สแกนภาพขาวดำ

Untitled

ภาพขาวดำที่ถ่ายด้วยฟิล์มถ้าเราไม่อัดภาพลงบนกระดาษ เราก็ต้องสแกนเป็นไฟล์ดิจิทัลเพื่อดูในจอภาพ การสแกนก็ทำได้ด้วยสแกนเนอร์รุ่นพิเศษที่ออกแบบมาให้สแกนฟิล์มได้ หลายปีก่อนในยุคฟิล์มรุ่งเรือง สแกนเนอร์คุณภาพพอใช้ได้ที่พอจะสแกนฟิล์มได้ก็จะมีราคาหลักหมื่นบาท

ในยุคนี้ที่กล้องดิจิทัลราคาถูกลงอย่างมาก เราก็มีวิธีใช้กล้องดิจิทัลแทนสแกนเนอร์ โดยการ เอาฟิล์มไปวางบนกล่องไฟ แล้วก็ถ่ายภาพจากฟิล์มเลย แล้วก็เอาไฟล์ดิจิทัลที่ได้ไปประมวลผลด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ เอาไปกลับสีเป็นจากเน็กกาทีฟเป็นโพสิทีฟ

คราวนี้เราก็มีวิธีที่ง่ายกว่านั้นโดยใช้กล้องดิจิทัลที่มีโหมดปรับภาพแบบเน็กกาทีฟในตัว ผลก็คือเราจะได้ภาพขาวดำโทนสีปกติทันทีที่ถ่ายภาพเสร็จเลย สะดวกอย่างยิ่ง แถมกล่องไฟที่ใช้ก็ยังสามารถอาศัยอุปกรณ์ชิ้นเล็กๆพกติดตัวเคลื่อนย้ายง่ายได้อีกด้วย เราจะมาดูวิธีการกัน

อุปกรณ์ที่ใช้

Untitled

ฟิล์มขาวดำกับกล่องไฟสำหรับดูสไลด์ กล่องไฟรุ่นนี้เป็นกล่องไฟใส่ถ่านไฟฉาย 2 ก้อน ขนาดหน้าจอแสงสว่างจะใหญ่ประมาณ 6x6cm เป็นกล่องไฟพกพาสำหรับการดูฟิล์มสไลด์ขนาด 120 หรือ 6x6cm นั่นเอง เราเอามาใช้ให้แสงสว่างกับแผ่นฟิล์ม

Untitled

ถ้าเราถ่ายภาพด้วยโหมดสีปกติของกล้องดิจิทัล เราก็จะได้ภาพออกมาเป็นสีโทนน้ำตาล ที่ไม่เป็นสีโทนเทาเพราะหลอดไฟไม่ได้ให้สีขาวจริงๆ แต่ให้สีเป็นสีชา ภาพที่เราได้ก็จะเป็นสีที่เรามองเห็นด้วยตาเปล่า

Untitled

จากนั้นเราก็ปรับโหมดการถ่ายภาพของกล้องดิจิทัลให้เป็นสีแบบ เน็กกาทีฟ ซึ่งกล้องบางตัวจะทำได้ บางตัวทำไม่ได้ ตัวที่ทำได้เราก็จะได้ภาพกลับสีทันที ซึ่งจะได้สีเป็นสีปกติของงานขาวดำ

Untitled

แล้วเราก็เอาภาพที่ได้ไปปรับแต่งคอนทราส หมุนภาพ คร๊อปภาพได้ตามใจ อย่างในภาพสุดท้ายนี้คือเอาไปผ่านโปรแกรม snapseed ซึ่งเป็นโปรแกรมแต่งภาพที่อยู่ในสมาร์ดโฟน สามารถหาโหลดมาลงได้ไม่มีค่าใช้จ่าย

ส่วนภาพบนสุดที่มีขอบภาพหน้าตาประหลาดนั้นเป็นการเอาภาพที่ปรับเสร็จแล้วไปผ่านโปรแกรมของ polaroid ซึ่งหาโหลดได้ฟรีเช่นกัน ขอบภาพที่เห็นเป็นเส้นกากบาทนั่นคือขอบภาพเลียนแบบภาพ polaroid จากกล้อง SX-70 ในอดีต

