รีวิวกล้อง Fuji instax mini41

ในอดีตเมื่อปี คศ 1944 มีคุณพ่อคนหนึ่งถ่ายภาพลูกสาวด้วยกล้องถ่ายภาพที่มีอยู่ในยุคนั้น พอถ่ายภาพเสร็จลูกสาวก็ถามว่าทำไมไม่มีภาพให้ดูเลย เป็นคำถามจากเด็กที่ทำให้พ่อทำการค้นคว้าหาวิธีถ่ายภาพที่จะได้ภาพออกมาทันที และในที่สุดก็สร้างนวัตกรรมน่าทึ่งขึ้นมาจนกลายเป็น กล้องโพลารอยด์ กล้องที่ถ่ายภาพแล้วได้ภาพเลย และได้เปิดตัววางขายในปี 1948

IMG_1917

กล้องที่ถ่ายภาพแล้วได้ภาพทันทีเรียกว่า instant camera โดยยี่ห้อแรกที่พัฒนาขึ้นมาก็คือบริษัทโพลารอยด์ ส่วน Fuji จะเข้าสู่ตลาด instant ในปี 1998 และเริ่มขายกล้องกับฟิล์มเรียกชื่อว่า instax ต่อมาบริษัทโพลารอยด์ค่อยๆเสื่อมความนิยมและสูญเสียตลาดไปเกือบหมด เหลือเพียงบริษัทญี่ปุ่นเท่านั้นที่ยังคงทำระบบ instant camera

IMG_1948

กล้อง instax รุ่นล่าสุดรุ่นหนึ่งของปี คศ 2025 ก็คือรุ่น instax mini41 ซึ่งเป็นกล้อง instant camera ที่ใช้แผ่นฟิล์มขนาดเท่าบัตรเครดิต ชื่อเรียกของภาพขนาดเล็กนี้เรียกว่า instax mini โดยมีพื้นที่ของภาพ 62×46 mm. แนวตั้ง โดยกล้องก็ออกแบบมาให้จับถือแนวตั้ง ถ่ายภาพแล้วได้ภาพแนวตั้ง ส่วนขนาดภาพอื่นที่ fuji ทำออกมาก็มีอีก 2 ระดับคือ instax square ให้ภาพขนาด 62×62 mm และขนาดใหญ่ที่สุดเรียกว่า instax wide ขนาดภาพ 99×62 mm

Mini
Square
Wide

mini41 มีหน้าตาสวยงาม ออกแบบเป็นโทนสี ดำเทา พิมพ์ตัวหนังสือกำกับด้วยสีส้มและสีขาว เป็นดีไซร์ที่ดูทันสมัยผสมย้อนยุคนิดๆ มีการปรับปรุงสเป็คให้ทันสมัยลดข้อผิดพลาดที่ระบบ instax เดิมเคยมี เช่น มีระบบวัดแสงเพื่อตั้งค่าความไวชัตเตอร์อัตโนมัติ นั่นหมายถึงกล้องจะวัดแสงพอดีเสมอ เหมือนระบบ aperture piority ในกล้องโปร ไม่เหมือนกล้อง instax รุ่นเก่าที่มีความเร็วชัตเตอร์ตายตัวซึ่งจะทำให้ภาพ instax มักมีความมืดในฉากหลังเป็นส่วนใหญ่ ส่วนฉากหน้าหรือตัวคนก็จะได้รับแสงแฟลชในระดับที่พอดี ภาพถ่ายคนที่มีด้านหลังดำมักเป็นภาพจำของ instax ในอดีต

IMG_1912

mini41 ต้องใส่ถ่านขนาด AA จำนวน 2 ก้อน ถ่าน 1 ชุดสภาพสมบูรณ์จะถ่ายภาพได้ประมาณ 100 ภาพ การถ่ายภาพทุกครั้งจะยิงแฟลชออกไปด้วยไม่สามารถสั่งปิดได้ กล้องไม่มีรูเสียบขาตั้งกล้อง และไม่มีการตั้งเวลาถ่ายภาพ รวมถึงไม่มีระบบถ่ายภาพซ้อนหรือชัตเตอร์ B ด้วย ซึ่งลูกเล่นระดับโปรเหล่านี้จะอยู่ในกล้องรุ่นท๊อป นั่นหมายความว่า mini41 เป็นกล้องสำหรับมือสมัครเล่นและสำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพโดยไม่ต้องคิดเยอะ

