ไปพัก รีสอร์ท เฌอ ที่ชะอำ กินเค้กบ้านใกล้วัง ที่หัวหิน

ทริปนี้เป็นทริปเร่งด่วนและไม่ได้วางแผนมากนัก เป็นวอยเชอร์ที่แฟนผมเคยซื้อไว้แล้วเมื่อหลายเดือนก่อน และหลังจากเดือนนี้จนถึงวันหมดอายุ คงไม่ว่างไปกันอีกแล้ว เลยต้องรีบใช้สิทธิ์เพื่อไม่ให้เสียเปล่า

เดินทางด้วยรถยนต์คันโปรด Honda FREED รถครอบครัวนั่งได้เยอะ แต่ไปกันสองคน เลยเอาตุ๊กตาหมีติดไปด้วย

ออกเดินทางจากกรุงเทพ 14.30 แวะเติมน้ำมัน E20 เต็มถัง เพื่อทดสอบอัตราสิ้นเปลืองด้วยว่ารถคันนี้กินน้ำมันขนาดไหน เดินทางใช้เวลาไม่นาน สภาพการจราจรค่อนข้างโล่ง ไปถึงที่พักประมาณ 16.30 น. จอดรถ เช็คอิน แล้วก็ถ่ายภาพด้านหน้ากันก่อน เนื่องจากเห็นสภาพท้องฟ้าแล้วสีสวยดี แบบนี้ถ่ายง่าย วัดแสงพอดีฟ้าก็สวยแล้ว

ล็อบบี้ที่นี่สวยมาก สามารถใช้ถ่ายรูปได้ดี โทนสีออกกลางถึงเข้ม ถ่ายภาพยังไงก็แทบจะไม่เสีย ถ้าไม่ย้อนแสงได้ภาพที่ค่อนข้างดีแน่นอน ภาพเหล่านี้ถ่ายด้วยมือถือ samsung รุ่น monte ซึ่งเป็นมือถือที่ถ่ายภาพได้ 3 ล้านพิกเซล ไม่ออโต้โฟกัส ระยะชัดของกล้องมันออกแบบไว้ให้ชัดตั้งแต่ระยะไกลๆจนถึงใกล้ๆประมาณ 1 เมตร เพราะฉะนั้นถ่ายวิวด้วยมือถือตัวนี้ค่อยข้างไว้ใจได้ แถมมี GPS แนบไปกับภาพถ่ายได้ด้วย เวลาเปิดดูในคอมพิวเตอร์จะสามารถดูแผนที่ได้ด้วย

เฌอรีสอร์ท เป็นตึกไม่เล็กไม่ใหญ่ ออกแบบได้ทันสมัย ใช้พื้นที่ได้คุ้มค่าและไม่รกตา ทางเดินด้านข้างก็ยังดูดี ผมชอบมองภาพทางเดินมากว่าภาพด้านหน้าเสียอีก รั้วเป็นแผ่นไม้เรียงตัวกันแทบจะชิดจนบังสายตาได้ แต่ก็ยังมีช่องว่างเล็กๆไว้ให้ระบายความร้อนไม่ให้มันสะสมอยู่ในตึก

เก็บของเข้าที่พักเสร็จแล้วก็ไปหาของกิน ขับรถไปหัวหิน มุ่งหน้าไปที่ร้านน้องเปิ้ล เจตนาจะไปกินที่ร้านข้างๆน้องเปิ้ล แต่หาไม่เจอ เจอน้องเปิ้ลอย่างเดียว ร้านข้างเคียงที่เคยกินก็หายไปไหนไม่รู้ เลยเดินเลือกร้านค้าอยู่สักพัก ไปเจอร้านที่เคยกินอีกร้านหนึ่งคือร้าน ครัวบ้านครู นั่งปุ๊ป สั่งของ แล้วก็ดูวิว

กลับมาถึงที่พักอีกครั้งก็มืดแล้ว ทางรีสอร์ทเปิดไฟสวยดี ล็อบบี้ที่ใช้เพดานเป็นลายฉลุก็ได้โชว์ความสวยงาม ไฟเพดานฝังไว้ด้านข้างตลอดแนวเพดาน ความสว่างกำลังสวยสบายตา เป็นการออกแบบที่ดูดี แต่ก็ไม่รู้ว่าลูกค้าคนอื่่นๆจะมีเวลามาเดินเล่นที่ล็อบบี้ไหม รีสอร์ทสไตล์นี้เหมือนกับว่าจะออกแบบให้ลูกค้าใช้ชีวิตอยู่ในห้องเสียมากกว่า ถ้าอากาศไม่ร้อนมันคงจะน่านั่งคุยกัน ถ้ามีอาหารเครื่องดื่มบริการ หรือมีบอร์ด มีโต๊ะคอมพิวเตอร์ มันใช้ประชุมได้เลย

