ภาพแม่และเด็กในรูปแบบที่ผมชอบจะเป็นลักษณะแบบภาพนี้เลย เป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงความรัก ความตั้งใจที่จะเอาใจใส่ต่อชีวิตน้อยๆหนึ่งชีวิต การเป็นแม่ที่ดีต้องใช้ความพยายามและความอดทนมหาศาล ในช่วงแรกของเด็กยังช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ เด็กจะอยู่รอดก็เพราะแม่คนเดียวเท่านั้น พ่อที่ยืนถ่ายรูปอยู่ด้านข้างเป็นแค่คนที่คอยช่วยหยิบจับสิ่งของบางอย่าง เป็นเพียงคนบันทึกภาพ เป็นพยานว่าแม่รักลูกแค่ไหน
Tag Archives: ขอบฟ้า
จดหมายถึงขอบฟ้า
วันที่ 27 มีนาคม 2557 ผมรู้สึกอย่างเขียนข้อความบางอย่างถึงลูก เลยออกมาเป็นกลอนแบบนี้

ปีนป่ายก่ายกันนอน
หัวไร้หมอนตอนรุ่งสาง
ทับแขนทับพุงกาง
มือเท้าวางอยู่ข้างกัน
ตื่นมาน้ำตาไหล
แม่แม่หายอยู่ไหนหนอ
ลูกเอ๋ยจงนั่งรอ
เดี๋ยวพ่อพ่อเล่าให้ฟัง
หุงข้าวกับทอดปลา
แม่ขึ้นมาในทีหลัง
ผ้าอ้อมเหม็นหนักจัง
นอนเอนหลังเปลี่ยนผืนใหม่
แปรงฟันเรื่องโหดร้าย
ลูกโวยวายไปถึงไหน
แปรงเสร็จหอมชื่นใจ
ยื่นปากให้พ่อแม่ดม
หยิบกล้องส่องรอยยิ้ม
ยิ้มอิ่มอิ่มพ่อสะสม
วิ่งเล่นเป็นลิงลม
ป้อนข้าวต้มแทบไม่ทัน
กินข้าวแล้วเดินเล่น
ต้องเคี่ยวเข็นเป็นครึ่งวัน
กินนมก่อนนอนฝัน
นอนกลางวันได้นานนาน
หนังดีเพลงไพเราะ
หนังเรือเหาะบู๊ล้างผลาญ
ทุกอย่างไม่พบพาน
ตั้งแต่วันที่ลูกมา
อ้อมกอดพ่อแม่เจ้า
ไม่ใหญ่เท่าผืนโลกา
แต่จะอุ้มเจ้าขอบฟ้า
เท่าเวลาที่หายใจ




ปีคศ 2024 โลกเรามีระบบ AI ที่ฉลาดมาก สามารถทำงานหลายอย่างได้อย่างมหัศจรรย์ และได้ลองเอากลอนนี้ไปทำเป็นเพลงได้ออกมาเป็นแบบนี้
ขอบฟ้า 1 ขวบ 6 เดือน
เด็กชายขอบฟ้า 1 ขวบ 6 เดือน วันนี้วิ่งเล่นได้แทบจะเหมือนลิงแล้ว ขาดแค่ปีนต้นไม้เท่านั้น
นิสัยการยิ้มสู้กล้องยังพอมีหลงเหลืออยู่บ้าง แม้จะไม่เท่าตอนสมัยยังแบเบาะ แต่ก็ยังพอเรียกให้หันมายิ้มได้ ทุกวันนี้ เวลาถามว่าจะไปไหน จะได้ยินคำตอบว่า “ไปเที่ยว” เป็นคำตอบแรกสุดและตอบได้อย่างไม่ต้อคิดเลย
ภาพนี้ถ่ายที่พุทธมณฑล บริเวณสนามหญ้าข้างองค์พระ แสงเย็นๆประมาณห้าโมงเย็นส่องมาทางด้านหลัง ใช้กล้อง DSLR canon eos6d พร้อมเลนส์เทเลซูมความไว 2.8 อย่าง 70-200L วัดแสงแบบชดเชยไปทาง over 1 stop โฟกัสกลางภาพแล้วถ่าย ได้ภาพค่อนข้างน่าพอใจ