ถ่ายภาพขวด

ถ่ายภาพขวดน้ำผึ้งของเพื่อนคนหนึ่งเพื่อเอาไปทำโบรชัวร์และเอกสารต่างๆ ถ่ายภาพโดยวางของไว้ในกล่องสีขาว ใช้ไฟแฟลช 1 ดวงยิงจากด้านบน เป็นงานถ่ายภาพสินค้าที่เรียบง่ายและเร็วและได้ภาพที่ดูดีเพียงพอสำหรับงานแคตตาล็อกสินค้า

น้ำผึ้งยี่ห้อ มีวาสนา มีหลายรส หลายกลิ่น

เบื้องหลังการถ่ายภาพจะเป็นการจัดไฟแบบนี้

แหวนแต่งงาน 6 เดือนต่อมา

IMG_8401   แหวนวงนี้ผมใส่มา 6 เดือนแล้ว ไม่เคยถอดเลย เพิ่งจะถอดมาลองถ่ายรูปเล่นนี่แหละ ปกติคนใส่แหวนเขาถอดล้างกันบ้างหรือเปล่าก็ไม่เคยรู้ ดูสภาพแล้วเยินอย่างบอกไม่ถูก หกเดือนที่แล้วก่อนจะใช้งานมันเป็นแบบนี้ DSCF1394

กล้อง canon eos5d เลนส์ canon macro100mm แฟลช nikon sb25 ต่อกับกล้องด้วยทริกเกอร์ไร้สาย

เตรียมงานแต่งงาน season2 การ์ดเชิญ

ตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องนี้ก่อนแต่งงาน แต่การเตรียมงานแต่งงานของผมก็ค่อนข้างยุ่ง เลยไม่ได้เขียนบล็อกอีกพักใหญ่ๆ และพอผ่านงานแต่งงานไปแล้วก็มีงานค้าง มีการเดินทางเข้ามาแทรกบ่อยๆ บทความนี้เลยถูกดองไปนานหลายเดือน

สิ่งพิมพ์ในงานแต่งงานเป็นของคู่กัน จะแต่งงานก็ต้องแจกการ์ด การ์ดเชิญงานแต่งงานทั่วไปก็จะเป็นการ์ดพับขนาดพับแล้วประมาณ 5×7 นิ้ว ใส่ซองสวยๆมีลวดลาย ผมก็เป็นคนที่พิมพ์การ์ดให้คนอื่นอยู่บ่อยๆ บางคนแหวกแนวหน่อยนึงก็ทำเป็นการ์ดเดี่ยว พิมพ์หน้าเดียวบ้าง สองหน้าบ้าง พิมพ์เป็นตัวหนังสือสีทองหรือสีเงินบ้าง ผมค่อนข้างเบื่อกับการ์ดต่างๆ เพราะที่เคยได้รับการ์ดเชิญมา มันก็ดูคล้ายๆกัน เวลาผ่านไปก็วางไว้ในลิ้นชัก นานๆเปิดเก๊ะออกมาดู มีการ์ดกองไว้เป็นปึก ดูผ่านๆก็ไม่รู้ว่าของใครบ้าง

ผมก็เลยตั้งใจว่าต้องออกแบบการเชิญให้เขาอยากเก็บการ์ดของผม ไม่ทิ้งขว้างหรือกองไว้แล้วดูไม่รู้ว่าเป็นการ์ดของผมเอง ก็เลยเป็นที่มาของการ์ดใหญ่ผิดปกติ และการ์ดเล็กที่ไม่ปกติเช่นกัน

การ์ดใหญ่ของผมจะขนาดใหญ่ประมาณ 13×18 นิ้ว พิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดิจิทัลบนกระดาษ ACQ 300g  จากนั้นก็จะเอาไปทากาวประกบกับกระดาษแข็งเบอร์ 16  เพื่อให้มีความหนา  สามารถจะหยิบถือแล้วทรงตัวเป็นป้ายได้เลย  การแจกการ์ดของผมก็คือจะเอาป้าย(การ์ดเชิญ) ไปให้เพื่อนถือแล้วถ่ายภาพนั้นไว้  จากนั้นก็จะปริ๊นท์ภาพถ่ายออกมาให้เพื่อนเป็นการ์ดเชิญ  ดูในภาพจะเห็นข้อความบนป้าย  มีรูปของเพื่อนอยู่ในนั้นมันทำให้การเชิญของผมน่าจะเป็นที่จดจำ และการ์ดของผมคงถูกทิ้งช้าลง หรืออาจจะไม่ถูกทิ้งเลย เหมือนกับที่ผมเก็บรูปถ่ายของตัวผมเองไว้ ไม่เคยคิดจะทิ้ง  อาจจะมีลืมว่าเก็บไว้ที่ไหน แต่จะไม่ทิ้ง