IMG_1923

กล้องสามารถปรับหน้าเลนส์บิดไปตำแหน่งการถ่ายมาโคร จะเป็นการเปลี่ยนระยะโฟกัสของเลนส์ให้มีระยะชัดประมาณ 30-50 cm ซึ่งพอดีสำหรับการถ่ายภาพเซลฟี่ หรือถ่ายภาพสิ่งของระยะใกล้ ส่วนการโฟกัสปกติจะอยู่ที่ระยะ 50-infinity สิ่งที่ปรับปรุงจากรุ่นเก่าอีกอย่างหนึ่งก็คือช่องมองภาพจะมี 2 ระยะ ระยะปกติ และระยะมาโครที่จะแก้ไขการถ่ายภาพระยะใกล้ไม่ให้เอียงข้างหรือแก้พาราแล็กซ์ การใช้ mini41 ก็จะทำให้เราสามารถเล็งจุดสนใจให้อยู่กลางภาพได้เสมอไม่ว่าจะถ่ายไกล หรือ ใกล้ เลือกโดยการบิดเลนส์จากระยะปกติไปสู่มาโคร และหากเราจะถ่ายภาพตัวเองหรือถ่ายเซลฟี่ก็ต้องเลือกระยะเป็นมาโคร

image

ภาพที่ถ่ายจากกล้อง instax จะไหลออกจากกล้อง และใช้เวลาสร้างภาพประมาณ 90 วินาทีถึงจะขึ้นภาพครบและดูสวยงาม แต่จากการใช้งานจริง เมื่อครบ 90 วินาทีแล้วภาพยังมีคอนทราสต์และส่วนสีดำที่ยังไม่สมบูรณ์ เราอาจจะต้องรอสัก 10 นาทีเพื่อให้ภาพคงที่และส่วนสีดำค่อยข้างดำตามจริง และเมื่อสีคงที่แล้วภาพจะอยู่สภาพนั้นไปอีกนาน สามารถเก็บไว้ดูได้อีกหลายปี ถ้าเก็บดีแบบไม่โดนแสงแดดโดยตรง หรือเก็บในอัลบั้มภาพที่มีการเปิดปิดบังแสงได้ ภาพจะคงสภาพนั้นได้นานมาก แต่ถ้าภาพโดนแสงแดดโดยตรง ในเวลาไม่กี่ปีภาพจะจางลงไปเรื่อยๆ การเก็บรักษาจึงจะต้องเก็บภาพให้ดีระวังไม่ให้โดนแสงแดดโดยตรง

IMG_20251003_171411344

ทุกภาพที่ถ่ายจะเปิดแฟลชเสมอ ถ่ายภาพคนจะได้หน้าคนสว่างพอดีจากแฟลช และฉากหลังจะได้แสงพอดีจากระบบการวัดแสงอัตโนมัติ

IMG_20251005_123203966

แสงภายนอกเหมาะสมอย่างยิ่งกับการถ่ายภาพด้วยกล้อง instax ค่าแสงที่ฉากหลังพอดี ความสว่างบนตัวคนก็พอดี ลักษณะท้องฟ้าสว่างแสงจ้ามีเมฆบังแดดนิดหน่อย

IMG_20251005_153548590

การถ่ายภาพภายในรถตอนกลางวันก็ให้รูปที่ได้รับแสงพอดีทั้งฉากหลังและหน้าของคน แสงแฟลชทำให้ตัวคนสว่างพอดี ส่วนด้านฉากหลังไม่มืดดำเพราะกล้องวัดแสงตามจริง ระบบอัตโนมัติสั่งความไวชัตเตอร์ให้เปิดรับแสงนานพอจะรับแสงจริง ก็ได้ภาพตามที่เห็น

IMG_20251004_123902737

หากเราจะปิดแฟลชเราจะต้องใช้วิธีบังแสงแฟลชไปเลย บางคนอาจใช้เทปกาวปิด แต่ถ้าไม่อยากติดเทป เอานิ้วบังแฟลชแทนก็ได้ ภาพก็จะได้แสงจริงของสถานที่นั้นโดยไม่มีความสว่างของแฟลชมารบกวน แต่การถ่ายภาพในที่แสงน้อยกล้องจะเปิดชัตเตอร์ได้นานสุดไม่เกิน 1/2 วินาที ประกอบกับการถ่ายระยะใกล้เลนส์จะสูญเสียแสงไปอีกเล็กน้อยอาจจะ 1-2stop ทำให้ภาพมีสีเข้มหรืออันเดอร์ หากสภาพแสงจริงมีน้อยเกินไปภาพก็จะดูเข้มหรือดูมืดกว่าที่ควร ลองดูภาพเปรียบเทียบแสงจริงที่ใช้โทรศัพท์มือถือถ่าย

