ประกันชีวิต อาชีพที่ดูแลคนข้างหลัง

คนส่วนมากเข้าสู่ธุรกิจประกันชีวิตเพราะรายได้  แต่เพ็ญโสภาเข้ามาเพราะประสบกับเหตุการณ์สะเทือนใจของญาติที่สนิทกัน เลยทำให้เห็นคุณค่าของการมีประกันชีวิต

ญาติสนิทที่เหมือนน้องชายมีอาการป่วย เส้นเลือดในสมองแตก ต้องเข้า icu และหมอแจ้งว่าการรักษาต้องผ่าตัด ค่าใช้จ่ายสูง และอาจไม่ตื่น  สุดท้ายอาจต้องนอนติดเตียงเป็นเจ้าชายนิทรา  ญาติตัดสินใจว่าไม่ผ่าตัด  นาทีนั้นก็คิดว่า ถ้าเป็นคนในครอบครัวเรา เราจะยอมไหม เราจะเลือกไม่ผ่าตัดไหม  ครอบครัวนั้นตัดสินใจไม่รับการรักษา และหลังจากนั้นอีก 7 วัน คนป่วยก็จากไป  เสียชีวิตในวัย 36ปี ทิ้งลูกชาย 6 ขวบ ลูกสาว 1 ขวบ กับภรรยาไว้ข้างหลัง  แม่กับลูกสองคนต้องอยู่ต่อไปแบบไม่มีหัวหน้าครอบครัวและไม่มีรายได้  “เงินประกันไม่เคยพอสำหรับหญิงม่ายและลูกกำพร้า”  คำพูดนี้ก้องอยู่ในหัว  ลูกพี่ลูกน้องท่านนี้มีทุนประกัน 1แสน  ซึ่งดีกว่าไม่มี แต่ก็ไม่พอใช้  แม้แต่ค่าจัดงานศพทั้งหมดยังไม่พอเลย

IMG_1560

เพ็ญโสภา  หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยก็เริ่มต้นชีวิตการทำงานที่บางกอกโพสต์  โดยทำงานขายโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์  ทำอยู่ประมาณปีครึ่งก็ได้เป็นเป็นท๊อปเซลส์  ขายได้ทะลุเป้า  ทำให้มีคนรู้จักหลายคนชวนไปทำงานด้วย  พอมีโอกาสก็ย้ายไปทำงานที่ชินวัตรในตำแหน่งผู้ช่วยผู้บริหาร  ซึ่งตอนนั้นชินวัตรยังอยู่กับธุรกิจขายคอมพิวเตอร์และเริ่มต้นขายโทรศํพท์มือถือไม่นาน  ทำงานชินวัตรอยู่ 10 ปีก็ตัดสินใจลาออกเพราะมีลูก   มีความรู้สึกว่าอยากใช้เวลากับลูกให้นานๆ  รวมถึงที่บ้านสามีมีธุรกิจ  เลยออกมาช่วยธุรกิจของครอบครัว  พอมีลูกคนที่สองก็มาเปิดร้านขายโทรศัพท์มือถือ บริหารอยู่ 2 สาขา  ทำไปสักพักมีคู่แข่งเยอะและมีการตัดราคาจนเริ่มไม่คุ้มค่าที่จะทำต่อ  พอดีเพื่อนชวนไปฟังเรื่องขายประกัน ก็เลยตามเพื่อนไปฟัง  และหลังจากนั้นอีกไม่นานก็เริ่มจับงานประกันชีวิต

ธุรกิจครอบครัวเริ่มไม่ค่อยดี สามีต้องออกจากงานมาดูแล  ทำให้การเงินเริ่มมีปัญหา  และค่าใช้จ่ายในบ้านเริ่มต้องใช้เงินจากการขายประกันชีวิตมาช่วยกันออก  เป็นช่วงเวลาในชีวิตที่ต้องประหยัด  และรู้สึกว่ารายได้จากการเป็นตัวแทนประกันก็ช่วยเหลือครอบครัวได้   ขณะเดียวกันก็เริ่มเห็นความจำเป็นว่าจะต้องมีเงินเก็บเพื่อใช้จ่ายกับการเรียนหนังสือของลูก  ต้องมีค่าเรียนพิเศษเพื่อติวลูกให้เข้าโรงเรียนที่ต้องการ  ลูกคนเล็กไม่ค่อยกินนมแม่ต้องซื้อนมผงราคาแพงให้ลูกกิน  ค่าใช้จ่ายพวกนี้สูงมาก และรู้สึกว่าต้องมีรายได้ทางอื่นมาช่วยรองรับอย่างจริงจัง  

