สังเกตความเปลี่ยนแปลง 7 วัน

IMG_20190822_064608

ขอบฟ้ามีการบ้านโครงงานวิทยาศาสตร์ให้สังเกตุความเปลี่ยนแปลงของใบไม้หรือดอกไม้ 7 วัน ก็เลยจัดการเด็ดดอกไม้ และใบไม้มาอย่างละ 1 ชิ้น เพื่อคอยถ่ายภาพบันทึกไว้ทุกวัน โดยพ่อกับแม่ช่วยกันคิดแล้ว เลือกวิธีถ่ายภาพน่าจะง่ายสำหรับขอบฟ้ามากกว่า เพราะการจดบันทึกด้วยการวาดเป็นสิ่งที่น่าจะต้องใช้สมาธิและเวลามากเป็นพิเศษ ขอบฟ้ายังไม่สามารถใช้เวลานานๆกับการวาดภาพได้

การถ่ายภาพพ่อเลือกวิธีให้ใช้กล้อง DSLR ในการถ่ายภาพ ให้ถือเองถ่ายเอง โดยพ่อช่วยปรับกล้องให้เบื้องต้นเพื่อเตรียมกล้องให้พร้อมสำหรับการบันทึกภาพในสถานการณ์นั้นๆ

IMG_20190822_064402

IMG_0004
วันที่1
IMG_0011
วันที่2
IMG_0016
วันที่3
IMG_0025
วันที่4
IMG_0027
วันที่5
IMG_0033
วันที่6

ผมก็ขอให้ขอบฟ้ายืนถ่ายคู่กับงานครั้งนี้ด้วย เพื่อให้ภาพมีเนื้อหาครบถ้วนสำหรับการเล่าเรื่องในครั้งนี้ ภาพขอบฟ้า พยายามยิ้มก็เลยออกมาดูปากโย้ๆนิดหน่อย ยังไม่รู้จะสอนให้ยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติได้ยังไง

IMG_0031

หมายเหตุ

การให้ขอบฟ้าถ่ายภาพครั้งนี้พบกับปัญหาเรื่องช่องมองภาพของกล้องถูกปรับตั้งให้พอดีกับตาของผม และมันทำให้ขอบฟ้ามองเห็นภาพในช่องมองไม่ชัด แม้ว่าสิ่งที่อยู่หน้ากล้องจะอยู่ในโฟกัสแล้ว การปรับสายตาของกล้องเป็นลูกเล่นที่กล้องออกแบบมาให้คนสายตาไม่ปกติได้ใช้งานกล้องได้อย่างสะดวกได้คุณภาพ นั่นก็คือ สายตาผมไม่ปกติแล้วนั่นเอง อาการสายตายาวมาเยือนกับคนวัยสี่สิบกว่าๆ ผลก็คือ กล้องของพ่อ กับ กล้องของลูก อาจจะต้องเป็นคนละตัวกันจริงๆ นี่อาจเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้กล้องถ่ายภาพเป็นของที่ไม่ควรยืมกัน ไม่ใช่เรื่องของแพงหรือ หวงของ แต่มันเป็นของที่ต้องมองด้วยสายตาคนใช้งาน มันก็เลยต้องปรับตั้งละเอียดสำหรับเจ้าของเท่านั้น และสายตาของคนอายุต่างกันมากๆก็ต้องการช่องมองภาพที่ตั้งไม่เหมือนกันเลย แก่แล้วจริงๆ

การถ่ายดอกไม้

IMG_0149

ภาพดอกไม้เป็นภาพธรรมชาติที่ดูสวยงามสดใส สามารถถ่ายได้ไม่ยาก ไม่ลำบาก อยู่บ้านก็ถ่ายดอกไม้ในสวนได้ เข้าป่าก็มีดอกไม้หลายอย่างให้เลือกถ่าย การถ่ายภาพดอกไม้ให้สวยงามควรจะใช้เทคนิคการถ่ายที่ปราณีต ดังนี้

1 ดอกไม้ต้องอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ไม่พัง ไม่เหี่ยว ไม่ช้ำ

2 จัดองค์ประกอบให้ดอกมีความเด่น มีขนาดในภาพค่อนข้างใหญ่ มองเห็นชัดเจนว่าเราตั้งใจถ่ายดอกไหนเป็นพระเอกของภาพ

3 สภาพแสงที่สว่างเพียงพอจะทำให้สีสันของดอกสดใส ถ้ามีแดดส่องต้องระวัง อย่าให้แดดตกลงบนดอกแค่เพียงบางส่วน ถ้าแดดโดนดอกไม้ ต้องโดนทั้งดอก ถ้าดอกไม่โดนแดดเลยก็ต้องไม่โดนทั้งดอก

4 ถ่ายภาพต้องโฟกัสชัดที่กลางดอก หรือเกสรของดอก ความชัดลึกของภาพต้องมากเพียงพอที่จะชัดครบทั้งดอก ถ้าระยะชัดน้อย ให้เลือกชัดที่เกสรดอกไม้ หากชัดที่ขอบดอกแล้วกลางดอกไม่ชัดมักเป็นภาพที่ไม่สวย รูรับแสงที่เลนส์ควรใช้รู้รับแสงแคบไว้ก่อนเพื่อคุณภาพของภาพที่คมชัดเพียงพอ

5 ควรใช้ขาตั้งกล้องเพื่อให้ภาพคมชัดไม่สั่นไหว

6 ดอกไม้ต้องไม่โดนลมพัด เพราะการขยับเพียงนิดเดียวก็ทำให้ภาพไม่ชัด บางครั้งเราอาจต้องใช้มือช่วยจับก้านดอกไว้ หรือให้เพื่อนช่วยจับก้านดอก หรือแม้แต่ยืนบังลมก็อาจต้องทำ เวลาถ่ายคนเดียวผมเคยอยากได้เชือกมาผูกดอกไม้เอาไว้ไม่ให้ขยับด้วย แต่ยังไม่เคยทำจริง

7 ถ้ามีละอองน้ำหรือหยดน้ำในภาพด้วยจะช่วยเพิ่มความสวยงามได้ บางคนพกป๊อกกี้ไปฉีดละอองน้ำเองเลยก็มี

8 เลนส์ถ่ายภาพมักจะเป็นเลนส์มาโครซึ่งสามารถเข้าใกล้ดอกไม้ได้ตามที่ต้องการ ช่วยให้เราปรับขนาดภาพที่จะปรากฏในรูปได้ตามใจสั่ง เลนส์ซูมระยะกลางๆก็อาจจะใช้ถ่ายได้บ้างกรณีที่เราถ่ายดอกไม้ขนาดใหญ่ หากชอบงานถ่ายดอกไม้และวัตถุเล็กๆจริงๆ ควรซื้อเลนส์มาโครไว้ใช้โดยตรง เลนส์ซูมที่ใช้งานร่วมกับท่อหรือ tube เพื่อให้โฟกัสระยะใกล้ได้ก็พอใช้ได้ แต่ไม่สะดวก และมักได้ขนาดภาพที่ไม่ได้ดังใจ

พาลูกเที่ยวกระบี่ ภูเก็ต 5วัน 4คืน ตอนที่2

เช้าวันนี้เราตื่นนอนเร็วมาก เพราะว่ามีนัดกับรถรับส่งที่จะมารับพวกเราที่โรงแรมตอน 7 โมงเช้าเพื่อไปขึ้นเรือสำหรับการเดินทางไปเที่ยวเกาะรอกและเกาะห้า เราก็เลยได้กินอาหารเช้าแบบที่เช้ามากจนไม่มีแขกคนอื่นมาแย่งที่นั่งที่สวยที่สุดของโรงแรม

IMG_20190417_070029_1

เราซื้อทัวร์ของบริษัทนี้ซึ่งเป็นทัวร์ที่พาเราไปเกาะรอกด้วยเรือลำใหญ่ความเร็วสูง บรรยากาศในเรือเต็มไปด้วยคนจีน มีลูกทัวร์ประมาณ 80 คน เป็นคนไทยแค่ 5 คน ส่วนเจ้าหน้าที่เรือเป็นคนไทยทั้งหมดและทุกคนพูดภาษาจีนได้ และไกด์ประจำเรือก็อธิบายทุกอย่างเป็นภาษาจีน พวกเราคนไทยเหมือนเป็นชนชั้น2ที่มาอาศัยคนจีนเที่ยวเลย แต่เจ้าหน้าที่ทุกคนก็น่ารักกับเรา อธิบายออกไมค์ให้คนจีนเสร็จ ก็มาพูดใกล้ๆด้วยปากเปล่าให้ฟังทุกอย่าง เราก็อยู่กับทัวร์ได้อย่างไม่มีปัญหา