การพกกล้องใหญ่ๆไปเที่ยวมีข้อดีและข้อเสียปนกัน ข้อดีคือได้ภาพที่มีคุณภาพ ได้ภาพสวยไว้ใจได้ ข้อเสียคือมันหนักและเป็นภาระในการขนย้าย ยิ่งต้องดูและเด็กซนๆสักคนแทบจะทำให้การพักกล้องใหญ่ๆเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย แต่ผมเองพกกล้องเล็กมาเป็นปีแล้วตั้งแต่เร่ิมพาลูกออกจากบ้าน มีภาพจากกล้องเล็กๆเต็มไปหมด วันนี้ก็เลยลองพกของใหญ่ดู ก็ได้ภาพที่สวยงามคุ้มกับความยุ่งยาก
แถมภาพพอร์ตเทรตของขอบฟ้าเอาไว้ด้วย เด็กที่เกิดมาเป็นลูกของคนชอบถ่ายรูปก็ย่อมมีรูปเยอะเป็นธรรมดา ตอนลูกโตขึ้น ลูกจะเป็นคนที่มีภาพไว้อวดเพื่อนๆมากมายมหาศาล
ถ่ายภาพด้วยกล้อง Holga

กล้อง Holga เป็นกล้องจากประเทศฮ่องกง ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป็นของเล่นสำหรับนักถ่ายภาพที่อยากจะใช้ฟิล์มขนาดใหญ่ขนาด 6x6cm หรือฟิล์ม 120 ซึ่งเป็นฟิล์มที่ได้รับการใช้งานในวงการสตูดิโอระดับมืออาชีพมาตลอดตั้งแต่เรารู้จักกับคำว่าถ่ายภาพแฟชั่น

ฟิล์มใหญ่จะให้ความคมชัดสูงกว่าฟิล์มเล็กเป็นเรื่องที่นักถ่ายภาพท่องกันขึ้นใจ กล้อง Holga เป็นกล้องราคาถูก ซื้อขายกันง่าย ไม่ต้องดูแลมาก เป็นพลาสติกเกือบทั้งตัวยกเว้นสปริงที่เป็นเหล็ก มีรูรับแสงคงที่ มีช่องมองภาพเอาไว้เล็ง ปรับโฟกัสได้บ้างเป็นช่วงๆ คือถ่ายใกล้หน่อยสำหรับถ่ายคนเดียว ถ่ายไกลหน่อยสำหรับถ่ายหลายคน ถ่ายไกลสุดเอาไว้ใช้ตอนถ่ายวิว ระยะโฟกัสก็หมุนเอาตามสถานการณ์และความมั่นใจของช่างภาพ ภาพชัดไม่ชัดก็ไปลุ้นกัน ค่าสปีดชัตเตอร์ระบุไม่ได้ว่าเท่าไหร่ แต่ให้ใช้หลักการของกฏ sunny16 เอาไว้ ก็คือ ต้องมีแดดถึงจะถ่ายได้ แดดยิ่งแรงยิ่งดี

ผมถ่ายภาพลูกด้วยค่าแสงตอนประมาณเจ็ดโมงเช้า รู้ทั้งรู้ว่าแสงยังไม่เข้มพอ เลยหลอกให้ลูกไปดูพระอาทิตย์ตรงๆ ให้แสงอ่อนๆตกลงบนหน้าพอดี ส่วนอื่นในภาพก็มืดไปตามสภาพที่ไม่โดนแสง
ความคมชัดของกล้องตัวนี้พอใช้ได้ที่กลางภาพ ถ้าโฟกัสถูกก็จะให้ภาพที่คาดหวังได้ แต่ขอบภาพจะมัวๆเบลอๆ ซึ่งเป็นบุคลิกของกล้องราคาถูก แต่ดันเป็นรูปแบบที่คนส่วนใหญ่ชอบคือตรงกลางชัด รอบๆช่างหัวมัน

ฟิล์ม fomapan น้ำยา d76 24องศา 5 นาที สแกนเนอร์ epson4490 และภาพยืนเกาะรั้วนี้ผมชอบมาก จนเอาไปอัดขยายใส่กรอบและใช้เป็นของประดับบ้านเลย
และนี่คือหน้าตาของกล้อง Holga120 ครับ