จบภาพชุดที่ถ่ายด้วยมือถือไปแล้วจะมาต่อด้วยภาพที่ถ่ายด้วยกล้อง DSLR บ้าง โดยใช้ Eos5D และเลนส์ Tanron 28-75 F2.8 เป็นหลัก เพราะแบกมาตัวเดียว

ทางเดินด้านข้างถ่ายด้วยกล้องตัวใหญ่ ลักษณะสีจะอิ่มแน่นกว่า

บางภาพจะเลือกถ่ายมุมเดิมเพื่อเปรียบเทียบกับมือถือด้วย

ตอนเช้าตื่นก่อนแขกคนอื่น หกโมงกว่าก็ออกมาเดิน หน้าร้อนแบบนี้แดดออกเร็วมาก ได้มุมถ่ายภาพหลายภาพ ไม่มีแขกคนอื่นๆมาให้รกสายตา ไปดูบริเวณริมหาด ซึ่งเป็นจุดนั่งชมวิวและกินข้าว

ที่นั่งริมทะเลเป็นโซฟ้าตัวใหญ่ๆ คงเอาไว้นอนดูกันสองคน ถ้าพ้นจากโซฟาก็เป็นน้ำทะเลแล้ว น้ำขึ้นก็ดีไป น้ำลงแล้วน่าหวาดเสียว ตกลงไปขาหัก คอหักแน่ๆ

บริเวณริมหาดนี้จะมีสระน้ำด้วย เป็นอ่างน้ำวนอยู่ภายในสระ ใครอยากจะแช่น้ำในสระก็ทำได้ถ้าไม่อายสายตาคนกินข้าวคนอื่นๆ แต่ถ้ามาแต่เช้ามืด แขกคนอื่นยังไม่ตื่นก็พอไหว

พอหิวก็เริ่มหาของกิน ที่นี่ให้อาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ ที่โต๊ะจะจัดอุปกรณ์การกินไว้แล้ว ตักของมากินได้ตามอัธยาศัย เฟอร์นิเจอร์ที่เลือกใช้ก็ดูดี ภาพร้านอาหารเป็นมุมถ่ายภาพที่ดีเหมือนกัน

ของกินก็จัดไว้น่ากิน ดูดี ถ่ายรูปได้สวยเหมือนกัน

กินเสร็จก็แวะกลับมาอาบน้ำ เก็บของที่ห้องพัก ระเบียงหน้าห้องพักก็เป็นมุมที่ออกแบบน่านั่งใช้ได้ มีโต๊ะ เก้าอี้ และโซฟาเพียงพอให้นั่งคุยกันยาวๆ ถ้ามากันหลายคน มีเรื่องคุยกันเยอะๆ น่าจะสนุกมาก

ก่อนกลับ ขับรถไปที่หัวหินอีกครั้ง ไปกินมื้อเที่ยงที่ร้านเจ๊กแป๊ะ และกินเค้กที่ร้านบ้านใกล้วัง
ที่ร้านเค้กแห่งนี้ค่อนข้างดัง มีหลายคนพูดถึง เลยแวะมาชิมให้รู้ว่าเป็นยังไง
สั่งเค้กมาตามภาพ จานนี้ 90 บาท ราคาแพงระดับโรงแรม แต่ปริมาณค่อนข้างน้อย แบบนี้ถือว่าแพง ที่หลายคนพูดถึงคงเป็นเรื่องของบรรยากาศของร้านเสียมากกว่า

ด้วยความที่เป็นร้านริมทะเล และตกแต่งได้น่ารัก คงเป็นจุดเด่นของร้านนี้มากกว่าคุณภาพของเค้ก

