คนส่วนมากเข้าสู่ธุรกิจประกันชีวิตเพราะรายได้ แต่เพ็ญโสภาเข้ามาเพราะประสบกับเหตุการณ์สะเทือนใจของญาติที่สนิทกัน เลยทำให้เห็นคุณค่าของการมีประกันชีวิต
ญาติสนิทที่เหมือนน้องชายมีอาการป่วย เส้นเลือดในสมองแตก ต้องเข้า icu และหมอแจ้งว่าการรักษาต้องผ่าตัด ค่าใช้จ่ายสูง และอาจไม่ตื่น สุดท้ายอาจต้องนอนติดเตียงเป็นเจ้าชายนิทรา ญาติตัดสินใจว่าไม่ผ่าตัด นาทีนั้นก็คิดว่า ถ้าเป็นคนในครอบครัวเรา เราจะยอมไหม เราจะเลือกไม่ผ่าตัดไหม ครอบครัวนั้นตัดสินใจไม่รับการรักษา และหลังจากนั้นอีก 7 วัน คนป่วยก็จากไป เสียชีวิตในวัย 36ปี ทิ้งลูกชาย 6 ขวบ ลูกสาว 1 ขวบ กับภรรยาไว้ข้างหลัง แม่กับลูกสองคนต้องอยู่ต่อไปแบบไม่มีหัวหน้าครอบครัวและไม่มีรายได้ “เงินประกันไม่เคยพอสำหรับหญิงม่ายและลูกกำพร้า” คำพูดนี้ก้องอยู่ในหัว ลูกพี่ลูกน้องท่านนี้มีทุนประกัน 1แสน ซึ่งดีกว่าไม่มี แต่ก็ไม่พอใช้ แม้แต่ค่าจัดงานศพทั้งหมดยังไม่พอเลย
เพ็ญโสภา หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยก็เริ่มต้นชีวิตการทำงานที่บางกอกโพสต์ โดยทำงานขายโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์ ทำอยู่ประมาณปีครึ่งก็ได้เป็นเป็นท๊อปเซลส์ ขายได้ทะลุเป้า ทำให้มีคนรู้จักหลายคนชวนไปทำงานด้วย พอมีโอกาสก็ย้ายไปทำงานที่ชินวัตรในตำแหน่งผู้ช่วยผู้บริหาร ซึ่งตอนนั้นชินวัตรยังอยู่กับธุรกิจขายคอมพิวเตอร์และเริ่มต้นขายโทรศํพท์มือถือไม่นาน ทำงานชินวัตรอยู่ 10 ปีก็ตัดสินใจลาออกเพราะมีลูก มีความรู้สึกว่าอยากใช้เวลากับลูกให้นานๆ รวมถึงที่บ้านสามีมีธุรกิจ เลยออกมาช่วยธุรกิจของครอบครัว พอมีลูกคนที่สองก็มาเปิดร้านขายโทรศัพท์มือถือ บริหารอยู่ 2 สาขา ทำไปสักพักมีคู่แข่งเยอะและมีการตัดราคาจนเริ่มไม่คุ้มค่าที่จะทำต่อ พอดีเพื่อนชวนไปฟังเรื่องขายประกัน ก็เลยตามเพื่อนไปฟัง และหลังจากนั้นอีกไม่นานก็เริ่มจับงานประกันชีวิต
ธุรกิจครอบครัวเริ่มไม่ค่อยดี สามีต้องออกจากงานมาดูแล ทำให้การเงินเริ่มมีปัญหา และค่าใช้จ่ายในบ้านเริ่มต้องใช้เงินจากการขายประกันชีวิตมาช่วยกันออก เป็นช่วงเวลาในชีวิตที่ต้องประหยัด และรู้สึกว่ารายได้จากการเป็นตัวแทนประกันก็ช่วยเหลือครอบครัวได้ ขณะเดียวกันก็เริ่มเห็นความจำเป็นว่าจะต้องมีเงินเก็บเพื่อใช้จ่ายกับการเรียนหนังสือของลูก ต้องมีค่าเรียนพิเศษเพื่อติวลูกให้เข้าโรงเรียนที่ต้องการ ลูกคนเล็กไม่ค่อยกินนมแม่ต้องซื้อนมผงราคาแพงให้ลูกกิน ค่าใช้จ่ายพวกนี้สูงมาก และรู้สึกว่าต้องมีรายได้ทางอื่นมาช่วยรองรับอย่างจริงจัง