ถ้าสนใจก็ซื้อได้ที่นี่ https://s.lazada.co.th/s.Q4lb8?cc
ผมได้ทำคลิปวิดีโอพูดถึงกล้องตัวนี้เอาไว้ด้วย ลองไปชมดูได้นะครับ เป็นเนื้อหาที่ทำขึ้นมาคนละช่วงเวลากับการเขียนบทความนี้
ภาพจากกล้องโพลารอยด์
ขอบฟ้ากับคุณย่า
พาขอบฟ้ามาเยี่ยมคุณย่า ถ่ายภาพเล่นด้วยกล้องสองตัว ตัวแรกคือกล้อง LYTRO เป็นกล้องแนวแฟชั่นไฮเทค คุณภาพไม่ค่อยสวยมาก แต่ได้เรื่องลูกเล่นการโฟกัสภาพ ถ่ายก่อนโฟกัสทีหลัง อยากเห็นจุดไหนในภาพชัดก็กดที่บริเวณนั้นเพื่อโฟกัสใหม่
อย่างภาพนี้ มีรูปเด็ก แม่เด็ก ย่าของเด็ก และหมาอีกตัว คลิกที่จุดไหนเพื่อโฟกัสภาพใหม่ก็ได้ เป็นลูกเล่นที่สนุกดีเหมือนกัน
วันนี้เตรียมตัวพาขอบฟ้าไปเยี่ยมคุณย่า ให้นมช่วงสายๆเสร็จก็เตรียมตัวขึ้นรถพาไปบ้านจอมทอง ก่อนจะออกก็ถ่ายรูปเล่นกัน ครั้งนี้ใช้กล้อง Eos5d กับเลนส์ 85 f1.8 เป็นหลัก หลังจากที่ใช้กล้องเล็กอย่าง Fuji x100 มานาน ภาพจากกล้องใหญ่เลนส์ใหญ่ตัวนี้ให้คุณภาพที่ดีมาก จะเรียกว่าเป็นกล้องเทพ เลนส์เทวดา ก็ไม่ผิดนัก
หลานสาวชื่อ มิลิน เป็นลูกของพี่ชายอ้อย กำลังซน วิ่งและนอนได้ทุกที่ในบ้าน คลุกลงไปหมอบคู่กับหมาก็บ่อย ภาพนี้รอจังหวะเขาวิ่งเล่นไปหมอบข้างๆหมาแล้วก็ถ่ายเก็บไว้เป็นที่ระลึก

เด็กผู้หญิงเริ่มรู้จักการถ่ายรูปแล้ว บอกให้โพสท์ท่าก็ได้ภาพนี้มา ถ้าไม่ใช่กล้อง DSLR ยังไม่ค่อยมั่นใจว่าจะได้อารมณ์ภาพและความไวแบบนี้ เพราะเด็กนิ่งอยู่แบบนี้แค่สองวินาที พ้นจากนี้ก็อด
ขับรถ Honda freed พาขอบฟ้าไปเยี่ยมคุณย่า วันนี้ขอบฟ้าโชว์ความเป็นเด็กดี ไม่งอแงเลี้ยงยากเหมือนทุกวัน ทักก็ยิ้มตลอด ใครเห็นใครก็รัก คุณย่าเห็นยังสงสัยเลยว่าเลี้ยงยากตรงไหน
ตอนเย็นพากลับมาบ้านบางบัวทองแล้วก็พาไปเดินเล่นในหมู่บ้าน ขึ้นรถเข็นแล้วตะลอนไปท้ายหมู่บ้าน
ขอบฟ้านั่งในรถเข็นไม่รู้เรื่อง คงไม่รู้ว่าพ่อแม่ทำอะไร มันก็นั่งอมมือไปเรื่อยๆ ท่าทางแบบนี้น่าจะเป็นที่มาของคำพูด “เด็กอมมือ”
หมู่บ้านนี้อยู่บริเวณบางบัวทอง ตุลาคมปี 2554 น้ำท่วมใหญ่ ทิ้งร่องรอยให้เห็นตามรั้วบ้าน ใครจะซื้อบ้านมือสอง หรือโครงการใหม่ๆในพื้นที่เสี่ยงคงต้องคิดหนัก เพราะเห็นหลักฐานอยู่ว่าท่วมระดับไหน
ตอนเข็นรถแม่จะเข็นรถไม่เร็ว แต่ช่างภาพถ่ายให้ดูเหมือนเร็ว เอาไว้ดูขำๆ
Honda Freed กับชีวิตเล็กๆ
วันที่ 20 กรกฎาคม 2555 เป็นวันที่ชีวิตผมเปลี่ยนไปตลอดกาล
