล้างเอง ซ์้อฟิล์มขาวดำตุนไว้ถ่ายเล่น โดยที่ในใจก็คิดว่าไม่มีฟิล์มสีขายแล้ว เพราะถึงมีก็คงคุณภาพต่ำ อาจเป็นของเก่าเก็บ หรือเป็นงานผลิตใหม่แต่ไม่ได้มีคุณภาพเหมือนเดิม

ผมเพิ่งรู้จากเพื่อนว่าฟิล์มเน็กกาทีฟสีรุั่นใหม่ๆยังคงออกสู่ตลาด และมีแนวโน้มว่าจะได้รับความนิยมมากขึ้น เมื่อเทียบจากช่วงซบเซาสุดขีด ผู้คนหันมาซื้อกล้องฟิล์มมือสอง ทำให้ต้องหาฟิล์มมาถ่ายเล่นด้วย ฟิล์มสีเกรดตลาดราคาร้อยกว่าบาท ค่าล้างฟิล์มราคาขึ้นไปเกินสองเท่าตัว และมีการส่งฟิล์มไปด้วยไปรษณีย์เพื่อให้ล้างและสแกนภาพแล้วส่งเป็นแผ่นซีดีกลับมา ซึ่งผมก็ลองใช้บริการดูแล้วก็ปลาบปลื้ม เลยเป็นที่มาของการเขียนโพสท์นี้

ฟิล์มฟูจิ c200 เป็นฟิล์มเน็กกาทีฟ น่าจะเป็นฟิล์มเกรดกลางๆ และกล้องที่ใช้ถ่ายก็เป็น leica minilux ตัวที่นอนพังอยู่หลายปี เพิ่งจะหาอะไหล่มาซ่อมได้ เมื่อซ่อมเสร็จก็เริ่มเดินเท้าอีกครั้งเพื่อตระเวณถ่าย แต่คำว่าตระเวณในวันเวลาของผม ก็คือการถ่ายรูปลูกเล่นจนหมดม้วน พกกล้องติดตัว พกไว้ในเป้สะพายตลอดเวลา เมื่อมีโอกาสถ่ายก็ถ่ายรูปลูก เผลอแป๊ปเดียวหมดม้วน  ถ่ายเล่นราวกับปืนกล  ในสมัยที่ฟิล์มถูกๆผมยังไม่ถ่ายเร็วเท่านี้  ดูเหมือนการถ่ายภาพด้วยฟิล์มของผมในช่วงเวลานี้เหมือนคนลงแดง รีบถ่าย รีบล้าง อยากดูภาพแล้ว  อารมณ์เหมือนวัยรุ่นใจร้อนเลย

01012minilux-000048

การถ่ายภาพเด็กที่ง่ายที่สุดคือถ่ายตอนเขาหลับนั่นเอง  ลิงน้อยของผมที่มีความไวมากกว่าระบบออโต้โฟกัสของกล้องทุกตัว  กล้องคอมแพ็คระดับโปร วัดแสงแม่นมาก และโฟกัสก็แม่นมากเช่นกัน  ถ้าให้หมุนโฟกัสเองด้วยกล้องแมน่วล เลนส์แมน่วล ผมคิดว่าภาพจะไม่ชัดเท่านี้

 

01012minilux-000050

 

01013minilux-000048

 

01013minilux-000049

ตึกรามบ้านช่อง ข้าวของเครื่องใช้ และมุมภาพบางมุมในบ้านก็ถ่ายเล่นๆ เหมือนถ่ายเพื่อให้หมดม้วนเร็วขึ้นเลย  ความใจร้อนของผมมาจากอยากเห็นภาพสีจากกล้อง leica minilux ที่เพิ่งซ่อมเสร็จตัวนี้

 

01013minilux-000065

 

01013minilux-000068

วัยเด็กที่กำลังเรียนอนุบาลก็เป็นภาพที่ควรถ่ายเก็บไว้  เพราะการเปลี่ยนแปลงของเด็กวัยนี้จะรวดเร็วมาก หากพลาดหรือลืมถ่ายไว้ในช่วงวัยเด็กเล็กนี้จะไม่สามารถย้อนเวลากลับไปถ่ายได้ใหม่อีกแล้ว  เด็กโตแล้วโตเลย ย้อนกลับไม่ได้ กลับไปถ่ายซ่อมก็ไม่ได้