IMG_6058
IMG_6061
IMG_6063
IMG_6060

เรือลำนี้เป็นสปีดโบ๊ท บรรทุกคนเต็มลำเรือ มีชูชีพสำหรับทุกคน มีน้ำแจกทุกคน เดินทางจากแผ่นดินประมาณ 2 ชั่วโมงถึงเกาะรอก ชื่อเต็มๆของเกาะรอกคือ อุทยานแห่งชาติเกาะรอก เกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่อยู่ไกลที่สุดจากกระบี่ ไกลยิ่งกว่าเกาะพีพี ด้วยความไกลนี้ทำให้นักท่องเที่ยวไม่มาก ทำให้สภาพของเกาะยังคงมีความสวยงาม ถ้าดูจากแผนที่แล้วเกาะรอกจะอยู่ใกล้แผ่นดินที่จังหวัดตรังมากที่สุด แต่ที่ตรังไม่มีนักท่องเที่ยวแนวดำน้ำ เราจึงต้องมาขึ้นที่กระบี่แทน เจ้าหน้าที่เล่าให้ฟังว่าเกาะรอกแห่งนี้มีความสมบูรณ์กว่าเกาะพีพี ปะการังและปลาที่เกาะนี้เยอะและสวยมากจนไม่ต้องไปเกาะพีพีก็ได้

IMG_6066
IMG_6068

เมื่อใกล้ถึงเกาะ เราถ่ายภาพจากบนเรือได้ภาพสวยงามตามนี้เลย กล้อง eos m กับเลนส์ efm 18-55 พร้อมด้วยฟิลเตอร์โพลาไรซ์ cpl ติดหน้าเลนส์ การถ่ายภาพทะเลให้สวยหากเราใช้ฟิลเตอร์โพลาไรซ์แล้วปรับหมุนให้ได้มุมที่พอเหมาะกับแนวแสงแดด เราก็จะได้ความเข้มสดของท้องฟ้าและน้ำทะเลที่ฉูดฉาดน่ามอง เป็นเทคนิคการถ่ายภาพรูปแบบหนึ่ง ภาพที่ถ่ายจบหลังกล้องก็สวยงามเพียงพอ ไม่ต้องไปโพรเซสภาพด้วยคอมพิวเตอร์หรือแอ็พในมือถือแล้ว ตลอดทริปนี้ผมใช้โหมด P ประมาณ 99% ซึ่งเป็นโหมดที่กล้องจะเลือกค่ารูรับแสงและสปีตชัตเตอร์ให้อัตโนมัติ

IMG_6080
IMG_6074
IMG_6085
IMG_6090
IMG_6095

เรากินอาหารกลางวันบนเกาะรอก เป็นแบบบุฟเฟ่ต์ เราเดินต่อแถวไปรอให้เจ้าหน้าที่ตักข้าวและกับข้าวให้ จานกระดาษ ช้อนพลาสติก ใช้แล้วทิ้ง น้ำเปล่ามีเพียงพอ น้ำหวานมีหลายชนิด แต่ไม่ถูกปากคนไทยเลย คิดว่าคงเป็นรสนิยมของคนจีนที่ชอบไม่เหมือนเรา ที่เกาะแห่งนี้มีนโยบายเก็บขยะกลับไปทิ้งที่แผ่นดิน ก็คือขยะทุกชิ้น ต้องขนกลับด้วย ทีมงานของทัวร์ก็เคร่งครัดกฏเหล่านี้ ทำให้เกาะนี้ดูสะอาดตามาก การเล่นน้ำบนหาดจะต้องใส่ชูชีพเสมอ ด้วยเหตุผลว่า ปะการังอยู่ตื้นมาก เจ้าหน้าที่ไม่ต้องการให้เท้าเหยียบโดนปะการังเลย การใส่ชูชีพจะช่วยลดการยืนด้วยเท้าในน้ำได้ ปะการังจะได้ไม่โดนทำลาย จะมีเจ้าหน้าที่คอยสอดส่องไม่ให้นักท่องเที่ยวลงน้ำด้วยตัวเปล่า ผมไม่ได้เล่นน้ำเอง แต่แม่และขอบฟ้าลงไปเล่นกันสนุกสนาน ขอบฟ้าเล่าให้ฟังว่าเห็นปลาหลายชนิดมากในชายหาด

IMG_6104
IMG_6110
IMG_6114
IMG_6119
IMG_6122

เรือลำใหญ่ที่บรรทุกนักท่องเที่ยวมายังเกาะแห่งนี้ไม่สามารถจอดได้ใกล้ๆชายหาด เพราะปะการังอยู่ตื้นมากและเรือก็ไม่สามารถเข้าใกล้หาดได้ ต้องจอดห่างแผ่นดินเป็นร้อยเมตรแล้วให้นักท่องเที่ยวเดินเหยียบทุ่นลอยน้ำที่วางเป็นทางเดินแทน ทางเดินก็จะแกว่งไปแกว่งมาเล็กน้อย

IMG_6129

ปูเสฉวนที่นี่เยอะมากถึงมากที่สุด ในทุกที่ที่เราเดินผ่านไปบนเกาะ ถ้าเรามองหา เราจะพบปูเสฉวน และปูเสฉวนเหล่านี้ไม่ค่อยกลัวคนเลย เราสามารถหยิบมาดูเล่นได้ แล้วก็ปล่อยให้เดินหายไป เดี๋ยวตัวใหม่ก็เดินมาเฉียดๆให้เราได้เห็นอีก

IMG_0062

หาดทรายสีขาวกับแสงแดดจัดมาก เราแทบจะไม่สามารถเดินเล่นบนหาดทรายแล้วมองด้วยตาเปล่าได้เลย มันแสบตาสุดๆ การมาเที่ยวทะเลที่สวยระดับนี้สิ่งที่ไม่ควรลืมติดตัวมาด้วยคือแว่นกันแดด ผมไปเดินเล่นถ่ายรูปห่างจากกลุ่มคนออกไป ตลอดทางเดินที่ผ่านไปนั้นต้องหยีตา หรือแทบจะหลับตาเดินเลย เพราะแดดแรงมาก ทรายสีขาวสะท้อนแดดจนเรามองพื้นก็ไม่ได้ มองฟ้าก็ไม่ได้ มันมีแต่ความแสบตา ส่วนที่ทรายโดนน้ำทะเลจะดีหน่อยที่ไม่แสบตาทำให้มองได้บ้าง การถ่ายภาพ ทะเล หาดทราย ท้องฟ้า แสงแดด วิวที่รวมสิ่งเหล่านี้ไว้ทำให้ภาพจากกล้องสวยมาก ภาพออกมาสวยจนคนชอบการถ่ายภาพเมื่อดูภาพต้องถามว่าที่นี่ที่ไหน หรือตั้งกล้องยังไง

IMG_6156
IMG_6136
IMG_6147
IMG_6161

ทริปมาเที่ยวเกาะครั้งนี้เป็นทริปที่ช่วยรื้อฟื้นความรู้สึกตื่นเต้นในการถ่ายภาพ ความสนุกในการถ่ายภาพสมัยที่หัดถ่ายใหม่ๆ ได้กลับไปใช้ฟิลเตอร์โพลาไรซ์ ได้ปรับหมุนหามุมโพลาไรซ์ แล้วเลือกวิธีวัดแสงว่าจะวัดค่าแสงพอดี หรือ จะอันเดอร์ หรือจะโอเว่อร์เพื่อชดเชยแสง การได้ใช้ความคิด ได้หยิบทักษะการถ่ายภาพอย่างจริงจังมาใช้ช่วยทำให้เราสนุกกับการถ่ายภาพมากขึ้น วันนี้เรามีกล้องดิจิทัลคุณภาพดี การเดินทางไปแหล่งท่องเที่ยวที่สะดวกสบาย ทุกอย่างสงเสริมให้เรามีโอกาสได้รูปที่ดีอยู่แล้ว และการได้ใช้ความคิดก่อนจะเก็บภาพทำให้เราสนุกยิ่งขึ้น ก่อนจะมาถึงทริปนี้ ผมก็ถ่ายภาพไปแบบไม่ได้คิดเลย มันได้แต่ปริมาณ แต่ความสนุกและความอิ่มในการดูภาพมันไม่มี

IMG_6172
IMG_6174

ออกจากเกาะรอกเรือก็พาเราไปอยู่กลางทะเล ไปจอดที่เกาะห้า เป็นเกาะห้าเกาะที่อยู่กลางทะเล เป็นแหล่งดำน้ำดูปะการังและปลาสวยงามจำนวนมาก ขอบฟ้ากับแม่ลงเล่นน้ำกันอีกรอบ ผมลงน้ำไม่ไหวแล้วอยากถ่ายรูปมากกว่า ก็เลยเก็บภาพไปเรื่อยๆ