ขากลับถึงกรุงเทพ แวะเติมน้ำมันก่อนถึงบ้าน เติมที่ปั๊มเดิม E20 เช่นเดิม
ระยะทางที่วิ่ง 448 กิโลเมตร เติมน้ำมันเข้าไป 35.24 ลิตร หารออกมาแล้วเท่ากับ 12.7 กิโลเมตรต่อลิตร แต่หน้าปัดของรถบอกอัตราสิ้นเปลืองไว้ 14 กิโลเมตรต่อลิตร สูงกว่าความเป็นจริง ใครจะอ้างอิงตัวเลขในรถต้องระวังด้วยเพราะมันผิดพลาดเยอะเกินไป นับว่าการทดสอบครั้งนี้เป็นตัวเลขการสิ้นเปลืองที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะรถคันเก่าอย่างโตโยต้า โคโลร่ามันทำอัตราสิ้นเปลืองไว้ได้ประมาณ 10-12 กิโลเมตรต่อลิตรอยู่แล้วด้วยน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 95 คันใหม่อย่าง FREED ผมคาดหวังว่าจะได้สัก 13-14 กิโลเมตรต่อลิตร ไว้มีโอกาสยาวๆค่อยๆวัดกันอีกทีด้วยน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 95 เพื่อจะได้เปรียบเทียบกันได้โดยตรง

พาพ่อแม่เปิดหูเปิดตา

ในวันอาทิตย์วันหนึ่งของปี ผมและฮอนด้าฟรีดทำหน้าที่พาคนในครอบครัวไปนั่งรถเล่นไกลๆหน่อย วันนี้เราจะไปกันที่ร้านอาหารสวนทิพย์ซึ่งอยู่ไกลถึงจังหวัดนนทบุรี

ปกติพ่อจะเป็นคนขี้บ่นเวลาต้องเดินทางไกลๆ และชอบเที่ยวคนเดียว แต่ตอนนี้เหตุการณ์เปลี่ยนไปนิดหน่อย ตั้งแต่พ่อเป็นมะเร็ง พ่อก็เปลี่ยนทัศนคติ ยอมนั่งรถไกลขึ้น ยอมให้มีวันครอบครัวบ่อยขึ้น วันนี้เลยวางแผนพามากินไกลถึงนนทบุรี ปกติแค่นั่งรถจากบ้านไปราชดำเนินก็่บ่นแล้ว แม้จะระยะทางเพียงแค่สิบกว่ากิโลก็ตาม ต้องย้อนกลับไปที่เหตุการณ์เมื่อสิบสองปีก่อน วันที่เริ่มทำงานหลังเรียนจบ พาพ่อไปกินร้านอาหารแถวราชดำเนิน วันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายที่พาไปกินไกลบ้าน แต่รอบนี้เตรียมตัวอย่างดีเพื่อป้องกันอาการเบื่อและเสียงบ่น

พี่สาวคนรองแวะมาที่บ้านเพื่อสร้างความครึกครื้น หอบกันไปทั้งคันรถ 5 คน รถ FREED ยังเหลือที่นั่งอีก 1 ที่เล็กๆ ข้อดีของ FREED ก็คือทุกคนได้นั่งโดยที่ไม่ต้องเบียดกัน เนื่องจากร้านอยู่ไกล และไม่อยากให้รู้สึกว่าขับรถนานเลยเลือกจะขึ้นทางด่วนไปลงแจ้งวัฒนะ ระหว่างทางเหยียบเต็มที่เลย เร็วแต่ไม่อันตราย รอบเครื่องค่อนข้างสูงจนน้องชายทักว่าจะขับรถเหยียบแบบนี้ไปทำไม เปลืองน้ำมัน ก็เลยตอบไปว่า ไม่เปลืองหลอก ในใจก็ตอบอีกแบบ (อยากจะทำเวลาให้น้อยที่สุดเพราะพ่อจะได้ไม่บ่นไง)

ในเวลาไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงที่ร้าน ร้านอาหารแนวไทยๆ มีห้องแอร์ มีพื้นที่ด้านนอก เลือกนั่งตามใจ พอได้โต๊ะก็สั่งอาหาร พี่สาวเลือกสั่งของแปลกๆที่พ่อไม่เคยกิน ผลก็คือ บ่นว่าอาหารไม่อร่อย กินเสร็จก็เดินเล่นดูสถานที่ ถ่ายรูปเล่น เดินดูสถานที่จนทั่วก็กลับบ้าน