 

01014minilux-000004

 

01013minilux-000058

 

01013minilux-000061

 

01013minilux-000066

 

01014minilux-000001

 

01014minilux-000030

 

01014minilux-000042

 

01014minilux-000047

 

ภาพที่เราอยากดูมักจะเป็นภาพของสิ่งของหรือคนอันเป็นที่รักของเรา จะของใช้ ของเล่น หรือแม้แต่สมาชิกในครอบครัวต่างก็ควรจะมีภาพเดี่ยวของตัวเองเก็บไว้  ภาพที่น่าดูไม่จำเป็นต้องมีเทคนิกอะไรที่ล้ำหลุดโลก หรือองค์ประกอบภาพต้องเป๊ะ ขอแค่ภาพชัด ไม่มืดไม่สว่างเกินไปก็นับว่าเป็นภาพที่ดีแล้ว  ภาพบันทึกชีวิตไม่ใช่ภาพประกวด

 


 

ลองเล่นกล้องคอมแพ็คไฮเอนด์ contax t3

IMG_20170515_171804_472

IMG_1474contax-t3 กล้องคอมแพ็คเกรดสูงในตลาดเท่าที่นึกออกจะมี leica cm leica minilux ricoh gr1 nikon 35ti และ contax t3 จริงๆอาจมีมากกว่านี้ที่มีคุณภาพสูง แต่ตัวที่ยกขึ้นมาเป็นตัวที่ได้รับความนิยมอย่างมากและมีมือสองให้พอซื้อได้ บางตัวก็แพง บางตัวก็ถูก บางตัวก็มีประวัติว่าอายุสั้นว่าสายแพขาด ซึ่งกล้องคอมแพ็คออโตโฟกัสคงมีปัญหาสายแพรขาดกันทั้งนั้นขึ้นอยู่กับว่าใครเจอก่อน ใครเจอทีหลัง PICT0076 การมีกล้องคอมแพ็คไฮเอนด์สักรุ่นหนึ่งมาติดกระเป๋า เอามาใช้งานในวันที่ไม่เร่งรีบ ในวันที่อยากจะเสียเงินซื้อฟิล์ม เสียเวลาล้างฟิล์ม ทั้งล้างเองหรือหาร้านล้างให้ก็ตาม แถมยังต้องเสียเวลาสแกนฟิล์มเอามาดูเป็นไฟล์ดิจิทัลอีกต่างหาก มันเป็นช่วงเวลาการถ่ายรูปที่ได้รับความสุนทรีย์อย่างที่ดิจิทัลให้ไม่ได้ เสน่ห์มันอยู่ตรงไหนก็ไม่สามารถอธิบายได้ครบถ้วน รู้แค่ว่า อยากมีกล้องฟิล์ม อยากมีกล้องคุณภาพดี อยากพกมันติดตัว และอยากใช้มันถ่ายภาพแค่บางภาพเท่านั้น contax t3 suan - -7 กล้อง contax t3 เป็นกล้องที่ติดเลนส์ 35มม. f2.8 สามารถตั้งรูรับแสงเองได้ สามารถชดเชยแสงได้ มีความเร็วโฟกัสค่อนข้างเร็ว วัดแสงแม่นยำมาก อาจจะเป็นเพราะเราถ่ายมันด้วยฟิล์มขาวดำล้วนๆก็ได้ ภาพจะออกเข้มไปหน่อย อ่อนไปนิด เราก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันเสีย อีกอย่าง เวลาล้างฟิล์มออกมาแล้วก็ต้องเอามาสแกนเพื่อดูบนจอคอมพิวเตอร์ การสแกนก็สามารถปรับความเข้มอ่อนได้เล็กน้อยทำให้เราไม่รู้เลยว่ากล้องถ่ายพลาดหรือไม่ contax t3 suan - -9 ภาพขาวดำที่ออกจากเลนส์ของ contax t3 เป็นภาพที่มีรายละเอียดสูงมาก มีการไล่ระดับตั้งแต่ส่วนมืดไปถึงส่วนสว่างที่กว้างมากและต่อเนื่อง