IMG_6180
IMG_6184
IMG_6187
IMG_6197

เราจบวันนี้อย่างหมดแรง ขอบฟ้ากับแม่นั่งนับว่าวันนี้ที่มาดำน้ำได้เจอปลาอะไรบ้าง ปลาอะไรหายาก นับไปนับมาก็ได้เจอประมาณ 20 ชนิด ถือว่าเป็นวันที่โชคดีมาก เพราะไกด์บอกว่าจังหวะน้ำลงและไหลไม่แรงจะทำให้ปะการังดูตื้น เห็นง่าย ปลาก็จะเจอง่ายกว่า ถ้าเป็นจังหวะน้ำขึ้นและพัดแรง ปลาจะน้อย ระหว่างที่เดินทางกลับเราก็ได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่เรือหลายเรื่อง คนขับเรือเล่าให้ฟังว่า ปกติจะขับเรือไปกลับเกาะพีพีอยู่เป็นประจำ แต่หน้าท่องเที่ยวที่อุทยานเปิดให้ไปเกาะรอกได้ก็จะย้ายมาขับเรือไปเกาะรอก ไกด์อีกคนก็คุยเรื่องปลาให้ฟัง เลยถามถึงฉลามวาฬหรือ whale shark ว่าเคยเจอไหม ไกด์บอกว่าเขาเคยเจอฉลามวาฬด้วย แถมยังเปิดคลิปที่ถ่ายเอาไว้ให้ดูอีก เรือพานักท่องเที่ยวกลับเข้าสู่ฝั่งประมาณ 17.30 น. หมดแรงกันถ้วนหน้า และรถตู้รับส่งจากท่าเรือก็รับเราสามคนมาส่งที่โรงแรม วันนี้เรากินมื้อเย็นที่โรงแรม และนอนอย่างหมดแรง

IMG_6198

กล้อง eos m รุ่นแรก กับ เลนส์ efm18-55is ยังคงเป็นทางเลือกที่ผมจะใช้กับทริปทะเล จริงๆในกระเป๋ากล้องผมมี eos 6d กับเลนส์ 24-105F4L มาด้วย แต่หยิบ eos m มาใช้เป็นหลัก ด้วยความรู้สึกว่า eos m ไม่แพง ราคามือสองไม่กี่พันบาท เลนส์ efm 18-55is ก็ขายมือสองกันสองพันบาท การเอากล้องมาถ่ายทะเล มีขี้นลงเรือ มีละอองน้ำ มีลม มีทราย ผมยังรู้สึกว่าใช้กล้องราคาไม่แพงดีกว่า จะได้ไม่ต้องเอากล้องโปรไปเสี่ยงกับทรายและน้ำ แถมฟิลเตอร์โพลาไรซ์หรือ cpl ที่เคยมีก็เป็นฟิลเตอร์ขนาดเล็ก 52มม. ซึ่งใช้กับเลนส์ efm 18-55is ได้พอดี เป็นเรื่องที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน เพราะว่า เดิมที ตอนที่ใช้กล้องฟิล์มบ่อยๆ สมัยหัดถ่ายด้วยฟิล์มสไลด์ เลนส์ที่ใช้กับกล้องฟิล์มก็จะมีหน้าเลนส์ 52มม ก็เลยมีฟิลเตอร์ CPL ขนาด 52มม.เอาไว้ใช้ถ่ายภาพแบบเน้นๆ ส่วนกล้องดิจิทัลรุ่นล่างอย่าง eos 350d ที่ผมซื้อใช้ถ่ายงานสารพัดเมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็มีเลนส์ติดกล้องเป็น efs 18-55is แต่ว่าหน้าเลนส์ใหญ่ 58มม. ผมก็มีซื้อ cpl 58mm ไว้ด้วยเช่นกัน ตอนที่คิดว่าจะเอา eos m ไปทะเล ก็ไปเอา cpl 58 มาติดกระเป๋าไว้เลย เพราะคิดว่าหน้าเลนส์จะใหญ่เท่ากัน วันก่อนเดินทางลองเอามาทดสอบ ปรากฏว่ามันไม่เท่า เพราะ efm18-55is ตัวนี้มันใช้หน้าเลนส์ 52มม โชคดีมากที่ได้ลองก่อน ไม่งั้นก็จะกลายเป็นแบกของไปเที่ยวแล้วใช้ไม่ได้

IMG_6212

ภาพหลังกล้องออกมาแล้วปลาบปลื้มกับโทนสีที่สด จัดจ้าน และดูสวยขึ้นผิดหูผิดตา eos m ผมใช้มาสักห้าปี เป็นครั้งแรกที่ได้ใช้ cpl กับการถ่ายภาพวิวทะเล เห็นภาพแล้วก็หายเหนื่อย ดูภาพวิวรอบนี้ เทียบกับ eos 6d + 24-105f4L แล้ว ผมคิดว่า ผมชอบ eos m มากกว่า แถมยังน้ำหนักเบา ตัวเล็ก พกง่าย ข้อเสียเรื่องแบตหมดเร็วเราก็ปรับตัวได้แล้ว มีแบตไป 2 ก้อน ถ่ายภาพแล้วไม่ต้องดูภาพบ่อยๆ ถ่ายเสร็จก็กดปิดกล้อง ปุ่มเปิดปิดกล้องของ eos m น่าจะทำงานหนักใกล้เคียงกับปุ่มชัตเตอร์เลย

รออ่านตอนที่ 3 กับทริปกระบี่และภูเก็ต


การแก้ปัญหาด้วยแฟลช

007

ภาพตัวอย่างการถ่ายภาพด้วยฟิล์ม  ภาพบนเป็นภาพที่ถ่ายด้วยกล้อง yashica 635 ซึ่งเป็นกล้องฟิล์มขนาด 120  เป็นภาพที่ถ่ายในห้องพักของโรงพยาบาล  ใส่ฟิล์มความไว 160 เอาไว้ และก็เลือกถ่ายแบบไม่มีแฟลช  ภาพที่ได้ก็จะเป็นสภาพแสงจริงของห้อง  ด้านนอกห้องจะสว่าง ส่วนด้านในห้องแสงจะน้อยกว่า ทำให้ตัวคนดูเป็นโทนสีเข้ม ดูเป็นการถ่ายภาพที่รับแสงน้อยเกินไป

 

กรณีภาพบน  หากเราลดสปีดชัตเตอร์ลงเพื่อให้กล้องรับแสงมากขึ้นภาพคนก็น่าจะสว่างพอดี แต่ฉากหลังคงจะเลือนหายไปเกือบหมด  ตัวแบบนั่งอยู่ริมหน้าต่างแบบนี้ หากเราถ่ายภาพไปตรงๆ  ก็จะเป็นการถ่ายย้อนแสง ตัวแบบจึงมืดเป็นเรื่องปกติ

 

การแก้ปัญหาให้ภาพนี้เลือกใช้วิธีเปิดแฟลชช่วย  แสงแฟลชถูกตั้งให้ยิงไปสะท้อนกับเพดาน แล้วแสงแฟลชจะชิ่งกับเพดานสีขาว  เราเรียกเทคนิคนี้ว่าการ bounce  แสงแฟลชจะกระทบเพดานแล้วกระจายตัวลงมาโดนแบบ  ภาพจึงมีความสว่างของตัวแบบเพิ่มขึ้น  ลักษณะแสงแฟลชแบบนี้จะมีความนุ่มนวล ค่าแสงแฟลชที่พอดีจะทำให้ภาพดูสมบูรณ์ขึ้นดังภาพล่าง  เป็นการใช้แฟลชแก้ปัญหาสภาพแสงภายในและภายนอกต่างกันมากเกินไป

IMG_0440

 

การใช้แฟลชแบบแมน่วล ต้องคำนวณกำลังไฟ ระยะทาง รูรับแสง และค่าการสะท้อนเพดาน 4 ตัวแปรนี้มีวิธีคิดคำนวณเพื่อให้ค่าที่ถูกต้อง  เราจะต้องรู้ข้อมูลอุปกรณ์ทุกอย่างเพื่อให้การใช้เทคนิคนี้เป็นไปอย่างแม่นยำ  เพราะการถ่ายภาพด้วยฟิล์มเราต้องมีพื้นฐานความรู้ที่ถูกต้องแม่นยำ  เพราะเรายังไม่เห็นภาพทันทีนั่นเอง

สูตรการคิดหาค่ารูรับแสงสำหรับการใช้งานแฟลช คิดที่ความไวฟิล์ม 100
รูรับแสง = guide number / ระยะทาง
ค่า guide number คือกำลังไฟที่แฟลชจะระบุไว้ในสเป็ค แฟลชที่ใช้ครั้งนี้คือ Vivitar 2700 เป็นแฟลชที่มีค่า Guide number ประมาณ 8 ระยะยืนถ่ายภาพ กับแบบ แสงแฟลขจะวิ่งขึ้นเพดานแล้วสะท้อนไปที่ตัวแบบ ระยะทางประมาณด้วยสายตาก็วิ่งขึ้น 1.5 เมตร วิ่งลง 1.5 เมตร ก็ประมาณ 3 เมตร ค่ารูรับแสงที่คำนวนได้ก็จะประมาณ


รูรับแสง = guide number / ระยะทาง
รูรับแสง = 8 / 3 = 2.6 ซึ่งจะเป็นค่าสำหรับฟิล์มความไว 100
แต่การใช้เทคนิคการเบ้าซ์หรือสะท้อนเพดานขาวจะต้องเผื่อค่าแสงที่หายไปอีก 2stop ดังนั้น ค่าการถ่ายภาพที่ให้แสงพอดีสำหรับภาพนี้น่าจะต้องใช้ฟิล์มความไว 400 และเปิดรูรับแสง 2.6 นั่นเอง