เมื่อเข้าสู่อาชีพขายประกัน พอทำไปจนหมดปีนั้นก็รู้สึกว่าอยากเติบโต อยากมีตำแหน่งระดับบริหาร ไม่ได้อยากขายไปวันๆ และตอนนั้นก็มี 2 ทางเลือก คือต้องพยายามให้โตไปเลย กับ ขายไปเรื่อยๆไม่ต้องคิดอะไร ถ้าหากต้องการขึ้นตำแหน่งก็ต้องพยายามให้มาก เลยตัดสินใจว่าจะขึ้นตำแหน่ง แล้วก็ประกาศขายกิจการร้านโทรศัพท์สองสาขา เพื่อที่จะได้โฟกัสกับงานประกันได้เต็มที่ หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นระดับหัวหน้าหน่วย
ลูกค้าส่วนมากเป็นคนรู้จักที่ประทับใจกัน ลูกค้าบางคนก็ไม่เคยออมเงิน การได้ไปคุยกับเพื่อนแล้วอธิบายเรื่องการออม ทำให้เพื่อนได้คิด และได้วางแผนชีวิต และเพื่อนก็ตัดสินใจทำประกันเพื่อเริ่มต้นออมเงิน เพื่อนโอนเงินซื้อประกันทันทีเลย 250000 บาท โดยที่ยังขับรถกลับไม่ถึงบ้าน นั่นทำให้รู้สึกว่าธุรกิจประกันชีวิตมันเป็นธุรกิจที่ดีมาก เพราะมันดีกับเจ้าของเงิน และดีกับอาชีพตัวแทน
มีเคสหนึ่งที่น่าสนใจ หลังจากที่มีทีมงาน คนในทีมก็มาเล่าให้ฟังว่าเพื่อนเขาเป็นแม่บ้าน สามีของเพื่อนฐานะดีบริษัทใหญ่โต เพื่อนใช้ชีวิตสบาย เลยลองให้ลูกน้องไปขายประกันดู ต่อมาลูกค้าให้ข้อมูลกลับมาว่าสามีเขามีประกันแล้ว ทุนประกัน 10 ล้านบาท ทีมงานเลยไม่ได้ตามต่อ หลังจากนั้นอีก 3 ปี สามีเพื่อนเสียชีวิต เลยถามทีมงานเล่นๆไม่ได้คิดอะไรว่า แบบนี้เพื่อนก็ได้ทุนประกัน 10 ล้านเลยสิ ทีมงานบอกว่า ไม่ได้ เพราะเพิ่งรู้ว่าทุนประกันเป็นประกันอุบัติเหตุ แต่การเสียชีวิตไม่ใช่เสียเพราะอุบัติเหตุ ทำให้ไม่ได้ประกันตัวที่ทำไว้ สรุปว่าเพื่อนไม่ได้รับเงินชดเชย เรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก
ถ้ากลับไปบอกได้จะบอกให้ตัวแทนขอนัดเพื่อไปคุยกับเจ้าตัวว่าประกันทีมีอยู่เป็นทำงานอย่างไร จะไปรีวิวรายละเอียดให้ เพื่อให้เข้าใจตรงกัน เพราะประกันอุบัติเหตุ 10 ล้าน จะไม่เหมือนประกันชีวิต10ล้าน การเสียชีวิตจากโรคร้าย จะไม่ได้เงินประกันจากประกันอุบัติเหตุเลย เนื่องจากประกันชีวิต จะจ่ายเมื่อคุณไม่อยู่ ส่วนประกันอุบัติเหตุ จะจ่ายจากสาเหตุที่เกิดจากอุบัติเหตุเท่านั้น ดังนั้น การป่วยแล้วเสียชีวิตจะเคลมประกันอุบัติเหตุไม่ได้
มีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง เขาตั้งใจซื้อประกันเพื่อเป็นการออมเงินให้ลูกที่ยังเล็ก เป็นเงินเก็บระยะยาว ตั้งใจว่าพอลูกจบปริญญาตรีก็จะมีเงินก้อนให้ลูกเอาไว้ทำทุน เป็นการจ่ายเบี้ย 21 ปี แล้วดูแล 42 ปี เมื่อลูกอายุ 42 จะได้รับเงินก้อน หลังจากเริ่มจ่ายไปเรื่อยๆ ผ่านไป 13 ปี พบว่าแม่เป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายแล้วเสียชีวิตใน 2 ปีต่อมา ถ้าเป็นการออมเงินในรูปแบบอื่น โครงการนี้จะหยุดแล้วไม่เหลือเงินก้อนตามที่ต้องการให้กับลูก หลังจากแม่เสียชีวิตไปแล้ว โครงการประกันก็ยังคงดำเนินไป แต่ บริษัทประกันภัยจะจ่ายเบี้ยให้แทนเหมือนแม่จ่าย สุดท้ายบริษัทก็เหมือนเป็นแม่บุญธรรม จ่ายเบี้ยแทนจนครบเวลา ทำให้ลูกยังคงได้รับผลประโยชน์เต็มที่เหมือนแม่ยังคงส่งเบี้ยประกันอยู่ โครงการเก็บเงินให้ลูกก็จะไปถึงเป้าและทำให้ลูกมีเงินก้อนตามที่แม่ต้องการเมื่อครบสัญญา แม้ว่าแม่จะไม่อยู่แล้ว นี่คือตัวอย่างการใช้ประกันชีวิตช่วยเก็บเงินให้ลูกได้ตั้งตัว
การตัดสินใจเข้าสู่อาชีพประกันก็เพื่อช่วยแนะนำทุกคนให้มีหลักประกันที่เพียงพอสำหรับคนในครอบครัว คนที่เหลืออยู่จะได้ไม่เดือดร้อนมาก การประกันชีวิตจะอยู่กับลมหายใจของคนที่เหลือ ไม่ใช่ลมหายใจของคุณเอง
การทำประกันชีวิตเหมือนเป็นการเอาเงินก้อนเล็กไปสร้างความคุ้มครองให้ครอบครัว เอาเงินก้อนเล็กไปแลกเงินก้อนใหญ่
ถ้าหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิตไป แล้วใครจะมาส่งเสียดูแลครอบครัว ก็มีแต่ประกันชีวิตเท่านั้นที่จะทำงานเป็นหัวหน้าครอบครัวต่อไป การวางแผนส่งเสียเลี้ยงดูลูกและคนในครอบครัวจึงเป็นเรื่องจำเป็น และประกันชีวิตเป็นเครื่องมือที่จะช่วยดูแลคนข้างหลังแทนเรา
การวางแผนเรื่องการเงินเป็นเรื่องจำเป็นของทุกคน สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มชีวิตการทำงาน เด็กเรียนจบใหม่ๆ เมื่อทำงานแล้วขอให้พยายามเก็บเงินก้อนแรกให้สามารถอยู่ได้ 6 เดือน เพราะจะได้ใช้เมื่อตกงาน หรือมีวิกฤต แล้วเรายังมีเงินใช้จ่าย ค่าอยู่ ค่ากินรวมถึงค่าใช้จ่ายจำเป็นไปอีก 6 เดือน เป้าหมายแรกนี้ขอให้ทำให้สำเร็จก่อน จากนั้นค่อยมาวางแผนเก็บเงินในขั้นถัดไป
รายได้ที่เข้ามาจากการทำงานควรจะนำมาออมเสียก่อน อย่าเพิ่งรีบเอาไปลงทุน เราควรจัดสรรสัดส่วนการออมให้เป็นลำดับแรก จะออมมากหรือออมน้อยก็แล้วแต่รายได้ แต่ควรจะออมก่อนลงทุน เพราะการลงทุนต้องใช้ความรู้ ถ้าเรายังไม่มีความรู้เกี่ยวกับการลงทุนทางการเงิน ให้ออมเป็นหลัก และเงินออมนี้จะเป็นเงินที่เราไม่คิดจะเอาออกมาก่อนกำหนด เราถึงเรียกว่าเงินออม
จากประสบการณ์กว่า 20 ปี พบว่าส่วนมากคนทำงานจะมีเป้าหมายการออมหรือการเก็บเงินไม่กี่อย่าง คือ
1 เงินก้อนสำหรับพ่อแม่