ให้เพื่อนถือแล้วก็ถ่ายภาพเก็บไว้

ผลัดกันถือ  อิริยาบถต่างกัน ตามสบายเลย

บางคนติดธุระอยู่  บอกให้ถือก็ถือ  ไม่ได้สงสัยว่าจะทำอะไร

บางคนหลับอยู่ ถือไม่ได้ ผมก็วางพาดเลย  แล้วก็ถ่ายภาพเก็บไว้

หลังจากนั้นก็อัดภาพให้กับเพื่อนๆทุกคน  สำหรับเพื่อนคนที่หลับผมก็อัดแล้วก็เอาไปวางบนตัวมัน ถ่ายภาพเก็บอีกทีหนึ่งเอาไว้แซวกันเล่นๆตอนแก่  ว่าตอนแจกการ์ดมันหลับอยู่  ไม่รู้ตัวเลย

ผมตั้งใจทำให้งานแต่งงานของผมมีความน่าสนใจ  ไม่อยากให้เพื่อนลืมง่ายๆ  อะไรที่ชาวบ้านเขาทำกันผมไม่ทำเลย  มันเป็นคอนเซ็ปแรกของการแต่งงานของผม

japan trip 14-19 july 2011

ไปญี่ปุ่น

ผมกับแฟนวางแผนไปญี่ปุ่นกัน ทีแรกคิดว่าจะได้ไปสบายๆเหมือนคู่ฮันนีมูนทั่วไป ที่ไหนได้ แบกเป้ ลากกระเป๋าเดินกันอย่างเป็นจริงเป็นจัง ได้ขึ้นรถไฟฟ้าทั้งบนดิน และใต้ดินจนแทบจะจำแผนที่ในโอซาก้าได้แล้ว สิ่งที่ประทับใจก็คือเราได้มาเห็นว่าบ้านเมืองที่เจริญแล้วมันเป็นอย่างไร ดูเขาแล้วก็เอาใจช่วยบ้านเรา ญี่ปุ่นเขามีรถไฟฟ้าใต้ดินกันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1930 ตามการหาหลักฐานของผมเอง โดยหาจากวิดีโอใน youtube ซึ่งไปพบว่ามีภาพการก่อสร้างรถใต้ดิน การขนรถจักรลงไปในอุโมงค์ ฯลฯ เทียบกับบ้านเรา ประเทศไทย บ้านเมืองที่ไหว้รากไม้มากกว่าไหว้คนให้ความรู้ กว่าพวกเราจะมี รถใต้ดิน มันก็ต้องรอถึงปี ค.ศ. 2004 ช้ากว่าญี่ปุ่นแค่ 74 ปีเอง

ภาพถ่ายในทริปนี้ใช้กล้อง Fuji x100 ซึ่งผมตั้งใจซื้อมาเพื่อใช้ถ่ายภาพเล่นๆในงานแต่งงานของผมเอง และใช้ถ่ายภาพทั่วไปแทนกล้องตัวใหญ่ ด้วยความเล็กกระทัดรัดทำให้การเดินทางท่องเที่ยวมีความสนุกมากขึ้น ไม่เป็นภาระในการพกพา ภาพที่ได้ค่อนข้างมีคุณภาพสูงใกล้เคียงกับกล้องตัวใหญ่ๆ ถือว่าเป็นการซื้อของที่มีคุณภาพดีอีกรายการหนึ่ง

ทดลองโพสท์ทางอีเมล ทดลองถ่ายภาพพาโนราม่าด้วย

ทดลองถ่ายภาพพาโนราม่าด้วยกล้อง fuji x100

ทดลองโพสท์วิดีโอ การทำการ์ดแต่งงาน

รับงานถ่ายภาพที่พัทยา ไปๆกลับๆ

สัปดาห์ที่แล้ว พี่ที่รู้จักท่านหนึ่งโทรมาถามเรื่องถ่ายภาพ ต้องการให้ไปถ่ายภาพงานสัมมนางานหนึ่ง ตัวงานจัดสามวัน มีวันที่ต้องการถ่ายรูปเน้นๆ 1 วัน คือวันแรก ซึ่งเป็นการประชุมบนเรือยอร์จ ตามกำหนดการคือต้องถ่ายภาพวันศุกร์ 9.00 น. เป็นต้นไป เพราะเรือจะออก 10 โมง