จะบอกว่ามีคอนทราสต์สูงก็พอบอกเช่นนั้นได้ เทียบกับกล้องดิจิทัลที่ปรับโหมดขาวดำแล้วถ่ายออกมาเทียบกัน ภาพจากกล้องดิจิทัลก็ยังให้ระดับสีดำแบบนี้ไม่ได้ นอกเสียจากกล้องดิจิทัลตัวนั้นจะมีโหมดขาวดำพิเศษที่เร่งคอนทราสต์ให้แรงขึ้นก็อาจจะพอเทียบเคียงได้ contax t3 v2--12 ด้วยวิธีการใช้กล้องคอมแพ็คฟิล์มมาถ่ายภาพต่างๆ  เราจะต้องเอาตาเล็ง กล้องจะสัมผัสกับหน้าผาก ทำให้กล้องมีความมั่นคงมากเมื่อเทียบกับการยกกล้องดิจิทัลมาถ่ายแบบปัจจุบัน  ทำให้เราสามารถเก็บภาพในที่แสงน้อยได้พอสมควร  สภาพแสงในโรงพิมพ์เป็นตึกมิดชิด มีเพียงแสงจากไฟฟลูออเรสเซ้นต์ที่ติดในโรงงานเท่านั้น  เราก็ยังสามารถถ่ายให้ภาพไม่สั่นได้  แม้ความไวชัตเตอร์จะต่ำไปสักหน่อย ความไวฟิล์มก็ต่ำเพราะเร่ง iso ไม่ได้  แต่การจับถือก็ให้ความมั่นคงเพียงพอ ทำให้เรายังคงเก็บภาพในที่แสงน้อยได้   contax t3 v2--7 การโฟกัสก็ทำได้แม่นยำมาก  แม้จะไม่มีช่องที่มองผ่านเลนส์  แต่เราก็สามารถประมาณด้วยสายตาและเล็งโฟกัสไปยังวัตถุที่เราต้องการได้ง่ายดาย  กล้องล๊อคโฟกัสได้แทบจะทันที และเมื่อกดถ่าย  ภาพก็ถูกบันทึกอย่างคมชัดไว้ในฟิล์มแล้ว   contx t3 scan10dec2013 --3 ในสภาพแสงภายนอก contax t3 ให้ภาพสวยชวนฝันจริงๆ คนที่หลงไหลกับภาพขาวดำน่าจะชอบบุคลิกของกล้องตัวนี้  เพราะสีดำก็ดำสนิท สีโทนกลางๆก็ไล่ระดับต่อเนื่องน่ามอง ส่วนขาวก็ไม่ได้ขาวโพลน  ถ้ามีกล้องดิจิทัลที่สามารถให้ภาพแบบนี้ได้จากการถ่ายด้วยโหมดสำเร็จรูปของกล้องเชื่อว่าน่าจะทำให้กล้องตัวนั้นขายดีมาก   contx t3 scan10dec2013 --2 เลนส์ 35มม. เข้าใกล้วัตถุได้มากพอสมควร  แม้จะไม่ได้ใกล้แบบการถ่ายภาพมาโคร แต่ก็ใกล้จนเห็นรายละเอียด และยังคงให้โทนสีดำที่เข้มลึก  มีน้ำหนัก  พอล้างฟิล์มออกมาแล้วเพิ่งจะได้มานั่งดู  พอดูภาพเสร็จก็อยากจะเก็บกระเป๋าออกเดินทางไปถ่ายรูปเล่นทันทีเลย Untitled การพกพากล้อง contax t3 ทำได้ไม่ยุ่งยาก ตัวกล้องมีซองหนังให้ใส่ดูดี เพื่อเก็บกล้องแล้วสามารถยัดใส่กระเป๋าเป้ กระเป๋าสะพาย กระเป๋าอะไรก็ได้ยกเว้นกระเป๋าสตางค์ กล้องคอมแพ็คฟิล์มจะไม่ต้องพกแท่นชาร์จ เพราะถ่านในตัวสามารถถ่ายรูปได้เกินสิบม้วนฟิล์มอย่างแน่นอน ไม่ต้องมีแบตก้อนที่สองอีกต่างหาก เรียกได้ว่า พกกล้องติดกระเป๋าพร้อมฟิล์มกลักนึงเราอาจจะพกจนลืมไปเลยก็ได้ เพราะกว่าที่ผมจะถ่ายหมดม้วนก็ใช้เวลาหลายเดือน

