พา honda freed ไปเข้าศูนย์ เช็คระยะ 10000 กิโลเมตร

ขับรถยนต์คันใหม่ Honda Freed มาครบสามเดือนแล้ว วิ่งไปได้ประมาณ 10500 กิโลเมตร ได้เวลาพาไปเข้าศูนย์เสียที ตอนแรกที่ได้รถมาใหม่ๆ พอใกล้จะครบ 1000 กิโลเมตร ก็โทรไปถามเซลส์ว่าต้องเอาเข้าศูนย์ไหม? เซลส์ตอบมาว่า เดี๋ยวนี้รถ Honda ออกแบบมาให้พ้นรันอินตั้งแต่วันขายแล้ว และเอาเข้าศูนย์อีกทีตอน 10000 กิโลเมตรได้เลย

ก็เลยเพิ่งจะได้เข้าศูนย์กับเขาครั้งนี้เป็นครั้งแรก ขับรถไปจอดไว้ที่โชว์รูม ใช้เวลาทำเอกสารประมาณ 15 นาที ก็เรียบร้อย อีกสองชั่วโมงเสร็จ ผมเลยนั่งแท๊กซีี่กลับมาทำงานก่อน แล้วค่อยแวะไปอีกที ค่าใช้จ่ายที่ศูนย์ประเมินอยู่ที่ 700 บาท เป็นค่าน้ำมันเครื่อง ฟรีค่าแรง ฟรีเพราะอะไรผมก็จำไม่ได้แล้ว

ทำงานไปเรื่อยๆ ช่างโทรมาแจ้งว่าเสร็จแล้ว เข้าไปรับได้เลย ก็เลยนั่งแท๊กซี่ไปกลับไป ไปถึงยังไม่ได้ทันที กำลังล้างรถอยู่ ก็เลยขึ้นไปนั่งรอที่ห้องรับรองลูกค้า ซึ่งห้องรับรองที่นี่น่าประทับใจมาก มันเป็นห้องกว้างๆ มีโต๊ะรับแขก มีโต๊ะทำงาน มีเคาเตอร์ มีเก้าอี้นวย มีที่นั่งทุกรูปแบบที่คนเราน่าจะชอบ มีอินเทอร์เน็ตให้เล่นฟรี เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ทั้งชุดเลย มีบริการ WIFI ด้วย มีขนม มีคุ๊กกี้ มีกาแฟให้ชงเอง มีน้ำส้ม น้ำหวานแบบกดเอาเองเลย มีไอศครีมอยู่ในตู้แช่ ทุกอย่างหยิบเองตามสบาย ผมสามารถใช้พื้นที่แห่งนี้ทำงานได้เลย ประทับใจกับความพยายามที่จะดูแลลูกค้าแบบนี้มาก

พอล้างรถเสร็จช่างก็เดินมาแจ้ง ผมรับรถ แล้วขับออกมาทำงานต่อ ค่าใช้จ่ายทั้งหมดของการเช็ค 10000 กิโลเมตรอยู่ที่ 702.99 บาท ผมจ่าย 703 บาท ไม่ต้องทอน 55555555555555

ปล. ลืมบอกชื่อโชว์รูม ฮอนด้า สาขาบางปะแก้ว

รถป้ายแดงของผมตกรุ่นแล้ว

Honda Freed ป้ายแดง อายุสองเดือน วันนี้วิ่งไปหกพันกว่ากิโลเมตร  ยังไม่ได้เข้าศูนย์ครั้งแรกเลย (รถฮอนด้าสมัยใหม่ นัดเข้าศูนย์ครั้งแรกที่ 10000 กิโลเมตร) ตอนนี้ตกรุ่นแล้ว  เหตุเพราะมี Freed ตัวใหม่ออกมา  แต่ก็อาจจะยังไม่มีขายในไทย  แต่สักวันคงมี  เพราะตอนนี้มันวิ่งที่ญี่ปุ่นแล้ว  มันคือ Freed Spike

Freed Spike ทำขายคนกลุ่มเล็กๆที่มีอาชีพดังต่อไปนี้

อาชีพช่างภาพ เอาไว้วางของ ใส่อุปกรณ์กล้อง เอาไว้ไปท่องเที่ยวถ่ายรูป กล้องในภาพเป็นกล้อง canon ถ้าใครใช้ไลก้าอาจจะไม่เหมาะกับ freed เพราะไลก้าเกิดมาเพื่อเก็บภาพข้างถนน หรือแนวภาพ street life นั่นเอง รถของช่างภาพที่ใช้กล้องไลก้าน่าจะเป็น jeeb เก่าๆเสียมากกว่า (เสียมากกว่าใช้ได้ ขับไปซ่อมไป) แต่งตัวบูติกอย่่างในรูปนี้เหมาะกับ freed แล้ว