IMG_20251004_102141251

สเป็คกล้อง
ฟิล์มที่ใช้ ฟิล์มอินสแตนท์ FUJIFILM instax™ mini (จำหน่ายแยก)
ขนาดรูป 62 × 46 มม.
เลนส์ ทางยาวโฟกัส 60 มม. รูรับแสง _F 12.7
ช่องมองภาพ อัตราขยาย 0.37x พร้อมแก้ไขตำแหน่งของวัตถุในโหมดถ่ายระยะใกล้
ระยะถ่าย 0.3 เมตร ขึ้นไป โหมดถ่ายระยะใกล้ตั้งแต่ 0.3 – 0.5 เมตร
ชัตเตอร์ โปรแกรมชัตเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ 1/2 ถึง 1/250 วินาที สโลว์ซิงค์สำหรับแสงน้อย
การควบคุมแสง อัตโนมัติ, Lv 5.0 ถึง 14.5 (ISO 800)
ระยะเวลาในการแสดงภาพ ประมาณ 90 วินาที ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิ
Flash เวลาชาร์จแฟลช: 7 วินาที ช่วงใช้แฟลชที่มีประสิทธิภาพ: 0.3 ถึง 2.2 ม.
แหล่งจ่ายไฟ แบตเตอรี่ AA 2 ก้อน
ระบบอัตโนมัติ หลังจาก 5 นาที
ขนาด (กว้าง x สูง x ลึก) 104.5 × 122.5 × 67.5 มม.
น้ำหนัก 345 กรัม ไม่รวมแบตเตอรี สายคล้อง และฟิล์ม

ข้อดี
ให้ภาพฉากหลังไม่มืดเพราะมีระบบชัตเตอร์อัตโนมัติ จะวัดแสงพอดีเสมอ
ฟิล์ม fuji instax หาซื้อง่ายมาก และราคาถูกกว่ายี่ห้ออื่น
มีระบบมาโคร
มีช่องมองภาพที่แก้ไขปรับตามระยะโฟกัส

ข้อเสีย
ไม่มีรูขาตั้งกล้อง
ไม่สามารถปิดแฟลชได้
ไม่มีระบบตั้งเวลาถ่าย

สรุปยาวๆ
ภาพจากกล้อง instax รุ่น mini11 mini12 mini40 mini41 จะเป็นกล้องที่ใช้ระบบชัตเตอร์อัตโนมัติ เปลี่ยนความไวชัตเตอร์เพื่อควบคุมปริมาณแสง และกล้องจะมีระยะทำงานของชัตเตอร์อยู่ที่ 1/2 – 1/250 วินาที มีนักถ่ายภาพบางคนเคยบ่นว่า ภาพ instax จากกล้อง mini11 mini12 จะมีภาพที่สว่างหรือโอเวอร์เกินไปในสภาพแสงจ้า ซึ่งน่าจะเกิดจากแสงแดดจัดมากและความไวชัตเตอร์ขึ้นได้ไม่สูงนั่นเอง เป็นปัญหาปกติที่เกิดกับกล้องความไวชัตเตอร์น้อยเกินไป

กล้อง instax ที่มีความไวชัตเตอร์สูงกว่านี้ คือกล้องรุ่น mini90 mini99 mini70 เป็นกล้องสเป็คโปร ความไวชัตเตอร์สามารถขึ้นได้สูงถึง 1/400 วินาที หรือสูงกว่าเกือบ 1stop เมื่อเทียบกับรุ่น mini11 mini12 mini41 ทำให้สามารถถ่ายภาพในสภาพแสงแดดจัดมากได้ดีกว่า จะให้ภาพที่ดูไม่โอเวอร์เกินไป และกล้อง mini90 mini99 จะรองรับการใช้งานแบบโปร คือมีรูติดขาตั้งกล้อง สามารถตั้งค่าการถ่ายภาพซ้อนได้ สามารถปิดแฟลชได้

กล้องรุ่นสมัครเล่นอย่างรุ่น mini8 mini9 เป็นกล้องที่ใช้ความไวชัตเตอร์คงที่ประมาณ 1/50 วินาที แต่สามารถเปลี่ยนรูรับแสงได้ 5 ระดับ ทำให้สามารถรองรับสภาพแสงได้กว้าง และทำให้ถ่ายภาพในสภาพแสงจ้ามากๆได้ดี ให้ภาพที่ไม่โอเวอร์ในสภาพแสงที่แดดจัด แต่ก็ต้องอาศัยการดูหลอดไฟแสดงผลว่าต้องบิดหน้ากล้องไปที่รูรับแสงเท่าไหร่ตามการวัดค่าแสงของกล้อง กล้องกลุ่มนี้เป็นกล้องที่ต้องทำความเข้าใจการวัดแสงบ้างเล็กน้อย ควรจะอ่านคู่มือกล้องก่อนใช้ ซึ่งหลายคนก็ไม่ได้อ่าน นั่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่การทำกล้องที่ใช้ระบบชัตเตอร์อัตโนมัติอย่าง mini11 mini12 mini41 นั่นเอง