honda freed โฆษณาแบบนี้ไม่ซื้อได้ไง

กำลังมองหารถคันใหม่อยู่ โจทย์คือต้องเป็นรถอเนกประสงค์ ใส่ของได้เยอะ คนนั่งได้เยอะก็ดี ผู้ใหญ่ควรจะขึ้นลงสบาย เพราะพ่อแม่เริ่มแก่แล้ว พ่อก็ป่วยอาจจะต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยขึ้น ในใจก็มี Honda crv ซึ่งอยากได้มาหลายปีแล้ว เพราะความสวยและมีช่องใส่กระป๋องน้ำค่อนข้างเยอะ ส่วนตัวเลือกใหม่ที่มาแรงและน่าสนใจมากก็คือ Honda freed ซึ่งเป็นรถแวนนั่งได้ 3 แถว และประตูเปิดข้างแบบไฟฟ้า ซึ่งคล้ายรถตู้ราคาแพง เพ่ิมเริ่มค้นหาข้อมูลไปเรื่อยๆก็มาเจอโฆษณาตัวนี้ และรู้สึกว่า เราเหมือนเป็นพระเอกโฆษณาในนั้น เลยต้องตั้งคำถามว่า ไม่ซื้อได้ไง

ประตูเปิดข้างแบบสไลด์ สั่งเปิดและปิดด้วยไฟฟ้า ห้องโดยสารสามารถเดินทะลุจากที่นั่งคนขับไปถึงที่นั่งแถวหลังสุดได้ ขนของได้เยอะ ใส่จักรยานได้ ซึ่งก็คงใส่รถเข็นคนไข้ได้เหมือนกัน อุปกรณ์กล้อง และชุดไฟสำหรับการถ่ายรูปก็คงไม่มีปัญหา ไม่ซื้อได้ไง

ไปดูตัวจริงมาแล้วที่โชว์รูป มีหลายรุ่นย่อย รุ่นท็อปแถม GPS ที่สามารถเล่นเพลงและรับวิทยุได้ ยี่ห้ออะไรก็ไม่รู้ แต่เดาว่าคุณภาพเสียงคงไม่ดี ส่วนรุ่นถูกสุดกับรุ่นกลางจะแถมเครื่องเสียงคนละแบบกับตัวท็อป ก็คือแถม kenwood ไม่มี GPS ดูหน้าตาและพิจารณาถึงยี่ห้อแล้ว มีแนวโน้มว่าจะเสียงดี แถมสามารถเสียบ flash drive ที่่ช่องด้านหน้าได้เลย สะดวกมากสำหรับการก็อปปี้ไฟล์เพลงแล้วเอาไปเปิดฟังในรถ แถมยังมีช่องเสียบ Aux ที่ด้านหน้าอีกต่างหาก ซึ่งจะเอามาใช้กับ iPod ก็ได้ไม่มีปัญหา แค่นี้ก็รู้สึกว่าน่าใช้กว่ารุ่นที่มี GPS เสียแล้ว เพราะไม่รู้เลยว่าไอ้เครื่อง GPS ที่มันสามารถเล่นเพลงได้ มันมีคุณภาพเสียงแบบไหน … เดาๆๆๆๆๆๆๆ เดาว่าไม่ดีหรอก เพราะไม่รู้ว่ามันยี่ห้ออะไรเสียด้วยซ้ำ โนเนมสุดๆ

ถ่ายสินค้าอีกแล้ว

มีงานถ่ายสินค้าเข้ามา เป็นร้านฟาสท์ฟู้ดแห่งหนึ่ง กำลังจะทำแฮมเบอร์เกอร์ขาย ก็เลยต้องถ่ายภาพชิ้นงานเพื่อเอาไปทำใบปลิว รับงานนี้ด้วยความเป็นกันเอง แล้วก็ขนอุปกรณ์ไม่มากไม่น้อยไปถ่ายให้เขา

เริ่มด้วยอุปกรณ์จัดแสง ใช้กล่องใบเดิมที่ใช้งานบ่อยๆเป็นหลัก จัดแสงใช้ไฟแฟลชส่องด้านซ้ายและขวา แสงแฟลชใช้ตัวส่งสัญญาณวิทยุ ปรับกล้องไว้ที่ iso100 รูรับแสงประมาณ f11 เลนส์ tamron 28-75 f2.8 กล้อง Eos5d แฟลชตัวนึงเป็น nikon อีกตัวเป็น canon ซึ่งทั้งสองตัวตั้งค่ากำลังไฟไว้ที่ 1/8


ลองถ่ายสินค้าตัวอื่นๆก่อนเพื่อดูลักษณะภาพ ขวดซอสสีเข้มดูเด่นมากเมื่อถ่ายด้วยกล่องจัดแสงแบบนี้


