สวยลอยฟ้าเจ้าพระยา

สมัยเด็กผมนั่งรถเมล์จากฝั่งธนข้ามมาฝั่งพระนครเพื่อมาเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบ สะพานข้ามแม่น้ำจะมีอยู่ 2 สะพาน สะพานพุทธคือสะพานโครงสร้างเหล็กสีเขียวเป็นสะพานเก่าแก่ ถนนบนสะพานเป็นสามเลนส์ขับรถสวนกัน สะพานที่สองคือสะพานประปกเกล้าเป็นสะพานที่สร้างใหม่ มีอยู่ 3 สะพานขาไปและขากลับแยกกัน แต่ก็มีสะพานปกเกล้าอันที่สามที่วางอยู่ตรงกลางเป็นสะพานเปล่าๆ ไม่ได้มีทางขึ้นลง ผมเห็นตั้งแต่เด็กแต่ก็ไม่รู้ว่าจะสร้างสะพานปกเกล้าไว้ 3 สะพานทำไม จนเมื่อโตขึ้น มีอินเทอเน็ตให้อ่าน มีคนเคยอธิบายไว้ว่าสะพานปกเกล้าอันกลางวางแผนว่าจะใช้ทำทางเดินรถไฟฟ้าลาวาลิน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้น

IMG_3074

มาถึงปัจจุบันสะพานปกเกล้าอันกลางก็ได้รับการปรับปรุงให้กลายเป็นสวนสาธารณะ ทำทางขึ้นลง ทำพื้นที่บนสะพานเป็นที่นั่ง มีต้นไม้ดอกไม้ประดับ ตอนขับรถผ่านก็รู้สึกตื่นเต้นที่กรุงเทพมีสวนสาธารณะเพิ่มขึ้น และยิ่งเป็นสวนบนสะพานด้วยก็ยิ่งดูน่าสนใจ แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ไปเดินเล่นเลย เพราะวงจรชีวิตไม่ได้ผ่านถนนเส้นนี้สักเท่าไร

จนลูกได้เข้าเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบก็เลยมีโอกาสได้ใช้สะพานพุทธและสะพานปกเกล้าแทบทุกวัน ก็ได้เห็นสวนสาธารณะลอยฟ้าอีกครั้งและเริ่มอยากไปเดินเล่นดูวิวบนนี้ พอมีโอกาสก็เลยลองแวะเดินเล่นดู พร้อมกับพกกล้องถ่ายรูปไปเก็บภาพด้วย

IMG_2961
IMG_2966

ทางเดินเข้าหายากมาก ขนาดผมเคยเดินเล่นแถวนี้มาตั้งแต่เด็กยังหาทางเข้าไม่เจอ กว่าจะเจอว่าต้องเข้าทางไหนก็เดินหาอยู่นานมาก แถวนี้ไม่มีป้ายบอกทาง ไม่มีป้ายบอกชื่อสวนสาธารณะให้เห็นชัดเจนเลย หรือมีแต่ผมตาไม่ดีเองก็ไม่แน่ใจ แม้แต่การหาทางเข้าโดย googlemap ก็ยังงง สุดท้ายอาศัยวิธีดูว่าคนข้างบนเดินออกมาทางไหนก็เดินย้อนเข้าไปตามทางที่เขาออกมา

IMG_2971
IMG_2972

ทางขึ้นสะพานเป็นบันไดเดินขึ้นได้สะดวก มีลิฟท์ให้บริการด้วย สวนบนสะพานแห่งนี้เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2563 เข้าใจว่าสามารถใช้พื้นที่จัดกิจกรรมการแสดงต่างๆได้ด้วย สามารถพารถเข็นมาเที่ยวเล่นได้ ทางเดินบนสวนแห่งนี้เป็นพื้นเรียบสามารถเข็นรถได้สุดทางและขึ้นลงด้วยลิฟท์ได้ แต่….. ทางเข้าออก ทางข้ามถนน ยังไม่แน่ใจว่ามีทางลาดตลอดแนวไหม เพราะฟุตบาทประเทศไทยไม่เคยถูกออกแบบเผื่อให้รถเข็นใช้งานได้ง่ายๆ

IMG_2990
ลวดลายบนพื้นเป็นการเล่นสีที่แตกต่างกันเพื่อให้ดูเหมือนบันได แต่จริงๆเป็นทางเรียบทั้งหมด

สวนสาธารณะบนสะพานมีคนมาใช้บริการอยู่ค่อนข้างเยอะ มีพื้นที่นั่งดูวิวเยอะ ถ้ามีการจัดงานแสดงแสงสีเสียงในแม่น้ำเจ้าพระยาก็น่าจะมีคนมาเต็มสะพาน ผมขึ้นจากฝั่งปากคลองตลาด มองไปทางทิศตะวันออกจะเห็นวิวตึกสูงสวยงาม ถ้ามองไปทางทิศตะวันตกจะเห็นสะพานพุทธและพระปรางค์วัดอรุณ บรรยากาศน่านั่งเล่นหรือดูวิวได้เพลินๆ มีหลายคนมานั่งดูวิวพระอาทิตย์ตกที่ด้านวัดอรุณ

IMG_2983
IMG_3003
IMG_3002
IMG_3010
IMG_3025
IMG_3028

เพื่อเดินดูรอบแล้วก็เลยตัดสินใจรอเวลาให้ค่ำลงอีกนิด รอให้ท้องฟ้าเริ่มมืดภาพถ่ายจะได้ถ่ายเป็นสีฟ้าเข้ม พร้อมกับรอให้ถนนเปิดไฟเต็มที่ แสงไฟและสีท้องฟ้ายามเย็นจะได้ถ่ายรูปได้อารมณ์อีกแบบหนึ่ง ระหว่างที่รอเวลาก็ถ่ายเล่นหามุมวางกล้องไปเรื่อยๆ

IMG_3069
dpp-IMG_3075
dpp-IMG_3073

การถ่ายภาพตอนเย็นไปสู่ค่ำจะมีเวลาถ่ายไม่นาน เพราะสภาพแสงเปลี่ยนค่อนข้างเร็ว จังหวะเวลาที่ฟ้าเริ่มมืดและไฟตึกไฟเรือเริ่มเห็นชัดจะมีเวลาช่วงสั้นๆ ต้องหามุมวางกล้องไว้ล่วงหน้า การถ่ายภาพแสงโพล้เพล้แบบนี้จะให้ดีต้องมีขาตั้งกล้องมาด้วย และภาพสายน้ำที่พริ้วไหวก็ควรถ่ายด้วยเทคนิคเปิดหน้ากล้องนานๆ ซึ่งก็จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้องด้วย แต่ผมไม่ได้พกไปก็ใช้วิธีวางกล้องไว้กับราวสะพานแล้วพยายามตั้งค่าการถ่ายให้กล้องรับแสงนานหลายๆวินาที

IMG_3078

สวนสาธารณะขนาบข้างซ้ายขวาด้วยถนนที่มีรถวิ่ง เสียงรถวิ่งดังรบกวนตลอดเวลา และถ้าเป็นจังหวะรถติดหรือรถเยอะก็น่ากังวลเรื่องควันรถอยู่เหมือนกัน ผมรอเก็บภาพจนสภาพแสงน้อยลงไปเรื่อยๆ ฟ้าสีฟ้ากลายเป็นสีน้ำเงินเข้มและกลายเป็นสีดำในที่สุด สุดท้ายฟ้ามืดก็เก็บกล้องและเดินกลับ ซึ่งตอนเดินกลับนี่จะมืดมาก มืดจนรู้สึกว่าอาจจะเกิดอันตรายได้ ในใจคิดว่าจะมีใครดักปล้นดักตีหัวเอากล้องไหม สาวๆเดินกลับจะปล่อยภัยไหม เรื่องเหล่านี้มีโผล่ให้คิดตอนเดินผ่านที่มืดๆใต้สะพานเพื่อจะกลับบ้าน

IMG_3083

สำหรับคนที่จะไปถ่ายรูปเล่น

1 เตรียมขาตั้งกล้องแข็งแรงไปด้วยและควรเป็นขาตั้งที่ยืดได้สูงๆ เพราะขอบกันตกสูงในบางจุด

2 เตรียมฟิลเตอร์ ND ลดแสงได้เยอะๆไปด้วย เอาไว้ถ่ายภาพวิวพื้นน้ำนิ่งๆ (เทคนิค long exposure)

3 พาเพื่อนไปด้วย ขากลับมันมืดและดูอันตราย

4 พกไฟฉายด้วย ตอนเดินออกมืดแล้ว ไม่มีไฟแสงสว่างที่ทางเดินออกถนน

5 ที่จอดรถใกล้ๆไม่รู้ว่าจอดตรงไหน ผมจอดที่ตลาดพาหุรัดแล้วเดินมา ชม.ละ 30 บาท

6 เอาที่อุดจมูกไปด้วย ตอนเดินเข้าและเดินออกจากสวนยังคงได้กลิ่นฉี่กลิ่นขยะรุนแรง

ฝากผู้อ่านส่งลิงค์นี้ให้ผู้ว่า กทม ได้อ่านด้วย

เที่ยววัดกับช่างภาพมันก็จะได้ภาพแบบนี้

เที่ยววัดกับช่างภาพมันก็จะได้ภาพแบบนี้

1739977151851-01
1740053908968
1740033674183
1740033674116
1740033674093
1740033674049
1740033674145
1740033674038
1740033673976
1740033674008

งานขาวดำ

ความสนุกในการถ่ายภาพมันเกิดจากเราได้อยู่กับภาพนั้นนานมากโดยที่เราไม่รู้ตัว มันเริ่มจากเรื่องราวของกิจกรรมที่เรากำลังทำ มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตประจำวัน การเดินทาง การท่องเที่ยว หรือการทำงาน เมื่อเราเป็นคนในเหตุการณ์ เราจะเห็นภาพเหตุการณ์ด้วยตา และเมื่อเราหยิบกล้องมาบันทึกภาพ มันคือจังหวะที่เราบันทึกสิ่งที่เราอยากจดจำและมันเป็นภาพที่เราเลือกแล้วว่าจะเก็บไว้นานๆ

IMG_20240629_133910

เราหยิบกล้องขึ้นมา มันเป็นกล้องที่เราเตรียมไว้ก่อนจะออกจากบ้าน เราเตรียมเครื่องมือตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์จะเกิด เรามีความพยายามโดยไม่รู้ตัว และเมื่อถ่ายภาพเสร็จ เราจะส่งฟิล์มไปล้าง แม้โลกนี้จะมีกล้องดิจิทัลมากกว่าจำนวนมนุษย์ในโลก แต่เราก็ยังใช้กล้องฟิล์มในบางวัน ซึ่งบางวันนี้แหละคือภาพจำชั้นดีที่จะอยู่กับเราได้นานเกินคาด และอาจจะนานกว่าภาพดิจิทัลในโทรศัพท์มือถือเสียด้วย

การล้างฟิล์มเราเลือกวิธีล้าง เลือกร้าน ถ้าเป็นฟิล์มสีกับฟิล์มสไลด์เราจะส่งไปล้างที่ร้านขาประจำ ฟิล์มขาวดำเราสามารถล้างเองได้ถ้าเคยฝึกล้าง ตอนล้างฟิล์มเราจะถือฟิล์มในมือเราไปอีกอย่างน้อย 10 นาทีแล้วแต่สูตรเคมี สมาธิเราจะอยู่กับเวลาที่แม่นยำ ถ้าเรานับเวลาผิดฟิล์มก็อาจจะมืดหรือสว่างเกินไป และตอนนี้ก็เป็นช่วงลุ้นด้วยว่าเมื่อล้างแล้วจะได้ภาพที่ดีไหม เมื่อล้างเสร็จ ก็เข้าสู่การตากหรือทำให้แห้ง การรอฟิล์มแห้งก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง เราจะเห็นภาพบนฟิล์มขาวเป็นดำ ดำเป็นขาวตั้งแต่ตอนตาก เราจะเห็นว่าทั้งม้วนมีกี่ภาพ มีภาพเสียไหม มีภาพที่ดีไหม มีส่วนไหนที่ดำเกินไป หรือ ฟิล์มใสเกินไป

พอฟิล์มแห้ง ถ้าเป็นร้านก็จะใช้ฟิล์มทั้งม้วนไปสแกนได้เลย แต่ถ้าล้างฟิล์มเองที่บ้าน เราจะต้องตัดฟิล์มเพื่อเก็บเข้าซองพลาสติก ซองพลาสติกเราใส่ได้ 6 ภาพต่อแถว เราก็ต้องจับแผ่นฟิล์มแล้วนับ6 ภาพแล้วตัดฟิล์ม มือใหม่บางคนก็ตัดเบี้ยว มือเก่าที่ทำบ่อยจะตัดได้ชัวร์กว่า เราจะเห็นแต่ละภาพบนฟิล์ม เราจะเล็งตัดอย่างระวังเพื่อไม่ให้รอยตัดเบี้ยวไปโดนส่วนของภาพ หลังจากขั้นตอนนี้เราจะพร้อมนำไปอัดขยาย หรือบางคนก็นำไปสแกนด้วยเครื่องสแกนฟิล์มอย่างง่าย ผมใช้วิธีติดฟิล์มบนกล่องไฟ แล้วใช้กล้องดิจิทัลถ่ายภาพฟิล์มนั้นตรงๆ จากนั้นใช้ซอร์ฟแวร์ปรับแต่งให้ภาพกลับมาเป็นโทนขาวดำปกติ ปรับความเข้มอ่อน ส่วนขาว ส่วนเทา ส่วนดำ จนได้ภาพที่ชอบ

กว่าจะเป็นภาพให้เราได้ชื่นชม เราผ่านขั้นตอนต่างๆจำนวนมาก เราได้อยู่กับภาพที่เราตั้งใจถ่ายนานมากตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ลุ้นว่าจะดีตามที่ตั้งใจไหม มันเป็นช่วงเวลาที่เราได้ความสนุกจากการใช้ฟิล์ม ขั้นตอนที่เยอะและเวลาที่ยาวนานแบบนี้ทำให้เราเกิดความชอบ ประทับใจในภาพ และรับรู้ว่ามันสร้างผลกระทบกับหัวใจมากกว่ากล้องดิจิทัล นี่คือเสน่ห์ของการถ่ายภาพด้วยฟิล์ม เป็นความทรงจำที่เรามีส่วนร่วมกับมัน.