010

แต่ว่า ทั้งหมดเป็นความสว่างจากการคำนวณ สถานการณ์นี้เราวัดแสงพอดีที่ค่าแสงปกติ แสงพอดีแล้วตั้งแต่ยังไม่ใช้แฟลช ดังนั้นการใช้แฟลชเพิ่มเติมเข้ามาก็จะทำให้ภาพสว่างขึ้น แม้กำลังไฟจากการคำนวณจะไม่พอ และภาพที่ตัวแบบสว่างขึ้นก็เป็นดังภาพนี้

 

 

ตัวอย่างถ่ายภาพรองเท้าเด็ก

ผมรับงานถ่ายภาพร้องเท้าเด็กมางานหนึ่ง  ลักษณะงานจะต้องจัดถ่ายในภาพแสงที่เคลียร์ ฉากขาว เพื่อใช้ภาพทำแค็ตตาล็อค  และใช้ในเว็บเป็นหลัก  ก็เลยจัดการถ่ายในกล่องดัดแปลงที่ผมใช้ประจำ  กล่องนี้สร้างเงินมาหลายแสนบาทแล้ว  ก็ยังคงใช้งานกันต่อไป  แต่ในครั้งนี้จะมีเรื่องพิเศษกว่าครั้งอื่นๆก็ตรงที่ผมจะให้ลูกเป็นผู้ช่วย

 

PHOTO_COLLAGE1549169504935

 

ปกติการถ่ายภาพลักษณะนี้ผมจะทำงานคนเดียว  วางรองเท้า แล้วถ่ายภาพด้วยแฟลช  ค่าแสงแฟลชก็วัดและปรับตั้งให้แสงแฟลชมีค่าสว่างตามที่ต้องการ แล้วก็หยิบสินค้าไปวาง จัดให้ได้รูปแบบที่ต้องการ แล้วก็ถ่ายภาพ  แล้วก็เปลี่ยนสินค้า  งานส่วนที่เป็นการวัดแสงและการถ่ายก็ยังคงเป็นตัวเราเหมือนเดิม  แต่งานที่หยิบของเข้าไปวาง จัดวางในท่าทางที่ต้องการ และหยิบออกเมื่อถ่ายภาพเสร็จผมก็จัดแจงให้ลูกเป็นคนทำให้  โดยมีข้อตกลงกันว่า ผู้ช่วยทำงานจะมีค่าแรงให้ชั่วโมงละ 60 บาท  ลูกชายผมก็ตกลง  เราก็เลยได้เริ่มงานกัน  แต่รอบนี้ผมจะไม่ใช้แฟลช  เพราะจะยกกล่องมาถ่ายกับลูกที่บ้าน ไม่ได้ถ่ายจากที่ทำงาน  งานถ่ายที่บ้านผมไม่ขนแฟลชมาด้วย  ตัดสินใจใช้แสงธรรมชาติในการถ่ายครั้งนี้

 

IMG_0116
IMG_0094
IMG_20190203_093340

การถ่ายภาพด้วยแสงธรรมชาติเป็นเรื่องที่มีจุดที่ต้องพิถีพิถันหลายจุด สิ่งที่สำคัญมากและต้องทำให้แม่นยำก็คือการตั้งค่า whitebalance ให้ได้ค่าที่ต้องการ เพื่อให้ภาพมีโทนสีที่ถูกต้องที่สุด  การถ่ายภาพในกล่องขาวแบบนี้ผมจะใช้ค่า whitebalance แบบ custom whitebalance ซึ่งในบทความเก่าๆมีการพูดถึงการตั้งค่าแบบ custom ไว้หลายครั้งแล้ว

2019-02-15_05-06-42

ผมจบงานถ่ายภาพครั้งนี้ในเวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง จากการมีผู้ช่วย 2 คน  เลยต้องจ่ายค่าแรงสำหรับ 2 คนเป็นเงิน 120 บาท  พ่อได้งาน ลูกได้ความรู้  ขอขอบคุณนายจ้างผู้แสนดีที่ให้โอกาสในการฝึกฝนลูกเกี่ยวกับการถ่ายภาพ

 

ใช้เลนส์มาโครถ่ายภาพจากแผ่นฟิล์ม

การถ่ายภาพด้วยฟิล์มกำลังกลับมาฮิตอีกครั้งหนึ่งในช่วงปี พศ 2561 กล้องมือสองขายดิบขายดี กล้องรุ่นคลาสิคมีคนจับจองราคาค่าตัวขึ้นกันหลายสิบหลายร้อยเปอร์เซ็น และการถ่ายภาพด้วยฟิล์มก็จะต้องสแกนฟิล์มออกมาเพื่อดูหรือเพื่อแชร์ผ่านเฟสบุ๊ค ผ่านอินสตาแกรม การสแกนฟิล์มเราจะใช้บริการร้านล้างฟิล์มเป็นส่วนใหญ่ คือส่งฟิล์มไปล้างพร้อมกับขอให้สแกนให้ด้วย ค่าใช้จ่ายก็จะเป็นค่าล้างบวกกับค่าสแกน

Scan by macro lens

ฟิล์มสไลด์เป็นฟิล์มที่ให้ภาพตรงกับที่ตาเห็น คือสีสันปกติ การสแกนฟิล์มสไลด์นอกจากจะใช้เครื่องสแกนฟิล์มแล้ว เราก็ยังสามารถใช้เลนส์มาโครถ่ายภาพจากฟิล์มได้อีกด้วย การถ่ายภาพจากแผ่นฟิล์มนี้มีเทคนิคไม่ซับซ้อน เพียงใช้เลนส์มาโครที่สามารถถ่ายภาพด้วยอัตราขยาย 1:1 และใช้แหล่งกำเนิดแสงสีขาวส่องผ่านฟิล์มจากด้านหลังเท่านั้น บางคนอาจจะใช้แสงธรรมชาติ แต่ในบทความนี้จะใช้แสงจากแฟลช

Scan by macro lens

เนื่องจากไม่อยากจะใช้ขาตั้งกล้องเลยเลือกใช้แฟลชแทน ผมเอาฟิล์มหนีบไว้ด้วยกล่องกระดาษ แล้ววางไว้ใกล้ๆกับผนังสีขาว ให้มีระยะห่างจากผนังประมาณ 1 ฟุต แล้วใช้แฟลชต่อกับทริกเกอร์หรือตัวส่งสัญญาณไร้สาย เมื่อกดชัตเตอร์แฟลชจะทำงาน แสงจากแฟลชจะวิ่งไปชนกำแพงแล้วกระจายแสงออกมา ฟิล์มก็จะสว่างและได้เป็นภาพบันทึกไว้ในกล้อง สปีดการถ่ายภาพผมตั้งไว้ที่ 1/125 วินาที ความไวแสงตั้งไว้ที่ iso 400 รูรับแสง f16 กล้อง canon eos 6d เลนส์ canon macro100

IMG_0362

ภาพที่ได้มีสีสันที่ตรงกับฟิล์ม แต่ก็มีหลายจุดที่ควรจะปรับปรุงให้ภาพมีคุณภาพมากขึ้น เช่น

  1. ฝุ่นต่างๆบนฟิล์ฒจะพบเห็นจำนวนมาก เราควรทำความสะอาดปัดฝุ่นให้เกลี้ยงก่อนถ่ายภาพ
  2. ภาพเอียง มีกรอบภาพสีดำโผล่อยู่ในเฟรม เนื่องจากเป็นการถือกล้องถ่าย ไม่ได้ใช้ขาตั้งกล้อง การถือกล้องเอียงหรือ ทำภาพเอียงเป็นเรื่องปกติของการไม่ใช้ขาตั้งกล้อง เพราะมือคนจะไม่นิ่งอยู่แล้วตามธรรมชาติ แม้ว่าจะต้องอาศัยการฝึกถือกล้องให้ตรง แต่จริงๆแล้วเราควรใช้ขาตั้งกล้องในการถ่ายภาพ

ถ้าเป็นไปได้เราควรจะใช้ขาตั้งกล้อง และทำอุปกรณ์เสริมมาหนีบฟิล์มเอาไว้ให้เป็นระยะที่ตายตัว เพราะจะทำให้เราสามารถถ่ายภาพแผ่นฟิล์มได้เร็วขึ้นและได้คุณภาพคงที่ในทุกๆภาพ ช่วยให้ประหยัดเวลาอย่างมาก