เมื่อเข้าสู่อาชีพขายประกัน พอทำไปจนหมดปีนั้นก็รู้สึกว่าอยากเติบโต อยากมีตำแหน่งระดับบริหาร ไม่ได้อยากขายไปวันๆ  และตอนนั้นก็มี 2 ทางเลือก คือต้องพยายามให้โตไปเลย กับ ขายไปเรื่อยๆไม่ต้องคิดอะไร   ถ้าหากต้องการขึ้นตำแหน่งก็ต้องพยายามให้มาก  เลยตัดสินใจว่าจะขึ้นตำแหน่ง แล้วก็ประกาศขายกิจการร้านโทรศัพท์สองสาขา  เพื่อที่จะได้โฟกัสกับงานประกันได้เต็มที่   หลังจากนั้นไม่นานก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นระดับหัวหน้าหน่วย

1658309279397-01

ลูกค้าส่วนมากเป็นคนรู้จักที่ประทับใจกัน  ลูกค้าบางคนก็ไม่เคยออมเงิน  การได้ไปคุยกับเพื่อนแล้วอธิบายเรื่องการออม ทำให้เพื่อนได้คิด และได้วางแผนชีวิต  และเพื่อนก็ตัดสินใจทำประกันเพื่อเริ่มต้นออมเงิน  เพื่อนโอนเงินซื้อประกันทันทีเลย 250000 บาท โดยที่ยังขับรถกลับไม่ถึงบ้าน  นั่นทำให้รู้สึกว่าธุรกิจประกันชีวิตมันเป็นธุรกิจที่ดีมาก  เพราะมันดีกับเจ้าของเงิน และดีกับอาชีพตัวแทน

มีเคสหนึ่งที่น่าสนใจ  หลังจากที่มีทีมงาน คนในทีมก็มาเล่าให้ฟังว่าเพื่อนเขาเป็นแม่บ้าน สามีของเพื่อนฐานะดีบริษัทใหญ่โต  เพื่อนใช้ชีวิตสบาย  เลยลองให้ลูกน้องไปขายประกันดู  ต่อมาลูกค้าให้ข้อมูลกลับมาว่าสามีเขามีประกันแล้ว  ทุนประกัน 10 ล้านบาท  ทีมงานเลยไม่ได้ตามต่อ   หลังจากนั้นอีก 3 ปี สามีเพื่อนเสียชีวิต  เลยถามทีมงานเล่นๆไม่ได้คิดอะไรว่า แบบนี้เพื่อนก็ได้ทุนประกัน 10 ล้านเลยสิ  ทีมงานบอกว่า ไม่ได้  เพราะเพิ่งรู้ว่าทุนประกันเป็นประกันอุบัติเหตุ  แต่การเสียชีวิตไม่ใช่เสียเพราะอุบัติเหตุ ทำให้ไม่ได้ประกันตัวที่ทำไว้  สรุปว่าเพื่อนไม่ได้รับเงินชดเชย  เรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าเสียดายมาก  

ถ้ากลับไปบอกได้จะบอกให้ตัวแทนขอนัดเพื่อไปคุยกับเจ้าตัวว่าประกันทีมีอยู่เป็นทำงานอย่างไร  จะไปรีวิวรายละเอียดให้ เพื่อให้เข้าใจตรงกัน  เพราะประกันอุบัติเหตุ 10 ล้าน จะไม่เหมือนประกันชีวิต10ล้าน  การเสียชีวิตจากโรคร้าย จะไม่ได้เงินประกันจากประกันอุบัติเหตุเลย  เนื่องจากประกันชีวิต จะจ่ายเมื่อคุณไม่อยู่   ส่วนประกันอุบัติเหตุ จะจ่ายจากสาเหตุที่เกิดจากอุบัติเหตุเท่านั้น  ดังนั้น การป่วยแล้วเสียชีวิตจะเคลมประกันอุบัติเหตุไม่ได้   