สำหรับ mini41 เป็นกล้องที่มีหน้าตาสวย มีฟังค์ชั่นพื้นฐานสำหรับการถ่ายภาพแบบไม่ต้องคิดอะไร หยิบออกมาเล็งแล้วกดถ่ายได้เลย ช่องมองภาพปรับเปลี่ยนเพื่อแก้ไขให้ตรงกับการถ่ายภาพระยะใกล้ได้ เสียดายตรงที่ไม่มีรูติดขาตั้งกล้อง และไม่มีการตั้งเวลาถ่าย มันขาดอยู่สองอย่างเท่านั้นก็จะกลายเป็นกล้องที่สมบูรณ์แบบสำหรับมือสมัครเล่น

แถม

IMG_2793

กระเป๋าใส่กล้อง mini41 ก็มีทำขายโดยเฉพาะเลย ดีไซร์รูปทรงไปในแนวทางเดียวกันกับกล้อง สีสันก็เข้ากัน สินค้าชิ้นนี้ไม่มีขายเป็นทางการในประเทศไทย แต่มีขายในญี่ปุ่นราคา 4290 เยนที่ร้าน bigcamera ประเทศญี่ปุ่น ส่วนในไทยคงต้องหาจากเว้บ shoping ต่างๆ ซึ่งผมก็ได้มากจากเว็บเช่นกัน ราคาถูกกว่าไปซื้อที่ญี่ปุ่นซะงั้น แปลกดี

งานขาวดำ

ความสนุกในการถ่ายภาพมันเกิดจากเราได้อยู่กับภาพนั้นนานมากโดยที่เราไม่รู้ตัว มันเริ่มจากเรื่องราวของกิจกรรมที่เรากำลังทำ มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตประจำวัน การเดินทาง การท่องเที่ยว หรือการทำงาน เมื่อเราเป็นคนในเหตุการณ์ เราจะเห็นภาพเหตุการณ์ด้วยตา และเมื่อเราหยิบกล้องมาบันทึกภาพ มันคือจังหวะที่เราบันทึกสิ่งที่เราอยากจดจำและมันเป็นภาพที่เราเลือกแล้วว่าจะเก็บไว้นานๆ

IMG_20240629_133910

เราหยิบกล้องขึ้นมา มันเป็นกล้องที่เราเตรียมไว้ก่อนจะออกจากบ้าน เราเตรียมเครื่องมือตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์จะเกิด เรามีความพยายามโดยไม่รู้ตัว และเมื่อถ่ายภาพเสร็จ เราจะส่งฟิล์มไปล้าง แม้โลกนี้จะมีกล้องดิจิทัลมากกว่าจำนวนมนุษย์ในโลก แต่เราก็ยังใช้กล้องฟิล์มในบางวัน ซึ่งบางวันนี้แหละคือภาพจำชั้นดีที่จะอยู่กับเราได้นานเกินคาด และอาจจะนานกว่าภาพดิจิทัลในโทรศัพท์มือถือเสียด้วย

การล้างฟิล์มเราเลือกวิธีล้าง เลือกร้าน ถ้าเป็นฟิล์มสีกับฟิล์มสไลด์เราจะส่งไปล้างที่ร้านขาประจำ ฟิล์มขาวดำเราสามารถล้างเองได้ถ้าเคยฝึกล้าง ตอนล้างฟิล์มเราจะถือฟิล์มในมือเราไปอีกอย่างน้อย 10 นาทีแล้วแต่สูตรเคมี สมาธิเราจะอยู่กับเวลาที่แม่นยำ ถ้าเรานับเวลาผิดฟิล์มก็อาจจะมืดหรือสว่างเกินไป และตอนนี้ก็เป็นช่วงลุ้นด้วยว่าเมื่อล้างแล้วจะได้ภาพที่ดีไหม เมื่อล้างเสร็จ ก็เข้าสู่การตากหรือทำให้แห้ง การรอฟิล์มแห้งก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง เราจะเห็นภาพบนฟิล์มขาวเป็นดำ ดำเป็นขาวตั้งแต่ตอนตาก เราจะเห็นว่าทั้งม้วนมีกี่ภาพ มีภาพเสียไหม มีภาพที่ดีไหม มีส่วนไหนที่ดำเกินไป หรือ ฟิล์มใสเกินไป