IMG_0367

IMG_0368

Scan by macro lens

จัดแสงในรถเพื่อถ่ายภาพสินค้า

ผมมักจะต้องการถ่ายภาพสิ่งของหรือสินค้า หรือ ชิ้นงานบางอย่างอยู่บ่อยๆ  ถ้ามีเวลาก็จะใช้กล้องและชุดไฟและเต๊นท์ถ่ายภาพสินค้าเพื่อหวังผลให้ภาพสวยงามดังใจ  ซึ่งอุปกรณ์ทั้งหมดของผมก็อยู่กระจัดกระจาย กล้องอยู่ในรถ  ไฟแฟลชใหญ่อยู่ที่บ้าน  กล่องหรือเต๊นท์ถ่ายภาพอยู่ที่บ้าน  หากผมอยู่ที่โรงพิมพ์หรือที่ทำงาน ผมก็จะไม่ได้ใช้ชุดไฟที่ใช้ประจำ

 

ผมมีไฟชุดเล็กที่ใช้แฟลช nikon sb26 เป็นแฟลชเพื่อใช้ถ่ายสินค้า  พร้อมด้วยอุปกรณ์ trigger หรือตัวส่งสัญญาณยิงแฟลชไร้สาย  ซึ่งแฟลชและทริกเกอร์ผมก็พกติดอยู่ในกระเป๋ากล้อง ส่วนกล้องก็ติดเลนส์มาโครไว้แล้ว กล้องผมใช้ eos 6d เลนส์มาโครใช้ macro 100f2.8

 

ด้วยความอยากจะรีบถ่ายของชิ้นหนึ่งแล้วไม่อยากรอกลับบ้าน  ก็เลยจัดวาง จัดแสงในรถเสียเลย

 

20181124171630_IMG_0221

 

รถฮอนด้าฟรีด เปิดท้ายรถออกมาจะเป็นช่องว่างขนาดใหญ่  เบาะหลังแถว3 หากพับที่พิงให้ราบไปกับเบาะนั่งก็จะได้ที่วางราวกับเป็นโต๊ะทำงาน  ผมเอากระเป๋ากล้องขนาดใหญ่ที่ผมซื้อเอาไว้ขนอุปกรณ์ถ่ายภาพวางบนเบาะ  เพื่อใช้วางสินค้าที่จะถ่าย  ส่วนแสงแฟลชผมก็ติดทริกเกอร์ไร้สาย  ตัวส่งสัญญาณติดอยู่บนกล้อง eos 6d ตัวรับสัญญาณเอาไปติดที่ sb26 แล้วก็หันหน้าแฟลชให้ยิงแสงขึ้นเพดานรถ ตั้งใจจะใช้แสงแฟลชสะท้อนกับเพดานรถสีเทา แล้วสะท้อนลงมายังของที่ต้องการถ่ายภาพ

20181124171622_IMG_0220

 

เลนส์มาโครตั้งค่า f เอาไว้ที่ประมณ f8 – f11 ความไวของกล้องตั้งไว้ที่ iso 800  ส่วนกำลังไฟของแฟลชผมตั้งไว้ที่ 1/4 ด้วยเหตุผลว่า ผมไม่อยากให้แฟลชยิงเต็มกำลัง  เพราะถ้าแฟลชยิงเต็มกำลังไฟจะหมดเกลี้ยง แล้วต้องรอเวลาหลายวินาทีกว่าที่แฟลชจะสะสมกำลังไฟขึ้นมาใหม่เพื่อยิงแสง  การยิงแสงแฟลชที่ 1/4 ของกำลังสูงสุด ทำให้เราสามารถยิงแฟลชต่อเนื่องได้ 4 ครั้งก่อนที่ไฟจะหมดแล้วต้องสะสมขึ้นมาใหม่  มันทำให้เราทำงานได้สะดวกขึ้น  เพราะการถ่ายภาพสินค้าบางครั้งเราก็ถ่ายภาพติดต่อกันหลายครั้ง  ถ้าการถ่ายทุกครั้งต้องรอแฟลชสะสมไฟหลายวินาทีก็จะเป็นเรื่องน่าหงุดหงิดมาก

 

การถ่ายวัตถุสีดำบนพื้นดำเป็นสิ่งที่เราจะคาดคะเนค่าแสงได้ยากมาก  เพราะภาพที่ถ่ายออกมาจะเป็นโทนสีดำออกเทา  ถ้ารับแสงมากก็เป็นเทาอ่อน  ถ้ารับแสงน้อยก็เป็นเทาเข้มเกือบดำ  ภาพของดำบนฉากดำก็จะออกมาเป็นแนวลึกลับ หรือ low key ก็แล้วแต่จะเรียก  ตอนเลือกค่าแสง ผมตัดสินใจใช้กระดาษขาวรองไว้ใต้สินค้า เพื่อให้ปรับรูรับแสงให้ได้ค่าแสงที่เหมาะสมจริงๆ  เพราะถ้าเราถ่ายภาพส่วนสีขาวให้ขาวเพียงพอแต่ยังไม่ล้นไปทางขาวโพลน  สิ่งของสีดำก็จะได้สีดำที่พอดี

 

20181124164519_IMG_0206

 

เมื่อได้ค่าแสงที่ต้องการแล้วก็เอากระดาษขาวรองพื้นออก ปล่อยให้สินค้าวางอยู่บนพื้นผิวกระเป๋าสีดำ แล้วก็เริ่มถ่ายภาพด้วยองค์ประกอบที่ต้องการ  ซึ่งโจทย์การถ่ายของผมในวันนี้คือไม่มีโจทย์  ขอให้เลือกค่าแสงแฟลชที่ให้แสงโดนวัตถุสีดำแล้ววัตถุยังดูเป็นสีดำอยู่  สุดท้ายก้ได้ผลงานออกมา

20181124171606_IMG_0219

สินค้าในโพสท์นี้ก็คือ หูฟังบลูทูธสำหรับการฟังเพลงและคุยโทรศัพท์ Xiao mi

อินเทอเน็ตกับลูกค้าเก่าและภาพเมล็ดข้าว

 

IMG_0036

มีอยู่วันหนึ่ง มีโทรศัพท์ดังในโรงพิมพ์  เสมียนของผมรับสายโทรศัพท์  ในสายถามว่า ที่นี่ใช่โรงพิมพ์หรือเปล่า  มีลูกเจ้าของโรงพิมพ์เป็นช่างภาพหรือเปล่า  เขาอยากติดต่อช่างภาพ  เสมียนผมเงยหน้าขึ้นมาแล้วเล่าคำถามให้ฟัง ผมก็เลยให้โอนสายเข้ามา แล้วผมก็รับสาย  หลังจากแนะนำตัวว่าผมคือช่างภาพ  เขาก็ถามว่า ผมเคยทำงานให้เขาใช่ไหม เมื่อหลายปีก่อนเขามีการจ้างถ่ายรูปเมนูอาหารชุดหนึ่ง  เขาจำได้แค่ว่า ช่างภาพที่รับจ้างเคยแนะนำตัวกับเขาว่ามีโรงพิมพ์ด้วย   และเขาได้รับนามบัตรของช่างภาพเอาไว้ เป็นนามบัตรที่ทำด้วยกระดาษสีน้ำตาล  แล้วเขาก็ถามผมว่า คุณเคยใช้นามบัตรกระดาษสีน้ำตาลหรือเปล่า

ผมตอบว่าผมน่าจะเป็นช่างภาพคนนั้น แต่ผมจำไม่ได้ว่าผมเคยใช้นามบัตรกระดาษสีน้ำตาลแจกให้เขา  ซึ่งผมจะใช้นามบัตรกระดาษสีอะไรก็ได้  เพราะเป็นโรงพิมพ์  มีกระดาษมากมายให้เลือกใช้ ซึ่งก็อาจจะเป็นไปได้ว่าผมเคยใช้นามบัตรที่ทำด้วยกระดาษสีน้ำตาล  เขาก็เลยถามว่าคุณเคยมารับจ้างถ่ายภาพอาหารกับเขาไหม  ผมเริ่มนึกย้อนไปและบอกชื่อบริษัทที่ผมเคยไปรับจ้างชื่อบริษัท  ….  เขาตอบว่าใช่  เขาลาออกจากบริษัทที่ว่าแล้ว

เขาก็เลยเล่าให้ฟังยาวเฟื้อย  ว่าเขาออกจากบริษัทแห่งนั้นแล้ว  ด้วยเหตุผลว่าแม่ป่วยหนัก  และต้องกลับมาดูแลแม่  ตอนนี้ก็ว่างงานอยู่  แต่ก็มีเพื่อนมาให้ช่วยทำงานเกี่ยวกับการขายข้าว  ซึ่งเป็นงานบางส่วนที่เขาช่วยทำก็มีการถ่ายรูปสินค้า  ก็เลยนึกถึงช่างภาพที่เคยใช้งานขึ้นมา  และเขาก็เริ่มค้นหาผมจาก google โดยพิมพ์คำค้นหาดังนี้  “ช่างภาพ โรงพิมพ์ จอมทอง”  แล้วเขาก็เจอบล๊อกที่ผมเขียนไว้  มีเบอร์โทรของโรงพิมพ์  เขาก็เลยลองโทรเข้ามา