ทำภาพสีจากภาพขาวดำ

ภาพถ่ายจากฟิล์มขาวดำ เมื่อสแกนภาพแล้วก็จะได้ภาพขาวดำเอาไว้ดูในจอภาพ งานขาวดำที่สวยงามจะมีเสน่ห์ของมัน คนที่ขอบภาพขาวดำก็จะปล่อยให้มันเป็นสีขาวดำตลอดไป แต่ว่าก็มีหลายคนที่อยากได้ภาพสี ภาพเก่าในอดีตก็เป็นภาพขาวดำเสียส่วนใหญ่ ยุคพ่อแม่ยังสาวก็มีแต่ฟิล์มขาวดำให้ใช้ ภาพที่หลงเหลืออยู่ก็เป็นภาพขาวดำเท่านั้น

มีความพยายามในการใส่สีให้กับภาพขาวดำมานานแล้ว แต่สมัยแรกๆเทคนิคการทำภาพสีบนภาพขาวดำจะใช้วิธีระบายสีลงไปเลย เป็นการย้อมสีด้วยการระบายสี ทั้งหมดจะทำบนกระดาษ แต่ในปัจจุบันโลกเรามีเทคโนโลยี AI ที่สามารถช่วยใส่สีให้กับภาพได้ และก็ทำได้ดีน่าที่งมากๆ โดยเฉพาะภาพคนที่ใส่สีได้สวยงามอย่างน่าตกใจ บางภาพถ้าไม่เห็นต้นฉบับขาวดำก็แทบจะไม่รู้เลยว่าเป็นภาพทำสีมาจากขาวดำ

holga scan 11dec2013-2--5
AiRestore_1_20241116

ภาพเด็กน้อยชะโงกดูทะเลสาบ เป็นภาพที่ถ่ายจากฟิล์มขาวดำ ล้างอัดด้วยขบวนการขาวดำทั้งหมด และสแกนด้วยโหมดขาวดำ เป็นภาพที่ผมถ่ายเอง ล้างเอง สแกนเอง ทดลองเอาไปให้ระบบ AI ในเว็บลองใส่สีให้ ก็ได้ภาพสีออกมาตามที่เห็น ภาพโทนมืดระบบ AI อาจจะยังไม่ชำนาญ ส่วนของหน้าเด็กก็ให้สีสันตามความเหมาะสม ภาพนี้จัดว่ายากระดับนึงที่จะใส่สี แต่ก็ทำออกมาพอใช้ได้ แต่ผมชอบสีขาวดำต้นฉบับมากกว่า

000018

AiColorize_4_20240516

ภาพกลุ่มเพื่อนบนก้อนหินนี้ ผมถ่ายไว้ตั้งแต่ประมาณยี่สิบปีที่แล้ว ตอนนั้นไปเที่ยวที่จังหวัดราชบุรี แล้วใส่ฟิล์มขาวดำไว้ในกล้อง ยังจำได้ว่าเป็นกล้อง nikon fm2n พร้อมเลนส์ 135mm f2.8 ฟิล์ม kodak Tmax100 ล้างฟิล์มและสแกนด้วยตัวเอง ผมดูภาพขาวดำที่สแกนเองมานานหลายปี จนกระทั่งระบบ AI มีให้ใช้งาน เลยลองส่งไปใส่สีดู ปรากฏว่าได้ภาพสีออกมาอย่างน่าทึ่งมาก ภาพสีสวยสมจริง ผมลืมสีสันของคนในภาพไปแล้วว่าวันนั้นเขาใส่เสื้อผ้าสีอะไร การดูภาพสีที่ทำโดย AI ก็ทำให้เพลิดเพลินและย้อนคิดไปถึงวันที่ไปเที่ยวด้วยกันได้ โทนสีธรรมชาติที่มีสภาพแสงสมบูรณ์น่าจะเป็นทางถนัดของ AI สีต้นไม้ หญ้า ก้อนหิน ดิน ผิวคน ทำได้สมจริงมาก

ระบบ AI เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันเรามากขึ้นเรื่อยๆ เวลาที่ผ่านไปแต่ละวันระบบ AI จะเก่งและไปสู่จุดที่มีพลังการทำงานที่มหาศาล คนสร้างเครื่องจักรมาลดภาระการทำงาน และ AI ก็เหมือนเป็นเครื่องจักรทรงพลังอีกชิ้นหนึ่งของมนุษย์ ขอบคุณผู้พัฒนาระบบ AI มากๆ

หมายเหตุ เว็บที่ใช้ทำภาพสีจากภาพขาวดำผมใช้ capcut.com

เปรียบเทียบภาพถ่ายที่ใช้แฟลช

การถ่ายภาพเป็นการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเก็บไว้เป็นภาพ ใช้หลักการปล่อยให้แสงผ่านเลนส์ไปตกยังตัวรับภาพแล้วก็บันทึกปริมาณแสงเอาไว้ สมัยโบราณการถ่ายภาพจะต้องทำตอนมีแสงเพียงพอหรือตอนที่มีแสงสว่างก็คือมีแสงจากดวงอาทิตย์ ส่วนการถ่ายภาพตอนกลางคืนหรือถ่ายภาพในที่ร่มเราก็เพิ่มอุปกรณ์อีกตัวหนึ่งขึ้นมาคือ มีไฟส่องสว่างให้กับเหตุการณ์ กล้องถ่ายภาพนิ่งจะรับภาพในเวลาสั้นๆ แสงสว่างที่ฉายไปก็ฉายไปในเวลาสั้นเช่นกันเพื่อประหยัดพลังงาน แสงที่ฉายออกไปเพียงครู่เดียวเลยเรียกว่าแฟลช หรือเป็นไฟกระพริบที่มีความสว่างเพียงพอต่อการบันทึกภาพ

การถ่ายภาพด้วยแฟลชเป็นการแก้ปัญหาแสงไม่พอเพื่อให้บันทึกภาพได้ ต่อมาก็เริ่มมีการใช้แฟลชเพื่อช่วยสร้างสรรค์ภาพให้แตกต่างไปจากเดิมได้ด้วย ช่างภาพจะเริ่มมีทางเลือกว่าจะใช้แฟลชในภาพหรือไม่ กล้องบางตัวมีแฟลชในตัวสามารถเลือกใช้หรือไม่ไม่ใช้ได้ กล้องระดับมืออาชีพไม่นิยมใส่แฟลชไว้กับตัวกล้อง แต่จะมีช่องให้ต่อแฟลชเพิ่ม

การใช้ กับ การไม่ใช้แฟลช ให้ผลกับภาพไม่เหมือนกัน ช่างภาพควรจะรเรียนรู้และทดลองใช้แฟลชให้เข้าใจ แล้วจากนั้นเมื่อเจอกับเหตุการณ์ต่างๆก็ค่อยตัดสินใจว่าจะใช่แฟลชหรือไม่ เพราะบางครั้งมีแฟลชก็ทำให้ภาพสมบูรณ์ขึ้น บางภาพไม่มีแฟลชก็อาจจะสวยกว่า ทุกการตัดสินใจให้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง เราต้องตัดสินใจเองว่าอยากได้ลักษณะภาพแบบใด

ภาพถ่ายแบบไม่ใช้แฟลช ภาพแรกคือถ่ายภาพไม่เปิดแฟลช กล้อ eos m โหมด P เลนส์ 18-55mm

IMG_0131

ภาพที่สองเป็นการถ่ายภาพเปิดแฟลช ใช้แฟลช ex90 ติดบนหัวกล้อง eos m เลนส์ 18-55mm

IMG_0132

ภาพโต๊ะหนังสือและเด็กนั่งอยู่นั้น จะเห็นว่าแสงแฟลชจะทำให้ตัวเด็กสว่าง พื้นที่ที่โดนแสงแฟลชเพียงพอจะเห็นภาพเห็นรายละเอียด ไม่ได้เป็นเงาดำ หลายคนก็มักจะบอกว่า ใช้แฟลชเพื่อเปิดเงา หรือ บางคนก็จะบอกว่าใช้แฟลชเพื่อให้เห็นรายละเอียดชัดๆ ส่วนที่อยู่ห่างออกไปที่ขอบภาพหรือหลังห้องด้านซ้ายมือ เป็นจุดที่แสงแฟลขไปไม่ถึง เพราะแสงแฟลชเมื่อส่องกลางภาพจนสว่างเพียงพอแล้ว กล้องจะตัดการทำงานของแฟลช ทำให้ปริมาณแสงที่ไปยังขอบภาพหรือด้านหลังห้องนั้นแทบจะไม่มีผลต่อภาพเลย ภาพใช้แฟลชและไม่ใช้แฟลช ส่วนที่อยู่ห่างออกไปมากๆจึงไม่ได้มีผลอะไรเกิดขึ้น

IMG_0144

IMG_0145

ภาพเด็กนั่งในรถ เป็นการใช้แฟลชเพื่อส่องสว่างระยะใกล้ ผลของแฟลชทำให้เห็นรายละเอียดในเงามืด เห็นรายละเอียดของเบา ซึ่งปกติส่วนที่โดนแสงจะสว่างพอดีในภาพถ่าย แต่ส่วนที่อยู่ในเงาจะเป็นสีดำไม่มีรายละเอียด แฟลชที่ยิงออกไปจะไปส่องสว่างเงาเหล่านี้ และเก้าออี้อยู่ใกล้ๆกับวัตถุหลักหรืออยู่ใกล้กับจุดที่แฟลชทำงานถึง จึงได้รับแสงแฟลชเพียงพอ

เทคนิคการใช้แฟลชมีหลายอย่าง ถ้าให้เขียนทั้งหมดมันจะเป็นตำราถ่ายภาพเนื้อหาเยอะมาก หากบอกเป็นหัวข้อสั้นๆแล้วเอาไปขยายผลต่อเองก็จะได้ประมาณนี้

1 การใช้แฟลชโดยไม่สนใจแสงภายนอก

2 การใช้แฟลชร่วมกับแสงภายนอก

3 การใช้แฟลชมากกว่า 1 ตัว

4 แฟลชที่ให้แสงแข็งกับแสงนุ่ม

5 แฟลชแมน่วล

6 แฟลช ทีทีแอล

7 แฟลช ทีทีแอลแบบแอ๊ดวานซ์

8 แฟลชกับแผ่นสะท้อนแสง

9 แฟลชกับร่มสะท้อนแสง

10 แฟลชกับร่มทะลุ

11 แฟลชมีสาย

12 แฟลชไร้สาย

13 การชดเชยแสงแฟลช

14 อุณหภูมิสีของแฟลช

ที่เขียนออกมา 14 แนวทาง เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการใช้แฟลช ซึ่งตอนที่ใช้งานจริงเราอาจจะใช้สองแนวทางร่วมกันก็ได้ หรืออาจจะหลายแนวทางร่วมกัน หมายความว่า เรามีความน่าจะเป็นที่ต้องคิดต้องเลือกนับร้อยวิธีการใช้แฟลช เช่นการใช้แฟลชแมน่วลร่วมกับร่มสะท้อน ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เกิดจาก 2 แนวทาง

บางสถานการณ์เราอาจจะใช้แฟลชแมน่วล ร่วมกับแผ่นสะท้อนแสง เพื่อถ่ายภาพร่วมกับแสงภายนอก โดยแฟลชจะเป็นแบบไร้สาย และต้องเลือกอุณหภุมิสีด้วย แค่นี้ก็มีเรื่องให้คิดอีกเยอะ

เทคนิคการใช้แฟลชเป็นเรื่องที่มีรายละเอียดจำนวนมาก คู่มืออธิบายการใช้งานแฟลชจะเยอะและหนากว่าคู่มือการใช้งานกล้อง เราอาจจะต้องใช้เวลาในการศึกษาเรื่องแฟลชยาวนานกว่าเรื่องอื่นในวิชาถ่ายภาพ ถ้ามีเวลาเราควรศึกษาอย่างจริงจัง ถ้าไม่มีเวลา ปล่อยมันผ่านไปแล้วบอกกับตัวเองและผู้อื่นว่าเราไม่ชอบใช้แฟลช