เช้ามืดวันที่ 20 เป็นวันนัดที่ผมจะพาภรรยาไปคลอดลูก ลูกของผมเป็นผู้ชาย ผมคิดชื่อให้เขาแล้วตั้งแต่ตอนที่ยังไม่รู้เพศ ถ้าเป็นผู้หญิงจะให้ชื่อกลางใจ ถ้าเป็นผู้ชายจะให้ชื่อขอบฟ้า ชื่อกลางใจหมายถึงจุดที่ใกล้ตัวที่สุด ชื่อขอบฟ้าหมายถึงที่ที่ไกลที่สุด มีความหมายเป็นนัยว่าไม่มีใครไปไกลกว่าขอบฟ้า
ก่อนวันคลอด ผมหัดใส่คาร์ซีทในฮอนด้า freed คาร์ซีทได้รับบริจาคมาจากพี่สาวของผมผู้ที่หยิบยื่นแคมรี่มาให้ผมขับอยู่แปดพันกิโลเมตรนั่นแหละ การติดตั้งคาร์ซีทเต็มไปด้วยความมึนงง ให้เพื่อนช่วยดูให้เหมือนกัน ก็คิดว่าน่าจะติดได้ไม่ผิด แต่ก็ไม่มั่นใจ จัดกระเป๋าเสื้อผ้าของตัวเอง กระเป๋าภรรยา และกระเป๋าของลูก นอกจากนี้ยังเตรียมป้ายชื่อของลูกเอาไว้ด้วย ตั้งใจจะเอาไปใช้ติดหน้าเตียง เวลามีใครมาเยี่ยมจะได้หาได้สะดวก
ผมขับรถไปโรงพยาบาลรามาตั้งแต่เช้ามืด เพื่อหนีรถติด นัดหมอไว้เก้าโมงเช้า แต่แม่เด็กต้องไปเตรียมตัวตั้งแต่เจ๊ดโมง ในห้องพักก่อนผ่าตัดผมก็เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดตัวเขียว เพื่อเตรียมตัวไปยืนลุ้นอยู่ข้างเตียงผ่าตัด ระหว่างที่รอเวลา ผมทะยอยเตรียมของใช้ที่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นกล้องดิจิทัล Fujix100 พร้อมแบตเตอรี่สองก้อน เมมโมรี่อีก 16 Gb กล้องฟิล์ม Leica minilux ใส่ฟิล์มขาวดำเอาไว้เพราะผมต้องการภาพขาวดำแท้ๆเก็บไว้ด้วย ลูกผมเกิดทีเดียว ไมโครโฟนบันทึกเสียงก็เตรียมไว้เพราะอยากจะเก็บเสียงแรกให้ได้ แต่ว่าสุดท้ายก็ไม่ได้พกเข้าไป เพราะชุดเขียวไม่มีช่องให้ใส่อุปกรณ์อย่างอื่นเลย
ในห้องผ่าตัดเป็นอย่างไรผมจำรายละเอียดไม่ค่อยได้ เพราะทุกอย่างมันเร็วมาก รู้ตัวอีกทีลูกผมก็ถูกหิ้วออกมาที่เตียงเล็ก ทำการกระตุ้นระบบหายใจ ดูดน้ำออกจากปอด ผมเป็นพ่อคนแล้ว พ่อมือใหม่ทำอะไรไม่ถูกเลย ภาพเด็กเกิดใหม่น่าเกลีียดมาก เด็กคนนี้เหรอที่ผมร้องเพลงให้มันฟังบ่อยๆ ผมจะเริ่มรักมันนาทีไหนกัน พอเสียงเด็กดังขึ้น บรรยากาศทุกอย่างเปลี่ยนไปเป็นความสุขที่อบอวล ผมรักมันแล้วแหละ จากนั้นก็ได้สติ ผมไปยืนถ่ายรูปพ่อแม่ลูกด้วยท่ามาตรฐานของทีมหมอที่เขาบรรจงถ่ายภาพให้อย่างมืออาชีพ ผมว่าผมเป็นช่างภาพที่ถ่ายภาพมาเยอะ แต่ภาพครอบครัวคงต้องยกให้หมอและพยาบาลในนี้ เพราะเขาคงถ่ายวันละหลายครอบครัว ปีละสามร้อยหกสิบห้าวัน