งานที่เขาจะให้ผมทำก็คือ  ถ่ายภาพเม็ดข้าวให้สวยที่สุดเท่าที่ข้าวธรรมดาจะเป็นได้  แต่ค่าจ้างก็ยังไม่กำหนด  เขาอยากให้ผมเสนอราคาดู  เพราะต้องให้เจ้าของงานตัดสินใจ  เขาเป็นเพียงผู้ที่ช่วยติดต่อสืบค้น  ผมก็เลยรับปากว่าจะลองถ่ายให้ดูและจะคิดราคาไม่แพง  ผมขอตัวอย่างข้าวที่เขาขายเพื่อนำมาลองถ่ายภาพ

 

20181117131541_IMG_0088

 

20181117124125_IMG_0074

 

ผมเซ็ทอัพอุปกรณ์การถ่ายด้วยกล้อง DSLR แบบ Full frame พร้อมเลนส์มาโครที่ถ่ายได้ระดับ 1:1 ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ดีที่สุดที่ผมมี  และใช้ชุดไฟแฟลช 2 ดวง กับกล่องที่ดัดแปลงให้เป็นเต๊นท์ถ่ายภาพ   หลังจากที่ไม่ได้ถ่ายภาพเหล่านี้มานานแล้ว  กว่าที่ผมจะประกอบอุปกรณ์ทุกอย่างขึ้นมาให้พร้อมใช้งาน กว่าจะจัดสถานที่ให้พร้อมสำหรับทำงานก็ใช้เวลาไปเกือบชั่วโมง

20181117124308_IMG_0077

กองเมล็ดข้าวผมเลือกสีอ่อนมาลองถ่ายดูก่อน  เพราะว่าผมคิดว่าสีอ่อนถ่ายยากกว่า  พอลองโรยเมล็ดข้าวสารลงไปเท่านั้นแหละ  มันร่วงกราวและกระจายตัวไปบนพื้นที่กล่อง  ความลื่นของเมล็ดทำให้มันกระจายตัวไปเร็วมาก  เร็วจนผมต้องเปลี่ยนวิธีจากการเทเป็นค่อยๆโรยทีละนิดเหมือนหยิบเกลือมาโรยอาหาร

20181117123941_IMG_0069

 

ลองถ่ายไปหลายๆภาพเพื่อยืดเส้นยืดสาย และปรับแต่งกล้อง เลือกการตั้งค่ากล้องให้เหมาะสมกับการถ่ายภาพลักษณะนี้  รูรับแสงแคบ รูรับแสงกว้างให้ผลต่างกัน  สปีดชัตเตอร์สำหรับการถ่ายภาพด้วยแฟลชผมจะตั้งไว้ที่ 1/100 วินาที  จริงๆควรจะได้สูงกว่านี้แต่ผมจำสเป็คไม่ได้ว่ากล้องของผมมีความเร็วในการทำงานกับแฟลชเท่าไหร่  เพราะจากประสบการณ์ที่เคยใช้มา  เวลาเราตั้งความไวตามสเป็คของกล้องว่าทำงานกับแฟลชได้ที่ 1/125 หรือ 1/200 ก็ตาม  ที่ตัวเลขเต็มสเป็ค มันเหมือนจะมีขอบดำเล็กๆให้พอสังเกตเห็น  มันเป็นความเร็วที่เกือบไม่ทัน  แต่แสงมันหายไปแล้วนิดหน่อย  ก็เลยตั้งค่าให้ต่ำกว่าสเป็คไว้เยอะหน่อย  เลยจบที่ 1/100 วินาที

2018-11-17_03-15-00

พอถ่ายภาพออกมาแล้วขยายดูผมพบว่า เมล็ดข้าว แต่ละเมล็ดไม่สวยเลย  มีรอยถลอด มีรอยขรุขระ และส่วนใหญ่จะมีเมล็ดสีเพี้ยนปะปนกันอยู่ในกลุ่ม   และเมื่อพยายามจะหยิบเมล็ดสีประหลาดออกจากกอง แรงกดจากนิ้วผมก็ทำให้กองข้าวมีรอยยุบ รอยเบี้ยว ต้องเกลี่ยและโรยข้าวใหม่ทุกครั้ง  เป็นประสบการณ์การเผชิญปัญหาที่ไม่คาดคิด  การทดลองครั้งนี้ผมใช้เวลาไป 2 ชม. กับการทดสอบถ่าย  และคิดว่ามีจุดที่ต้องปรับปรุงอีกหลายอย่างในการถ่ายครั้งต่อไป  การถ่ายภาพสิ่งของเล็กๆนี่มันไม่ง่ายเลยจริงๆ

IMG_0142

ข้าวสารสีม่วงกลับถ่ายง่ายกว่า

PHOTO_COLLAGE1542452330893

 

2018-11-19_09-09-16

ภาพเม็ดข้าวสีม่วงเอาไปแปลงเป็นโทนขาวดำก็ดูสวยไปอีกแบบ

 

งานแต่งงานควรจัดกลางวัน

เวลาไปงานแต่งงานเราก็มักจะได้รับเชิญให้ไปงานเพื่อกินมื้อเย็น  กำหนดการเริ่มงานประมาณ 18.00 น.  แขกที่วางแผนดีๆหน่อย ไปก่อนงานเล็กน้อยก็จะไปถึงตอนที่ฟ้ายังไม่มืด ก็พอมีเวลาถ่ายให้ภาพเล่น และได้ภาพบรรยากาศที่ดูสวยงามกว่าตอนกลางคืน    แต่ถ้าอยากให้ภาพในงานดูสวย ภาพที่แขกมาในงานก็จะมีภาพดูดีกลับไป  ภาพที่แชร์ในเฟสต่างๆก็เป็นภาพสีสันสดใส  ก็ควรจัดงานตอนกลางวันไปเลย  เพราะกลางวันถ่ายภาพให้สวยกว่าตอนกลางคืน

 

IMG_0039

 

นี่คือภาพตอนฟ้ามืดแล้ว นั่งอยู่ที่โซฟ้าหน้าห้องจัดงานแต่งงาน  ถ่ายรูปเล่นก่อนจะเดินเข้าห้อง  เป็นแสงในโรงแรม  แสงสีเหลืองอมแดง  ถ้าถ่ายภาพแบบมั่วๆให้กล้องคิดให้ภาพก็จะติดแดงยิ่งกว่านี้  ผมถ่ายภาพโดยวัดแสงให้โอเวอร์ไว้ 1 สต๊อป  ใช้ค่า white balance แบบ auto ก็เป็นภาพที่พอดูได้  แต่ไม่สวยมาก

 

IMG_0034

 

นี่คือภาพด้านนอกตึก  เวลาเย็นมากแล้ว พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว  ฟ้ากำลังจะกลายเป็นสีดำ  ตอนนี้ถ่ายภาพยังไงก็ไม่สวย  ถ่ายคนก็จะไม่มีแสงธรรมชาติให้ใช้ ภาพคนในเวลานี้ก็จะได้แสงจากไฟในโรงแรมเท่านั้น   แต่ถ้าเราเลื่อนการจัดงานมาเป็นกลางวัน ปล่อยให้แขกได้อยู่ในงานในช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ยังไม่ตกดินนานหน่อย  คือมีเวลาให้แขกได้เดินเล่นถ่ายรูป กินของที่เจ้าภาพเตรียม  กินแล้วมาถ่ายรูปเล่น ถ่ายรูปเล่นแล้วกลับไปกินต่อ วนเวียนแบบนี้มันจะได้ภาพสวย และมันจะเป็นงานเลี้ยงที่แท้จริง

ผมพาลูกและภรรยาไปร่วมงานแต่งงาน กำหนดการคือตอนเย็น  แต่ผมไปถึงก่อนงานนานหน่อยเพื่อจะถ่ายรูปเล่น  และการถ่ายภาพภายใต้แสงธรรมชาติตอนพระอาทิตย์ยังไม่ตกก็ให้ผลที่สวยงามกว่าตอนมืดมากมาย  ดูจากภาพเหล่านี้

 

IMG_0010

กล้อง eos 6d เลนส์ 85f1.8  ชดเชยแสง +1

 

IMG_0012

กล้อง eos 6d เลนส์ 85f1.8  ชดเชยแสง +1  วางกล้องไว้บนชั้นวางใกล้ๆ แล้วใช้ self timer ตั้งเวลาถ่าย กดแล้ววิ่งเข้ามาอยู่ในเฟรม  ทำหน้าไม่เหนื่อย

 

IMG_0015

ถ่ายภาพลูกกับญาตผู้ใหญ่ท่านอื่นๆก็ให้ภาพโทนสดใส  อารมณ์ภาพอบอุ่นแบบนี้จะหาไม่ได้ในเวลาฟ้ามืด

 

IMG_0023

 