ผมไปถ่ายภาพเองไม่ได้ เพราะติดงาน แต่ก็รับงานไว้ เพราะวางแผนการถ่ายไว้แล้วว่าจะต้องใช้ช่างภาพสองคน ก็เลยติดต่อเพื่อนสองคน โชคดีที่เขาว่าง (ยอมโดดงานอื่นมารับงานนี้) ภาพที่ถ่ายจะต้องเอามาปริ๊นท์ด้วยเครื่องพิมพ์ขนาดเล็ก และเอาภาพพิมพ์ไปทำเป็นปกสมุดโน้ต และหลังจากวันแรก จะมีการถ่ายภาพที่ระลึกเพื่อติดกับการ์ดใบหนึ่งด้วย สรุปคืองานมีสองแบบ

สมุดโน๊ตเป็นลักษณะเข้าเล่มด้วยห่วงเหล็ก วันก่อนงานผมเตรียมไส้ในสมุดโน้ต และปกหลัง ทำการเจาะรูให้พร้อมสำหรับทำเล่มไว้แล้ว รอแค่ภาพปกมาประกบเท่านั้น ผมยกเครื่องเจาะรูและเข้าเล่มห่วงไปที่งานด้วย เตรียมกระดาษปริ๊นท์รูปไป 5 กล่อง เพราะคาดว่าจะมีการทำสมุด 100 เล่ม และเผื่ออีก 400 สำหรับการถ่ายภาพติดการ์ดเป็นที่ระลึก ตัวกระดาษการ์ดผมพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดิจิทัล fujixerox 700 เตรียมก่อนงาน 12 ชั่วโมง

วันศุกร์เช้ามืด ผมนัด 05.30 น. ที่บ้านผม เพื่อนมากันครบสองคน ออกเดินทางไปพัทยา แวะกินข้าวที่ปั๊มน้ำมัน 08.00 น. ผมกับเพื่อนอีกสองคนก็ขนของลง ณ จุดทำงาน อธิบายวิธีการทำงาน และนัดแนะกับเจ้าภาพเรียบร้อย แล้ว 9.00 น. ผมก็ออกมาจากพัทยา กลับมาที่ทำงานเพื่อทำงานอื่นๆต่อ และกลับมาทำการ์ดติดภาพอีกชุดหนึ่ง เพราะเพิ่งจะนึกออกว่า ต้องมีการ์ดสองแบบ ผมเตรียมไปแค่แบบเดียว

ปล่อยเพื่อนทำงานตอนกลางวันไป ผมเตรียมของเพิ่มเติมที่กรุงเทพ ให้เพื่อนพักที่พัทยา 1 คืน วันรุ่งขึ้นสิบโมงผมก็เดินทางไปพัทยาอีกรอบหนึ่ง ไปถึงเกือบบ่ายโมงเพราะรถติดที่ถนนบายพาส ถนนก็ดี แต่รถยังติด รถบรรทุกไม่เคยเจียมตัว ถนนสี่เลนส์มันเล่นวิ่งกันสามเลนส์ เหลืออีกเลนส์ให้รถเก๋ง รถกระบะวิ่ง มันก็เลยติด

ไปถึงก็ไปช่วยเพื่อนทำงานนิดหน่อย ถ่ายภาพที่ระลึกจำนวนไม่เยอะ แต่ก็มีคนมาถ่ายอยู่เรื่อยๆ ผมอยู่ช่วยจนถึงค่ำ แล้วก็ขนของกลับ แวะกินข้าวข้างทาง ออกจากพัทยาสามทุ่ม ถึงบ้านห้าทุ่ม หลับสนิทเลย

ทดสอบ macbook air 11 นิ้ว ภาค 2

ผมใช้เครื่อง macbook air มาประมาณ 1 สัปดาห์ เป็นการใช้งานที่รู้สึกดี เพราะมันเร็วถูกใจ ความเร็วจากการเปิดเครื่องปิดเครื่อง เปลี่ยนโปรแกรมทำได้ดีโดนใจ มันเป็นจุดเด่นจากการที่ใช้ตัวเก็บข้อมูลแบบ SSD และความดีความชอบจากระบบบัสที่เร็ว สิ่งที่จะเป็นจุดอ่อนของ macbook air ที่ใช้ความเร็วซีพียูแค่ 1.4Ghz ก็คือการประมวลผลหนักๆ เพราะการประมวลผลจะใช้ความสามารถของซีพียูเป็นหลัก ผมก็เลยลองให้มันประมวลผลภาพสักชุดหนึ่ง