ผมใช้เวลาอยู่ในโรงพยาบาลสามคืน เพื่อให้ภรรยาพักฟื้นและทำความคุ้นเคยกับลูก หัดป้อนนม หัดอาบน้ำ หัดอดนอน หัดตื่นทุกสามชั่วโมง ทุกอย่างพยาบาลค่อยๆฝึกเราทั้งคู่เพื่อให้พร้อมออกไปเลี้ยงลูกอย่างมั่นใจ แต่จริงๆแล้ว พ่อแม่มือใหม่อย่างผมและภรรยามีแต่ความกลัว มีแต่ความวิตกกังวล แต่ก็ทำหน้าเฉยๆเพื่อไม่ให้เสียกำลังใจ
ผมออกจากโรงพยาบาล พร้อมด้วภรรยาและเด็กชายขอบฟ้า ชีวิตใหม่กำลังเริ่มต้น ผมขับ Freed คลานเป็นเต่าออกจากรั้วโรงพยาบาล ทีแรกตั้งใจจะวางลูกไว้ในคาร์ซีท แต่ลูกผมตัวเล็ก น้ำหนักเพียง 2778 กรัมตอนเกิด รูปร่างยังเล็กมากเมื่อเทียบกับคาร์ซีทที่ติดไว้ในรถ วางลูกลงไปแล้วทุกอย่างดูหลวมๆ มันหลวมซะจนคิดว่าลูกน่าจะกลิ้งตกได้เลย ภรรยาผมเริ่มใจเสีย มีสิ่งที่ผิดคาดเกิดขึ้นในชีวิตแล้วหนึ่งอย่าง ลูกนอนในคาร์ซีทไม่ได้ทำให้ต้องอุ้มอยู่อก ซึ่งรู้กันอยู่แก่ใจว่าเป็นท่าที่อันตรายมาก ถ้าผมขับเร็วไป หรือมีอุบัติเหตุอะไรไม่คาดฝันเกิดขึ้นลูกคงหลุดจากมือได้ง่ายๆ
ขับรถออกจากรั้วโรงพยาบาลไปแค่ห้าสิบเมตรผมก็รู้สึกว่ารถแรงไปแล้ว อยากขับให้ช้ากว่านี้ ผมกลัวลูกจะหลุดมือ กลัวว่าถ้าวิ่งเร็วลูกจะอันตราย กลัวว่าถ้าต้องเบรกกระทันหันลูกจะหลุดจากอกแม่ ผมกลัวแค่ไหนภรรยาผมกลัวยิ่งกว่า ผ่านไปหนึ่งสี่แยก มีรถเมล์วิ่งแซงรถผมไปแล้ว ผมภาวนาให้รถติดเยอะหน่อยเพื่อให้ผมจะได้ไม่ต้องเร่งความเร็วขึ้นไป อยากให้ทุกอย่างช้าลง อยากให้รถติดค่อยๆขยับเพราะผมกลัวลูกหลุดมือ ใครหลายคนเคยบ่นว่าอยากให้ฟรีดติดเครื่องสองพันซีซี สถานการณ์ของผมผมกลับอยากได้เครื่องเล็กกว่านี้ อยากให้ถนนแคบกว่านี้ อยากวิ่งช้าๆ ผู้หญิงคนหนึ่งที่คุณรัก กับลูกอีกคนที่ทั้งคุณและภรรยาต่างพร้อมใจใช้ทั้งชีวิตที่เหลือเพื่อปกป้องและเลี้ยงดูเขา ผมจะไม่ขับรถเร็วเด็ดขาด จะไม่เผลอปล่อยให้รถวิ่งแบบอันตรายเลยแม้แต่นาทีเดียว ระหว่างรถติดผมหันไปมองภรรยาและลูกบ่อยมาก ภรรยาเริ่มร้องไห้ ผมถามว่าทำไมถึงร้อง เธอบอกว่า เธอกลัว กลัวเลี้ยงได้ไม่ดี เห็นน้ำตาแล้วผมก็ทำอะไรไม่ถูกเลย ผมบอกเธอว่า มีผู้หญิงเป็นล้านคนผ่านวันแบบนี้ไปได้พวกเราไม่โชคร้ายหรอก