IMG_1425

มีเพื่อนรุ่นน้องคนหนึ่ง  เขาตั้งใจซื้อประกันเพื่อเป็นการออมเงินให้ลูกที่ยังเล็ก  เป็นเงินเก็บระยะยาว ตั้งใจว่าพอลูกจบปริญญาตรีก็จะมีเงินก้อนให้ลูกเอาไว้ทำทุน  เป็นการจ่ายเบี้ย 21 ปี แล้วดูแล 42 ปี  เมื่อลูกอายุ 42 จะได้รับเงินก้อน  หลังจากเริ่มจ่ายไปเรื่อยๆ  ผ่านไป 13 ปี  พบว่าแม่เป็นมะเร็งขั้นสุดท้ายแล้วเสียชีวิตใน 2 ปีต่อมา  ถ้าเป็นการออมเงินในรูปแบบอื่น  โครงการนี้จะหยุดแล้วไม่เหลือเงินก้อนตามที่ต้องการให้กับลูก  หลังจากแม่เสียชีวิตไปแล้ว โครงการประกันก็ยังคงดำเนินไป แต่ บริษัทประกันภัยจะจ่ายเบี้ยให้แทนเหมือนแม่จ่าย  สุดท้ายบริษัทก็เหมือนเป็นแม่บุญธรรม จ่ายเบี้ยแทนจนครบเวลา  ทำให้ลูกยังคงได้รับผลประโยชน์เต็มที่เหมือนแม่ยังคงส่งเบี้ยประกันอยู่  โครงการเก็บเงินให้ลูกก็จะไปถึงเป้าและทำให้ลูกมีเงินก้อนตามที่แม่ต้องการเมื่อครบสัญญา แม้ว่าแม่จะไม่อยู่แล้ว  นี่คือตัวอย่างการใช้ประกันชีวิตช่วยเก็บเงินให้ลูกได้ตั้งตัว

การตัดสินใจเข้าสู่อาชีพประกันก็เพื่อช่วยแนะนำทุกคนให้มีหลักประกันที่เพียงพอสำหรับคนในครอบครัว  คนที่เหลืออยู่จะได้ไม่เดือดร้อนมาก   การประกันชีวิตจะอยู่กับลมหายใจของคนที่เหลือ ไม่ใช่ลมหายใจของคุณเอง  

การทำประกันชีวิตเหมือนเป็นการเอาเงินก้อนเล็กไปสร้างความคุ้มครองให้ครอบครัว  เอาเงินก้อนเล็กไปแลกเงินก้อนใหญ่  

ถ้าหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิตไป แล้วใครจะมาส่งเสียดูแลครอบครัว  ก็มีแต่ประกันชีวิตเท่านั้นที่จะทำงานเป็นหัวหน้าครอบครัวต่อไป  การวางแผนส่งเสียเลี้ยงดูลูกและคนในครอบครัวจึงเป็นเรื่องจำเป็น  และประกันชีวิตเป็นเครื่องมือที่จะช่วยดูแลคนข้างหลังแทนเรา

2022-07-20_04-22-57

การวางแผนเรื่องการเงินเป็นเรื่องจำเป็นของทุกคน  สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มชีวิตการทำงาน เด็กเรียนจบใหม่ๆ เมื่อทำงานแล้วขอให้พยายามเก็บเงินก้อนแรกให้สามารถอยู่ได้ 6 เดือน  เพราะจะได้ใช้เมื่อตกงาน หรือมีวิกฤต แล้วเรายังมีเงินใช้จ่าย ค่าอยู่ ค่ากินรวมถึงค่าใช้จ่ายจำเป็นไปอีก 6 เดือน เป้าหมายแรกนี้ขอให้ทำให้สำเร็จก่อน จากนั้นค่อยมาวางแผนเก็บเงินในขั้นถัดไป

รายได้ที่เข้ามาจากการทำงานควรจะนำมาออมเสียก่อน อย่าเพิ่งรีบเอาไปลงทุน  เราควรจัดสรรสัดส่วนการออมให้เป็นลำดับแรก จะออมมากหรือออมน้อยก็แล้วแต่รายได้  แต่ควรจะออมก่อนลงทุน  เพราะการลงทุนต้องใช้ความรู้  ถ้าเรายังไม่มีความรู้เกี่ยวกับการลงทุนทางการเงิน  ให้ออมเป็นหลัก  และเงินออมนี้จะเป็นเงินที่เราไม่คิดจะเอาออกมาก่อนกำหนด  เราถึงเรียกว่าเงินออม