2 เงินที่จะเป็นทุนการศึกษาของลูก
3 เงินก้อนตอนเกษียณ
เป้าหมายที่ 1 การเก็บเงินก้อนสำหรับพ่อแม่เกิดจากเราอยากจะให้เงินพ่อแม่สักก้อนในอีกหลายปีข้างหน้า การออมก็จะทำเพื่อให้มีเงินก้อนนั้น ถ้าเราเกิดเสียชีวิตไปก่อน เงินก้อนก็จะไม่มี ปลายทางไม่เป็นไปอย่างที่คิด การออมด้วยการซื้อประกันสะสมก็จะเป็นการออมทีละนิดแต่ได้เป้าหมายแน่นอน เพราะพ่อแม่จะได้รับเงินก้อนนั้นในเวลาที่กำหนดเสมอแม้เราจะไม่อยู่ เพราะสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือเราจะต้องจากไปสักวัน ซึ่งไม่รู้ว่าวันไหน เป้าหมายการเก็บเงินเพื่อใครสักคนหนึ่งจะเป็นจริงแน่นอนถ้าใช้วิธีซื้อประกัน
เป้าหมายที่ 2 เงินก้อนสำหรับทุนการศึกษาของลูก เนื่องจากเราจะไปบอกให้ลูกอย่าเพิ่งเรียน รอพ่อแม่เก็บเงินก่อนมันไม่ได้ ดังนั้นควรจะวางแผนเก็บเงินเพื่อเป็นทุนการศึกษาของลูกตั้งแต่รู้ว่าจะมีลูก ออมระยะสั้นเพื่อใช้เป็นค่าเทอม ออมระยะยาวเพื่อให้เป็นทุนตั้งตัว เราเลือกใช้ประกันเป็นเครื่องมือตามวัตถุประสงค์ได้ และคนส่วนมากก็วางแผนที่จะเก็บเงินในระบบประกันชีวิตให้ถึงวันที่ลูกเรียนจบ เพื่อการันตีว่าลูกจะได้เรียนจนจบ
เป้าหมายที่ 3 เงินออมใช้ตอนเกษียณ การเก็บเงินระยะยาวยิ่งจำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่เหมาะสม ทั้งออมแบบประกัน และการลงทุนทางการเงิน และถ้าเราบังเอิญไม่ได้อยู่ถึงเกษียณ เงินก้อนจากประกันจะส่งต่อเต็มยอดที่ต้องการให้คนในครอบครัวเรา คนที่เหลือจะไม่เดือดร้อน การออมเงินในประกันไม่ใช่การลงทุนเป็นธุรกิจ เงินในประกันจะเป็นเงินก้อนที่เรารู้ว่าเราจะมีแน่ๆ และใช้ส่งต่อให้คนอื่น ส่งต่อให้คนข้างหลังได้
ถ้าเรามีเครื่องจักรพิมพ์เงินออกมาได้ เราจะซ่อมบำรุงเครื่องจักรตัวนี้ให้ทำงานตลอดเวลา เราจะไม่อยากให้เครื่องเสีย การซื้อประกันก็จะการันตีว่าจะมีเครื่องพิมพ์เงินให้ลูกเราเสมอ ประกันจะดูแลคนที่เรารัก ไม่ได้ดูแลเรา ก่อนเราจะเสียชีวิตเราคือเครื่องพิมพ์เงินให้ลูก ทุกเดือนเราก็จะมีเงินมาให้ลูกใช้จ่าย และถ้าเราไม่อยู่ ก็เหมือนเครื่องพิมพ์เงินหายไป ลูกและคนในครอบครัวก็จะเดือดร้อน ประกันเหมือนเครื่องพิมพ์เงินสำรองที่จะสตาร์ทเครื่องแล้วพิมพ์เงินแทนเราทันที ประกันจะอยู่กับลมหายใจของคนที่เรารัก นี่คือการวางแผนที่รอบคอบ ลองถามคำถามง่ายๆกับตัวเองว่าหากคุณจากไปแล้วใครจะส่งลูกคุณเรียนต่อ ใครจะส่งเงินเลี้ยงพ่อแม่ ถ้าไม่มีคำตอบ คุณควรคุยกับคนขายประกันสักคน
เพ็ญโสภา เพียรเจริญ โทร 083 492 2651