สามสิบวันผ่านไป ผมนัดหมอที่โรงพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพและฉีดยาให้ขอบฟ้า คาร์ซีทได้ใช้งานอีกครั้ง คราวนี้ขอบฟ้าตัวโตขึ้น วางในคาร์ซีทแล้วไม่หลวมเหมือนวันแรก คาร์ซีทรุ่นนี้เป็นกระเช้าในตัว ประตูสไลด์ของ Freed ทำให้ผมจัดท่าของขอบฟ้าในคาร์ซีทได้สะดวก ตำแหน่งที่ติดตั้งคาร์ซีทที่ปลอดภัยที่สุดของรถยนต์คือหลังคนขับ ผมเพิ่งพบข้อดีของ Freed อีกข้อหนึ่งที่ดีกว่ารถเก๋งตอนติดคาร์ซีทนี่แหละ นั่นคือ ผมสามารถติดคาร์ซีทไว้ที่แถวสองด้านขวาซึ่งอยู่หลังคนขับได้ และใช้เบาะแถวสองเลื่อนขึ้นหน้าเพื่อบีบให้คาร์ซีทติดแน่นไม่ขยับ ถ้าเป็นรถเก๋ง เราจะพบว่าคาร์ซีทมักจะติดอยู่กับเบาะหลังด้านซ้าย เหตุผลก็เพราะว่าต้องเลื่อนเบาะหน้าลงมาดันคาร์ซีทเอาไว้ เนื่องจากรถเก๋งเลื่อนเบาะหลังไม่ได้ ถ้าติดด้านหลังคนขับจะกลายเป็นว่าต้องเลื่อนเบาะคนขับลงมาดันคาร์ซีท ซึ่งมันก็ทำให้ตำแหน่งคนขับไม่อยู่ในตำแหน่งการขับที่ดี อันตรายยิ่งกว่าเดิม รถเก๋งเลยต้องติดด้านซ้ายแทน แต่ Freed ติดคาร์ซีทหลังคนขับได้ เพราะไม่ต้องเลื่อนเบาะคนขับไปดัน แต่ใช้เบาะแถวสองดันขึ้นมาแทน มันดีกว่ากันตรงนี้
มีอีกครั้งที่ Freed ทำให้ผมรู้สึกดี ตอนที่พาขอบฟ้าไปหาหมออีกครั้งหนึ่งตอนครบหกสิบวัน หลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วก็แวะไปร้านขายของเด็ก ภรรยาผมต้องการซื้อของใช้ให้ขอบฟ้า ไปจอดที่ร้านค้าแล้วก็ให้ภรรยาเดินลงไปซื้อ ผมกับขอบฟ้ารออยู่บนรถ ดูเหมือนเป็นคนไม่รักโลก เพราะจอดรถเปิดแอร์ แต่ผมให้อภัยตัวเอง เหตุผลง่ายๆก็คือผมรัก ลูกมากกว่ารักโลก พอจอดได้ตำแหน่งที่ดีแล้ว ผมก็เข้าเกียร์ P แล้วเดินจากแถวหน้ามานั่งแถวสอง เพื่อเล่นกับขอบฟ้า มาอยู่เป็นเพื่อนให้ขอบฟ้าเห็นหน้าจะได้ไม่ร้องไห้ แดดร้อน แต่ผมไม่ต้องลงจากรถเพื่อย้ายที่นั่ง ยิ่งถ้าฝนตกยิ่งรู้สึกดีว่าเลือกรถไม่ผิด ชีวิตครอบครัวที่มีเด็กเล็กการได้รถอย่าง Freed มาใช้มันเป็นความอเนกประสงค์ที่รื่นรมย์ แม้ว่าจะใช้รถเก๋งก็เลี้ยงลูกได้ ไปไหนต่อไหนได้ไม่ต่างกัน แต่ความสนุกไม่เท่ากัน ภรรยาผมสามารถโฟกัสกับลูกได้ตลอดเวลา ไม่ต้องพะวงกับการเปิดปิดประตู เพราะประตูไฟฟ้าสั่งได้จากคนขับ แม้แต่ตอนที่ผมนั่งเล่นกับลูก ผมก็กดรีโมทเปิดปิดประตูได้ตลอดเวลาที่ต้องการ ชีวิตเหนือระดับมันเกิดขึ้นได้ง่ายๆใน Freed นี่แหละ