จากประสบการณ์กว่า 20 ปี พบว่าส่วนมากคนทำงานจะมีเป้าหมายการออมหรือการเก็บเงินไม่กี่อย่าง  คือ

1 เงินก้อนสำหรับพ่อแม่  

2 เงินที่จะเป็นทุนการศึกษาของลูก  

3 เงินก้อนตอนเกษียณ  

เป้าหมายที่ 1 การเก็บเงินก้อนสำหรับพ่อแม่เกิดจากเราอยากจะให้เงินพ่อแม่สักก้อนในอีกหลายปีข้างหน้า การออมก็จะทำเพื่อให้มีเงินก้อนนั้น ถ้าเราเกิดเสียชีวิตไปก่อน เงินก้อนก็จะไม่มี  ปลายทางไม่เป็นไปอย่างที่คิด  การออมด้วยการซื้อประกันสะสมก็จะเป็นการออมทีละนิดแต่ได้เป้าหมายแน่นอน  เพราะพ่อแม่จะได้รับเงินก้อนนั้นในเวลาที่กำหนดเสมอแม้เราจะไม่อยู่  เพราะสิ่งที่แน่นอนที่สุดคือเราจะต้องจากไปสักวัน  ซึ่งไม่รู้ว่าวันไหน เป้าหมายการเก็บเงินเพื่อใครสักคนหนึ่งจะเป็นจริงแน่นอนถ้าใช้วิธีซื้อประกัน

เป้าหมายที่ 2 เงินก้อนสำหรับทุนการศึกษาของลูก  เนื่องจากเราจะไปบอกให้ลูกอย่าเพิ่งเรียน รอพ่อแม่เก็บเงินก่อนมันไม่ได้  ดังนั้นควรจะวางแผนเก็บเงินเพื่อเป็นทุนการศึกษาของลูกตั้งแต่รู้ว่าจะมีลูก  ออมระยะสั้นเพื่อใช้เป็นค่าเทอม  ออมระยะยาวเพื่อให้เป็นทุนตั้งตัว   เราเลือกใช้ประกันเป็นเครื่องมือตามวัตถุประสงค์ได้  และคนส่วนมากก็วางแผนที่จะเก็บเงินในระบบประกันชีวิตให้ถึงวันที่ลูกเรียนจบ เพื่อการันตีว่าลูกจะได้เรียนจนจบ 

เป้าหมายที่ 3 เงินออมใช้ตอนเกษียณ  การเก็บเงินระยะยาวยิ่งจำเป็นต้องใช้เครื่องมือที่เหมาะสม ทั้งออมแบบประกัน และการลงทุนทางการเงิน  และถ้าเราบังเอิญไม่ได้อยู่ถึงเกษียณ เงินก้อนจากประกันจะส่งต่อเต็มยอดที่ต้องการให้คนในครอบครัวเรา  คนที่เหลือจะไม่เดือดร้อน   การออมเงินในประกันไม่ใช่การลงทุนเป็นธุรกิจ  เงินในประกันจะเป็นเงินก้อนที่เรารู้ว่าเราจะมีแน่ๆ และใช้ส่งต่อให้คนอื่น ส่งต่อให้คนข้างหลังได้

IMG_1476

ถ้าเรามีเครื่องจักรพิมพ์เงินออกมาได้ เราจะซ่อมบำรุงเครื่องจักรตัวนี้ให้ทำงานตลอดเวลา    เราจะไม่อยากให้เครื่องเสีย  การซื้อประกันก็จะการันตีว่าจะมีเครื่องพิมพ์เงินให้ลูกเราเสมอ  ประกันจะดูแลคนที่เรารัก  ไม่ได้ดูแลเรา  ก่อนเราจะเสียชีวิตเราคือเครื่องพิมพ์เงินให้ลูก ทุกเดือนเราก็จะมีเงินมาให้ลูกใช้จ่าย  และถ้าเราไม่อยู่  ก็เหมือนเครื่องพิมพ์เงินหายไป ลูกและคนในครอบครัวก็จะเดือดร้อน  ประกันเหมือนเครื่องพิมพ์เงินสำรองที่จะสตาร์ทเครื่องแล้วพิมพ์เงินแทนเราทันที ประกันจะอยู่กับลมหายใจของคนที่เรารัก  นี่คือการวางแผนที่รอบคอบ ลองถามคำถามง่ายๆกับตัวเองว่าหากคุณจากไปแล้วใครจะส่งลูกคุณเรียนต่อ ใครจะส่งเงินเลี้ยงพ่อแม่ ถ้าไม่มีคำตอบ คุณควรคุยกับคนขายประกันสักคน