สินค้าจริงๆก็หน้าตาเป็นแบบนี้ ภาพชุดนี้มีข้อเสียและจุดต้องเอาไปปรับต่ออีกนิดหน่อย คือผักที่เอามาใช้ไม่มีสีเขียวสดแบบที่เคยเห็นตามร้านค้าอื่นๆ จริงๆแล้วอาหารประเภทแฮมเบอร์เกอร์ควรจะใช้ผักกาดหอม(ไม่รู้เรียกถูกรึเปล่า) มาประดับเป็นส่วนประกอบในภาพ เพื่อจะได้ความเขียวที่สดสวยกว่าสภาพจริง แม้ว่าในอาหารที่ขายจริงจะใช้ผักกาดแก้วซึ่งสีจืดกว่าก็ตาม เพราะผักสีจืดมันถ่ายออกมาไม่ค่อยสวย คงต้องเอาไปรีทัชอีกมากเพื่อเปลี่ยนสีผัก


พอถ่ายภาพงานหลักเสร็จแล้วก็มีของแถมกันเล็กๆน้อยๆตามประสาคนกันเอง ไอศครีมพร้อมวัฟเฟิ่ลแบบยาวเป็นตัวอย่างอาหารที่กำลังวางแผนว่าจะทำออกมาขาย ภาพเหล่านี้ถ่ายเอาไว้ใช้ในที่ประชุม กว่าจะเป็นผลงานที่ทำขายจริงๆอาจจะอีกหลายเดือน

ถ่ายภาพดอกไม้

พี่สาวของแฟนกำลังหัดจัดดอกไม้อยู่ พอจัดได้บางแบบก็อยากจะถ่ายภาพเก็บไว้ เห็นตัวอย่างงานแล้ว เอากลับมาถ่ายที่บ้านดีกว่า เพราะอุปกรณ์พร้อมกว่า

วางดอกไม้บนโต๊ะ มีแสงส่งเข้าห้องทางด้านบน ผนังห้องสีสวยทาเต็มพื้นที่กะเอาไว้ใช้งานสารพัดประโยชน์
วัดแสงพอดีทั้งภาพ กล้อง Eos5d เลนส์ Tamron 28-75/2.8
เลยได้ภาพแบบนี้

เพิ่มเติม อีกวันต่อมามีงานเสร็จเพิ่มขึ้น ก็ถ่ายอีกครั้ง
แต่คราวนี้่ถ่าย ณ ที่จริง ไม่ได้ขนกลับมา
จัดไฟสองดวง วางซ้ายขวา ใช้แฟลชไร้สาย ร่มสองตัววางพื้น

ได้ภาพแบบนี้

เดินผ่านสยาม

วันที่ได้ไปติดต่องานที่พาราก้อน เดินผ่านแถวนั้นได้ภาพมาหลายภาพ มีบางภาพก็ตั้งใจถ่ายให้ดูเหมือนแนวเสียดสีสังคม ถ้าเป็นฟิล์ม เป็นกล้องไลก้า และเป็นช่างภาพอยากดัง ก็คงจะเอามาจัดแสดงภาพเป็นแกลอรี่ หรือเอาไปตีพิมพ์ แต่บังเอิญเป็นแค่คนพกกล้องถ่ายรูปเล่นๆ เลยไม่รู้จะเอาไปทำอะไรต่อดี


ขอสวมวิญญาณช่างภาพปากสว่างสักหน่อย
“ภาพนี้ตั้งใจถ่ายให้เห็นความแตกต่างและความเป็นไปของชีวิตในเมือง สยามสแควร์เป็นแหล่งแฟร์ชั่นฟุ้งเฟ้อ เต็มไปด้้วยข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่จำเป็นต่อชีวิต เป็นแหล่งดูดเงินที่สำคัญระดับต้นๆของประเทศ หน้าร้านขายคอมพิวเตอร์ยี่ห้อแอปเปิ้ลซึ่งเป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่มีราคาแพงกว่ายี่ห้ออื่น คนที่ใช้คอมพิวเตอร์ของแอปเปิ้ลมักจะเป็นคนที่ยอมจ่าย เลือกที่จะจ่ายเพียงเพื่อความดูดีเป็นหลัก สาวน้อยที่เดินผ่านไปบนฟุตบาตก็เป็นชีวิตหนึ่งที่เร่ร่อนอยู่ในโลกของความงาม ในขณะเดียวกันขอทานพิการก็เลือกที่จะมาทำมาหากินบนถนนแฟร์ชั่นนี้เช่นกัน”
เป็นไง เน่า และไร้สาระ ไม่พล่ามซะยังดีกว่า ปล่อยคนดูคิดเองคงเป็นหนทางที่ดีที่สุด