หลังจากได้มีโอกาสใส่ฟิล์มสีไปถ่ายภาพ  ก็ขอเอามาวางให้ดูไว้เป็นข้อมูล

000041

ภาพ selfie ยกกล้องขึ้นเล็งแล้วกดถ่ายเลย  ไม่ได้คิดเรื่องชดเชยแสงแต่อย่างใด  ผมยืนอยู่นอกห้องน้ำที่ได้รับแสงจากหน้าต่าง  ส่วนห้องน้ำได้แสงสว่างจากไฟเพดาน สองสภาพแสงที่ความสว่างไม่เท่ากัน แต่ก็อยู่ในภาพเดียวกันดูกลมกลืนดี

000040

ภาพสองพี่น้อง ยกกล้องขึ้นโฟกัสที่หน้า แล้วจัดองค์ประกอบให้ได้ส่วนที่ต้องการ โหมด P ของกล้องวัดแสงแม่นยำให้ภาพที่สวยพอดี ไม่มืด ไม่สว่างเกินไป

000042

ภาพย้อนแสงค่อนข้างมาก ก็ยังพอได้ภาพที่ไม่น่าเกลียด แม้ดูแล้วจะรู้สึกว่ากล้องวัดแสงผิดพลาด แต่คงเป็นเพราะกล้องพยายามจะทำให้ฉากหลังไม่สว่างเกินไปด้วย  แสงที่หน้าคนเลยไม่มากเท่าที่ควร  แต่มันก็ยังไม่เป็นภาพเสีย

000070

ภาพนักฟุตบอลถือตระกร้าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเร็วมาก  กล้อง T3 อยู่ในมือ รีบเปิดกล้อง แล้วเล็งถ่าย ยอมให้แฟลชขึ้น เพราะต้องการใช้เป็นกล้อง snap โฟกัสเร็วทันแล้ว

000048

ตอนกลางวันแสงดีๆ ถ่ายภาพเด็กในร้านอาหาร แสงหน้าต่าง แสงภายนอกอาหาร ทำให้ภาพแนวนี้ดูสวยได้ง่ายๆเลย

000064

สภาพแสงที่คาดเดายาก เราก็ปล่อยให้กล้องคิดแทนเรา ถ่ายแล้วลุ้นว่าจะถูกใจไหม แล้วก็ได้ภาพที่น่าพอใจเกินคาด

000035

ภาพเด็กกำลังซน ถ่ายในร้านฟาสฟู้ด แสงหน้าต่างเข้าทางด้านซ้าย  ปิดแฟลชถ่าย ระบบวัดแสงทำงานได้แม่นยำน่าพอใจทุกครั้ง

000043

ขอปิดท้ายด้วยภาพ self portrait และ contactsheet ที่ทำด้วยการปริ๊นท์ระบบดิจิทัล

Contax T3

วิธีล้างฟิล์มขาวดำและสแกนไว้ดูในคอมพิวเตอร์ ดูได้ที่นี่  ทดลองล้างฟิล์มขาวดำ

เริ่มต้นขายภาพ online ได้ที่นี่ครับ


สแกนภาพขาวดำ

Untitled

ภาพขาวดำที่ถ่ายด้วยฟิล์มถ้าเราไม่อัดภาพลงบนกระดาษ เราก็ต้องสแกนเป็นไฟล์ดิจิทัลเพื่อดูในจอภาพ การสแกนก็ทำได้ด้วยสแกนเนอร์รุ่นพิเศษที่ออกแบบมาให้สแกนฟิล์มได้ หลายปีก่อนในยุคฟิล์มรุ่งเรือง สแกนเนอร์คุณภาพพอใช้ได้ที่พอจะสแกนฟิล์มได้ก็จะมีราคาหลักหมื่นบาท