ผมเตรียมไฟล์ภาพชนิด Raw ถ่ายด้วยกล้อง eos 5d ความละเอียด 12 ล้านพิกเซล แล้วทำการแปลงไฟล์ raw ให้เป็น jpg ด้วยโปรแกรม digital photo professional หรือ dpp รุ่น 3.8 ของ canon โดยผมจะทำการสั่งให้แปลงไฟล์จำนวน 10 ไฟล์แล้วดูเวลาที่มันสร้างไฟล์ JPG ออกมา ว่าภายในเวลา 1 นาที macbook air 1.4Ghz หน้าจอ 11 นิ้วตัวนี้ทำได้กี่ไฟล์ ผลลัพธ์เป็นไปตามภาพ นั่นคือ ในเวลา 1 นาทีมันสามารถทำได้ 5 ภาพ

สรุปว่าความสามารถการแปลงไฟล์เป็นสัดส่วนตามความเร็วของซีพียู core2duo รุ่นอื่นๆ เพราะเครื่อง mac mini ความเร็ว 2.0Ghz ผมสามารถแปลงไฟล์ได้ประมาณ 7 ภาพต่อนาที และ macbook pro ความเร็ว 2.2Ghz ผมทำได้ประมาณ 9 ภาพต่อนาที

ถ่ายรูปพระเครื่องตอนที่ 2

หลังจากที่ถ่ายรูปเหรียญพระแบบโลหะมันวาวไปแล้วในตอนทีึ่ 1 ผมก็พบว่าภาพเหรียญโลหะมันคมชัดดี แต่สีสันไม่ไม่เหมือนการมองด้วยตาเปล่า โลหะจะมีความมัน และความมันก็สะท้อนกับสิ่งแวดล้อมอื่นๆจนเห็นเป็นสีดำ ผมเข้าใจว่ามนสะท้อนกับเพดานด้านบน ซึ่งเป็นส่วนที่ไม่โดนแสงแฟลช ทำให้มันได้ภาพสะท้อนมืดๆอยู่บนผิวโลหะ เลยมองเห็นเหมือนเป็นสีเข้มๆดำๆ

อย่างภาพตัวอย่าง ตรงกลางเหรียญควรจะเป็นโทนสีเหลือง กลับกลายเป็นสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ เป็นปัญหาเงาสะท้อนชนิดหนึ่ง ใครที่ไม่เคยเห็นขั้นตอนการถ่ายภาพวัตถุมันวาวจะไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร ต้องให้คนที่เคยถ่ายภาพมาอธิบายถึงจะรู้ที่มาที่ไป ตอนผมหัดถ่ายภาพกับอาจารย์ท่านหนึ่ง ท่านก็อธิบายหลักการถ่ายภาพวัตถุมันวาวเอาไว้ นั่นคือจะต้องถ่ายในมุ้ง หรือในเต๊นท์

ผมวิเคราะห์ว่า การมีเต๊นท์หรือมุ่งมาคลุมวัตถุมันวาวเอาไว้ จะทำให้ภาพของผนังเต๊นท์ไปปรากฏอยู่บนผิววัตถุ การมีพื้นที่สีขาวเยอะๆไปสะท้อนให้เกิดภาพบนผิดของวัตถุมันวาวจะทำให้สีที่ปรากฏขึ้นเป็นการผสมระหว่างผิววัตถุกับผนังเต๊นท์ ดังนั้นถ้าเราทำให้วัตถุอยู่ในพื้นที่ห้อมล้อมด้วยสีขาวทั้งหมด ภาพสะท้อนก็จะเป็นสีขาว ก็คือเป็นการทำให้สีของวัตถุสว่างขึ้นนั่นเอง อย่า อย่าเพิ่ง งง

ผมไม่มีเต๊นท์ ก็เลยอาศัยว่าถ่ายในขวดน้ำผ่าครึ่ง เหมือนตอนที่แล้ว แต่เพิ่มเติมการปิดด้านบนด้วยกระดาษขาวมาคลุมไว้ ผมติดกระดาษขาวเข้าไปกับเลนส์ แล้วก้มลงไปถ่ายภาพในขวด กระดาษแผ่นจะทำหน้าที่เหมือนฝากระป๋อง คลุมกระป๋องเอาไว้ทั้งหมด ทำให้วัตถุเหมือนอยู่ในเต๊นท์