สวัสดีปีใหม่ พ.ศ. 2553 happy new year 2010

สวัสดีปีใหม่ครับ
วันนี้ก็เป็นอีกวันที่ผ่านเที่ยงคืนด้วยเสียงพลุอึกทึก ทำเอาเจ้าก๋วยจั๊บมุดหัวอยู่ข้างๆโซฟาในบ้านไม่ยอมออกไปไหน ท่าทางเสียงพลุ เสียงระเบิดจะไม่ค่อยถูกกับสัตว์เลี้ยงเท่าไหร่

ตอนค่ำไปกินข้าวกับที่บ้าน แล้วก็กลับมานั่งดูหนัง มีข้อความส่งเข้าโทรศัพท์มือถือเป็นระยะ แต่ไม่ถี่มากเหมือนปีก่อนๆ ระหว่างนั่งดูหนังพอได้ยินเสียงพลุก็วิ่งออกไปดู คว้ากล้องถ่ายรูปตัวเล็กๆออกไปถ่ายด้วย ไม่มีขาตั้งก็อาศัยวางไว้บนกระจกรถยนต์ แล้วแหงนกล้องขึ้นฟ้า เอียงไปทางด้านที่เขากำลังเล่นพลุกันอยู่ ปรับโฟกัสไว้ที่รูปภูเขา เลือกเปิดหน้ากล้องนาน 4 วินาที กดปุ่มถ่ายรูปตอนที่ได้ยินเสียงพลุออกจากจุดยิง แล้วก็ปล่อยให้มันรับภาพไปตามเวลาที่เลือกไว้ ก็ได้ภาพมาตามนี้เลย ถ่ายสามครั้ง ได้ภาพสองครั้ง ครั้งแรกไม่ได้ภาพ เพราะว่ากดชัตเตอร์ไม่ทัน

my dog and mac - 6apr2007 -IMG_0175

เที่ยวหัวหินกับเพื่อน inc

inc คือคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาระบบควบคุมและเครื่องมือวัด มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี นัดเที่ยวนัดกินกันสักสิบครั้งจะมีหัวหินเกินครึ่ง รอบนี้ก็หัวหินเหมือนเดิม บ้านหลังเดิม ปิ้งๆย่างๆ แล้วก็แวะเดินเล่นในตลาดกลางคืน  จุดพลุเล่นไฟนิดหน่อย

From huahin-19dec2009
From huahin-19dec2009
From huahin-19dec2009
From huahin-19dec2009
From huahin-19dec2009
From huahin-19dec2009

เทคนิคการถ่ายภาพพลุก็คือ ใช้ขาตั้งกล้อง เปิดหน้ากล้องนานๆ โฟกัสไว้ที่คน หรือถ้ายากนัก ก็โฟกัสไปที่อินฟินิตี้ ถ้าเป็นกล้องคอมแพ็ค ก็เลือกโหมดถ่ายภูเขา แล้วก็เปิดชัตเตอร์หลายๆวินาที กะประมาณให้นานพอจะเก็บระยะวิ่งของพลุได้ ประมาณนั้น มั่วๆ ถ่ายไป ไม่ใส่ฟิล์ม ไม่เปลือง