ช่วงนี้ฝนตกบ่อยมาก ผมจะพาแม่กลับบ้านตอนเย็นทุกวัน วันที่ฝนตก ผมให้แม่นั่งแถวสอง แล้วถือร่มเอาไว้ รอเปิดประตูรถตรงกับหน้าบ้านแล้วให้แม่กางร่มเดินลงไปเลย ประตูไฟฟ้าสไลด์ออก แม่ค่อยๆกางร่ม แล้วเดินออกจากรถไป หัวไม่เปียก ของในรถไม่เปียก ไม่ต้องเอื้อมมือกลับมาปิดประตู เพราะผมสั่งปิดจากตำแหน่งคนขับได้ แม่เดินเข้าบ้านตัวแห้ง ส่วนคนขับอย่างผมก็ดับเครื่อง แล้วเดินมาออกทางประตูสไลด์ วิ่งหนีฝนออกจากรถ แล้วค่อยกดรีโมทให้ประตูปิด ไม่ต้องไปเสียเวลาหันไปปิดเอง
ตอนนี้ขอบฟ้าเริ่มแสดงอารมณ์ได้แล้ว สามารถยิ้มทักกับทุกคนได้แล้ว รอยยิ้มของเด็กมันมีแรงดึงดูดประหลาด จะโกรธมันแค่ไหนตอนที่มันงอแง แต่พอมันยิ้มให้เราก็รักมันยิ่งกว่าเดิม
ทำป้ายให้ขอบฟ้า
เวลาเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนสักคนที่เพิ่งคลอดลูกหมาดๆ ก็จะมีอาการไปยืนเกาะหน้ากระจกแล้วก็ส่องเข้าไปดูว่าเด็กคนไหนจะเป็นลูกของเพื่อนเรา เด็กทารกหน้าตาคล้ายๆกัน ใส่เสื้อผ้าของโรงพยาบาลเหมือนกัน นอนในเตียงแบบเดียวกัน ว่าไปแล้วมันก็เหมือนกันจนแยกแยะลำบากมาก ถ้าพยาบาลไม่หันป้ายชื่อของเตียงออกมาให้ผู้ชมได้เห็น ก็ไม่รู้เลยว่าใครเป็นลูกใคร
ถึงราวตัวเองต้องมีลูกกับเขาบ้าง เลยหาวิธีที่จะแยกแยะว่าลูกเราคนไหน เวลาไปยืนมองจะได้ชมไม่ผิดตัว เพื่อนและญาติที่มาเยี่ยมจะได้รู้ว่าคนไหนเป็นลูกเรา ก็เลยคิดเรื่องป้ายชื่อขึ้นมา

นอกจากป้ายชื่อที่จะติดไว้กับเตียงลูกแล้ว ป้ายหน้าห้องก็ทำด้วยเช่นกัน เพราะว่าห้องพักหลังคลอดในโรงพยาบาลต่างๆไม่ยอมติดชื่อคนไข้ หรือชื่อใดๆเลย ซึ่งมันทำให้หายาก ผมถามจากแฟนที่เป็นหมอสูฯ ซึ่งก็คือแม่ของขอบฟ้านั่นเอง แฟนบอกว่า ปกติโรงพยาบาลจะไม่ติดชื่อใครเลย เพราะป้องกันการขโมยเด็ก หรือป้องกันบุคคลผู้ไม่หวังดี อ้าว….. อุตส่าห์ทำป้ายมา ติดไว้กลายเป็นอันตรายไปซะได้ แต่ก็ช่างมันขอติดไว้ก่อนก็แล้วกัน ถ้าพยาบาลทักว่าให้เอาออกก็ค่อยปฏิบัติตาม

และนี่ก็คือป้ายที่เอาไปวางไว้ที่เตียงเด็ก เวลาเพื่อนมาเยี่ยมผมก็จะให้ป้ายอีกแผ่นติดตัวเพื่อนไป เอาไปโชว์หน้าห้องเลี้ยงเด็ก พยาบาลก็จะรู้ว่าญาติของเด็กป้ายแดงมาเยี่ยม ก็เข็นเตียงเด็กมาแนบให้ดูได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาพูดผ่านลำโพงหน้าห้อง


