ในยุคนี้ที่กล้องดิจิทัลราคาถูกลงอย่างมาก เราก็มีวิธีใช้กล้องดิจิทัลแทนสแกนเนอร์ โดยการ เอาฟิล์มไปวางบนกล่องไฟ แล้วก็ถ่ายภาพจากฟิล์มเลย แล้วก็เอาไฟล์ดิจิทัลที่ได้ไปประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เอาไปกลับสีเป็นจากเน็กกาทีฟเป็นโพสิทีฟ

คราวนี้เราก็มีวิธีที่ง่ายกว่านั้นโดยใช้กล้องดิจิทัลที่มีโหมดปรับภาพแบบเน็กกาทีฟในตัว ผลก็คือเราจะได้ภาพขาวดำโทนสีปกติทันทีที่ถ่ายภาพเสร็จเลย สะดวกอย่างยิ่ง แถมกล่องไฟที่ใช้ก็ยังสามารถอาศัยอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆพกติดตัวเคลื่อนย้ายง่ายได้อีกด้วย เราจะมาดูวิธีการกัน

อุปกรณ์ที่ใช้

Untitled

ฟิล์มขาวดำกับกล่องไฟสำหรับดูสไลด์ กล่องไฟรุ่นนี้เป็นกล่องไฟใส่ถ่านไฟฉาย 2 ก้อน ขนาดหน้าจอแสงสว่างจะใหญ่ประมาณ 6x6cm เป็นกล่องไฟพกพาสำหรับการดูฟิล์มสไลด์ขนาด 120 หรือ 6x6cm นั่นเอง เราเอามาใช้ให้แสงสว่างกับแผ่นฟิล์ม

Untitled

ถ้าเราถ่ายภาพด้วยโหมดสีปกติของกล้องดิจิทัล เราก็จะได้ภาพออกมาเป็นสีโทนน้ำตาล ที่ไม่เป็นสีโทนเทาเพราะหลอดไฟไม่ได้ให้สีขาวจริงๆ แต่ให้สีเป็นสีชา ภาพที่เราได้ก็จะเป็นสีที่เรามองเห็นด้วยตาเปล่า

Untitled

จากนั้นเราก็ปรับโหมดการถ่ายภาพของกล้องดิจิทัลให้เป็นสีแบบ เน็กกาทีฟ ซึ่งกล้องบางตัวจะทำได้ บางตัวทำไม่ได้ ตัวที่ทำได้เราก็จะได้ภาพกลับสีทันที ซึ่งจะได้สีเป็นสีปกติของงานขาวดำ

Untitled

แล้วเราก็เอาภาพที่ได้ไปปรับแต่งคอนทราส หมุนภาพ คร๊อปภาพได้ตามใจ อย่างในภาพสุดท้ายนี้คือเอาไปผ่านโปรแกรม snapseed ซึ่งเป็นโปรแกรมแต่งภาพที่อยู่ในสมาร์ดโฟน สามารถหาโหลดมาลงได้ไม่มีค่าใช้จ่าย

ส่วนภาพบนสุดที่มีขอบภาพหน้าตาประหลาดนั้นเป็นการเอาภาพที่ปรับเสร็จแล้วไปผ่านโปรแกรมของ polaroid ซึ่งหาโหลดได้ฟรีเช่นกัน ขอบภาพที่เห็นเป็นเส้นกากบาทนั่นคือขอบภาพเลียนแบบภาพ polaroid จากกล้อง SX-70 ในอดีต

ทดลองล้างฟิล์มขาวดำ

ทดลองล้างฟิล์มขาวดำ

ผมขอบงานถ่ายภาพขาวดำ ก็เลยพยายามศึกษาและหัดล้างอัดเองเมื่อสักสิบปีก่อน มีอุปกรณ์ทุกอย่างตั้งแต่การล้างฟิล์มไปจนถึงเครื่องอัดภาพ แต่พอเริ่มทำงานอื่นๆเต็มตัว งานอดิเรกอย่างการล้างอัดฟิล์มขาวดำก็ไม่ได้ทำอีกเลย

ปีนี้ผมตั้งใจจะลองล้างอัดอีกครั้ง แต่พอจะไปใช้สารเคมีตัวเดิมที่เคยใช้ก็ปรากฏว่าไม่มีขายแล้ว เลยต้องเปลี่ยนสารเคมีเป็นตัวอื่น และก็ต้องมีการทดลองล้างก่อน ก่อนที่จะไปล้างฟิล์มที่คาดหวังตัวจริง