เพ็ญโสภา  เพียรเจริญ    โทร 083 492 2651

pensopa@gmail.com

ทำประกันสุขภาพเด็ก เพราะอะไรถึงควรทำให้ลูกเรา

ทำไมเราต้องทำประกันสุขภาพให้ลูก ในอดีตเราก็เติบโตมาแบบไม่เห็นต้องมีประกันสุขภาพเลย เราก็ไม่ค่อยป่วยหรอก ถึงป่วยก็ไปหาหมอได้ไม่ได้แพงอะไร แล้วใครจะป่วยบ่อยกัน คำตอบเหล่านี้เป็นคำตอบที่เป็นจริงกับบางครอบครัวครับ และผมก็โตมากับครอบครัวที่มีคำตอบแบบนี้ แต่ตอนผมมีลูก มันไม่ใช่แบบนี้แล้วครับ

IMG_0943

การมีลูกคนนึงจะมีค่าใช้จ่ายตามมาอีกมาก มันไม่ใช่แค่ค่านม ค่าอาหาร แต่มันมีค่าใช้จ่ายข้างเคียงที่เราต้องจ่ายโดยเราคาดไม่ถึง ผมเองก็คาดไม่ถึง หลายครั้งก็ห่อเหี่ยวอยู่เหมือนกันเวลาที่ควักเงินจ่าย ย่อหน้าแรกที่บอกว่าเป็นจริงกับบางครอบครัวก็คือ ถ้าคุณเป็นคนที่มีเงินมากมายคุณก็ไม่จำเป็นต้องทำประกันอะไรเลย เพราะคุณมีเงินมาก แต่กับพ่อแม่รุ่นต่อมา รุ่นที่ต้องเลี้ยงลูกในยุคอินเทอเน็ต มันก็มีค่าใช้จ่ายแวดล้อมเต็มไปหมด แล้วค่าบริการทางการแพทย์ยุคนี้ก็ไม่ธรรมดา การประกันสุขภาพให้ลูกจะช่วยเราลดภาระบางอย่างลงได้

IMG_1082

ลองไล่ตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ลูกผมเกิดจนอายุ 6 ขวบเมื่อไม่กี่วันนี้ ลองคิดเล่นๆ ลูกผมหลังคลอด แทบไม่ป่วยหนักเลย ป่วยเล็กน้อย ป่วยธรรมดาก็ได้แม่ดูแลอย่างดี เพราะแม่เป็นหมอ ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ปละปลายไม่เคยต้องจ่าย เราก็ซื้อยาตามที่แม่(หมอ)สั่ง แต่ก็มีจังหวะที่ลูกป่วยหนัก จากการติดเชื้อไวรัสที่เราควบคุมไม่ได้ ลูกผมเข้าโรงพยาบาลครั้งแรกตอนอายุยังไม่ถึงขวบ ค่าใช้จ่ายในรอบนั้น 3 วัน 2 คืน เกือบสามหมื่นบาท บิลนี้ประกันจ่ายให้ เพราะผมซื้อประกันให้ลูกไว้แล้วตั้งแต่เกิด ประกันสุขภาพเด็กจะเริ่มดูแลเราหลังจากซื้อ 1 เดือน