ซึ่งก็จะให้ผลลัพธ์เป็นแบบภาพนี้

แบ็คกราวน์ไม่เหมือนเดิมเพราะวางกระดาษแข็งลงไปบนพื้นด้วย

doctor portrait

มีงานด่วนให้ไปถ่ายภาพคุณหมอ เป็นคลีนิคเกี่ยวกับแอนไทเอจจิ้ง หรือ คลีนิคชะลอความแก่ ใครไม่อยากแก่ต้องแวะมาใช้บริการคลีนิคประเภทนี้

ได้รับการติดต่อตอนสามทุ่ม วันรุ่งขึ้นก็ไปถ่ายเลย ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมง ส่วนใหญ่เป็นการรอคุณหมอซะมากกว่า อุปกรณ์ที่เตรียมไปก็มี กล้อง canon 5d เลนส์ tamron 28-75 f2.8 ตัวส่งสัญญาณแฟลชไร้สาย แฟลชสองตัวเป็น nikon sb-25 และ sb-26 ขาตั้งแฟลช 2 ตัว ขาตั้งกล้อง manfrotto และร่มสีขาว 2 ตัว

สาเหตุที่ใช้แฟลชนิคอนก็เพราะว่า แฟลชของนิคอนมีระบบ stand by ที่ฉลาดกว่า ก็คือ เมื่อไม่ได้ใช้งาน 1 นาที แฟลชก็จะเข้าสู่โหมด stand by และเมื่อกดสั่งให้แฟลชทำงานอีกครั้ง แฟลชก็จะติดขึ้นมาทันที ไม่เหมือนแฟลของ canon ที่เข้าโหมด stand by แล้วจะต้องปิดและเปิดใหม่เท่านั้น ไม่สามารถกระตุ้้นด้วยคำสั่งยิงแฟลขได้

ภาพที่ถ่ายภายในห้องตรวจจะไม่ใช้ร่มร่วมด้วย เพราะว่าสภาพห้องค่อนข้างแคบ แต่ผนังและเพดานเป็นสีขาว เลยใช้ยิงสะท้อนเข้ากับกำแพงแทน ซึ่งก็ให้คุณภาพแสงที่พอใช้ได้

จากนั้นก็ออกมาถ่ายด้านนอก

มาเพิ่มเติมเนื้อหาบางส่วน
ในห้องที่ถ่ายภาพเดี่ยวทีละคน จัดแสงโดยการใช้แฟลชสองตัวยิงเข้าผนังฝั่งตรงข้ามกับแบบทั้งหมด

ตอนถ่ายผมยืนหันหลังให้กับจอทีวี แบบอยู่ด้านหน้าผม ไฟจะสะท้อนผนังแล้ววิ่งเข้าสู่แบบเหมือนกับเป็นการจัดไฟซ้ายและขวา ยิง 45 องศาเข้าไป

ถ่ายรูปพระเครื่อง

การถ่ายรูปพระเครื่องถือเป็นงานถ่ายภาพมาโครประเภทหนึ่ง หลักการถ่ายภาพแนวมาโครก็มีรูปแบบที่ค่อนข้างชัดเจน คือใช้เลนส์มาโคร ใช้ขาตั้ง ใช้ระบบแฟลชเพื่อความสะดวก จะถ่ายตอนกลางวันหรือกลางคืน แสงของสภาพแวดล้อมก็จะไม่มีผลต่อภาพ

โจทย์การถ่ายภาพพระเครื่องโดยเฉพาะเหรียญโลหะมันวาวเป็นโจทย์ที่เพื่อนคนหนึ่งให้ไว้ เพราะว่าที่ผ่านมามีปัญหาว่าเขาไม่สามารถถ่ายให้ภาพชัดและสีสวยได้ ผมฟังแล้วก็นั่งนึกถึงวิธีการจัดแสง พอรับปากได้ตัวอย่างเหรียญโลหะมา ก็เอามาลองจัดไฟตามแบบที่เคยนึกเอาไว้

การถ่ายของมันวาวควรจะถ่ายในสภาพที่มีวัสดุสีขาวห่อหุ้มเอาไว้ ผมเลยนึกถึงขวดพลาสติกขนาดใหญ่ เนื้อขาวขุ่น เอามาตัดด้านบนออกแล้วก็ยิงแสงแฟลชเข้าไปด้านข้างขวด วัตถุที่อยู่ในขวดก็จะได้แสงสว่างที่นุ่มนวล กล้องถ่ายภาพจะถ่ายจากด้านบน เพื่อบันทึกภาพในแนวดิ่ง ซึ่งเป็นภาพที่จะให้รายละเอียดของพระเครื่องหรือเหรียญโลหะที่ครบถ้วน นึกแล้วก็จัดสภาพตามนี้