สารเคมีตัวที่หาซื้อได้ในปี พศ. 2555 นี้ คือโกดัก D-76 ชนิดผง น้ำหนักของทั้งซอง 415 กรัม ใช้ละลายน้ำ 3.8 ลิตร เพื่อเตรียมเป็นน้ำยาเข้มข้น เมื่อจะล้างจริงต้องเอาน้ำยาเข้มข้นไปผสมน้ำอีกเท่าตัวเพื่อใช้งาน สรุปสุดท้ายก็คือ ผลโกดัก d-76 จะผสมสุดท้ายเป็นน้ำยาใช้งานได้ 7.6 ลิตรนั่นเอง แต่การผสมน้ำยาเพื่อใช้ทั้งซองมันไม่ค่อยเหมาะกับผมสักเท่าไหร่ เพราะน้ำยาทั้งหมดจะล้างฟิล์มได้ประมาณ 25 ม้วน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะใช้งานได้ครบภายในเวลากี่เดือน อายุของน้ำยาที่ผสมแล้วจะอยู่ได้ประมาณ 2 เดือน ถ้าเก็บไม่ดี จะอยู่ได้ 6 เดือนถ้าเก็บดี

ผมเลยใช้วิธีหารด้วย 25 เสียเลย เอาน้ำหนักทั้งหมด 415g หารด้วย 25 ได้ 16.6 กรัมเพื่อเอาไว้ใช้กับฟิล์ม 1 ม้วน จากนั้นก็อาศัยการชั่งน้ำหนักผง d-76 ทีละ 16.6 กรัมแทน เดือดร้อนต้องไปซื้อเครื่องชั่งดิจิทัลมาใช้งาน กว่าจะหาเจอว่าต้องซื้อที่ไหนก็ใช้เวลาอีกหลายวัน

ได้เครื่องชั่งมาแล้วก็เริ่มล้างฟิล์มเลย ผมไปเอาขวดน้ำดื่มขนาด 600cc มาเป็นขวดผสมสารเคมี เอาน้ำใส่แท้งค์ล้างฟิล์มแล้วเทลงขวดน้ำดังกล่าว เอาปากกาเมจิกขีดไว้ว่าน้ำต้องอยู่ระดับนี้ จากนั้นก็เอาขวดพร้อมน้ำไปเข้าไมโครเวฟเพื่ออุ่นน้ำให้ได้ประมาณ 50องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ระบุไว้บนซอง ใส่ผง d-76 จำนวน 16.6 กรัมเข้าไปแล้วคนให้เข้ากัน

พอเตรียมน้ำยาล้างฟิล์มเสร็จ ก็เตรียมน้ำยาตัวที่สองซึ่งทำหน้าที่หยุดสภาพของฟิล์มหรือ fixer อีกขวด ซึ่งก็ใช้ขวดน้ำดื่มขนาดเดิม เทน้ำยา fixer สำเร็จรูปไว้ในขวดความสูงเท่ากับน้ำยาล้างฟิล์มตัวแรก

ก่อนจะล้างต้องเอาน้ำยาทั้งสองขวดไปแช่ตู้เย็นเสียก่อน เพราะการล้างฟิล์มต้องใช้อุณหภูมิประมาณ 20-24 องศา เวลาในน้ำยาประมาณ 4-7 นาที ซึ่งต้องไปดูข้างกล่องฟิล์มว่าเขาออกแบบให้ล้างที่อุณหภูมิที่เท่าไร เวลากี่นาที แต่ละยี่ห้อจะใช้อุณหภูมิและเวลาไม่เท่ากัน การถ่ายภาพขาวดำจึงควรจะเก็บกล่องกระดาษที่ใส่ฟิล์มเอาไว้ก่อนจนกว่าจะล้างเสร็จเพื่อดูข้อมูลตอนล้างนี่เอง