อาชีพแม้ค้าตลาดนัด เปิดท้ายขายของ คนเคยรวย คนตกงาน


จุดเด่นคือเบาะแถวสองสามารถพับราบเพื่อใช้เป็นพื้นที่วางของได้ทั้งหมดเลย มันดีอย่างนี้นี่เอง แต่ในรูปไม่เห็นเบาะแถวสามเลย คงเป็นการเอาแถวสามออกแล้วใส่ชั้นวางแทนเข้าไป


อาชีพนักกีฬาขี่จักรยานก็ได้ คราวนี้ใส่จักรยานได้มากกว่า 1 คันแล้ว


อาชีพขายพรม ขายต้นไม้ สบายเลย ไม่ต้องเข็นไปขายร้อนๆเหมือนแต่ก่อนแล้ว


จะเห็นว่ามีพื้นที่วางของเยอะมาก มีช่องเต็มรถไปหมดเลย ถ้าเก็บของอะไรไว้จะจำได้ไหมว่ามันอยู่ตำแหน่งไหนของตัวรถ?


แผงภายในยังเหมือนเดิม


รูปทรงภายนอกเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย

Honda FREED ขับมาแล้ว 1 เดือน

วันนี้ครบรอบ 1 เดือนที่ใช้งาน Honda FREED
มีหลายอย่างที่ยังไม่คุ้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญมาก โดยรวมแล้วถือว่าเป็นรถที่น่าใช้
สามารถนั่งได้หลายคนจริงๆ สามารถขนของได้จริง ขึ้นลงสะดวก จอดง่าย
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกก็ถือว่าเกือบจะพรั่งพร้อมที่สุด
คงเหลือแต่ GPS เท่านั้นที่ผมยังไม่ได้ไปติดเพิ่ม
แต่ FREED ตัวท็อปก็มีมาให้ตั้งแต่ออกจากโรงงานเลย
คนซื้อรุ่นประหยัดอย่างผมเลยยังต้องรอไปติดเอง

ขับมาได้ 1 เดือนก็สังเกตว่า บางครั้งรถนิ่มหนึบดี บางครั้งรถเด้งกว่าปกติ
มันเป็นๆหายๆ มาพิจารณาดูแล้วก็เพ่ิงจะมั่นใจว่าเป็นเพราะอะไร
ซึ่งจริงๆแล้วมันก็คือ คนนั่งเยอะรถจะนิ่มหนึบ นั่งคนเดียวจะเด้งมากกว่าพอรู้สึกได้
เวลาขับผ่านลูกระนาดในซอย ขับคนเดียว เนินต่างๆมันจะยกรถค่อนข้างเร็ว
แม้ว่าจะค่อยๆขับให้ช้าแล้วก็ตาม แต่พอนั่งกันสี่คน อาการเด้งหายไปทันที
คงเป็นลักษณะของรถนั่งหลายที่นั่งที่เซ็ตช่วงล่างมาให้เหมาะกับน้ำหนักคนหลายๆคนพร้อมกัน
พอนั่งคนเดียวก็เลยไม่นิ่มเท่า

อาการรถโคลงเยอะเวลาเจอเนินเล็กหรือ หลุมบ่อถนนโลกพระจันทร์
คิดว่าเป็นเพราะรถสูง ตำแหน่งคนนั่งอยู่สูงกว่าระดับเบาะในรถเก๋งน่าจะเกือบสองเท่า
ระยะเหวี่ยงของรถที่เกิดขึ้นกับตัวรถอาจจะเท่ากับรถเก๋ง
แต่ระยะเหวี่ยงที่ส่งมาถึงคนขับบน FREED มันมากกว่าบนรถเก๋ง
ตามระยะความสูงของที่นั่ง มันก็เลยรู้สึกเหวี่ยงมากกว่า