fuji-20jul-19oct2013-DSCF8277-bw

การ admit ครั้งที่ 1 นี้เป็นการ admit แบบเขียมๆ เราเลือกห้องแอร์ที่เล็กที่สุดในโรงพยาบาลเพื่อให้เราไม่ต้องจ่ายเพิ่มในกรณีที่เกินเพดานของประกัน แต่สุดท้ายก็ไม่เกิน เราเห็นบิลแล้วก็ตกใจ ถ้าเราต้องจ่ายเองก็หน้ามืดอยู่ เพราะสมัยผมซื้อประกันให้ตัวเอง ค่าห้องพักในโรงพยาบาลอยู่ระดับ2พันบาท แต่ค่าห้องพักของยุคนี้คุยกันที่ 4-8 พันบาทสำหรับโรงพยาบาลเอกชนเกรดกลางๆไม่ใช่แบรนด์เนม เรียกว่า ค่าห้องกับค่ารักษาจะอยู่ที่ประมาณคืนละ 15000-20000 บาทต่อวัน ตัวเลขนี้ไม่มากไม่น้อย

fuji-20jul-19oct2013-DSCF8243-bw

การ admit ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นตอน 1 ขวบ3เดือน ลูกผมป่วยอีกแล้ว ไข้ขึ้นสูง ส่งโรงพยาบาลดีกว่า เพราะการไปนอนโรงพยาบาลนั้นดีกว่าการนอนที่บ้าน การนอนในบ้านเราจะต้องมีการมอนิเตอร์ตลอดเวลา เช็ดตัวตอนไข้ขึ้นสูง ต้องใช้ยาตามเวลา การอดหลับอดนอนเป็นภาระของแม่และพ่อที่คอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ การไปนอนที่โรงพยาบาลก็คือการให้พยาบาลมาช่วยมอนิเตอร์แทนเรา เราจะได้หลับเต็มตาสักชั่วโมง ไม่งั้นก็จะพะวง พอพะวงมากๆก็เครียดนอนไม่หลับ เลยหอบลูกไปเข้าโรงพยาบาล และดูระดับราคาห้องพักที่แพงขี้นอีกนิดโดยที่ยังไม่เกินเพดานของประกัน ผมก็เลยเลือกห้องใหญ่ที่สามารถวางของได้เยอะ มีที่ให้ลูกเดินเล่นถ้าเขาเดินไหว และลูกยังไม่เข้าใจว่าป่วยคืออะไร พอตื่นนอนก็อยากจะเล่น ต้องเดินเล่นเข็นรถเล่น และที่สำคัญเลือกห้องที่มีพื้นที่ให้ผมนั่งทำงานได้ด้วย คอมพิวเตอร์ แท็บเบล็ท อุปกรณ์การทำงานพร้อมกันบนโต๊ะ ผมเปลี่ยนห้องพักให้เป็นห้องทำงาน และเราก็อยู่กับลูกเกือบ 24 ชม. ค่าใช้จ่ายออกมา 4วัน ประมาณ 6หมื่นบาท

set2-PDSC0144

การ admit ครั้งที่ 3 พอรู้ว่าต้องเข้าโรงพยาบาล ผมก็เลือกห้องใหญ่ จัดกระเป๋าราวกับไปพักรีสอร์ตต่างจังหวัด ลูกเมียและผมเดินทางไปนอนโรงพยาบาลแทบจะลากกระเป๋าเข้าไปเลย การพักในโรงพยาบาลรอบนี้ไม่เครียดอีกแล้ว เพราะลูกไม่ได้ป่วยอะไรที่น่ากลัว แต่ไข้สูงและต้องมอนิเตอร์ตลอดเวลา ซึ่งพยาบาลก็ทำหน้าที่ได้ดี เจ้าหน้าที่ใจดี จำลูกผมได้แล้ว ขาประจำป่วยด้วยโรคยอดฮิต โรคอะไรที่กำลังเป็นข่าวอีกไม่นานก็มาถึงลูกผมเสมอ 3วันในครั้งนี้ค่าใช้จ่ายประมาณ 3 หมื่นบาท

IMG_20171003_114219

มีอีกครั้งที่ลูกตกบันได เย็บที่หัวกี่เข็มก็ลืมไปแล้ว ตอนลูกตกแล้วเราอุ้มขึ้นมา เลือดไหลคามือ ขับรถไปโรงพยาบาลไปถึงโรงพยาบาลเท่าไหร่ก็จะจ่ายให้ได้ รีบเอาลูกไปปฐมพยาบาล รีบทำแผลเถอะ ผ่านชั่วโมงนั้นไปก็หายเครียด ลูกเย็บแผล แล้วก็กลับมานอนบ้านได้ตามปกติ ค่าหมอดูแผลแล้วเย็บ 6 พันบาท นี่คือราคาแถวบ้าน ประกันจ่าย เราไม่ต้องควักเงิน ควักแต่บัตรประจำตัวผู้เอาประกัน มันโอเคมากๆ ไม่มีใครอยากให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นหรอก แต่ถ้าเกิดแล้วเราก็อยากได้การรักษาที่ดีและเร็วที่สุด