ภาพจากกล้องไม่ต้อง process ใดๆก็สวยแล้วถ้าเราเพียงแต่คิดและเลือกเวลาถ่าย เลือกแสงสวยๆ มันก็สวยได้เอง  ผมพอใจภาพที่ระเบียงโรงแรมนี้มาก  เพราะเป็นภาพถ่ายจากงานแต่งงานที่ไม่ค่อยเกิดขึ้น  เนื่องจากงานแต่งงานแต่ละงานก็มักจะจัดกันเพื่อกินมื้อค่ำ  เวลาที่จะได้เดินถ่ายรูปสวยๆไม่ค่อยมี  แต่หากเราอยากได้ภาพสวยจริงๆก็ต้องไปก่อนงานแล้วเดินเล่นถ่ายภาพกันก่อน

 

เจ้าภาพเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายในงานนี้ทั้งงาน  จ่ายเงินไปเป็นแสน  มันน่าเสียดายหากภาพส่วนใหญ่ในงานเป็นภาพในช่วงเวลาฟ้ามืด  ถ่ายภาพด้วยแฟลช ถ่ายภาพด้วยแสงไฟในโรงแรม  ต่อให้มีความรู้เรื่องการถ่ายภาพอย่างลึกซึ้งก็ยังให้ภาพกลางคืนในโรงแรมสวยแบบตอนฟ้าสว่างแล้วถ่ายด้วยโหมด auto ในกล้องไม่ได้

 

IMG_0011

ภาพนี้ลูกผมถ่ายให้  ตั้งกล้องเป็น Full auto กล้องจะเลือกค่า iso เลือกโฟกัส เลือกทุกอย่างให้ คนถ่ายเพียงแค่ยกกล้องเล็งภาพแล้วกดถ่าย   เด็ก 6 ขวบ ไม่ได้มีความรู้เรื่องการถ่ายภาพยังให้ภาพสวยกว่าภาพถ่ายด้วยช่างภาพโปรตอนฟ้ามืด  แสงสวยหรือแสงที่สมบูรณ์คือคำตอบของภาพสวย

เปรียบเทียบเลนส์ canon 15-45 กับ 18-55 บน eos m

กล้อง eos m เป็นกล้อง mirrorless ของ canon  ตอนที่เปิดตัวระบบนี้ออกมาจะมีเลนส์ kit ติดกล้องออกมาตัวแรกเป็น EF-M18-55mm f/3.5-5.6 IS STM ภายหลังจากนั้นอีกประมาณ  2-3 ปี ก็มีเลนส์ kit รุ่นที่2 ออกมาเป็นเลนส์ EF-M15-45mm f/3.5-6.3 IS STM ซึ่งติดมากับกล้องรุ่น eos m10  คนที่ชอบถ่ายภาพวิว ภาพแนวท่องเที่ยว จะสนใจเลนส์ตัวนี้มาก เพราะว่ามุมรับภาพถือว่ากว้างมากเมื่อเทียบกับรุ่นเดิม  ภาพต่อไปนี้ก็จะเปรียบเทียบมุมรับภาพของเลนส์ทั้ง2ให้ดูเป็นแนวทาง

IMG_3881

18-55

IMG_3880

15-45

ทั้ง2ภาพ ถ่ายด้วยกล้อง eos m โหมด  ถ่ายโดยการยืนอยู่จุดเดิม ถ่ายเลนส์ตัวแรกเสร็จ ก็ถอดเลนส์เปลี่ยนเป็นตัวที่2  จากภาพตัวอย่างจะเห็นว่า แค่ระยะยืนใกล้ๆ วัตถุที่ถ่ายอยู่ใกล้ๆก็เห็นแล้วว่า 15-45 รับภาพได้มุมกว้างกว่าอย่างมาก ความกว้างตรงนี้เหมาะกับการถ่ายภาพวิวและอาคารบ้านช่องที่ระยะยืนจำกัด  บางภาพเราไม่สามารถถอยหลังไปถ่ายให้ไกลได้ก็ต้องอาศัยเลนส์ที่รับภาพกว้างเป็นหลัก  ส่วนระยะซูมเทเล่นั้น ที่ 55 กับ 45 mm จะให้ผลไม่ต่างกันมาก  เพราะแม้เราจะมีระยะแค่ 45mm แต่เราสามารถเดินเข้าไปใกล้วัตถุได้  ก็จะได้ภาพวัตถุที่ใหญ่ขึ้นนั่นเอง

ลองดูมุมอื่นๆบ้าง

IMG_3895

18-55

IMG_3894

15-45

IMG_3896

18-55

IMG_3897

15-45

สรุปคือ เลนส์ 15-45mm ถ่ายมุมกว้างมาก  ถ้าต้องเลือกเลนส์ kit ติดกล้องสำหรับ eos m ผมจะเลือก 15-45mm แทนที่จะเป็น 18-55mm

==== เพิ่มเติมความเห็น====

เลนส์ ef-m 18-55is stm ตัวนี้มีคุณภาพที่ดีน่าสนใจมากขึ้นเมื่อผมไปถ่ายภาพที่ทริปเที่ยวทะเลกระบี่  นับว่าเป็นของราคาถูกที่ขายมือสองกันแค่ประมาณสองพันบาท  ถ้าจะให้คุณภาพดีกว่านี้ ต้องจ่ายถึงระดับเลนส์ L ด้วยซ้ำไป   ดูภาพตัวอย่างได้จากโพสท์นี้ครับ

เทียบกล้องโปรกับกล้องถ่ายเล่น

ลองอ่านเรื่องการใช้เลนส์ Kit หรือเลนส์ติดกล้องให้ได้คุณภาพที่ดีได้ที่ลิงค์นี้ครับ

การตั้งค่า whitebalance ให้ตรงอาจไม่ใช่คำตอบ

การถ่ายภาพดิจิทัลให้ได้คุณภาพสีเที่ยงตรงเป็นสิ่งที่นักถ่ายภาพควรศึกษาให้เข้าใจ  ควรหัดใช้ระบบการตั้งค่า whitebalance ของกล้องดิจิทัลให้เหมาะสมกับสภาพแสงในขณะนั้น  ภายใต้แสงจากดวงอาทิตย์เราสามารถถ่ายภาพโดยการตั้งค่าเป็น daylight ก็จะให้ภาพที่มีสีสันเที่ยงตรง สวยงาม  ถ้าเอากล้องที่ตั้งค่า Daylight ไปถ่ายตอนเย็นๆค่ำๆ ตอนที่พระอาทิตย์ตกดินไปแล้ว ค่าแสงที่บันทึกก็จะทำให้ภาพดูเป็นโทนฟ้า  หากต้องการให้ภาพมีสีที่ใกล้เคียงตาเห็นก็จะต้องตั้งค่ากล้องให้มีค่า whitebalance เป็น tungstain หรือ cloudy หรือค่าอื่นๆที่ทำให้ภาพในจอดูสีตรงกับที่เรามอง

 

กล้องดิจิทัลก็ฉลาดที่จะให้ระบบ Auto whitebalance มาด้วย กล้องจะปรับสีทุกภาพด้วยระบบ Auto ทำให้สีสันโดยส่วนใหญ่ที่บันทึกไว้จะใกล้เคียงกับที่ตามองเห็น  ซึ่งอาจจะมีบางสถานการณ์ที่ปรับ Auto whitebalance แล้วสียังไม่ตรงอยู่  ส่วนน้อยนี้ถ้าเรายังคงต้องการให้สีเที่ยงตรง เราต้องออกจากระบบ Auto เข้าสู่ระบบ Custom whitebalance เพื่อให้สีเที่ยงตรงจริงๆ

 

IMG_0001

ภาพที่1 ถ่ายภาพด้วยระบบ Auto whitebalance

 

ภาพที่ 1 เป็นการถ่ายภาพด้วยระบบ Auto whitebalance ภาพของบนโต๊ะอาหารจะเป็นฝาชีสีขาวที่ดูอมเหลือง  ส่วนด้านขวาบนโต๊ะอาหารเป็นกระดาษทิชชู่สีขาวที่โดนแสงไฟส่องทำให้ดูเป็นโทนสีอมเหลืองเช่นกัน  สถานการณ์แบบนี้ปรับกล้องด้วยค่า white balance อย่างไรก็ได้สีที่ยังไม่ตรง  ฝาชียังคงไม่ใช่สีขาว ทิชชู่ก็ไม่ใช่สีขาว  ถ้าเราไม่พอใจเหตุการณ์นี้ เราต้องใช้วิธี custom whitebalance

 

IMG_0002

ภาพที่ 2  ภาพถ่ายสิ่งที่เป็นสีขาว

 

วิธีการใช้ custom whitebalance ก็คือ ให้เราถ่ายภาพวัตถุสีขาวในสภาพแสง ณ ตรงนั้น  ก็คือแสงบนโต๊ะอาหารนั่นเอง  และถ่ายภาพวัตถุขาวให้ใหญ่เต็มภาพ หรือ ล้นกรอบภาพเลย  ผมใช้วิธี ปรับโฟกัสแบบแมน่วลให้ภาพเบลอ ไม่โฟกัสอะไรเลย แล้วเอาเลนส์ไปจ่อที่ทิชชู่สีขาว  ให้ในช่องมองภาพเป็นสีขาวทั้งภาพ แล้วกดชัตเตอร์เพื่อบันทึกภาพ  เรื่องสปีตชัตเตอร์ หรือ รูรับแสงไม่ใช่ประเด็นสำคัญ เราต้องการแค่สีขาวเต็มเฟรม  และภาพไม่ชัด ภาพสั่นก็ไม่เป็นไร