เสียงลมเสียงพื้นถนนจะเริ่มได้ยินชัดขึ้นตอนวิ่งประมาณ 80-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ยิ่งถนนแย่ยิ่งได้ยินดังขึ้น และถ้าวิ่งเร็วๆยิ่งดัง ถ้าฟังเพลงในระดับรถวิ่งปกติปรับระดับเสียงให้พอดี
พอวิ่งเร็ว เสียงลมและพื้นดัง จะทำให้ฟังเพลงและวิทยุแทบไม่ได้ยินเลย
ต้องเร่งเสียงมากกว่าปกติเยอะมากมาก อันนี้ก็คงเป็นปกติของรถราคาถูก

ทางเดินในรถเป็นแบบทะลุถึงกันหมดทำให้ไม่รู้จะวางของยังไง
รองเท้าที่ติดอยู่ในรถก็เลยอยู่ไม่เป็นที่ บางวันก็อยู่ที่ด้านหลัง
บางวันก็อยู่ข้างคนขับ ยังหาที่วางที่ถาวรไม่ได้

กระเป๋ากล้องวางท้ายรถ หลังสุด ใช้พนักพิงของที่นั่งแถวสามช่วยบังสายตา
ขาตั้งกล้องก็อยู่ใต้เบาะแถวสามร่วมกับกระเป๋าโน้ตบุ๊คอีกเช่นกัน
เวลาจะหยิบของต้องเปิดประตูหนัง การเปิดประตูหลังต้องจอดห่างจากรถคันหลังพอสมควร
ไม่งั้นเปิดไม่ได้

ที่นั่งแถวสามเป็นที่นั่งที่มีพื้นที่ยืดขาน้อยที่สุด ไม่เหมาะกับคนตัวสูง มีช่องวางแก้วน้ำให้ด้วย
ดูแล้วท่่าทางเป็นรถที่ทำมาให้มีคนนั่งเต็มรถเป็นหลัก เพราะที่วางแก้วมีครบสำหรับทุกที่นั่ง
ผมเอาหนังสือเล่มเล็กไปวางแทนแก้วน้ำ ตั้งใจเอาไว้ให้คนนั่งหลังมีหนังสืออ่านเล่นระหว่างเดินทาง

ถังขยะในรถยังหาที่วางบนพื้นรถไม่ได้ แต่ก็ได้อภินันทนาการมาจากแฟนมาใบหนึ่ง
ลักษณะเป็นกระป๋องพลาสติกขนาดไม่ใหญ่มาก ใหญ่กว่าแก้วน้ำเล็กน้อย
มีจุกพลาสติกสูญญากาศให้ดูดติดกับกระจก ผมเลือกติดไว้ที่กระจกด้านข้างบนประตู
อาศัยก้นกระป๋องวางขอบประตูเพื่อให้มันรับน้ำหนักได้ด้วย ใช้ทิ้งเศษขยะ เศษกระดาษต่างๆ

พื้นที่บนคอนโซลหน้าไม่มีที่ราบเรียบให้วางของได้เลย แม้มันจะมีพื้นที่กว้างแต่มันไม่ได้ทำเป็นช่องวางของ
มันเป็นเพียงที่วางที่ลาดเดียง วางอะไรก็ไหลออกหมด เลยต้องไปหาตาข่ายพลาสติกมาปูรองเอาไว้
เพื่อให้มันมีความหนืด พอจะวางของแล้วไม่ไหลไปไหลมา

พื้นที่วางของที่เตรียมไว้บางของเล็กๆน้อยๆก็พอมีอยู่บ้าง เอาไว้วางเศษเหรียญ ของเล็กๆ
พื้นที่ผิวเป็นพลาสติกเนื้อแข็งของทั้งคอนโซลทำให้เศษเหรียญไถลไปมาได้เวลาเลี้ยงรถแรงๆ
เลยต้องใช้ตาข่ายพลาสติกตัดเป็นชิ้นเล็กมาปูรองพื้นเอาไว้ เพื่อไม่ให้เหรียญไถล

เนื่องจากไม่มีคอนโซลกลาง เพราะเว้นไว้เป็นทางเดิน แต่ผมก็มีของที่อยากจะวางไว้ในรถ
ซึ่งปกติมันจะอยู่ในพื้นที่ตรงกลางนี่แหละ ก็เลยต้องไปหากล่องมาใส่ของแล้ววางไว้ที่ด้านข้างคนขับ
กินพื้นที่ทางเดินตรงกลางไปเลย แต่กล่องที่ใช้มันเป็นกล่องเหล็ก ตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องเป็นกล่องที่ยกไปยกมาได้ง่ายๆ
ถ้าต้องการพื้นที่ทางเดินก็ยกทั้งกล่องออกไปเลยก็ได้