P_20160401_121118

IMG_1358.JPG

โรคมือเท้าปาก โรค RSV เฮอแปง… เจ้าโรคเหล่านี้เป็นโรคที่แพร่อยู่ในเด็กเล็ก สลับกันเป็น ถ้าคนในบ้านเป็น คนที่เหลือในบ้านก็อาจจะเป็น ถ้าลูกเพื่อนเป็น ลูกเราก็อาจจะเป็น ลูกคนอื่นเป็น พ่อแม่เขาก็เป็นพาหะ พอผู้ใหญ่เป็นพาหะ ผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่ก็ทำตัวเป็นพาหะ ไม่ป่วยเอง แต่ส่งเชื้อไปติดเด็กคนอื่นในบ้านได้ เด็กไปโรงเรียน เพื่อนในห้องก็ติด เรียกได้ว่าอะไรฮิตมันติดถึงลูกเราแน่นอน

IMG_20171003_092505

ลูกผมโดนสั่งปิดห้องเรียนยกห้องทุกปี เพราะมีกติกาสากลอยู่ว่า ถ้าห้องเรียนห้องไหนมีคนป่วยเกิน 3 คน ห้องนั้นต้องปิด 1 สัปดาห์เพื่อทำความสะอาดห้อง ฆ่าเชื้อ แล้วค่อยให้เด็กมาเรียนใหม่ ระหว่างที่หยุด ก็จะได้เป็นการรอเวลาให้เด็กคนนั้นหายป่วยด้วย เพราะชื้อพวกนี้จะติดอยู่ในร่างกาย 7-10 วัน เลยทีเดียว
ขนาดวันสุดท้ายของรอบประกัน ยังอุตส่าห์ได้ใช้ประกันอุบัติเหตุ กระโดดเล่นแล้วตกลงมา กล้ามเนื้อบาดเจ็บลูกเดินกระเผกอยู่ในบ้านจนต้องพาไปหาหมอ หมอตรวจอยู่สามนาที วิเคราะห์ว่ากล้ามเนื้อบาดเจ็บอยู่ด้านใน ต้องพักอย่าใช้แรง 7 วัน ให้ยาแก้ปวดกลับบ้าน บิลออกมา พันสี่ร้อยบาท

IMG_20170226_094411

คนใช้เงินเดือนชนเดือนจะซาบซึ้งในระบบประกันมาก เพราะมันทำให้เราไม่ต้องควักเงินก้อนจ่ายไป ไม่ต้องแบกหน้าไปยืมใคร คนยืมเงินจะเปลี่ยนเพื่อนเป็นคนแปลกหน้าได้ง่ายๆ เราได้รับการดูแลอย่างดีจากโรงพยาบาลเอกชน คุณภาพสูง โดยไม่ต้องไปต่อคิวที่โรงพยาบาลรัฐบาล เพราะเรามีคนจ่ายให้ ประกันสุขภาพในเด็กมันเหมาะกับคนที่ยังไม่รวย ถ้าคุณมีพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายที่รวย หรือคุณหาเงินได้เยอะ มีเก็บเหลือเฟือ ก็ไม่ต้องสนใจประกันสุขภาพก็ได้ แต่คนเงินน้อย การทำประกันสุขภาพนี่แหละที่ช่วยให้เราเลี้ยงลูกได้อย่างไม่ทุกข์ใจมาก ผมไม่ได้บอกว่าประกันดี แต่มันช่วยให้เราไม่ทุกข์มาก เพราะเราจ่ายล่วงหน้าจำนวนไม่มากให้กับประกัน แล้วประกันก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้เราตอนที่เราต้องการ ยิ่งเดี๋ยวนี้ประกันสุขภาพสามารถผ่อนได้ด้วย จะผ่อน 10 เดือน หรือ 12 เดือนก็เจรจาได้ ไม่มีดอกเบี้ย แล้วพอเด็กอายุเข้าสู่ปีที่ 6 เบี้ยประกันจะลดราคาลงไปเกือบครึ่งในการคุ้มครองดีเท่าเดิม ก็คงอุดหนุนกันต่อไปครับ