เดินเล่นตลาดน้อย

ชุมชนตลาดน้อยเป็นแหล่งเดินเล่นของนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน มีร้านอาหารมากมาย ร้านกาแฟ ร้านขนม พร้อมเส้นทางเดินดูความคลาสิคของบ้านเรือน ตึกเก่า มีการปรับปรุงทัศนียภาพหลายอย่างที่ทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับแม่เหล็ก นักเดินทางที่มาเที่ยวกรุงเทพก็ควรจะต้องแวะมาเดินเล่นและชิมอาหารชิมกาแฟกันสักแก้ว

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3012

ตามประวัติ สำเพ็งเป็นย่านการค้าเก่าแก่ตั้งแต่ก่อนยุครัตนโกสินทร์ มีพ่อค้าชาวต่างชาติมาค้าขายกับคนไทย โดยเฉพาะคนจีนที่แห่เข้ามาทำการค้าและอยู่อาศัยในแหล่งนี้ มีท่าเรือขนสินค้าเกิดขึ้นในระแวกนี้หลายแห่ง ต่อมามีคนมากขึ้นจนพัฒนากลายเป็นตลาดสำเพ็งซึ่งถือว่าเป็นย่านการค้าขนาดใหญ่ และเมื่อมีคนมากขึ้นก็เกิดตลาดการค้าแหล่งที่สองที่อยู่ใกล้ๆกัน ตลาดใหม่นี้เลยถูกเรียกว่าตลาดน้อย ซึ่งตลาดน้อยเริ่มมีบทบาทเยอะขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 – 4

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3022

ชุมชนย่านนี้มีอาคารบ้านเรือนเป็นตึกแถวที่มีดีไซร์ผสมผสานจากเมืองฝรั่ง ตึกกำแพงหนา เสาขนาดใหญ่ เป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสในยุครัชกาลที่ 5 พอมีคนจีนมาอาศัยอยู่เยอะขึ้นก็มีวัดจีนหรือศาลเจ้าเกิดขึ้นหลายแห่ง และยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3019

ความเก่าแก่เป็นเสน่ห์ของย่านตลาดน้อย มีนักถ่ายภาพจำนวนมากที่เดินเล่นและถ่ายภาพออกไปอวดในโซเชียลเน็ตเวิร์ตต่างๆ เลยเกิดเป็นกระแสความนิยมที่จะมาเดินเล่นถ่ายรูปแบบบอกต่อในวงกว้าง นอกจากช่างภาพแล้ว นักวาดรูป นักเดินทาง นักชิม คอกาแฟ ต่างก็ต้องแวะเวียนเยือนมากันสักครั้ง ถนนในตรอกและซอยได้รับการปรับแต่งให้เป็นสถานที่โชว์งานศิลปะ มีการวาดภาพบนกำแพง บ้านเก่าเปิดเป็นร้านขายของ เปิดเป็นร้านกาแฟแทบตลอดทางเดิน มุมสวยๆในซอยก็มีของเก่าและมีการตกแต่งให้เป็นจุดถ่ายรูป

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3024

ใครชอบถ่ายภาพ ใครชอบของกิน ใครชอบสีสันก็แวะมาเดินเล่นได้อย่างสนุกสนาน มุมถ่ายภาพเยอะมาก ทุกคนในชุมชนเหมือนพร้อมใจกันปรับปรุงสถานที่ของตนเองเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ถนนหนทาง เส้นทางเดินได้รับการพัฒนาอย่างร่วมมือร่วมใจ ทุกอย่างสอดคล้องเป็นไปในแนวเดียวกัน

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3037

ศาลเจ้าในชุมชนมีหลายแห่ง และเปิดรับนักท่องเที่ยวทุกศาล ใครชอบไหว้พระ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แวะมาไหว้พระจีนที่ตลาดน้อยก็ได้หลายจุด

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3038

ริมน้ำเจ้าพระยาของย่านนี้คือท่าเรือของกรมเจ้าท่าซึ่งเป็นผู้ดูแลการจราจรทางน้ำ ตึกกรมเจ้าท่าก็อยู่ริมน้ำ และมีการก่อสร้างดูสวยงามทันสมัย มีนักท่องเที่ยวแวะมาเดินเล่นอยู่ตลอดเวลา เป็นจุดถ่ายรูปอีกจุดหนึ่งที่ผ่านแล้วก็ต้องถ่ายภาพเก็บไว้

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3041

งานกราฟิตี้หรืองานวาดภาพบนกำแพงก็มีให้เห็นตลอดทาง ทุกจุดได้รับการถ่ายภาพไปส่งต่ออยู่เรื่อยๆ จนนักเดินทางรุ่นใหม่ที่อยากรู้อยากเห็นมีการเดินดู เดินตามรอย บล๊อกเกอร์สายกิน เที่ยว ถ่ายภาพ หลายคนก็แวะมาทำคอนเท้นท์ในชุมชนนี้

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3062

ศาลเจ้าโบราณ ตึกโบราณ ดีไซร์แปลกตาก็ยังคงอยู่ ตึกจีนประตูแดงข้างในมีบ่อน้ำขนาดใหญ่ก็ปรับมาเป็นจุดรับนักท่องเที่ยว ตึกนี้มีสถาปัตยกรรมจีนเข้มข้น แค่เดินดูก็เหมือนได้เที่ยวในฉากถ่ายหนังจีนโบราณ

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3064

ตลาดน้อยเป็นแหล่งรวมเหล็ก งานเครื่องจักรเครื่องยนต์ มีซากเหล็กวางกระจายอยู่ตลอดย่าน รถเก่าสภาพสนิมขึ้นก็เป็นจุดแวะที่ต้องดูต้องถ่ายรูปอีกจุดหนึ่ง ใครมาตลาดน้อยแล้วไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับรถเก่าคันนี้ก็ต้องบอกว่ามาไม่ถึง รถคันนี้ห้ามหาย ห้ามย้าย ห้ามซ่อม ห้ามแตะต้อง น้องสนิมคงต้องอยู่ที่นี่ต่อไปอีกนาน

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3066

ตามทางเดินในซอยที่เลี้ยวไปเลี้ยวมาก็มีส่วนที่ไม่ได้รับการปรับปรุง มันเป็นสุสานรถ สุสานเหล็ก กลิ่นน้ำมันเครื่องคละคลุ้งในบางจุด เราได้เห็นทั้งร้านกาแฟสวยและกองขยะรวมกันอยู่ในชุมชนนี้ นักท่องเที่ยวก็คงยิ้มอ่อนๆที่เมืองไทยพัฒนากองขยะเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3075

จากการเดินหลงอยู่ในซอยวนไปวนมาอยู่หลายชั่วโมง ก็เห็นกำแพงนี้เป็นแผนที่อธิบายจุดต่างๆในตลาดน้อย ผมคิดว่าแผนที่นี้คือแผนที่ที่ดีที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยว เข้าใจง่ายกว่าแผนที่ใน google map เพราะดูรู้เรื่องและลงจุดสำคัญเอาไว้ครบแล้ว น่าจะมีคนทำออกมาให้ดูง่ายๆบ้าง ใครอยากเดินเล่นให้ครบจุดสำคัญก็เดินตามแผนที่นี้เลย

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3077

ดูแผนที่แล้วลองดูเส้นทางที่เดินหลัง ก็พบว่าหลายชั่วโมงที่ใช้ในตลาดน้อยมันจะประมาณเส้นสีฟ้า

walk2-53953983538_836ffdfef9_o

ในที่สุดก็ได้พบกับร้านโปสการ์ด ตั้งแต่มือถือใช้แทนแผนที่ได้ ใช้แทนกล้องถ่ายภาพได้ คนเราก็แทบจะไม่ได้ซื้อโปสการ์ดอีกเลย และไม่ได้เห็นร้านโปสการ์ดมาหลายปี เพราะใครๆก็แวะมาถ่ายภาพเก็บไว้เองได้สะดวก การซื้อกระดาษสักใบเป็นที่ระลึกก็น้อยลง การส่งจดหมายหากันก็สูญพันธุ์ไปแล้ว คนที่ยังขายโปสการ์ดอยู่ก็นับว่าใจแข็งมากที่ไม่หนีไปทำอาชีพอื่น

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3080

ในตลาดน้อยเป็นซอยเล็กๆเดินไปเดินมา เดินแบบคนไม่รู้ทางก็มั่วไปจนเจอโรงแรมสวย แค่ประตูก็สวยแล้ว ภายในไม่ได้เข้าไปดูเพราะเขาปิด ผมก็แปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมถึงปิด ไม่มีใครให้ถามด้วย ผมเคยเห็นคลิปของกลุ่มช่างภาพมาจัดกิจกรรมที่โรงแรม photostel แห่งนี้ ก็หวังว่าจะได้มีโอกาสได้แวะไปชิมกาแฟในนี้บ้าง

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3086

ศาลเจ้าแห่งแรกของย่านตลาดน้อยคือศาลโจซือกง ตั้งอยู่ในซอย อยู่ติดน้ำ มีที่จอดรถ บริการที่จอดรถ ใครชอบสายมูแวะมามูในย่านตลาดน้อยได้ รับรองว่าอิ่มบุญและอิ่มท้อง

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3088

ตลอดทางมีร้านกาแฟมากมาย ทั้งร้านเล็ก ร้านใหญ่ ร้านไม่ลงทุนและร้านที่ลงทุนสูง ร้านสวยก็เป็นจุดถ่ายรูปไปโดยปริยาย ใครกินกาแฟร้านสวยในตลาดน้อยจนครบก็น่าจะไปตรวจสุขภาพกันบ้าง

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3091

ขอเก็บภาพตัวเองไว้บ้างว่าเราก็ได้แวะมาเยี่ยมตลาดน้อยแล้ว เราเริ่มต้นสำรวจตลาดที่ปากซอยเจริญกรุง 22 แล้วก็เดินหลงอยู่หลายชั่วโมง จนมาเจอทางออกที่ถนนอีกด้านที่ถนนทรงวาด และออกสู่ถนนอีกครั้งที่ซอยภาณุรังษี ผมจับทิศไม่ค่อยถูกเพราะไม่ได้เป็นคนในพื้นที่ อาศัยว่าทนเมื่อยเดินทนก็เดินสำรวจไปเรื่อย

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3097

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3102

ปากทางเข้าตลาดน้อยด้านถนนทรงวาดมีป้ายบอกชัดเจน คนในถนนทรงวาดมีอาชีพขายเหล็กเส้น เหล็กกล่อง เหล็กแผ่นแทบตลอดทั้งถนน นอกจากนี้ก็เป็นอะไหล่เครื่องจักร มีเครื่องจักรมือสองและเศษอะไหล่กองอยู่เป็นจุดๆ มีคนซ่อมรถอยู่ตามริมถนน

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3105

จบเส้นทางการเดินประมาณ 10000ก้าว ที่วงเวียนประตูแดง หรือ วงเวียนโอเดียน หรือ ประตูมังกร แล้วแต่จะเรียก

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3112

ทริปนี้ไม่มีภาพในร้านสำหรับกินดื่มชิมขนมเพราะตั้งใจเดินให้ทั่วเพื่อสำรวจว่ามีอะไรบ้าง เรื่องกินจะเป็นอีกทริปในครั้งต่อไป สวัสดี

IMG_20240901_154420

โปสการ์ดจากตลาดน้อย แม้ความนิยมจะน้อย แต่การมีของที่ระลึกติดมือกลับมาก็เป็นเครื่องเตือนความจำที่ดี และได้อุดหนุนศิลปินในพื้นที่ด้วย

เดินเล่นวัดโพธิ์บทเรียนของช่างภาพ

ประเทศไทยมีสถานที่สวยงามหลายอย่าง ทั้งแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ ทะเล และวัดวาอาราม หนึ่งในวัดที่สวยและเป็นจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวและช่างภาพก็คือวัดโพธิ์ ซึ่งตั้งอยู่ติดกับวัดพระแก้ว นักท่องเที่ยวต่างชาติที่แวะมาประเทศไทย มาชมวัดพระแก้วก็มักจะได้พ่วงการเดินเที่ยวในวัดโพธิ์ด้วย

ในกลุ่มนักถ่ายภาพ เวลาจะหัดถ่ายภาพในกรุงเทพ ในยุคสมัยของฟิล์มเราจะมีสถานที่แนะนำบอกต่อกันมาว่าให้ไป เยาวราช วัดพระแก้ว สวนลุม สยาม วัดโพธิ์ ภาพแนวศิลปะวัฒนธรรมที่ช่างภาพต้องเคยผ่านก็คือภาพในวัด และวัดโพธิ์ก็จะมีไฮไลท์เป็นมุมมหาชนคือภาพพระนอนขนาดยักษ์ที่เราถ่ายภาพได้แค่ส่วนหัวหรือส่วนเท้า การฝึกฝนการจัดองค์ประกอบโดยใช้วัดโพธิ์จะฝึกได้หลายท่าหลายเทคนิค กล้องและเลนส์ที่ใช้ถ้าจะให้ดีควรมีเลนส์มุมกว้างติดไปด้วยเป็นอย่างน้อย ใครใช้เลนส์ซูมก็จะมีโอกาสใช้เลนส์ได้ครบช่วงเพื่อความหลากหลายของภาพ