พอฟิล์มแห้ง ถ้าเป็นร้านก็จะใช้ฟิล์มทั้งม้วนไปสแกนได้เลย แต่ถ้าล้างฟิล์มเองที่บ้าน เราจะต้องตัดฟิล์มเพื่อเก็บเข้าซองพลาสติก ซองพลาสติกเราใส่ได้ 6 ภาพต่อแถว เราก็ต้องจับแผ่นฟิล์มแล้วนับ6 ภาพแล้วตัดฟิล์ม มือใหม่บางคนก็ตัดเบี้ยว มือเก่าที่ทำบ่อยจะตัดได้ชัวร์กว่า เราจะเห็นแต่ละภาพบนฟิล์ม เราจะเล็งตัดอย่างระวังเพื่อไม่ให้รอยตัดเบี้ยวไปโดนส่วนของภาพ หลังจากขั้นตอนนี้เราจะพร้อมนำไปอัดขยาย หรือบางคนก็นำไปสแกนด้วยเครื่องสแกนฟิล์มอย่างง่าย ผมใช้วิธีติดฟิล์มบนกล่องไฟ แล้วใช้กล้องดิจิทัลถ่ายภาพฟิล์มนั้นตรงๆ จากนั้นใช้ซอร์ฟแวร์ปรับแต่งให้ภาพกลับมาเป็นโทนขาวดำปกติ ปรับความเข้มอ่อน ส่วนขาว ส่วนเทา ส่วนดำ จนได้ภาพที่ชอบ

กว่าจะเป็นภาพให้เราได้ชื่นชม เราผ่านขั้นตอนต่างๆจำนวนมาก เราได้อยู่กับภาพที่เราตั้งใจถ่ายนานมากตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ลุ้นว่าจะดีตามที่ตั้งใจไหม มันเป็นช่วงเวลาที่เราได้ความสนุกจากการใช้ฟิล์ม ขั้นตอนที่เยอะและเวลาที่ยาวนานแบบนี้ทำให้เราเกิดความชอบ ประทับใจในภาพ และรับรู้ว่ามันสร้างผลกระทบกับหัวใจมากกว่ากล้องดิจิทัล นี่คือเสน่ห์ของการถ่ายภาพด้วยฟิล์ม เป็นความทรงจำที่เรามีส่วนร่วมกับมัน.

ส่องดูผนังเซลล์ไม้ก๊อก

ภาพวาดของเซลล์จากไม้คอร์กจากกล้องจุลทรรศน์
ที่มา หนังสือ Micrographia

โรเบิร์ต ฮุค ( Robert Hooke) เป็นคนแรกที่บัญญัติศัพท์คำว่า เซลล์ (cell) เขาเริ่มส่องชิ้นส่วนไม้ค็อกโดยกล้องจุลทรรศน์และพบกับแพทเทิลน่าสนใจ และได้วาดภาพประกอบ จนนำไปสู่การทำเป็นหนังสือชื่อ Micrographia ตีพิมพ์ในปี คศ 1665 และการเรียนการสอนของนักเรียนมัธยมในวิชาวิทยาศาสตร์ก็มีให้ได้ทดลองส่องดูเซลล์เช่นกัน และที่บ้านมีกล้องจุลทรรศน์ก็เลยเอาไม้ค๊อกมาส่องเล่นและบันทึกภาพเก็บไว้

DSC07787
IMG_20250524_204156335

ใช้แฟลชปรับปรุงภาพ

PHOTO_COLLAGE1553348756275

สองภาพนี้เป็นรูปของพ่อผมเองที่นั่งอยู่ในห้องพักโรงพยาบาล จากการป่วยหนักอยู่หลายวัน พอถึงวันที่จะออกก็นั่งเล่นอ่านหนังสือพิมพ์สบายใจ ผมไปรับพร้อมกล้องถ่ายรูป ช่วงนั้นพกกล้อง yashica 635 ติดตัว เป็นกล้องที่ถ่ายภาพขนาด 6x6cm ใช้ฟิล์ม 120 ฟิล์ม 1 ม้วนจะถ่ายได้ประมาณ 10 ภาพ