ที่วางของด้านข้างประตูให้ช่องใส่ของมาค่อนข้างกว้างและลึก สามารถใส่ของได้เยอะ
แต่ผมไม่ค่อยนิยมใส่ของในช่องนี้ เพราะรถคันเก่าผมไม่เคยใส่ของที่ช่องด้านข้างนี้เลย
ที่เห็นในภาพว่ามีของ เพราะว่า ยังไม่รู้จะเอาไปวางไว้ที่ไหน ถ้าคิดออก ของในช่องนี้จะไม่ใช่กระดาษพวกนี้เลย

ที่นั่งแถวสองเป็นที่นั่งที่นั่งสบายที่สุด เพราะปรับระยะหน้าหลังได้ค่อนข้างเยอะ
และปรับเบาะเอนหลังได้เยอะเช่นกัน บางทีมันถูกปรับไปแทบจะเป็นเบาะนอนเลย

มองจากด้านหลัง เวลาที่เปิดประตูข้างทั้งสองข้างทิ้งไว้ เหมือนปีกนกเลย
แต่พอดูรวมกับตัวถังทั้งคันแล้ว ดูเหมือนเป็ดไก่เตรียมกระพือปีกมากกว่า

ตอนนี้พบปัญหาคราบดำที่ไหลออกมาจากช่องเปิดประตู มันเป็นคราบน้ำมัน
เคยเช็ดจนสะอาดแล้ว แต่ก็มีให้เห็นอีกทุกครั้งที่มีน้ำไหลผ่าน

ตอนขนของต้องพับเบาะแถวสามขึ้น แล้วก็วางของ

ซื้อแล้ว Honda freed

หลังจากหาที่ขายรถไปได้ก็รวบรวมเงินไปดาวน์คันใหม่ออกมา วันนี้ไปรับรถ Honda freed ที่โชวร์รูม ฮอนด้า ดาวคะนอง รถคันนี้เป็นรถที่อยากได้ตั้งแต่แรกเห็น แต่ทีแรกก็กลัวว่าจะไม่คุ้มค่าตัวที่สูงเหลือเกิน อ่านข้อมูลจากอินเทอเน็ตก็ไม่ค่อยมั่นใจว่าคิดถูกไหมที่เลือก รวบรวมข้อดีข้อเสียจนมั่นใจเลยจอง และวันนี้ไปรับรถ

ได้รถออกจากโชว์รูป ตัวเลขหลักกิโลในรถอยู่ที่ 12 กิโลเมตร คงเป็นเพราะทางโชว์รูมขับรถไปๆมาๆ ติดตั้งเครื่องเสียง ติดของแถมต่างๆ ผมเลือกของแถมหลายอย่างที่ดูฟุ่มเฟือยและไม่มีในรถคันเก่า ไม่ว่าจะเป็น เครื่องเสียงพร้อมดีวีดีมีจอภาพในตัวติดด้านหน้า จอภาพทีวีติดกลางรถ กล้องส่องหลังสำหรับตอนถอยรถ ที่รองเหยียบขึ้นรถสี่ชิ้น สปอยเลอร์ด้านหลัง ซึ่งทั้งหมดเป็นของแต่งที่แทบไม่จำเป็นตอนขับรถเลย แต่มันก็ทำให้รถคันนี้มีเสน่ห์เพิ่มขึ้น

ได้รถมาแล้วก็ขับกลับโรงพิมพ์ แวะไปเอาของที่บ้าน หาโอกาสถ่ายภาพไว้หลายๆมุม กะว่าสักวันหนึ่งอีกไม่นานนี้จะรีวิวรถให้ละเอียดหน่อย กะว่าจะเขียนให้คนอื่นอ่าน เผื่อจะมีคนใช้รถคันนี้เยอะขึ้น แม้ว่าความรู้สึกจริงๆจะไม่อยากให้คนใช้เยอะ หรือนิยมมากๆ แต่ก็ไม่อยากให้มันเป็นรถที่อนาคตมืดมน อยากให้มีการทำตลาดเยอะ ขายเยอะ จะได้ซ่อมบำรุงกันชำนาญ มีอะไหล่ราคาไม่แพง