DSC03671

วัดโพธิ์ตั้งอยู่ที่ถนนสนามไชย ใกล้กับท่าเตียน ติดกับวัดพระแก้ว เป็นแหล่งท่องเที่ยวแนวศิลปะวัฒนธรรม ผู้มาเยือนมักจะเดินดู เดินถ่ายรูป ถ้าจะมาเที่ยวแถวนี้หาที่จอดรถยากหน่อย จอดสนามหลวงก็พอได้ เดินไกลสัก 15 นาที ถ้าจอดริมถนนต้องดูให้ดีว่ามีเวลาห้ามจอดไหม วัดโพธิ์เป็นชื่อเรียกสั้นๆมาจากคำว่าวัดโพธาราม มีมานานแล้ว และถูกบูรณะครั้งแรกโดยรัชกาลที่1 ชื่อเต็มอย่างเป็นทางการก็คือ วัดเชตุพนวิมลมังคลาราม รัชกาลที่3 บูรณะต่อจน เริ่มจดบันทึกลงบนแผ่นหินเกิดเป็นจารึกวัดโพธิ์ วัดแห่งนี้จึงกลายเป็นแหล่งรวมความรู้แห่งแรกอย่างเป็นทางการ เปรียบเสมือนเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย

DSC03691

ตุ๊กตาหินที่เห็นยืนตระหง่านโชว์ตัวอย่างสวยงามเป็นตุ๊กตาแกะสลักที่ใช้ช่างคนจีนทำขึ้น บางคนเข้าใจผิดเรียกว่าตัวอับเฉา ซึ่งตัวอับเฉาที่บอกต่อกันมาเป็นของที่ใช้แทรกเพื่อป้องกันสินค้าที่บรรทุกใส่เรือกลับมาจากประเทศจีน ตอนส่งออกเราส่งของไปขายสินค้าเต็มลำเรือ ขากลับเรือก็บรรทุกของเบากลับมา และเพื่อป้องกันความเสียหายก็เลยต้องหาของป้องกันใส่มาด้วยเพื่อบรรทุกกลับมา ซึ่งตัวอับเฉาจะเป็นตุ๊กตาหินตัวเล็กๆที่สามารถวางแทรกไประหว่างสินค้าต่างๆได้ และเมื่อมาถึงเมืองไทย ตุ๊กตาหินตัวเล็กทั้งหลายก็ถูกนำไปจัดสวน ตกแต่งบ้าน และถูกนำไปวางประดับวัดต่างๆในยุคสมัยรัชกาลที่ 3 ดังนั้นตุ๊กตาตัวใหญ่ๆที่ยืนเท่ห์อยู่ในวัดจะไม่ใช่ตัวอับเฉา ไม่ได้มีหน้าที่ถ่วงน้ำหนักเรือ

DSC03703

การหัดถ่ายภาพในยุคก่อนกล้องดิจิทัล สถานที่สวยงามในกรุงเทพก็คือวัดโพธิ์และวัดพระแก้ว ซึ่งวัดโพธิ์จะมีรายละเอียดที่เยอะกว่า มีกิจกรรมของพระสงฆ์เป็นปกติ ดังนั้นวัดโพธิ์จะเป็นจุดนัดพบของช่างภาพมือใหม่ เราจะพบช่างภาพแบกขาตั้งกล้องไปเดินวัดโพธิ์เยอะมากชนชินตา แต่ยุคดิจิทัลและยุคมือถือที่ถ่ายภาพสวย เราไม่ได้เห็นขาตั้งกล้องอีกแล้ว และนักท่องเที่ยวก็เยอะขึ้นมาก เยอะจนไม่สามารถจะหาที่วางขาตั้งกล้องในจุดสำคัญได้เลย

DSC03706
DSC03721

พระนอนองค์ใหญ่ เราถ่ายภาพได้แค่มุมที่เห็นหน้า กับ เห็นเท้า เป็นมุมมหาชนที่นักถ่ายภาพทุกยุคสมัยก็ถ่ายกันแต่มุมนี้ เพราะสถานที่มีแค่นี้ อาจจะต่างกันในเรื่องของสีสัน การจัดแสง และความใหม่เก่าของอาคารและองค์พระเท่านั้น มุมที่ใช้วัดความเข้าใจเรื่องการใช้เลนส์ก็คือ มุมที่ถ่ายจากปลายเท้าย้อนกลับไปยังเศียรพระ ใครถ่ายภาพเท้าชัดและเศียรพระชัดได้ในภาพเดียวกันแสดงว่ามีความเข้าใจเรื่องระยะชัดลึก และมีการเลือกใช้เลนส์อย่างถูกต้อง และมันก็ต้องใช้ชาตั้งกล้องด้วย วันนี้ผมมาด้วยกล้องพกพาตัวเล็ก ไม่ได้เอาขาตั้งกล้องติดตัวมา ก็ถ่ายไปแบบด่วนๆเร็วๆ เท้าชัดและหัวเบลอ เป็นเรื่องปกติของกล้อง และเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ของเทคนิคการถ่ายภาพที่ไม่ใช้ขาตั้งกล้อง เพราะเราไม่สามารถใช้รูรับแสงแคบเพื่อเพิ่มระยะชัดลึกได้นั่นเอง

DSC03731

DSC03744

DSC03753

องค์พระขนาดใหญ่เป็นจุดสนใจของทุกคน ทำให้นักท่องเที่ยวเกือบทั้งหมดแทบจะพลาดงานจิตรกรรมฝาผนัง ผมเหลือบดูแล้วก็รู้สึกที่งที่มีภาพวาดดูสวยงาม แต่จำนวนคนที่เยอะมากที่เดินอยู่ทำให้เราไม่สามารถหยุดยืนดูนานๆได้ ทุกคนมาไหว้พระองค์ใหญ่ ทุกคนมาเพื่อสัมผัสวัดโพธิ์ มาเพื่อถ่ายภาพมุมมหาชน และลืมที่จะใช้เวลากับฝาผนังไปเลย

DSC03764

DSC03783

DSC03792

DSC03799

ภาพพระพุทธรูปเรียงแถวถอดยาวไปตามทางเดินเป็นมุมมหาชนอีกมุมหนึ่ง ภาพนี้ถ่ายไม่ยาก แต่การจะถ่ายให้สวยต้องเลือกเวลา ผมไปวัดในตอนบ่ายก็ได้ภาพประมาณนี้ แต่ภาพที่ผมเคยชอบในมุมนี้จากการดูภาพของนักถ่ายภาพท่านอื่นผมชอบภาพที่มีแสงแดดส่องเฉียงเข้าไปในภาพ นั่นก็หมายความว่าถ้าเราอยากได้แสงแดดด้วย เราต้องมารอบเช้า เพราะแสงแดดจะส่องเข้าไปที่หน้าพระนั่นเอง วันหลังจะมาใหม่ในเวลาที่เช้ามีแสงแดด

DSC03804

จบทริปเดินเล่นวัดโพธิ์ด้วยการตรวจสอบชื่อเจ้าของรถและการเป็นเจ้าของทะเบียนกับกรมตำรวจด้วยการล๊อคล้อ ค่าตรวจสอบ 500 บาท เพราะการคืนรถหรือปลดล๊อค จะต้องตรวจสอบการเป็นเจ้าของรถเสียก่อน ดังนั้นทะเบียนรถคันนี้เป็นของเราคนเดียว ไม่ได้มีชื่ออื่นมาสวมแทน

IMG_20240810_165725

3 สิ่งประดิษฐ์เปลี่ยนโลก

กาลครั้งหนึ่ง คนใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสัตว์ป่า ต้องอาศัยและหาอาหารในพื้นที่ธรรมชาติ สิ่งมีชีวิตรอบตัวก็มีช้าง ม้า วัว ควาย กวาง สิงโต และสัตว์ป่าอีกมากมาย วันหนึ่งมีคนเดินทางด้วยเรือ และไปพบว่ามีปลาตัวใหญ่ยักษ์อยู่ในทะเล การจะเล่าเรื่องบอกว่าโลกเรามีปลาตัวใหญ่กว่าช้างหลายตัวรวมกันและปลาตัวนี้ปากกว้างมากน่าจะกินช้างได้ด้วยคำเดียวหมด การค้นพบแบบนี้คงจะถูกเล่าและบอกต่อกันในครอบครัว แต่การค้นพบนี้จะไม่ถูกรับรู้จากคนที่ห่างไกลเลย ยิ่งอยู่คนละพื้นที่ คนละภูมิประเทศ หรือ คนละซีกโลก ก็อาจจะไม่สามารถรู้เรื่องเล่านี้เลย และในที่สุด คนในครอบครัวก็อาจจะแก่ตายและการค้นพบก็สูญหาย โลกเราไม่เหลือคนเคยเห็นปลาวาฬตัวยักษ์อีก

อารยธรรมของมนุษย์เกิดขึ้นมาเพียงแค่หลักไม่กี่แสนปี ขณะที่สิ่งมีชีวิตบนโลกมีมาแล้วประมาณสามพันล้านปี สิ่งหนึ่งที่ทำให้มนุษย์สามารถพัฒนาอย่างก้าวกระโดดก็เพราะว่ามนุษย์สามารถจดบันทึกได้ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการส่งต่อความรู้ต่างๆ คนรุ่นหลังไม่ต้องเริ่มต้นใหม่ การบันทึกว่าโลกเรามีปลาตัวใหญ่กว่าช้างก็จะเกิดการส่งต่อข้อมูลนี้ ต่อให้คนค้นพบจะแก่ตายไปแล้ว ข้อมูลก็ไม่สูญหาย

การบันทึกในอดีตเกิดขึ้นบนกำแพงถ้ำ ภาพวาดในถ้ำเป็นบันทึกฉบับแรกเริ่มของมนุษย์ และเมื่อมีวิวัฒนาการมากขึ้น มนุษย์ก็เริ่มบันทึกบนแผ่นดินเหนียว บันทึกลงบนกำแพงหินที่เป็นสิ่งก่อสร้างบ้านเรือน บันทึกบนใบไม้ ต้นไม้ แผ่นไม้ และในที่สุดก็มีการสร้างกระดาษขึ้นทำให้วัสดุจดบันทึกมีความบางลง สามารถบันทึกได้มากขึ้น สามารถเขียนด้วยตัวหนังสือที่เล็กลงได้ สามารถบันทึกข้อมูลจำนวนมากให้มีรายละเอียดครบถ้วน และการบันทึกเป็นกระดาษสามารถทำเป็นเล่มได้ ทำให้การจัดเก็บสมุดบันทึกสามารถรักษาข้อมูลได้นานขึ้น และสะดวกในการหยิบมาอ่าน สามารถส่งต่อความรู้เพื่อถ่ายทอดให้กับคนรุ่นต่อไป

กระดาษจึงนับว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ช่วยให้การบันทึกความรู้ต่างๆของโลกเป็นไปอย่างสะดวก เป็นรูปธรรม โดยชนชาติที่เริ่มทำกระดาษเป็นชาติแรกคือประเทศจีนเมื่อประมาณห้าพันปีที่แล้ว ถือเป็นสิ่งประดิษฐ์ตัวหนึ่งที่มีความสำคัญมากกับมนุษย์และเป็นปัจจัยสำคัญช่วยให้โลกเราเข้าสู่การพัฒนาอย่างจริงจังได้

เมื่อการจดบันทึกเริ่มทำให้โลกเรามีหนังสือ สามารถส่งต่อความรู้จากรุ่นเก่าสู่รุ่นใหม่ได้ แต่ก็ยังเป็นไปอย่างไม่เร็วนัก เพราะการคัดลอกหรือทำซ้ำหนังสือจะทำได้ช้า ความรู้จากหนังสือทั้งเล่มจะส่งต่อแค่ 1 คน การจะทำหนังสือเพิ่มขึ้นต้องคัดลอกใหม่ทั้งเล่มซึ่งเป็นสิ่งที่ใช้เวลามาก ในที่สุดก็มีคนคิดวิธีการพิมพ์ขึ้น โยฮันเนส กูเตนเบิร์กชาวเยอรมันคิดค้นเทคนิคการพิมพ์แบบที่เหมาะสมกับการทำเป็นอุตสาหกรรมและได้สร้างเครื่องพิมพ์ขึ้น การมีแท่นพิมพ์ทำให้หนังสือถูกทำซ้ำได้ง่ายและเร็วขึ้น ในที่สุดเราก็สามารถพิมพ์หนังสือจำนวนมากได้ในเวลาที่น้อยลงกว่าเดิม เทคโนโลยีทางการพิมพ์ทำให้สามารถส่งต่อความรู้ไปได้ในวงกว้าง เกิดการต่อยอดเพื่อสร้างความรู้ใหม่ มนุษย์สามารถพัฒนาสิ่งต่างๆได้รวดเร็วอย่างก้าวกระโดด ช่วงเวลาหลังจากโลกมีเครื่องพิมพ์จะเป็นช่วงที่มนุษย์มีพัฒนาการอย่างรวดเร็วในทุกด้าน เกิดการเรียนการสอนอย่างจริงจัง เกิดเป็นโรงเรียนที่มีระบบการจัดการที่ดีสามารถสร้างนักวิจัยจำนวนมาก การพิมพ์จึงนับว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้เกิดการพัฒนาเป็นอารยธรรมทรงภูมิปัญญา แตกต่างจากยุคสมัยของสัตว์โลกในอดีตทั้งหมด

ยังคงมีอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่แทรกอยู่ในการสร้างองค์ความรู้ก็คือการถ่ายภาพ ภาพถ่ายจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้บันทึกต่างๆ เรื่องเล่าทุกเรื่อง สารคดีความรู้ทุกแขนง ได้เห็นภาพประกอบเพื่อสร้างความเข้าใจที่สมบูรณ์ ภาพถ่ายเกิดขึ้นมาเกินร้อยปี มีกล้องถ่ายภาพที่ใช้งานได้ง่าย จากยุคสมัยที่ถ่ายภาพด้วยฟิล์มต้องผ่านการล้างและอัดภาพลงกระดาษก็พัฒนาไปสู่ระบบดิจิทัลที่ถ่ายภาพแล้วเห็นภาพทันที การถ่ายภาพมีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องและตอนนี้ภาพถ่ายก็เป็นส่วนหนึ่งของความรู้ที่มนุษย์สะสมเอาไว้

สิ่งประดิษฐ์ที่เปลี่ยนโลกของเราให้ดีขึ้นคือ กระดาษที่ทำให้ข้อมูลไม่สูญหาย เทคโนโลยีทางการพิมพ์ที่ทำให้การเผยแพร่ความรู้ทำได้รวดเร็วและกระจายไปทั่วโลกได้ และสุดท้ายคือการถ่ายภาพที่เติมเต็มความสมบูรณ์ของข้อมูล สามสิ่งนี้จัดว่าเป็นเครื่องมือของนักคิด นักสร้างนวัตกรรม แถมยังใช้ถ่ายทอดงานศิลปะได้ การได้เป็นส่วนหนึ่งในการใช้งานเทคโนโลยีเหล่านี้ก็นับว่าเป็นเรื่องน่าภูมิใจ เพราะเราได้เป็นคนที่ช่วยส่งต่อความรู้อีกคนหนึ่งของโลกใบนี้

พาลูกเที่ยวพิพิธภัณฑ์ของเก่าต้องถึงวัยที่เหมาะสม

ขึ้นชื่อว่าพิพิธภัณฑ์จะเป็นสถานที่รวมข้อมูลความรู้เฉพาะทางเอาไว้ เมื่อก่อนตอนลูกเล็กระดับ 3-4 ขวบ พาไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ก็รู้สึกสนุก เพราะเหมือนได้เดินสวนสัตว์ เดินเข้าพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ก็เหมือนเดินดูของเล่น พอพาเข้าพิพิธภัณฑ์ของเก่าลูกก็เหมือนจะไม่เข้าใจ มีแต่พ่อแม่ที่อยากจะเดินดูนานๆ เพราะเด็กในวัยเล็กเกินไปจะยังไม่รู้ว่าสิ่งของโบราณคืออะไร

IMG_0271
IMG_0058
IMG_0050

แต่พอลูกอายุเกิน 10 ขวบ เขาเริ่มมีความทรงจำและความรู้ เริ่มรู้จักถาม เริ่มใช้สิ่งของต่างๆในยุคสมัยปัจจุบัน โทรศัพท์มือถือแบบหน้าจอสัมผัสคือสิ่งที่เขาเห็นมาตั้งแต่เกิด พอมาเจอโทรศัพท์บ้านยุคสามสิบปีที่แล้วก็ถึงกับใช้ไม่เป็น ได้แต่ถามว่ามันใช้ยังไง ตอนนี้นี่เองที่พ่อแม่ได้อธิบายหลักการ วิธีใช้ ทำให้เด็กเกิดการเรียนรู้ว่า คนสมัยก่อนพยายามอย่างมากที่จะสื่อสารให้ได้ โทรศัพท์บ้านที่ดูแล้วไม่รู้จะกดไปหาใคร ไม่มีหน้าจอแสดงผลทำไมถึงคุยกับคนอื่นได้ คุยข้ามประเทศได้

ไปเจอเครื่องพิมพ์ดีด เด็กก็รู้ทันทีว่านี่คือญาติของคีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ พ่อแม่ก็รออธิบาย ว่ามันคือพ่อของคีย์บอร์ดแบบที่เราใช้ทุกวันนี้ มีการเรียงตัวหนังสือเหมือนกัน ตัวหนังสือแถวบนมีเรียงเป็นตัว qwerty เหมือนกัน เด็กยืนมองแต่ก็ยังไม่เข้าใจว่ามีตัวหนังสือบนกระดาษได้ยังไง เลยต้องอธิบายกลไกการทำงาน มีสปริง มีก้านเหล็กที่จะคอยเด้งไปพิมพ์บนกระดาษ เสียดายตรงที่เครื่องพิมพ์ดีดอยู่ในสภาพใช้งานไม่ได้ เด็กเลยยังไม่รู้ว่ากระดาษถูกพิมพ์ได้อย่างไร คงต้องหาคลิปใน youtube ให้ดู

DSC00827
พิพิธภัณฑ์บ้านครูกัง จ.ระยอง
DSC00819
เครื่องพิมพ์ letterpress แบบมือโยก ปัจจุบันยังมีบางโรงพิมพ์ใช้งานอยู่
แท่นเติมน้ำมัน
DSC00830
ร้านถ่ายภาพติดบัตร กล้องตัวใหญ่ ฟิล์มใหญ่ งานถ่ายภาพด้วยฟิล์มที่นักเรียนปัจจุบันไม่เคยใช้งานแล้ว
DSC00849
เกมส์วินนิ่งเมื่อก่อนมาเป็นโต๊ะเลย
DSC00898
ครกและสาก ปัจจุบันยังคงเดิม ยังใช้งานอยู่ในร้านอาหารทุกแห่ง ร้านส้มตำยังใช้อยู่ และยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ
DSC00927
ร้านขายของชำ ต้นแบบเซเว่น
DSC00956
เครื่องเล่นแผ่นเสียงยุคแรก ใช้ไขลาน เสียงอู้อี้แค่พอรู้เรื่อง
เครื่องพิมพ์ดีด พ่อแม่ของคีย์บอร์ด
DSC01002
โทรศัพท์บ้านระบบมือหมุน
DSC01027
โทรศัพท์สาธารณะระบบเสียบบัตร
DSC01014
กระติกเก็บน้ำร้อน ต้นแบบของแก้วเยติ กระติกเก็บอุณหภูมิ

DSC01026

การพาเด็กเที่ยวพิพิธภัณฑ์ในตอนที่เด็กสามารถรับข้อมูลได้ สามารถตั้งคำถามได้ ก็จะเกิดการเรียนรู้ รับรู้อดีต รู้หลักการทำงาน เป็นการเที่ยวพิพิธภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ใครมีลูกอยู่ในวัยประถมปลาย ลองพาเด็กเที่ยวพิพิธภัณฑ์ที่แสดงของเก่าดู ช่วงเวลาแบบนี้จะเป็นจังหวะที่ดี พ่อแม่ได้โชว์ภูมิปัญญาสมัยเก่าที่ส่งต่อมาถึงสมัยใหม่ เด็กก็อยากรู้อยากเห็น พ่อแม่ก็ได้หายคิดถึง ได้เล่าให้ลูกฟัง

รีวิวกล้อง SONY ZV-1F

รีวิวกล้องน่าใช้ Sony ZV-1F.

1707829233240-01

สำหรับช่างภาพที่ฝึกฝนการถ่ายภาพมาระยะหนึ่ง บางคนอาจมีอาชีพเป็นช่างภาพ บางคนอาจมีอาชีพอื่นที่ต้องถ่ายภาพจำนวนมาก ก็จะมีบางเวลาที่ไม่อยากจับกล้องตัวใหญ่ที่ใช้ทำงาน บางครั้งก็อยากได้กล้องตัวเล็กพกง่าย หยิบได้เร็ว เก็บได้เร็ว เอาไว้ถ่ายภาพในวันสบายๆ แต่วันสบายๆนั้นก็ต้องได้ภาพที่ดีซึ่งหมายถึงดีตามมาตรฐานระดับสูงของช่างภาพ ก็คืออยากได้กล้องเล็ก เบา และให้ภาพดีเหมือนกล้องโปรนั่นเอง

IMG_1176

ในยุคสมัยของโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่แสนเฟื่องฟู ตั้งแต่กล้องในโทรศัพท์คุณภาพดีเท่ากับกล้องคอมแพ็คหรือกล้องดิจิทัลตัวเล็กๆ กล้องคอมแพ็คก็โดนแย่งตลาดไป คนส่วนใหญ่ซื้อโทรศัพท์ราคาระดับกลางไปถึงสูงเพื่อให้มีกล้องคุณภาพดีอยู่ในโทรศัพท์และใช้แทนกล้องถ่ายภาพไปเลย พอตลาดมวลชนหันไปใช้โทรศัพท์แทน กล้องคอมแพ็คก็ทะยอยเลิกผลิตกันไป ถ้าเป็นสักห้าปีก่อน บางทีเรานึกไม่ออกเลยว่าจะมีกล้องคอมแพ็คดิจิทัลราคาย่อมเยาให้ซื้อหรือไม่  ตามร้านกล้องในห้างก็ไม่มีวางขายกล้องคอมแพ็คหลักพันบาทแล้ว เหลือแต่หลักหมื่นจนไปเป็นหลายๆหมื่น บางรุ่นก็เป็นแสน

ในอดีตผมมีความรู้สึกชอบกล้องคอมแพ็คที่เป็นกล้องฟิล์มอยู่หลายตัว Leica Minilux ก็เป็นกล้องคอมแพ็คใช้ฟิล์มของไลก้าที่ราคาไม่แพงเท่าตัวอื่นของยี่ห้อนี้ ก็มีไว้ใช้อยู่พักหนึ่ง ถ่ายเล่นพอสนุกๆแล้วก็วางเก็บไว้ ถือว่าเป็นกล้องฟิล์มที่มีขนาดตัวเล็กกว่ากล้องระดับโปร ตอนใช้งานก็หยิบขึ้นมากดถ่าย วัดแสงได้แม่นยำ ให้ภาพที่ดี  แต่พอเข้าสู่ยุคฟิล์มแพงและการใช้งานต้องรอล้างฟิล์มและสแกนภาพหลายวันก็เลยไม่ค่อยได้ใช้อีก 

กล้อง Contax T3 ก็เป็นกล้องฟิล์มตัวท๊อปตัวหนึ่ง ให้คุณภาพที่ดีมาก โฟกัสเร็วมาก วัดแสงแม่นมาก ใช้ถ่ายภาพอยู่หลายม้วน หลังๆก็ไม่ค่อยได้ใช้เพราะขี้เกียจรอเวลาส่งฟิล์มล้าง แถมระยะหลังฟิล์มราคาแพงจนไม่น่าคบ ก็เลยวางยาวไว้ในกระเป๋ากล้อง แทบไม่ได้แตะอีกเลย

Nikon L35AF เป็นกล้องคอมแพ็คค่ายญี่ปุ่นที่ออกแบบดี แข็งแรง และคุณภาพดีเช่นกัน เรื่องกล้องผมว่าญี่ปุ่นไม่เป็นรองเยอรมันเลย หามาใช้เพราะได้ข่าวว่าดี ลองใช้แล้วก็พบว่าดีจริงและราคาไม่แพงมาก ทั้งสามตัวที่กล่าวถึงก็จะมีรีวิวเขียนไว้ในเว็บนี้แล้ว ลองหาอ่านดูได้

IMG_0046
ฟิล์มขาวดำที่ผ่านการล้างแล้ว รอนำไปอัดเป็นภาพ

กล้องคอมแพ็คใช้ฟิล์มที่กล่าวถึงนี้ใช้งานได้ดี แต่ก็มีค่าใช้จ่ายเรื่องค่าล้างฟิล์มและการสแกนภาพ ปัจจัยกำหนดคุณภาพของภาพต้องคิดตั้งแต่เลือกฟิล์ม เลือกกล้องเลือกเลนส์ เลือกร้านล้างฟิล์มและสแกน กว่าจะได้ภาพที่ถูกใจต้องเสี่ยงวัดดวงกันหลายอย่าง สุดท้ายเมื่อได้ภาพมาก็ดูภาพสแกนในโทรศัพท์มือถือหรือไม่ก็ในคอมพิวเตอร์ แถมเอาไปโพสท์ในโซเชียลเน็ตเวิร์คก็ส่งดิจิทัลไฟล์ออกไป แทบไม่ได้อัดขยายออกมาเป็นภาพบนกระดาษเลย