 

เมื่อได้ภาพแล้ว ให้เราเข้าไปที่เมนู  whitebalance แล้วเลือกค่าเป็น custom ซึ่งในกล้องระบบของ canon พอเราเลือกคำว่า custom แล้ว จะมีอีกเมนูหนึ่งขึ้นมาถามว่า จะให้ปรับโทนสีด้วยภาพตั้งต้นภาพใด ก็ให้เราเลือกภาพสีขาวทั้งภาพที่เราเพิ่งถ่ายไป ก็คือภาพที่ 2 นี้ แล้วระบบจะใช้ภาพนี้มาแก้สีให้เรา

 

IMG_0004

ภาพที่ 3  ถ่ายโดยการตั้งค่าเป็น  custom whitebalance

 

ภาพที่ 3 เป็นภาพที่ถ่ายโดยการตั้งค่า whitebalance เป็นแบบ custom ซึ่งจะให้ภาพที่ปรับสีจนทิชชู่ได้สีขาว และฝาชีก็เป็นสีขาว  เพราะบริเวณบนโต๊ะอาหารได้รับแสงสว่างจากสป็อตไลท์ สีบนโต๊ะจะถูกต้องเที่ยงตรง  แต่ฉากหลังที่ดูเป็นสีเพี้ยนก็เป็นเพราะฉากหลังได้รับแสงจากไฟชนิดอื่น

 

ภาพชุดนี้เป็นการสาธิตการใช้ระบบ custom whitebalance  ของกล้องดิจิทัล  เราจะเห็นว่า ภาพสีสันเที่ยงตรงบนโต๊ะอาหารทำได้จริง ตรงวัตถุประสงค์ แต่ภาพรวมของทั้งภาพดูเพี้ยนมากเกินไป  บางทีเราก็ชอบภาพโทนเหลืองของทุกสิ่งในภาพมากกว่าภาพที่สีเที่ยงตรงแค่บางจุด  สิ่งที่เราต้องพิจารณาก็คือ เทคนิคการวัดแสงและการตั้งค่า whitebalance ที่ถูกต้อง จะตอบสนองกับความต้องการหรือตอบสนองกับงานของเราได้ไหม  เรายังคงต้องตัดสินใจว่าจะใช้เครื่องมือ หรือ ไม่ใช้เครื่องมือที่มีอยู่ แต่ต้องตัดสินใจด้วยความรู้ความเข้าใจที่แท้จริง

 

ความเข้าใจจะทำให้เรามีเครื่องมือช่วยสร้างผลงานที่หลากหลาย  สิ่งสำคัญก็คือ เราได้ภาพถ่ายที่ตรงกับจินตนาการของเราไหม   ถ้าเราจะแหกกฏเราก็ควรรู้ทุกกฏเสียก่อน  เพื่อให้เรารู้ว่าเรากำลังแหกกฏจริงๆ ไม่ใช่มั่วแบบไม่มีความรู้

 

 

การใช้ custom white balance ในการถ่ายภาพ

กล้องดิจิทัลจะมีการปรับค่า white balance หรือสมดุลย์สีขาวโดยอัตโนมัติ  ซึ่งจะมีคำเรียกว่า Auto white balance และกล้องทุกตัวจะตั้งค่านี้ไว้เป็นค่าเริ่มต้นของการถ่ายภาพ  หากเราใช้กล้องโดยไม่ปรับแต่งอะไร กล้องจะปรับ Auto white balance ให้กับทุกภาพ  ซึ่งก็มักจะได้ภาพที่ดีโดยส่วนใหญ่  กล้องดิจิทัลตัวใหญ่ไปถึงเล็ก รวมถึงกล้องในโทรศัพท์มือถือก็ตั้งค่าแบบนี้ และได้ภาพที่ดีโดยรวม

แต่ก็มีบางสถานการณ์ที่การปรับแบบ Auto white balance ให้ผลได้ไม่พอใจ  มักจะเกิดในการถ่ายภาพตามร้านอาหาร โรงแรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นไฟสีเหลือง  หากเป็นกล้องฟิล์ม ถ่ายภาพกลางแจ้งได้สวยพอเอามาถ่ายภาพในอาคารหรือในห้อง ก็จะให้ภาพอมเหลืองไม่น่าดู  กล้องฟิล์มปรับค่า white balance ไม่ได้ ทำได้เพียงการใส่ฟิลเตอร์แก้สีไว้ที่หน้าเลนส์  ซึ่งก็แก้ปัญหาได้บ้างไม่ได้บ้าง

 

กล้องดิจิทัลสามารถเลือกปรับค่า white balance ให้เหมาะสมกับภาพได้  ถ้าเราไม่ใช้ Auto เราจะมีค่าให้เลือกอีกหลายค่า ไม่ว่าจะเป็น Daylight Tungsten Cloudy Warm Cool สารพัดชื่อแล้วแต่จะเรียก  แต่ทั้งหมดก็คือการเลือกค่า white balance ให้แตกต่างไปเพื่อผลของภาพที่เราพอใจ

 

แต่สุดท้ายเราก็ยังอาจจะเจอปัญหาอยู่ดีกับสภาพแสงในบางห้องที่ให้แสงไม่ถูกใจ และเลือกค่า white balance ทุกค่าแล้วก็ยังไม่เหมือนจริง ไม่เหมือนตาเห็น เช่นภาพในห้องนอนหรือร้านอาหารที่ใช้ไฟสีเหลือง แล้วภาพเสื้อผ้า ภาพอาหารสีสันไม่เป็นไปตามจริง  การแก้ไขที่มากกว่าการเลือก  white balance  แบบเดิมก็คือการใช้ custom white balance

 

IMG_6065

ภาพ 6065 เป็นภาพแม่ลูก ผมถ่ายเป็นภาพแรกด้วยค่า Auto White Balance  ซึ่งให้ภาพสีสันไม่ถูกใจ สีอมเหลืองอมแดงจนไม่สวย เสื้อขาวก็ไม่ขาว ผิวก็ส้มจนน่าเกลียด

 

 

IMG_6066

ภาพ 6066 เป็นภาพที่ลองเปลี่ยนค่า White balance เป็นค่าอื่นๆ ในภาพเป็นการเลือกค่า tungsten ซึ่งภาพที่ได้ก็ให้สีเปลี่ยนเปลี่ยนไป แต่ก็ยังเพี้ยนอยู่ดี  จุดที่ควรขาวก็ไม่ขาว จุดที่ควรดำก็ไม่ดำ

นี่เลยเป็นเหตุให้เราต้องหัดใช้ custom white balance   เพราะผลการทำ custom white balance จะทำให้เราได้จุดขาวที่แสดงสีขาวจริงๆ  ในภาพตัวอย่างก็คือ หมอน และเสื้อบนตัวเด็กจะต้องเป็นสีขาว วิธีการก็คือ  ให้ถ่ายภาพสีขาว หรือ วัตถุสีขาว หรือ จุดที่เราอยากให้ขาว ให้ทั้งภาพมีแต่สีขาว  ผมเลือกถ่ายบนหมอนสีขาว ได้ภาพข้างล่างนี้

IMG_6067

ภาพ 6067 ภาพหมอนสีขาวทั้งภาพ ไม่ต้องสนใจว่าจะถ่ายด้วยโหมด white balance อะไรขอแค่เพียงเป็นภาพของวัตถุสีขาว ส่วนสีที่เห็นในจอภาพจะอมสีอะไร ถูกต้อง หรือ ผิด ยังไม่ต้องสนใจ สนใจแค่ทั้งภาพคือวัตถุชิ้นเดียว ไม่มีสีอื่นปน

จากนั้นก็ไปตั้งค่าในกล้อง ว่าจะใช้ white balance แบบ custom  หรือการเลือก custom white balance พอเราเลือกค่านี้ กล้องจะถามเพิ่มเติมว่า จะใช้ภาพอะไรเป็นภาพตั้งต้นของ custom ก็ให้เราเลือกภาพวัตถุสีขาว ซึ่งก็คือภาพหมอนของผมนั่นเอง ผมก็เลือกภาพ 6067 ให้กับกล้องไป  จากนั้นกล้องก็จะจำค่าและปรับสีด้วยค่า custom

 

IMG_6068

ภาพ 6068 ถ่ายด้วยค่า custom white balance

แล้วเราก็ถ่ายภาพใหม่อีกครั้ง ด้วยค่า custom white balance ก็จะได้ภาพที่สีตรง อะไรควรขาวก็ขาว เสื้อขาว หมอนขาว ผมสีดำ เป็นค่าสีที่เที่ยงตรงและดูสวยกว่าค่าเพี้ยนๆ