ภาพแรกถ่ายตอนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ริมหน้าต่าง แสงจากด้านนอกสว่างมาก ส่วนแสงในห้องก็อยู่ในระดับปกติ หากเทียบกับแสงภายนอกก็น่าจะมีความแตกต่างกันหลายสต๊อป เลยตัดสินใจถ่ายภาพเลือกค่ารูรับแสงที่พอดีกับการใช้แฟลชที่พกมาด้วย เจตนาภาพหลักคือภาพที่ใช้แฟลช แต่ถ่ายภาพแรกถ่ายโดยปิดแฟลชเสียก่อน ได้ภาพแรกแล้วก็หยิบแฟลชขึ้นมา เสียบสายซิงค์กับกล้องแล้วปรับตั้งแฟลชให้ส่องขึ้นเพดานห้อง ตั้งใจใช้เทคนิคการเบ๊าซ์แฟลชเพื่อให้แสงแฟลชสะท้อนเพดานและแสงจะมีความนุ่มนวล ตั้งค่าของแฟลชเป็นแบบ Auto 2.8 คือแฟลชจะยิงแสงออกไป และมีเซ็นเซอร์หน้าแฟลชคอยวัดค่าแสง เมื่อค่าความสว่างบนวัตถุหรือตัวแบบพอดีกับค่า f2.8 ก็จะตัดการทำงาน ถ่ายเสร็จก็ได้ภาพสีสวยแบบภาพที่สอง

เพดานห้องพักเป็นสีขาว ความสูงไม่มากจึงสามารถเลือกใช้เทคนิคการเบ๊าซ์แฟลชได้ ฟิล์ม 120ม้วนนี้ความไวน่าจะ iso 160 ใช้กับกล้อง yashica 635 ที่มีรูรับแสงกว้างสุด 3.5 คิดหยาบๆก็คำนวณกำลังแฟลชให้เหมือนใช้รูรับแสง f4 บนฟิล์ม iso100 ก็ได้ เพราะใกล้เคียงกัน ก็เลยตั้งค่าแฟลชไปที่โหมด auto 2.8 เผื่อให้แฟลชเกินไว้ 1 สต๊อป การถ่ายภาพด้วยฟิล์ม จะคำนวณแสงแฟลชผิดไป 1 สต๊อป เป็นเรื่องที่ยังพอใช้งานได้ เพราะภาพแฟลชพอดี กับแฟลชอันเดอร์นิดหน่อย ก็ให้ภาพที่ดีได้ แค่คนละอารมณ์


IMG_0257

IMG_0267
IMG_0261

แฟลช Vivitar Automatic 2700 ตัวนี้เป็นแฟลชราคาไม่แพง ให้ฟังค์ชั่นการทำงานที่พอใช้งานสำหรับนักถ่ายภาพระดับเริ่มต้นแต่อยากจริงจัง ใช้เรียนรู้การทำงานกับแฟลชได้ เราสามารถใช้แบบ manual คำนวณค่าการเปิดรูรับแสงเอง หรือ ใช้แบบ Autoตั้งค่ารูรับแสงตามตารางด้านหลังก็ได้ แฟลชตัวนี้ซื้อในยุคปี คศ 1998 ซึ่งถึงปัจจุบันนี้แฟลชตัวนี้เปิดไม่ติดแล้ว

งานตีแบด 28jun2025

งานนี้เป็นการแข่งขันแบดมินตันของกลุ่มนักธุรกิจที่มีอยู่ได้กันหลายกลุ่ม ทั้งหมดก็นัดหมายมาตีแบดกัน ผมเป็นสมาชิกในกลุ่มหนึ่งก็เลยมาร่วมกิจกรรมด้วย แต่มาเป็นช่างภาพ มาเก็บภาพให้กับกลุ่ม ภาพถ่ายไว้เยอะ แต่เลือกบางภาพมาทำเป็นสีขาวดำแล้วก็รวมไว้ในเว็บคลิกดูได้ตามสะดวก

ข้อมูลการถ่ายภาพอยู่ด้านล่าง

IMG_0971
IMG_0981
IMG_0986
IMG_1018
IMG_1017
IMG_0996
IMG_0988
IMG_1035
IMG_1043
IMG_1052
IMG_1060
IMG_1063
IMG_1073
IMG_1075
IMG_1080
IMG_1087
IMG_1096
IMG_1097
IMG_1100
IMG_1113
IMG_1114
IMG_1117
IMG_1141
IMG_1145
IMG_1148
IMG_1157
IMG_1158
IMG_1179
IMG_1182
IMG_1185
IMG_1192
IMG_1194