พอไม่คิดจะอัดภาพเป็นกระดาษก็เลยมองหากล้องดิจิทัลคอมแพ็คกันอีกครั้งในรอบสิบปี ผมเคยมีกล้องคอมแพ็คตัวเจ๋งอย่าง Fuji x100 ที่ราคาไม่ถูกเลย แต่ก็ใช้อยู่ปีกว่าก็ขายออกไปก่อน เพราะว่าโฟกัสช้า ไม่สามารถถ่ายภาพลูกที่กำลังหัดคลานหัดเดินได้ทัน กล้องดิจิทัลไม่ได้มีอายุการใช้งานนานเหมือนกล้องฟิล์ม เก็บไว้โดยไม่ได้ใช้ก็ดูเป็นทางเลือกที่ไม่ดีนัก มาช่วงนี้ที่ไม่ต้องถ่ายภาพเด็กคลานและเดินแล้ว เพราะลูกโตเปลี่ยนเป็นวิ่งแทน ก็แทบจะเลิกใช้กล้องคอมแพ็คหรือกล้องฟิล์มถ่ายไปเลย ต้องเปลี่ยนไปใช้กล้อง DSLR แทนเพื่อให้ถ่ายภาพตอนเคลื่อนไหวเร็วๆได้ทัน ประกอบกับมีเรื่องของการถ่ายคลิปวิดีโอเพิ่มเข้ามาด้วย กล้องAction camera อย่าง gopro ที่ลงน้ำได้ด้วย ก็ต้องหามาใช้ประกอบกัน  การหากล้องถ่ายภาพมาใช้อีกครั้งก็เลยคิดเผื่อความสามารถเรื่องการถ่ายวิดีโอเพิ่มเติม คืออยากได้ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอที่ดีในกล้องตัวเดียวกัน

IMG_1203

ด้วยความชอบสีสันของภาพถ่ายที่มีลักษณะของฟิล์ม ทั้งโทนสีและโทนขาวดำของกล้องฟิล์มมีบุคลิกที่เด่นชัดและยากจะทำเลียนแบบด้วยคอมพิวเตอร์ การค้นหากล้องดิจิทัลที่ให้ภาพคล้ายฟิล์มเป็นเป้าหมายในใจช่างภาพยุคหัดถ่ายฟิล์มมายาวนานหลายปี บางครั้งก็ลองไปปรับแต่งตัวเลขสีในกล้องดิจิทัลทั้งกล้อง DSLR รวมถึงกล้อง mirrorless หลายตัวก็ยังไม่ถูกใจ แต่พอมีข่าวว่า sony ทำกล้องที่สามารถเลือกปรับสีให้ดูเพี้ยนคล้ายภาพจากฟิล์มได้ ก็เลยสนใจ และก็ติดตามอ่านมาเรื่อย จนเกิดเป็นรีวิวกล้อง Sony ZV-1F ตัวนี้

สั่งซื้อที่นี่ https://shope.ee/9eyuQHL1zl

ข้อมูลกล้อง

กล้องอนุกรม ZV ของ Sony เริ่มจาก ZV-1 เป็นกล้องคอมแพ็คเซ็นเซอร์ 1 นิ้ว มาสู่กล้องเปลี่ยนเลนส์ได้ ZV-E10 เซ็นเซอร์ aps-c ต่อมาก็มี ZV-E1 ที่เป็นกล้องเปลี่ยนเลนส์ขนาดเซ็นเซอร์ Full frame แล้วก็มาสู่ กล้องคอมแพ็ค ZV-1F แล้วก็มาถึงกล้องคอมแพ็ค ZV-1 ii จุดเด่นของตัวกล้องกลุ่ม ZV ก็คือมีไมโครโฟนรับเสียงคุณภาพดี และมีลูกเล่นการโฟกัสสิ่งของหรือ Product show case ที่เอาไว้ใช้กับการ live ขายของ หยิบสินค้าชิ้นเล็กๆขึ้นมาโชว์แล้วกล้องสามารถโฟกัสไปที่สิ่งของแทนหน้าคนขายได้ จุดเด่นสองอย่างนี้ทำให้ ZV ทุกตัวได้รับความนิยมมาก

ZV-1F เป็นกล้องดิจิทัลคอมแพ็ค ติดเลนส์ฟิกซ์ 20f2 ซึ่งเป็นเลนส์เดี่ยวคุณภาพสูง รูรับแสงกว้าง เซ็นเซอร์รับภาพขนาด 1 นิ้ว เป็นขนาดที่ไม่เล็กมาก สามารถให้ภาพที่มีคุณภาพดีกว่าโทรศัพท์มือถือและกล้องคอมแพ็คทั่วไป การทำงานภายในกล้องถูกออกแบบมาให้เป็นกล้องที่ทำงานได้เร็ว โฟกัสแม่น และถ่ายวิดีโอได้สเป็คบิทเรทที่สูงมาก การออกแบบเป็นเลนส์ฟิกซ์ทำให้กล้องมีขนาดเล็ก เลนส์ติดกล้องไม่มีชิ้นส่วนยื่นเข้าออกตอนเปิดปิด ทำให้ลดโอกาสความเสียหายเรื่องสายแพรเสียหายในระยะยาว และพอไม่มีการยืดตัวของเลนส์ก็ทำให้มันมีขนาดกระทัดรัดที่สุดตอนทำงาน เหตุที่กังวลเรื่องสายแพรเพราะว่ากล้องคอมแพ็คที่มีเลนส์ยื่นเข้ายื่นออกได้จะมีอาการสายไฟในเลนส์เสียหาย ซึ่งกล้องคอมแพ็คฟิล์มที่เคยใช้มีปัญหานี้แทบทุกตัว แม้แต่เลนส์ซูมที่ใช้กับกล้อง DSLR ก็เคยมีปัญหาสายไฟในเลนส์ขาดเช่นกัน

ยังมีจุดเด่นด้านอื่นที่ทำให้กล้อง ZV-1F ตัวนี้น่าสนใจคือ ช่องเสียบสาย usb เป็นชนิด usb-c สามารถชาร์จไฟได้ด้วยทำให้เราไม่ต้องถอดแบตออกมาชาร์จข้างนอก สามารถเสียบชาร์จด้วย powerbank ได้ ซึ่งข้อนี้เป็นข้อดีมากๆ โดยเฉพาะคนที่ต้องเดินทางบ่อยๆ เที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ จะมีประโยชน์โดยตรง 

ยังมีลูกเล่นการปรับโทนสีภาพให้ดูสีสวยแปลกตาหลายแบบ อยู่ในเมนู creative look ทำให้เราสามารถปรับโทนสีของคลิปวิดีโอและภาพนิ่งได้ ซึ่งผมเลือกซื้อกล้องตัวนี้เพราะลูกเล่นการการปรับโทนสีโดยเฉพาะเลย 

หลังจากเริ่มใช้งานมาหลายวันก็ทะยอยค้นพบข้อดีเพิ่มขึ้นทีละอย่าง เชื่อว่าทีมพัฒนาโซนี่น่าจะทำแบบสำรวจหรือขอข้อมูลจากผู้ใช้งานจำนวนมากจะปรับปรุงและใส่ลูกเล่นต่างๆมาในกล้องได้อย่างน่าประทับใจ เริ่มจาก

DSC00104_1
ZV-1F ถ่ายด้วยรูรับแสงกว้างสุด ตอนกลางคืน แสงสว่างในห้องนอน

เลนส์ไวแสง 20 f2.0 เป็นเลนส์ที่เหมาะกับการถ่ายภาพในที่แสงน้อย ทำให้มันเหมาะกับการถ่ายภาพแทบทุกสถานการณ์ ประกอบกับการทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์รับแสงขนาดใหญ่ 1 นิ้ว กล้องที่ผลิตในยุคใหม่เป็นกล้องที่มีสัญญาณรบกวนต่ำกว่ากล้องสเป็คเดียวกันในอดีต คุณภาพของภาพตอนถ่ายในที่แสงน้อยจะดูดีกว่ากล้องเมื่อยี่สิบปีที่แล้วอย่างมาก 

06-ZV-1F_top_white

ปุ่มชัตเตอร์และปุ่มถ่ายวิดีโอเป็นปุ่มกดวางแยกกัน ไม่สับสนในการใช้งาน และการจัดวางปุ่มก็เลือกวางได้อย่างเข้าใจ การใช้งานระหว่างสองโหมดนี้ไม่สับสนเลย 

DSC00136

เครื่องพิมพ์ตีธง เป็นเครื่องพิมพ์แบบ letterpress ที่ดัดแปลงไปทำงานปั๊มเจาะรู และทำเส้นปรุได้

ระหว่างที่กำลังเล็งจะถ่ายภาพนิ่ง หากเราอยากเปลี่ยนเป็นถ่ายวิดีโอเราก็กดปุ่มถ่ายวิดีโอ กล้องจะเริ่มบันทึกภาพวิดีโอเลย ตรงนี้เป็นการทำงานที่ไม่ต้องย้ายโหมด ไม่ต้องเปลี่ยนโหมด ไม่ต้องเข้าเมนูใดๆ เป็นความรวดเร็วที่ควรทำได้มาตั้งนานแล้ว แต่ก็เพิ่งพบกับกล้องรุ่นนี้

DSC00164
ภาพใบไม้ถ่ายด้วยเลนส์ 20f2 บนกล้อง ZV-1F
DSC00165
กล้อง ZV-1F กดซูมภาพแบบดิจิทัล 2X

กล้องมีระบบดิจิทัลซูมที่ทำให้เลนส์ฟิกซ์ก็สามารถมีภาพขยายใหญ่เหมือนมีเลนส์ซูมได้ การทำดิจิทัลซูมก็คล้ายกับการคร็อปภาพ ซึ่งหากเลนส์มีคุณภาพ การคร็อปภาพก็จะเหมือนเลนส์มีทางยาวโฟกัสเพิ่มขึ้นนั่นเอง จากเลนส์ 20มม. ก็จะกลายเป็นเลนส์ 40มม. ในทางปฏิบัติแม้จะเป็นการคร็อปภาพ แต่การคร็อปภาพจากภาพที่ใหญ่มาก ก็ยังคงให้ภาพขนาดกลางที่มีคุณภาพอยู่ sony ออกแบบให้ขยายภาพหรือซูมได้ถึง 4เท่า ซึ่งภาพที่คร็อป4เท่า ก็ยังพอใช้งานได้

ซ้อมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาที่สนามฟุตบอล

ระบบการซูมดิจิทัลสามารถตั้งค่าความเร็วในการซูมได้ เราสามารถค่อยๆซูมเข้าไปช้าๆที่ตัวบุคคลเพื่อสร้างมุมมองภาพเหมือนการถ่ายทำสารคดีหรือถ่ายหนัง การซูมอย่างนุ่มนวลให้ภาพวิดีโอที่สวยงามนุ่มนวลไม่กระตุก ลูกเล่นการซูมนี้ช่วยทำให้การถ่ายคลิปวิดีโอเป็นเรื่องสนุก เรามีตัวเลือกซูมช้า ปานกลาง และเร็ว รวมถึงมีปุ่มบนหน้าจอที่ 1x 2x 4x ให้เลือกด้วย กดแล้วได้ระยะซูมที่ต้องการทันทีไม่ต้องรอ ระบบการซูมดิจิทัลแบบนี้ใช้เป็นเครื่องมือสร้างภาพเคลื่อนไหวที่น่าดูได้

DSC00110
ของไหว้เทศกาลตรุษจีน

การที่กล้องมีจอภาพแบบ flip สามารถกางออกมาดูในมุมมองอื่นได้ ทำให้เราสามารถถ่ายภาพเงย หรือก้ม หรือมุมมองแปลกๆได้ ซึ่งกล้อง DSLR ในอดีตการจะถ่ายมุมมองก้มลงอย่างแม่นยำ ก็อาจจะต้องใช้อุปกรณ์เสริมเพิ่ม แต่จอภาพแบบ flip ทำให้การถ่ายภาพทุกองศาการถือกล้องเป็นเรื่องง่าย จัดวางกล้องได้อิสระมาก

DSC00019
ภาพเครื่องพิมพ์ ถ่ายเป็นโหมดขาวดำจบหลังกล้อง

ภาพขาวดำตั้งค่าจากในกล้องเลย ปรับแต่งค่าคอนทราสต์นิดหน่อย เราก็จะได้ภาพขาวดำที่ให้โทนสีดำที่ลึก เข้มข้น เป็นแนวทางใกล้เคียงกับการทำงานขาวดำด้วยฟิล์ม ใกล้เคียงกับการอัดขยายภาพขาวดำบนกระดาษ สไตล์สีขาวดำที่สวยงามต้องเกิดกับคนที่เคยมองภาพขาวดำบนกระดาษอัดภาพจริงๆถึงจะบอกได้ว่าขาวดำแท้จริงเป็นอย่างไร ในอดีตยังไม่เคยมีกล้องดิจิทัลที่ทำภาพขาวดำได้ใกล้เคียงเลย มีตัวนี้แหละที่ดูใกล้ขึ้น และพอยอมรับได้ (ผมยังไม่เคยใช้ Leica monochrome)

DSC00029
ภาพเครื่องพิมพ์ถ่ายในโหมด สี ปรับแต่งสีให้เป็นโทนฟิล์ม ทำเสร็จในกล้องเลย

การถ่ายภาพสีในสถานที่ที่แสงไม่แรงมาก หรือแดดไม่จัด หรือถ่ายในที่ร่ม ภาพจะมีความนุ่มนวลโดยธรรมชาติ และหากรวมกับการปรับแต่งฟิลเตอร์สีที่กล้องมีมาให้ ก็จะทำให้เราได้ภาพคล้ายกับงานที่ถ่ายด้วยกล้องฟิล์ม 