IMG_5027

ติดต่อคนขายประกันใกล้ตัวคุณ แล้วให้เขาเลือกแพ็คเกจที่คุ้มครองการรักษาประมาณ 60000-100000 บาท สำหรับโรคยอดฮิตในเด็ก เพราะโรคเหล่านี้ รักษาหาย ลูกคงนอนโรงพยาบาลไม่เกิน 5 วัน ผมคิดว่าลูกเราคงไม่โชคร้ายโดนผ่าตัดใหญ่ๆ แต่ถ้าจะเผื่อผ่าตัดใหญ่ คุณต้องดูวงเงินที่ใหญ่ระดับ 5 แสน ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งเบี้ยก็จะหลายหมื่นบาท เลือกเอาตามที่เหมาะสมครับ.

fuji-20jul-19oct2013-DSCF8253-bw

ต่อทะเบียนรถขึ้นปีที่8

การต่อทะเบียนรถยนต์เมื่ออายุเข้าสู่ปีที่ 8 เป็นการต่ออายุที่ต้องมีการตรวจสภาพรถเสียก่อน  การตรวจสภาพรถจะต้องไปทำที่ศูนย์ตรวจสภาพซึ่งอยู่ตามอู่รถต่างๆ  ส่วนมากจะมีป้ายขึ้นไว้ว่า “ตรอ”  หรือ ตรวจสภาพรถเอกชน  ซึ่งการตรวจก็จะใช้เวลาประมาณ 10 นาที  ค่าใช้จ่าย 200 บาท  เมื่อตรวจเสร็จจะได้กระดาษมา 1 ใบ  สิ่งที่จะต้องเตรียมไปใช้ในการตรวจสภาพก็คือ สำเนาทะเบียนรถที่ถ่ายจากเล่มคู่มือจดทะเบียน  หากไม่ได้พกสำเนา หรือ ลืมถ่ายเอกสารไว้ ก็ใช้วิธีถ่ายรูปก็ได้  เนื่องจากพนักงานตรวจสภาพจะต้องกรอกข้อมูลรถให้ตรงกับเล่มทะเบียนนั่นเอง  ตรงนี้เดาไม่ได้ ต้องลอกตามคู่มือ

เมื่อได้ใบตรวจสภาพมาแล้ว ก็ให้ใช้งานร่วมกับใบคู่มือจดทะเบียน และใบ พรบ ที่ไปซื้อจากร้านค้า หรือ ซื้อจากบริษัทประกันภัยก็ได้  การไปต่อทะเบียนที่สะดวกสำหรับผมคือ ไปที่ บิ๊กซี สาขาที่มีบริการต่อทะเบียนรถ ซึ่งจะทำได้ในวันเสาร์และอาทิตย์  ผมจำเวลาแน่นอนไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่ก็ไปช่วงบ่ายของวัน  ซึ่งวันนี้ผมไปทะเบียนที่บิ๊กซีสาขาบางบอน

2017-06-24_07-44-13

สรุปว่า ต้องมีเอกสาร 3 อย่างนี้เพื่อไปต่อทะเบียนคือ

1  คู่มือจดทะเบียนรถตัวจริง

2 ใบตรวจสภาพรถเมื่อรถอายุเกิน7 ปี รถผมต้องตรวจสภาพครั้งแรกในการต่ออายุเข้าสู่ปีที่8

3  ใบ พรบ คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ

ใช้เวลาในการต่อทะเบียนไม่เกิน 3 นาที  และคิวก็ไม่ยาวด้วย  ผมไปยืนรอแค่คิวเดียวก็ได้ยื่นเอกสารเลย  นับเป็นความสะดวกที่ขนส่งได้จัดบริการไว้ให้ น่าชื่นชมมาก ค่าใช้จ่ายในการต่อทะเบียนปีนี้ของฮอนด้าฟรีดคือ 1150 บาท  ซึ่งเป็นตัวเลขที่ลดลงจากปีก่อนเสียด้วย

อ่านประกาศจากกรมการขนส่งทางบกเรื่องต่อทะเบียนในห้าง
https://www.dlt.go.th/th/public-news/view.php?_did=2312