แนวคิดของการเลือกทำภาพเป็นโทนขาวดำก็เพราะ กิจกรรมทั้งหมดทำในที่ร่ม เป็นภาพในอาคาร แสงในอาคารเป็นแสงที่ไม่แรงมาก ภาพสีที่ถ่ายในสภาพแสงน้อยจะมีคอนทราสต์ไม่มาก ให้ความแตกต่างของสีอ่อนและสีเข้มไม่มาก นั่นทำให้ภาพดูจืดไปกว่าปกติ เทคนิคหนึ่งที่เหมาะกับสภาพแสงน้อยคอนทราสต์ต่ำก็คือภาพขาวดำ เพราะภาพขาวดำจะสามารถเร่งให้คอนทราสต์สูงขึ้นได้โดยภาพยังมีความสวยงามอยู่ และส่วนมากภาพขาวดำก็มักจะเลือกถ่ายในสภาพแสงที่ไม่มีแดด นั่นคือคือสภาพแสงน้อยหรือแสงนุ่มจะเหมาะกับการถ่ายเป็นโทนขาวดำ ก็เลยเลือกที่จะทำภาพในชุดนี้เป็นขาวดำนั่นเอง

ภาพชุดนี้ถ่ายด้วยกล้อง Canon Eos RP ติดเลนส์ canon EF 70-200 f2.8 ถ่ายภาพเป็น Raw + jpg โดยส่งไฟล์ jpg เข้าโทรศัพท์ แล้วใช้ app ที่ชื่อ snapseed ในการปรับสีให้เป็นขาวดำ กล้องรุ่นนี้เป็นกล้อง Full frame ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2019 แต่ผมเพิ่งจะได้ลองใช้งานในปี 2025 นี้ ค้นพบว่ากล้องมีความทันสมัยและออกแบบมาเพื่อให้ช่างภาพใช้งานได้สะดวกมากขึ้น มันพัฒนาไปจาก DSLR เยอะมาก และพัฒนาไปจาก mirrorless ยุคแรกของ Canon ซีรีส์ M ไปไกลมากเช่นกัน

ข้อดีที่ได้รับการปรับปรุงจากกล้อง DSLR ก็คือ กล้องจะมีความสามารถในการแก้ไขอาการภาพบิดโค้งหรือแก้ความเพี้ยนแบบโค้งจากในตัวกล้องเลย ภาพที่บันทึกเป็น jpg จะถูกแก้ไขให้เรียบร้อยแล้ว เดิมทีในกล้อง Dslr ถ้าเราถ่ายภาพด้วยเลนส์มุมกว้าง ส่วนของเสาหรือเพดานที่จะต้องเป็นเส้นตรงก็จะบิดโค้งให้เห็นในภาพ ซึ่งการแก้ไข Distortion ได้ในกล้องเลยเป็นจุดเด่นที่ถูกใจมาก ซึ่งเดิมทีเราจะต้องไปแก้ไขในขั้นตอนการแปลงไฟล์ Raw เป็น jpg

ความสามารถในการโฟกัสภาพทำได้รวดเร็วมาก และการติดตามวัตถุหรือการโฟกัสแบบแทรคกิ้งก็ทำได้สุดฉลาด มีความสามารถในการโฟกัสที่ดวงตาของแบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่กล้อง DSLR ไม่เคยทำได้ ส่วนกล้อง Mirrorless อย่าง Eos m แม้จะมีความสามารถโฟกัสที่ใบหน้า แต่ก็โฟกัสช้าและบางทีก็มัวเบลอหลุดโฟกัสไปเฉยๆ แต่ RP ทำได้เร็วมากและแม่นยำสุดๆ ผมสามารถถ่ายภาพลูกเตะฟุตบอลวิ่งไปวิ่งมาในสนามได้คมชัดเกือบทุกภาพ ซึ่งจากเดิมที่เคยใช้ Dslr จะโฟกัสนักเตะได้ชัดบ้างไม่ชัดบ้างแบบครึ่งต่อครึ่ง

รีวิว Fuji X Half ที่ดีที่สุด

กล้อง Fuji X half เป็นกล้องดิจิทัลแบบฮาร์ฟเฟรม หรือกล้องที่เลียนแบบกล้องฟิล์มฮาร์ฟเฟรม มีคุณสมบัติของกล้อง Toy ผสมกับบุคลิคของฟิล์มฟูจิหลายตัว ทำให้มันเป็นกล้องที่เน้นความสนุกและชวนใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการถ่ายภาพ การใช้กล้องตัวนี้ไม่ต้องคิดเรื่องสเป็ค ไม่ต้องคิดเรื่องความละเอียด ถ่ายภาพให้สนุก และอยู่กับลูกเล่นของกล้องที่ช่วยให้ภาพน่ามอง แค่นี้ก็คุ้มค่าที่จะหามาใช้แล้ว