DSC00131
บรรยากาศในโรงพิมพ์

ภาพขาวดำที่สวยคือภาพที่มีโทนสีขาว เทา ดำ ครบ และส่วนสีดำที่สุดมีความดำที่ดำสนิท ในทางเทคนิคคือภาพมีคอนทราสต์สูง มีส่วนขาวสุดและส่วนดำสุด แต่โทนเทาจะต้องต่อเนื่องคือไล่อ่อนไปเข้มได้นุ่มนวล

DSC00114
แม่ลูกคู่กัน

โหมดสีแบบฟิล์มกลายเป็นโหมดที่ปรับแต่งทิ้งไว้และใช้โหมดนี้ถ่ายภาพเกือบตลอดเวลา เพราะสไตล์สีแบบฟิล์มเป็นสีที่น่ามอง ดูมีเสน่ห์เมื่อเป็นภาพถ่าย ไม่แปลกใจที่จะมีคนชอบภาพสไตล์อินสตาแกรม หรือ มีคนชอบการปรับสีของ app VSCO ซึ่งโซนี่ก็เอาใจเต็มที่ด้วยการใส่โทนสีพิเศษแนวนี้เข้ามาให้เลือกใช้

DSC00104_1
ลองคร็อปภาพเป็นพาโนราม่า

สิ่งที่ชอบอีกอย่างก็คือระบบ app ที่ทำงานได้รวดเร็ว เชื่อมต่อง่าย สามารถใช้ app เพื่อโหลดไฟล์ได้สะดวก แถมยังมีระบบเก็บภาพบน cloud ให้ใช้ด้วยอีกขนาด 25Gb ซึ่งพอจะใช้เป็นที่แบ็คอัพภาพนิ่งได้ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าระบบ app ที่เชื่อมต่อกับ cloud จะมีปัญหาในภายหลังไหม เพราะระบบอื่นๆจากประสบการณ์ที่เคยใช้มา ส่วนที่เป็น cloud มักจะทำงานดีเมื่อปีแรก และเมื่อเริ่มไม่ได้รับความนิยมของระบบบน cloud ก็มักจะหายไป

DSC00083
ถ่ายภาพโต๊ะทำงาน เลนส์มุมกว้าง 20mm เก็บสิ่งที่มองเห็นครอบคลุมเหมือนสายตาจริงของเรา
DSC00028
ถ่ายระยะใกล้ๆหรือมาโคร รูรับแสง f2 ให้ภาพวัตถุชัดขณะที่ฉากหลังเบลอได้
DSC00125
เก็บภาพมุมกว้างเหมือนตาเห็น เรายืนมองอะไร เราก็ยกถ่ายสิ่งนั้นได้ ไม่ต้องถอย
ระบบดิจิทัลซูม ปรับความเร็วในการซูมไว้ที่ระดับช้า ให้ความนุ่มนวลในการซูมเหมือนมืออาชีพ
บันทึกคลิปได้ไม่ต่างจาก gopro แต่จะได้สีสันตามการปรับแต่งที่กล้องเลย ไม่ต้องไปทำสีอีกครั้งในคอมพิวเตอร์

DSC00177
ภาพสนามฟุตบอล ยืนดูแล้วก็ถ่ายสิ่งที่เห็น ภาพมุมกว้างเหมือนสายตามนุษย์
DSC00162
ทุ่งนาปลูกข้าวกำลังออกรวงสวยงาม 

ข้อจำกัด หรือ อาจจะเรียกว่าเป็นข้อเสียก็ได้

กล้องตัวนี้มีข้อดีเยอะ ขณะเดียวกับก็มีข้อจำกัดที่เยอะเช่นกัน การจะเลือกใช้กล้องตัวนี้ควรจะรู้ว่ามีข้อจำกัดอะไรบ้าง

ด้วยความที่เป็นเซอร์เซอร์ไม่ได้ใหญ่เท่ากับ Full flame หรือเทียบกับ aps-c ก็ยังถือว่าเล็กกว่า มันทำให้กล้องมีสัญญาณรบกวนที่สูงเมื่อเทียบกับเซ็นเซอร์ที่ใหญ่กว่า ผลก็คือภาพจะไม่เนียนใสในแบบที่เคยได้จากกล้อง Fullframe ถ้าเราเทียบกับมุมใกล้เคียงกัน ZV-1F กับกล้อง aps-c เราก็จะเห็นว่าสัญญาณรบกวนของ ZV-1F มีเยอะกว่าอย่างชัดเจน 

มุมรับภาพของเลนส์ 20mm เทียบเท่า Fullflame ทำให้มันเป็นเลนส์ไวด์หรือเลนส์มุมกว้าง เหมาะกับการถ่ายภาพวิว และถ่ายคลิปวิดีโอเสียมากกว่า การเอาไปถ่ายภาพบุคคล ภาพครึ่งตัวแนวพอร์ตเทรดติดฝาบ้าน หรือภาพเฮดช็อตเน้นใบหน้าและไหล่จะไม่เหมาะเพราะเป็นมุมที่ไม่สวย ถ้าต้องการภาพบุคคลอย่างจริงจังควรไปใช้เลนส์ Tele หรือ 85มม. บนกล้อง Fullflame ไปเลยจะเหมาะกับงานมากกว่า

ZV-1F ถ่ายภาพนิ่งได้เป็น jpg เท่านั้น ไม่มีโหมดไฟล์ raw มาให้ใช้ ทำให้เราหมดโอกาสการปรับแต่งในภายหลังอย่างยืดหยุ่น หากเราชินกับการถ่ายภาพที่ผิดพลาดได้บ้าง หรือ ยังลังเลใจในการแต่งภาพ อยากเลือกโทนสีในภายหลัง เราจะอยากถ่ายเป็น raw ซึ่ง ZV-1F ไม่มี บางคนจะไม่ชอบต้องปรับตัวพอสมควร การมาใช้กล้องที่ถ่ายได้แต่ไฟล์ jpg อย่างเดียวจะบังคับให้เราเลือกสไตล์สีตั้งแต่ตอนถ่าย ซึ่งก็ไม่ได้แย่หากเทียบกับการใช้ฟิล์ม เพราะการเลือกสไตล์สีก็เหมือนการเลือกยี่ห้อฟิล์ม เราเพียงแค่ต้องถ่ายโดยวัดแสงอย่างแม่นยำด้วย เพื่อจะได้ไม่ต้องปรับแต่งหลังถ่ายอีก เนื่องจากแก้ไขความสว่างของภาพและสีกับไฟล์ jpg ทำได้ไม่มาก และยิ่งแก้ไขก็ยิ่งสูญเสียรายละเอียดของไฟล์

การถ่ายสิ่งของหรือสินค้าแบบจัดฉากหรือจัดไฟถ่ายจะค่อนข้างลำบาก เพราะเลนส์เป็นเลนส์ไวด์ แม้จะเข้าใกล้วัตถุได้ แต่ก็จะมีสัดส่วนความเพี้ยนสูง ช่างภาพแนวสินค้าหรือโฆษณามักจะไม่ใช้เลนส์มุมกว้าง เลนส์มาโครระดับโปรจะเป็นเลนส์ทางยาวโฟกัสเยอะหรืออยู่ในระยะ Tele กันทั้งสิ้น ส่วนมากเลนส์มาโครจะมีระยะประมาณ 100มม.

อีกข้อหนึ่งที่เป็นข้อเสียที่ใหญ่หลวงเลยก็คือ กล้องมีความเร็วชัตเตอร์ช้าสุดแค่ 1/4 วินาที คือเปิดหน้ากล้องนานกว่านี้ไม่ได้ แค่ 1 วินาทีก็ยังทำไม่ได้ จุดนี้ช็อคพอสมควรเลย การเปิดชัตเตอร์นานไม่ได้มันจะทำให้เราไม่สามารถถ่ายภาพ ด้วยเทคนิค long exposure  การจะเอาไปถ่ายพลุเป็นเส้นทำไม่ได้ เอาไปถ่ายไฟรถยนต์ที่วิ่งเป็นเส้นทำไม่ได้ เอาไปถ่ายน้ำตกให้สายน้ำนุ่มๆ เปิดหน้ากล้องนานๆก็ทำไม่ได้ มีเทคนิคการถ่ายภาพอีกหลายอย่างที่ต้องเปิดหน้ากล้องนานๆหลายวินาที น่าเสียดายมากที่ ZV-1F จะทำไม่ได้ ขนาดกล้องคอมแพ็คฟิล์มตัวอื่นในอดีตที่เคยผ่านมาบางตัวยังถ่ายได้ที่ 4 วินาที หรือ 8 วินาที 

การกดล๊อคค่าแสงหรือ Ae lock หาไม่เจอในเมนูปกติ มันถูกซ่อนอยู่ด้านไหนเมนู ต้องตั้งค่าให้ปุ่มคัสต้อมเพื่อใช้คำสั่ง Ae lock ซึ่งกว่าจะค้นหาจนเจอ ผมต้องพยายามหาอยู่หลายครั้งและเรียนรู้การตั้งค่าปุ่มคัสต้อม ใช้กล้องมาเป็นเดือน บอกตรงๆว่ายังตั้งค่าปุ่ม ตั้งค่าเมนูส่วนตัวในกล้องยังไม่เป็นเลย

สรุป

กล้อง Sony ZV-1F เป็นกล้องคอมแพ็คที่มีเลนส์ 20มม. ไวแสง เลนส์คุณภาพสูงมาก ให้ภาพใสกริ๊ง สามารถถ่ายภาพได้เหมือนตาเห็น สามารถใส่สีให้ดูคล้ายโทนภาพจากฟิล์ม ใช้ถ่ายวิดีโอได้คล่องตัว ใส่สีสันในวิดีโอให้ดูเป็นหนังอาร์ตได้ไม่ยาก จบหลังกล้องได้ไม่ต้องไปย้อมสีในโปรแกรมตัดต่อ แต่ก็มีลูกเล่นที่บันทึกไฟล์สำหรับตัดต่อได้แบบโปรด้วย ใช้เป็นกล้องไลฟ์ขายของแสดงสินค้าตัวเล็กๆแล้วกล้องโฟกัสสินค้าเล็กๆได้ นับว่าเป็นกล้องสารพัดประโยชน์ที่ราคาไม่แพงเลย 

ไปดูตัวอย่างภาพจากกล้อง ZV-1F เพิ่มเติมได้ที่นี่

สนใจสั่งซื้อได้ที่นี่ https://shope.ee/5V7Q4wN5Mx

หรือที่นี่ https://shope.ee/9eyuQHL1zl

สิ่งที่ต้องทำเมื่อจะพิมพ์โบรชัวร์

โบรชัวร์ หรือ สื่อแผ่นพับ เป็นตัวกลางในการให้ข้อมูลแก่ลูกค้าหรือผู้ใช้งาน อาจจะเป็นตัวบอกข้อมูลสเป็คต่างๆของสินค้า ใช้บอกคุณสมบัติหรือความสามารถ ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนโบรชัวร์ก็เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องมีไว้คู่กับสินค้า อดีตมันคือสื่อส่งเสริมการขายที่จะส่งให้ว่าที่ลูกค้า ปัจจุบันแม้เราจะอยู่ในยุคอินเทอเน็ตที่เอกสารต่างๆสามารถทำเป็นไฟล์ดิจิทัลและให้เปิดดูได้ในโทรศัพท์หรือคอมพิวเตอร์ แต่ลองนึกภาพดูว่า ถ้าคุณขายบ้าน คอนโด หรือรถยนต์ หรือสินค้าราคาสูง คุณจะไม่มีโบรชัวร์เป็นกระดาษส่งให้ลูกค้าถือหรือเปิดดูเลยหรือ 

หากต้องการพิมพ์โบรชัวร์เป็นกระดาษเพื่อใช้งานสิ่งที่จำเป็นต้องทำคือการสั่งผลิตกับโรงพิมพ์ และในการทำงานร่วมกับโรงพิมพ์ก็มีรายละเอียดต่างๆที่ควรทำ ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของสินค้า หรือ เป็นเอเจนซี่โฆษณาที่รับจ้างเจ้าของสินค้าทำสื่อ ขั้นตอนการสื่อสารกับโรงพิมพ์มีดังนี้