แถมวิดีโอระหว่างที่เดินตลาด

บนท้องฟ้าไม่มีเรื่องราว

โดยส่วนตัวผมเป็นคนที่มักจะมองท้องฟ้าอยู่เรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเป็นนิสัยที่เกิดจากการถ่ายรูป หรือเป็นนิสัยที่แท้จริง บางครั้งฟ้าก็เป็นเหมือนเครื่องกระตุ้นความคิด บางครั้งก็เป็นวิวน่ามอง สวนใหญ่ถ้ามีกล้องอยู่ใกล้ตัวผมจะมองท้องฟ้าบ่อยกว่าปกติ ภาพนี้ก็เป็นภาพตอนเช้ามืด ฟ้าจริงๆที่มองด้วยตาเปล่าเพิ่งจะลดระดับความดำเข้าสู่ตอนเช้าเพียงเล็กน้อย แต่เทคนิคการถ่ายภาพช่วยให้ท้องฟ้าดูสว่างขึ้้นกว่าความเป็นจริง เอากล้องคอมแพ็คตัวเล็กตัวที่กำลังเห่ออยู่หยิบมาปรับกล้อง ดูสภาพแสงแล้วก็ปรับกล้องให้อยู่ในโหมดภูเขา เปิดชัตเตอร์ 4 วินาทีซึ่งเป็นระยะเวลาที่นานที่สุดที่กล้องตัวนี้สามารถทำได้ แล้วก็ตั้งหน่วงเวลาถ่ายภาพหรือ self timer ให้หน่วงไว้ 2 วินาที พอกดชัตเตอร์ก็จะมีเวลาเอากล้องไปวางหงายแล้วก็ให้มันเก็บภาพท้องฟ้า ผมวางกล้องบนรองเท้า กะด้วยสายตาให้มุมกล้องเอียงเล็กน้อยไม่ตั้งฉากกับพื้นโลก แล้วรอ… ผ่านไปสี่วินาทีก็ได้ภาพ สว่างกว่าตาเห็น สีสวยกว่าของจริง มันเป็นมารยาของช่างภาพ

รุ่นพี่แต่งงาน เพื่อนๆช่วยกันเต็มที่

วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม 2552 เป็นกำหนดการแต่งงานของพี่เอ็กซ์ เพื่อนพ้องน้องพี่ที่รู้จักกันก็ช่วยงานกันเต็มที่เลย
คนที่เคยเล่นดนตรีมาด้วยกันก็มาเล่นให้ในงาน ก่อนงานก็มีซ้อมกันมาหลายวัน ก่อนเริ่มงานก็มานัดแนะเพลงที่จะเล่นกันตามประสานักดนตรี

งานนี้ใช้กีต้าร์สองคน เดิมทีซ้อมกันเต็มวง มีกลอง และเบสด้วย แต่วันงาน มือเบสเบี้ยว เลยต้องตัดให้เหลือแค่กีต้าร์สองตัวเท่านั้น


คนที่นั่งอยู่คือเจ้าบ่าว เป็นการเตรียมบันทึกเสียงและปรับแต่งเสียงดนตรีที่จะเล่นในพิธีการ สงสัยไม่มีใครรู้งานเท่าเจ้าบ่าว เลยต้องลงมือเอง ด้านหลังคือนักร้องที่จะร้องบนเวทีด้วย


เบื้องหลังอีกส่วนหนึ่ง นั่งทำการข้างโบสถ์ เตรียมดอกไม้เอาไว้โปรยตอนเสร็จพิธี


ระหว่างพิธีการก็มีการร้องเพลงด้วย น้องคนนี้ดูเหมือนจะเป็นนักร้องหลักของงาน ท่าทางจริงจังน่าเกรงขาม ความตั้งใจเต็มร้อย รอบๆก็มีทีมนักร้องอีกไม่ต่ำกว่าสิบคนคอยร้องประกอบอยู่


สาวสวยเตรียมโปรยดอกไม้


แล้วก็เสร็จพิธีการ ยิ้มสบายๆ ดอกไม้เต็มหัวเลย


กลับมาที่เวทีจัดเลี้ยง พื้นที่บนเวทีที่เคยเตรียมไว้สำหรับวงดนตรีเต็มวง ตอนนี้เหลือแค่มุมนักดนตรีเล็กๆ และที่ยืนของนักร้องอีกนิดหน่อย ดูโล่งไปเลย แต่ก็เรียบง่ายดูไม่น่าเกลียด


มือกลองและเจ้าของเครื่องเสียงทั้งหมด ซ้อมตีกลองกันมาอย่างดี พอไม่ต้องเล่นกลองชุด ก็มายืนคุมเสียงด้านข้าง พร้อมกับช่วยเขย่าเพอคัสชั่นบ้างพอให้เพลงมีสีสัน


การสัมภาษณ์บนเวทีก็อาศัยน้องๆที่เป็นลูกศิษย์ของเจ้าบ่าวมาช่วยดำเนินการ น้องสองคนไหวพริบดี เหมาะจะเป็นนักพูด


นักดนตรีดูจะเครียดมากกว่าใคร เพราะว่าเหลือกันแค่สองคน เล่นผิดนิดเดียวก็จะมีคนฟังออก เลยต้องพยายามกันจนหน้าเครียดไปทั้งคู่เลย