ตัวเลนส์ใช้ ef100 macro f2.8 แฟลชใช้ nikon sb25 และ sb26 ส่งสัญญาณแฟลชด้วยทริกเกอร์ไร้สาย ค่าแสงที่ลองถ่ายอยู่ที่ f16 ความเร็วชัตเตอร์ 1/125 วินาที ตอนถ่ายภาพก็ค่อนข้างยาก เพราะว่ากล้องต้องวางในแนวดิ่ง เลนส์ชี้ลง แบบนี้ต้องใช้ขาตั้งราคาแพงเท่านั้น เพราะขาตั้งราคาถูกไม่สามารถจัดระนาบกล้องให้ถ่ายแนวดิ่งได้ ภาพออกมาตามนี้

ลองเอากระดาษมารองด้านหลังของวัตถุดู เพื่อเพิ่มฉากหลังให้มีลวดลายอื่่นๆแทนที่จะเป็นเนื้อพลาสติก

ผมดูภาพแล้วก็ไม่ค่อยถูกใจเท่าไหร่ แม้ว่าความคมชัดของภาพอยู่ในเกณฑ์ที่ชัดเพียงพอ แต่สีสันยังไม่สวย ยังไม่สามารถบอกว่าภาพนี้เป็นภาพที่สวยได้ เลยลองจัดแสงแบบอื่นดูบ้าง ก็เลยหาอุปกรณ์ใกล้ตัวชิ้นอื่นๆที่น่าจะพอใช้ได้มาลองดู ก็เลยลองกับ ring flash ดู

การใช้ Ring flash จะต้องให้เลนส์ถ่ายภาพอยู่ในพื้นที่ของวงแหวน ผมก็เลยจัด ring flash ไปต่อกับแฟลช nikon sb-25 แล้วใช้ตัวทริกเกอร์เป็นตัวส่งสัญญาณ วางวงแหวนไว้ในแนวราบ เวลาถ่ายจะต้องเอาเลนส์ไปสอดไว้กลางวงแหวน

ภาพที่ได้เป็นแบบนี้

ภาพจาก ring flash มันดูดีขึ้น ผมไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะฉากหลังเป็นสีเขียว หรือลักษณะแสงมันช่วยให้ดูดีกว่าแบบวางในขวดพลาสติก แต่ก็จำหลักการเอาไว้เพื่อใช้ถ่ายภาพชิ้นอื่นๆต่อไป

ทดสอบ ring flash ราคาประหยัด

Ring Flash คือตัวกระจายแสงแฟลชแบบวงแหวน มีแสงออกจากตัวมันโดยรอบ การใช้งานก็ต้องวางวงแหนวไว้รอบเลนส์ถ่ายภาพ ลักษณะการใช้ Ring flash ได้รับความนิยมมาจากการถ่ายภาพฟัน ถ่ายภาพช่องปาก แล้วก็เลยเถิดมาสู่การถ่ายภาพมาโคร และก็มาถึงการถ่ายภาพบุคคล

Ring Flash ที่ทดสอบในบทความนี้เป็นรุ่นของเทียม คือมันเป็นเพียงวงแหวนสะท้อนแสงภายใน แหล่งกำเนิดแสงจะต้องเป็นแฟลชอีกตัวหนึ่ง ตัวมันเองมีหน้าที่บังคับทิศทางแสงเท่านั้น ซึ่ง Ring flash ของแท ตัววงแหวนมันจะต้องเปล่งแสงจากตัวเองได้เลย แต่มันก็จะมีราคาแพงมาก ยิ่งวงแหวนใหญ่ ยิ่งแพง Ring flash แบบอนาถาเลยเป็นเพียงวงแหวนกระจายแสงเท่านั้น ซึ่งคุณภาพก็จะด้อยกว่าของแท้ แต่มันก็พอใช้ศึกษา พอใช้งานทั่วๆไปได้บ้าง

ภาพโชว์ตอนมันทำงานผมติด Ring Flash ไว้กับ Flash ของ nikon แล้วก็รับสัญญาณแฟลชจากทริกเกอร์หรือตัวส่งสัญญาณแบบไร้สาย