IMG_0088

1 คุยกับโรงพิมพ์

คุณจะทำใบปลิวหรือโบรชัวร์กระดาษ คุณต้องคุยกับโรงพิมพ์ที่จะผลิตสิ่งนั้น โรงพิมพ์ที่ทำงานกระดาษก็จะมีระบบการพิมพ์ที่ทันสมัยอย่างดิจิทัลปริ๊นท์ที่สามารถใช้ทำปรู๊ฟหรือใช้ผลิตสื่อจำนวนน้อยได้ หรือหากจะพิมพ์โบรชัวร์ยอดเยอะ เพื่อแจกคนจำนวนมาก ก็ต้องใช้ระบบการพิมพ์อ๊อพเซ็ทเพื่อให้ต้นทุนต่อใบต่ำลง หรือแม้แต่คุณอยากจะทำป้ายไวนิลไปแขวนโชว์ คุณก็ต้องใช้โรงพิมพ์ที่มีเครื่องพิมพ์อิงค์เจ๊ต ซึ่งเป็นเครื่องพิมพ์ขนาดใหญ่สำหรับทำงานไวนิลโดยเฉพาะ ดังนั้น สื่อของคุณจะออกมาในรูปแบบใด ให้คุยเบื้องต้นกับโรงพิมพ์ที่ทำสื่อตัวนั้นได้เสียก่อน เพื่อสอบถามถึงวิธีการเตรียมข้อมูลที่จะส่งให้โรงพิมพ์ จะได้ทำไฟล์อาร์ตเวิร์คได้ถูกต้องและทำงานร่วมกันได้

2 ตรวจสอบอาร์ตเวิร์คให้ละเอียด

ไฟล์งานที่จะใช้สั่งพิมพ์จะต้องถูกจัดวางในโปรแกรมจัดหน้า ซึ่งในยุคปัจจุบันเราก็มีโปรแกรมจัดหน้าหลายตัวให้เลือกใช้ได้ตามความถนัด เราอาจจะใช้ adobe illustrator ออกแบบโปสเตอร์ก็ได้ จะใช้โปรแกรม canva ช่วยออกแบบและจัดวางก็ได้ สิ่งสำคัญคือเมื่อจัดหน้าแล้วต้องตรวจสอบให้ละเอียดว่าภาพครบถ้วน ตัวหนังสือไม่ตกหล่น สะกดคำไม่ผิด ภาพและข้อความต้องถูกต้องตามการออกแบบ ต้องผ่านการตรวจละเอียดก่อนจะจัดส่งโรงพิมพ์

3 ตรวจสอบขนาดภาพที่ใช้ในอาร์ตเวิร์ค

เมื่อมีการใช้ภาพวางในอาร์ตเวิร์ค เราจะต้องใช้ภาพที่มีคุณภาพสูงและมีความละเอียดเพียงพอ เมื่อก่อนภาพถ่ายจะอยู่บนฟิล์ม การสแกนภาพจากฟิล์มจะต้องเลือกความละเอียดให้สูงเพียงพอต่อการทำงานสิ่งพิมพ์ ยุคสมัยของฟิล์มจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการตรวจสอบขนาดภาพ ต่อมาเมื่อกล้องดิจิทัลได้รับความนิยม และกล้องดิจิทัลสามารถถ่ายภาพความละเอียดสูงได้เกิน 10ล้านพิกเซลกันแล้วก็ทำให้ประเด็นขนาดภาพในสิ่งพิมพ์ดูไม่สำคัญมาก เพราะขนาดภาพจากกล้องดิจิทัลทะลุความต้องการขั้นต่ำไปไกลแล้ว แต่ก็ต้องระวังเรื่องการคร็อปภาพมาใช้ เพราะถ้าเราถ่ายภาพมาใหญ่เพียงพอ แต่เราเลือกคร็อปบางส่วนมาใช้ มันคือการลดขนาดภาพ ลดจำนวนพิกเซลลง มันทำให้ขนาดอาจจะเล็กเกินไปเมื่อนำมาพิมพ์ในงานพิมพ์บนกระดาษ หรือบางภาพที่ส่งต่อกันในโปรแกรมไลน์ หรือ โหลดจากโซเชียลเน็ตเวิร์คก็อาจจะได้ภาพขนาดเล็ก เราต้องตรวจสอบอย่างรอบคอบ 

ตัวเลขคร่าวๆคือ ถ้าเราต้องการพิมพ์ภาพขนาดเต็มกระดาษ A4 ที่ดูคมชัดสวยงามระดับภาพถ่าย เราก็ควรจะใช้ภาพที่มีความละเอียด 300dpi หรือ 300จุดต่อนิ้ว   จำนวนพิกเซลที่ต้องการตามขนาดกระดาษ A4 (21×29.7cm.) คือขนาด 2480×3508 พิกเซล หรือเทียบกับกล้องดิจิทัล 8.7ล้านพิกเซลนั่นเอง 

4 ตรวจสอบเรื่องระบบสีของภาพ

ภาพในจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ และภาพจากกล้องดิจิทัลจะเป็นภาพในโหมดสี RGB ซึ่งใช้งานได้ดีในจอภาพ แต่การพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ออกมาเป็นกระดาษจะใช้หมึกพิมพ์ระบบสี CMYK ดังนั้นไฟล์ภาพ RGB จะต้องถูกแปลงให้เป็นไฟล์ชนิด CMYK เสียก่อน การจัดหน้าอาร์ตเวิร์ค การตั้งค่าซอร์ฟแวร์จัดหน้า เมื่อเราตั้งใจจะส่งพิมพ์ในโรงพิมพ์ เราต้องตั้งค่าซอร์ฟแวร์จัดหน้าให้เป็นค่า CMYK  งานถึงจะมีคุณภาพ ซอร์ฟแวร์สมัยใหม่จะมีโหมดการแปลงค่าสีให้เป็น CMYK ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนจะบันทึกเป็นไฟล์สำหรับโรงพิมพ์ แต่เราก็ควรตรวจสอบไฟล์ภาพและงานอาร์ตเวิร์คให้ดีว่าเราจบงานเป็นระบบสี CMYK จริงๆ

Screen Shot 2565-10-10 at 11.16.07

5 ต้องมีตัดตก

คำว่าตัดตกคือการตัดขอบทิ้ง ถ้าเราต้องการงานนามบัตรขนาด 55×90 มิลลิเมตร ซึ่งเป็นขนาดมาตรฐานที่นิยมใช้กับนามบัตร ไฟล์อาร์ตเวิร์คที่เราทำส่งโรงพิมพ์ก็ควรจะทำมาให้ใหญ่กว่าขนาดที่ต้องการด้านละ 3 มิลลิเมตร นั่นก็คือขนาดไฟล์นามบัตรที่ส่งโรงพิมพ์ควรจะใหญ่ 61×96 มิลลิเมตร คือการบวกเข้าไปด้านละ 3 มิลลิเมตรทุกด้าน ไฟล์ที่มีตัดตกจะผ่านการพิมพ์และตัดขอบออกด้านละ 3 มิลลิเมตร ทำให้ได้ขนาดตามที่ต้องการ

6 บันทึกเป็นไฟล์ pdf 

ถ้าเราออกแบบและตรวจสอบทุกอย่างถูกต้อง ผ่านมาแล้ว 5 ข้อด้านบน เราก็จะพร้อมที่จะส่งไฟล์ให้โรงพิมพ์แล้ว การบันทึกไฟล์ชนิด pdf จะเป็นไฟล์ที่โรงพิมพ์นำไปใช้พิมพ์งานได้ หากจะพิมพ์ด้วยระบบอ๊อฟเซ็ทดั้งเดิมโรงพิมพ์จะใช้ไฟล์ pdf ไปทำเพลทหรือแม่พิมพ์ หากจะพิมพ์ด้วยระบบดิจิทัลปริ๊นท์ไฟล์สำหรับสั่งพิมพ์จะต้องใช้ pdf ตัวนี้เช่นกัน แต่ถ้าเราไม่ได้ตรวจบางอย่างที่ต้องตรวจ หรือละเลยบางข้อไป ไฟล์ pdf ก็จะเป็นไฟล์ที่บรรจุข้อผิดพลาดไปด้วยเช่นกัน ดังนั้น ตรวจสอบให้แน่ใจทุกข้อแล้วค่อย export หรือ save as ไฟล์ชนิด pdf เพื่อส่งโรงพิมพ์

นี่คือขั้นตอนคร่าวๆที่เราจำเป็นจะต้องตรวจสอบและแก้ไขให้ถูกต้องก่อนที่จะส่งไฟล์ให้โรงพิมพ์ ผลลัพธ์งานพิมพ์จะออกมาอย่างที่เราต้องการ ตัวหนังสือไม่ตกหล่น ภาพถ่ายคมชัด สิ่งพิมพ์มีคุณภาพสูงสุด แต่หากรู้สึกว่าลำบาก งานเหล่านี้ก็ยกให้เอเจนซี่ หรือ นักออกแบบที่มีประสบการณ์ทำงานส่งโรงพิมพ์แทนก็ได้



ลองปรับภาพให้ได้โทนเท่ห์ๆแบบฝรั่ง

ภาพนี้เป็นภาพสมัยที่ลูกผมอายุ 3 ขวบ และบ้านเราก็หอบหิ้วกันไปเที่ยวญี่ปุ่น ลูกตัวเล็กน่ารัก กำลังนั่งมองการ์ตูนในแท็บเบล็ตที่เราพกไว้สำหรับใช้ถ่วงเวลา เวลาที่งอแงหรือกินอะไรยากเย็น แสงสว่างตอนเช้าส่องเข้าที่หน้าต่าง แดดยังไม่แรง ความสว่างในระยะเริ่มต้นวันใหม่กำลังสวย เลนส์ efm 22f2 เป็นเลนส์ที่ใช้อยู่บนกล้อง canon eos m1 ซึ่งเป็นกล้อง mirrorless รุ่นแรกของ canon

ผมถ่ายภาพนี้ด้วย setting แบบ jpg+raw และตั้งค่าการถ่ายเป็น Av f2 ตั้งค่าให้กล้องไม่ต้องชดเชยขอบมืด เพราะเจตนาอยากได้ภาพที่ขอบมืดเล็กน้อย กลางภาพสว่างจะดูเด่นขึ้น ส่วนค่า White balance ก็ตั้งไว้ที่ Auto ซึ่งกล้องก็ทำงานได้ภาพที่ดี รูรับแสง F2 ทำให้นายแบบดูคมชัดและด้านหลังที่เป็นกำแพงก็ดูเบลอไปเล็กน้อย ชัดตื้นระดับแค่คนชัดข้างหลังเบลอเป็นลักษณะภาพที่สวยและต้องการอุปกรณ์ที่ดีระดับหนึ่ง เพราะหากเป็นเลนส์ที่รูรับแสงไม่กว้างมากก็ยากที่จะได้ภาพที่มีความเบลอด้านหลังแบบนี้

IMG_8995
dpp-japan2015t-IMG_8995

ในตอนเดินทางเราพบเหตุการณ์อะไร มีอะไรน่าสนใจ เราก็ถ่ายภาพเก็บไว้เรื่อยๆตลอดทริป และทริปนี้ก็เป็นทริปที่ผมพกกล้องและเลนส์ไปตัวเดียว ชุดเดียวถ้วน ไม่มีสำรอง ไม่มีเลนส์เปลี่ยน เนื่องจากการเดินทางข้ามประเทศพร้อมลูกเล็กและรถเข็นเด็กก็ทำให้มีข้าวของพะรุงพะรัง ทำให้ไม่อยากพกอุปกรณ์กล้องไปเยอะ ผมไม่มีแม้แต่กล้องสำรอง คิดเพียงว่าถ้ากล้องพัง กล้องเสีย หรือ กล้องหาย ก็ซื้อใหม่ที่ญี่ปุ่นไปเลย

เมื่อกลับมาเมืองไทย และเวลาผ่านไปสักพัก ผมก็เปิดดูภาพชุดนี้อยู่เรื่อยๆ และหลายปีต่อมา ก็ทดลองเอามาปรับสีเล่นเพื่อให้ดูคล้ายๆกับแนวทางของช่างภาพเมืองฝรั่งดูบ้าง เพราะภาพแนวสตรีทหรือแนวชีวิตผู้คนก็มักจะมีโทนสีหม่นๆ หรือ อมเขียว อมฟ้าอย่างบอกไม่ถูก กำแพงห้องที่เป็นสีโทนขาว ในหนังอาร์ต หรือหนังฮอลีวู้ดบางเรื่องก็ถ่ายออกมาอมเขียวรุนแรงมาก ผมก็เลยคิดว่า ถ้าเราปรับโทนของภาพ ให้โทนขาวเทาดำมีความเจือปนสีเขียวเล็กน้อยจะเป็นอย่างไร ก็เลยออกมาเป็นภาพเหล่านี้

ภาพโทนอมฟ้าอมเขียวเป็นสิ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นตามกระแสกล้องฟิล์มที่ฮิตมากอย่างน่าประหลาดใจในช่วงหลายปีก่อน ฟิล์มที่ไม่มีคนสนใจเริ่มถูกซื้อไปถ่ายเล่น กล้องเก่าเริ่มขายดี ฟิล์มถ่ายภาพจากม้วนละไม่ถึงหนึ่งร้อยบาท กลายเป็นสองร้อย สามร้อย และในปีนี้ คศ 2023 ฟิล์มสีม้วนละ 550 บาทไปแล้ว การลองย้อนไปถ่ายฟิล์มเพื่อให้ได้โทนสีแบบฟิล์มก็ดูจะเป็นเรื่องสิ้นเปลืองอยู่ไม่น้อย ดังนั้น ดิจิทัลที่นอนนิ่งอยู่ในคอมพิวเตอร์ก็ลองเอามารับเล่นดูดีกว่า เลยเกิดเป็นภาพอมเขียว อมฟ้า เล็กน้อยแบบนี้

โพสท์แบบ compare