ของชำร่วยในงานครั้งนี้ เจ้าบ่าวทำงานเกี่ยวกับดนตรี เลยเลือกเก็บภาพของชำร่วยกับเครื่องเสียงไว้เป็นหลักฐาน

ภาพชุดนี้ถ่ายภาพด้วยกล้อง canon eos5d เลนส์ tamron 28-75/2.8 ใช้รูรับแสงกว้างสุดตลอดงาน ปรับความไวแสงหรือ iso ตามสภาพแสงจริง ในโบสถ์ประมาณ iso800 ในห้องจัดเลี้ยงแสงเยอะกว่า ส่วนใหญ่จะตั้ง iso ไว้ที่ 400 ถ่่ายภาพในโหมด Raw แล้วเอามาเปิดแปลงไฟล์ ปรับสีเป็นขาวดำด้วยโปรแกรม Photoshop cs2

บรรยากาศในห้องซ้อมดนตรี

รุ่นพี่ที่สนิทกันกำลังจะแต่งงาน และจะมีการเล่นดนตรีในงานเลี้ยงด้วย วงดนตรีเฉพาะกิจเลยถือกำเนิดขึ้น รวบรวมบรรดาเพื่อนๆ พี่ๆ และน้องๆ ของเจ้าบ่าวมาร่วมเล่นดนตรีด้วยกัน ก่อนจะถึงวันจริงก็ต้องซ้อมเพื่อขัดสนิมกันเสียก่อน เลยได้ภาพบรรยากาศในห้องซ้อมดนตรีมาเก็บเอาไว้

ใช้กล้อง Eos5d เลนส์ canon 17-40L แฟรช nikon sb-25 ต่อไร้สายด้วยคลื่นวิทยุ ตั้งใจถ่ายเพื่อเอามาทำเป็นภาพขาวดำโดยเฉพาะ

เที่ยวเขาค้อ 29-31oct2009

หนีไปเที่ยวเขาค้อ ที่เขาว่ากันว่าเป็นสวิสเมืองไทย ไปดูรีสอร์ทของเพื่อนของเพื่อนด้วย บรรยากาศดีจริงสมกับคำล่ำลือ รีสอร์ทและร้านอาหารพรสวรรค์ ร้านกาแฟค๊อฟฟี่ฮิลล์ของเพื่อนของเพื่อนก็ทำได้ดี อาหารอร่อย บรรยากาศดี

ภาพที่พักในภูแก้วรีสอร์ท ถ่่ายตอนใกล้ค่ำ เลนส์ 35f2

จุดชมวิวเขาค้อ เลนส์ 17-40L

ถ่ายหน้าที่พักตอนกลางวัน เลนส์ 35f2 เปิดรูรับแสงกว้างสุด ขอบภาพจะเข้มกว่ากลางภาพ เอาจุดด้อยของเลนส์มาช่วยสร้างสรรภาพ

จุดชมวิวที่ค๊อฟฟี่ฮิลล์ ถ่ายด้วยเลนส์ 35f2 รูรับแสงกว้างสุดเช่นเดิม

นี่ก็เลนส์ 35f2 ถ่ายที่ f2

ยังเป็นภาพในค๊อฟฟี่ฮิลล์เช่นเดิม เลนส์ 35f2 ถ่ายที่ f2

เจดีย์ทางขึ้นเขาค้อ จำชื่อไม่ได้ว่าเจดีย์อะไร ถ่ายด้วยเลนส์ 35f2 ถ่ายที่ f2 วัดแสงพอดีที่ท้องฟ้า

จุดชมวิวและกางเต๊นท์ที่พรสวรรค์รีสอร์ต แสงน้อยแล้ว เอาแฟรชไปวางไว้ที่เต๊นท์คนอื่น แล้วยิงแฟรชเข้าไปในเต๊นท์เลย ถ่ายด้วยเลนส์ 35f2 ถ่ายด้วย f2.5 สปีดประมาณ 1/60

อีกมุมหนึ่งของบ้านพัก ถ่ายด้วย 35f2 รูรับแสง f2 วัดแสงพอดีที่ท้องฟ้า

เด็กน้อยลูกแม่ค้าขายของ ถ่ายด้วยเลนส์ tamron 28-75 ที่่ช่วงซูม 75 รูรับแสง 2.8 เปิดกล้องไว้ที่โหมด Av