ได้ขับไปทำธุระหลายที่ ความรู้สึกของการนั่งขับยังไม่ชิน คงเป็นเพราะนั่งรถเก๋งมาสิบปี วันแรกของรถตู้(กึ่งรถตู้) ก็เลยรู้สึกแปลกๆ ยังไม่เจอท่านั่งที่ลงตัวเลย รถคันนี้นิ่มดี ขับง่าย พวงมาลัยตอนชับช้าก็เบาดี ตอนขับเร็วก็หนืดกำลังดี ขับแล้วให้ความมั่นใจมากกว่าคันที่เพิ่งขายไป นอกจากความรู้สึกการขับขี่ที่แน่นขึ้นแล้ว ยังมีฟังค์ชั่นอำนวยความสะดวกหลายอย่างที่เพิ่งค้นพบ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเสียงที่มีความสามารถรับสัญญาณบลูธูท ทำให้สามารถคุยโทรศัพท์ผ่านไมค์และลำโพงของรถยนต์ได้ ไม่ต้องติดสมอลล์ทอล์กให้รำคาญ สามารถเล่นเพลงจากมือถือให้ไปดังในรถยนต์ได้โดยผ่านทางบลูธูทเช่นกัน แค่นี้ก็รู้สึกว่ามันสะดวกมากอยู่แล้ว ยังมีฟังค์ชั่นอื่นๆอีกมากที่ประทับใจแม้จะยังไม่ได้ลอง ไม่ว่าจะก็นช่องต่อสาย usb ที่เขาบอกว่าเล่นไฟล์ MP3 ได้ มีช่องเสียบ SD card เล่นแผ่น DVD ออกจอภาพทั้งด้านหน้าและจอที่ติดกลางรถ สามารถรับสัญญาณโทรทัศน์ได้แม้จะไม่ค่อยชัดแต่ก็พอให้ดูรู้เรื่อง จริงๆยังมีช่องต่ออื่นๆอีกหลายอย่าง แต่ไม่มีอุปกรณ์จะลองให้ครบทั้งหมด คงต้องค่อยๆรอเวลา ค่อยๆทดลองเล่นไปทีละอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่เริ่มมั่นใจแล้วว่าไม่ค่อยดีก็คือ เครื่องเสียงแถมที่ได้มาเสียงค่อนข้างแย่ เหมือนร้องเพลงแล้วเอาถังมาครอบ ถ้าเป็นอาหารก็เป็นอาหารจำพวกทำผิด ไม่อร่อย กินไม่ได้ กินกันตายยังสงสารตัวเอง ทน ทน ทน คงต้องไปหาวิธีเปลี่ยนเครื่องเสียงใหม่ที่มันราคาไม่แพงมาก

ก่อนจะเอารถออกจากโชว์รูม พนักงานขายขอร้องให้ช่วยทำแบบสำรวจ และข้อหนึ่งที่เป็นคำถามในแบบสำรวจก็คือ ทำไมถึงเลือกคันนี้ ตัวเลือกเกือบสิบข้อที่อยู่ในกระดาษไม่มีข้อไหนตรงใจเลย ก็เลยเขียนข้อใหม่เข้าไปว่า “เลือกเพราะมีประตูไฟฟ้า”

ค่าน้ำมัน 7 เดือนกว่า

วันนี้ขนของออกจากรถเพื่อเตรียมตัวขาย และก็เอาใบเสร็จที่เติมน้ำมันออกมาคิดเงินเล่นๆ ใบเสร็จใบเก่าสุดลงวันที่ 13 กันยายน 2552 ไล่ไปจนถึงล่าสุด วันที่ 17 เมษายน 2553 นับคร่าวๆก็เป็นเวลาประมาณ 7 เดือน ผมจ่ายค่าน้ำมันไปทั้งสิ้น 40570 บาท ไม่ได้คิดว่าเป็นกี่ลิตร เพราะขี้เกียจไปเปิดสมุดบันทึก นับว่าเป็นช่วงเวลา 7 เดือนที่จ่ายค่าน้ำมันแพงที่สุดของช่วงชีวิต ราคาประมาณลิตรละ 30 บาท +-นิดหน่อย อาจจะเป็นเพราะราคาน้ำมันมันสูงขึ้นเรื่อยๆ เท่าที่จำได้ ปีที่ผมขับรถเยอะกว่านี้มากๆ ผมจ่ายค่าน้ำมันปีนั้นประมาณเจ็ดหมื่นกว่าบาท ซึ่งราคาน้ำมันอยู่ในระดับ 20-25 บาท

รถยนต์คันนี้คือโตโยต้า โคโลร่า เครื่องยนต์ 1600cc เกียร์ออโต้ อวทม ฟหกด ่าสว