ตอนทดสอบการใช้งานแบบปกติจะต้องติดแฟลขบนกล้อง และ เอา Ring flash ล้อมรอบเลนส์เอาไว้ เวลาถ่ายภาพวัตถุจะทำให้ไม่มีเงาอยู่ในฝั่งตรงข้ามกับแฟลชแบบปกติ แต่พอใช้งานจริงๆแล้ว ภาพจาก ringflash มันกลับทำให้มีเงาทั้งสองข้าง แต่เป็นเงาที่จางลง ซึ่งสามารถทำให้หายไปได้ถ้าเลือกให้ความไวชัตเตอร์ต่ำพอจะให้แสงรอบข้างมันสว่างจนลดผลของเงาได้ ยิ่งอธิบายก็ยิ่งงง เอาเป็นว่า ลักษณะเงาของ ring flash มันจะแตกต่างไปจากปกติ และมันเป็นรูปแบบที่เหมาะกับภาพที่ต้องการรายละเอียดของวัตถุเป็นหลัก

ลองหันไปถ่ายแฟลชติดทริกเกอร์บนขาตั้ง ถ่ายแบบวัดแสงให้อันเดอร์นิดหน่อย จะเห็นว่าฉากหลังมืดๆจะทำให้เห็นเงาของแฟลชอยู่ทั้งสองด้านของวัตถุ ส่วนวัตถุได้รับแสงพอดีจาก ring flash

การจะลดเงาฉากหลังลงก็ปรับค่าการรับแสงของกล้องให้พอดี หรือ วัดแสงโอเวอร์นิดหน่อย บางคนอาจจะเรียกว่าเป็น fill in คือใช้แสงแฟลชและแสงธรรมชาติในระดับพอดีทั้งหมด ภาพก็จะเป็นแบบนี้

หันไปถ่ายชั้นวางของ

ถ่ายรูปบล็อกปั็มไดคัท ลักษณะแสงแฟลชจะส่องไปทั้งซ้ายและขวา ทำให้ไม่เกิดเงาดำ แต่ก็จะเห็นเป็นเงาจางๆแทน

ลองเทียบลักษณะแสงกับแฟลชธรรมดา โดยแฟลชทั้งคู่ติดบนขาตั้ง รับคำสั่งจากทริกเกอร์ ภาพนี้แฟลชวางหันเข้ากำแพง ระดับกำลังไฟสว่างมากทำให้ดูไม่รู้ว่าลักษณะการกระจายแสงของมันเป็นอย่างไร

ปรับรูรับแสงของกล้องให้แคบลง จะเห็นว่าแฟลชปกติ กับ ring flash มีลักษณะการกระจายแสงไม่เหมือนกัน และถ้าดูให้ละเอียดอีกนิดจะสังเกตว่า สีที่วิ่งออกจาก ring flash มันจะติดสีแดงอย่างเห็นได้ชัด การเอาไปใช้งานควรจะต้องคำนึงถึงความเพี้ยนของสีให้ดีด้วย

เอามือไปวางไว้หน้าแฟลชปกติแล้วถ่ายภาพ

เอามือไปวางไว้หน้า ring flash

พอลอง ring flash เสร็จ เลยถือโอกาสลองแฟลชในแบบปกติด้วย แล้วปรับตั้งเพื่อหาความแตกต่างหลายๆแบบ อย่างเช่น ภาพนี้ ด้านซ้ายปรับระยะซูมหน้าแฟลชไว้ที่ 24mm ส่วนด้านขวาตั้งค่าซูมแฟลชไว้ที่ 85mm ผลก็คือด้านซ้ายวงกว้างกว่า แสงกระจายตัวกว้างกว่า และให้ความสว่างต่ำลง ส่วนด้านขวาซูมเยอะหมายถึงรวมแสงเข้าด้วยกัน การกระจายตัวก็จะแคบกว่า แสงที่บีบมารวมกันก็จะทำให้สว่างกว่า

สรุปแล้ว Ring Flash เป็นลักษณะการใช้แฟลชที่เน้นการถ่ายเพื่อเก็บรายละเอียด ส่วนลักษณะเงาที่เกิดขึ้นก็ถือว่าเป็นลักษณะเฉพาะตัว ซึ่งอาจจะไม่ได้ถูกใจอย่างที่คิดไว้ แต่ก็ดีกว่าการใช้แฟลชแบบปกติเพื่อถ่ายวัตถุ เพราะเงาดำจะจางลงไปเยอะเมื่อใช้ ring flash