ฟิล์ม lucky ความไว 100 ผมซื้อเอาไว้ตั้งแต่ปี คศ 2008 มันหมดอายุตอนปี 2010 ผมถ่ายเล่นไว้ตั้งแต่ช่วงแรกที่ได้มา แล้วก็ค้างในกล้องตั้งแต่นั้นจนมาถึงวันนี้ 15 กรกฎาคม 2555 หรือปี 2012 ถึงจะได้เอามาล้าง ฟิล์มหมดอายุไปแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียส กะแค่ว่าลองล้างเล่นๆ

lucky d-76 develop table

กล่องฟิล์มระบุระยะเวลาไว้ว่า 24องศาเซลเซียส เวลา 3.5 นาที ผมก็เลยล้างไปซะ 4 นาที เพื่อชดเชยนิดหน่อยสำหรับฟิล์มหมดอายุ ซึ่งการชดเชยไม่มีหลักการที่แน่นอน ใช้วิธีเดาล้วนๆ ล้างฟิล์ม 4 นาที เขย่าแท้งค์ทุกครึ่งนาที แล้วแช่ด้วยน้ำยา fixer อีก 5 นาที จากนั้นเอาไปแช่น้ำไหลทิ้งเรื่อยๆประมาณ 10 นาที เสร็จแล้วก็เก็บตาก ทุกภาพติดขึ้นมาน่าพอใจ ฝีมือการโหลดฟิล์มเข้าแท้งค์ของผมยังใช้ได้ โหลดฟิล์มไม่ติดเลย ทุกพื้นที่ของฟิล์มโดนน้ำยาสม่ำเสมอ ไม่ด่าง ไม่แหว่ง

ที่หัดมาทั้งหมดก็เป็นการเตรียมตัวสำหรับการถ่ายภาพลูกของผมเอง ผมจะเก็บภาพลูกเป็นฟิล์ม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงอยากมีภาพลูกเป็นฟิล์ม ทั้งที่มีกล้องดิจิทัลอยู่กับตัว จริงๆก็คงถ่ายด้วยกล้องดิจิทัลด้วยเช่นกัน แต่อยากมีภาพติดฝาบ้านเป็นฟิล์ม ก็เท่านั้นเอง

หลังจากที่โพสท์ทิ้งไว้เป็นเดือน ก็กลับมาอัพเดทกันหน่อยเกี่ยวกับฟิล์มขาวดำที่ล้างเสร็จแล้ว
หลังจากล้างฟิล์มเสร็จแล้ว ก็ตัดใส่ซองพลาสติกเพื่อเก็บไว้ดู โดยปกติก็ควรจะทำเป็น contact print ออกมา การทำคอนแท็คที่ว่าบนงานขาวดำก็จะเป็นการอัดภาพจริง ด้วยระบบกระดาษอัดและน้ำยาล้างภาพขาวดำจริง แต่ผมยังไม่ว่างก็เลยใช้วิธีเอากล้องดิจิทัลมาถ่ายฟิล์มขาวดำที่วางไว้บนกล่องไฟ ได้ภาพจากกล้องดิจิทัลแล้วก็เอามาผ่านโปรแกรมโฟโต้ช็อป เพื่อปรับจากภาพเน็กกาทีฟให้มันเป็นภาพปกติ


ภาพที่ถ่ายได้จากกล้องดิจิทัล จะเป็นภาพเน็กกาทีฟตามที่ตาเห็น


ภาพปกติหลังจากปรับแต่งด้วยโฟโต้ช็อปเสร็จแล้ว

IMG_0197

ส่วนการสแกนภาพเดี่ยวก็ใช้วิธีวางฟิล์มบนกล่องไฟโดยตรง แล้วก็ใช้กล้องดิจิทัลถ่ายภาพจากกล่องไฟ แสงสว่างที่ใช้ในกล่องไฟก็คือแฟลชตัวหนึ่ง ในภาพผมใช้แฟลชของ nikon ติดกับตัวรับสัญญาณไร้สาย หรือทริกเกอร์ ตัวส่งติดอยู่ที่กล้อง

IMG_0198

ตัวฟิล์มจะถูกวางขนาบด้วยกล่องซีดีเพื่อทำให้เรียบ แล้วก็ใช้เลนส์มาโครถ่ายภาพเลย จากนั้นก็เอาไฟล์ไปปรับแต่งในโฟโต้ช็อปอีกที

img002edit

img2011-30

img2010-18

ได้ภาพแบบนี้มาในที่สุด