รีวิวเลนส์​nikon 16mm f2.8 fisheye

ในตอนที่หัดถ่ายภาพ การเลือกซื้อเลนส์เพื่อใช้หัดถ่ายภาพจะค่อยๆสะสมซื้อเพิ่มทีละตัว เลนส์ติดกล้องที่แถมมาก็มักจะเป็นเลนส์ซูมช่วง 35-70 28-70 28-105 24-85มม ซึ่งเลนส์ซูมเหล่านี้จะราคาไม่แพงและใช้งานได้หลากหลายตั้งแต่หัดถ่ายจนไปถึงการรับงานถ่ายภาพได้เลย เลนส์ตัวที่2 สำหรับคนหัดถ่ายหรือช่างภาพมือใหม่ก็มักจะเป็นช่วงเทเลซูม โดยมากก็จะเป็นเลนส์ 70-200 70-300 75-300มม

เลนส์ตัวที่ 3 ของช่างภาพสมัครเล่นกึ่งจริงจังจะเริ่มหาเลนส์เดี่ยวหน้าที่พิเศษ มักจะเป็นเลนส์ถ่ายพอร์ตเทรดอย่างเลนส์ 85มม. หรือ เลนส์มาโครใช้ถ่ายภาพระยะใกล้มากอย่างเลนส์ มาโคร100 หรือ 50มม. คนที่ชอบเลนส์ไวแสงก็อาจจะมีเลนส์ 50 1.4 ติดกระเป๋าอีกตัวหนึ่ง

เลนส์ fisheye จะแทบไม่อยู่ในความสนใจของช่างภาพทั่วไปเลย เพราะเป็นเลนส์ที่ให้ภาพบิดเบี้ยวเหมือนเป็นมุมมองของปลา เลยเรียกว่าเลนส์ตาปลาซึ่งก็เป็นการแปลอย่างตรงตัว fish eye เป็นเลนส์ที่ให้ความบิดโค้งของภาพสูงมาก มุมรับภาพกว้างมาก การใช้งานเลนส์ fisheye ถ่ายภาพมีคำบอกเล่าต่อๆกันมาว่าระวังถ่ายแล้วติดขาตัวเองเข้าไปในภาพด้วย ผมไม่เคยเข้าใจคำกล่าวนี้เลย จนมีโอกาสได้ใช้เลนส์ตาปลาหรือ fisheye ด้วยตัวเองจริงๆ

https://byjus.com/physics/fisheye-lens/

เลนส์ fisheye มีจุดกำเนิดมาจากนักวิทยาศาสตร์ในยุคปี คศ 1906 ที่ต้องการถ่ายภาพท้องฟ้าให้เก็บรายละเอียดทุกอย่าง มุมรับภาพจึงต้องทำได้ 180 องศา หรือเก็บภาพบนบกและท้องฟ้าทั้งหมดไว้ในภาพเดียวนั่นเอง ลักษณะภาพที่ได้จะมีขอบเขตรูปภาพเป็นวงกลม คือขอบภาพจะบิดโค้งมากๆนั่นเอง แต่กว่าจะมีการผลิตจริงก็ในอีกหลายสิบปีต่อมา และบริษัทที่ผลิตเลนส์ fisheye ขึ้นมาเป็นเจ้าแรกก็คือ nikon โดยเลนส์ fisheye ตัวแรกมีราคาถึง 27000 ดอลล่าร์ในยุคสมัยนั้นซึ่งราคาสูงมากจนไม่น่ามีใครซื้อใช้ คงมีเพียงหน่วยงานราชการที่ทำงานวิจัยท้องฟ้าและอวกาศเท่านั้นที่ซื้อไหว

ผ่านมาหลายรุ่น เลนส์ fisheye เริ่มราคาถูกลง และ nikon ก็ผลิตเลนส์แนวนี้อย่างต่อเนื่อง จนมาถึงตัวที่อยู่ในรีวิวนี้ 16mm 2.8 ais ซึ่งเป็นเลนส์แมน่วลโฟกัส ปรับระยะชัดด้วยมือ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากสักเท่าไหร่ เพราะระยะเลนส์ที่รับภาพเป็นมุมกว้างมาก ระยะชัดลึกจะสูง

20241208124346_IMG_1225

เลนส์นิคอน fisheye 16mm f2.8 เป็นเลนส์ตาปลาที่ให้ภาพบิดโค้งมาก ถ่ายอะไรก็ดูป่องบวม มุมรับภาพประมาณ 180 องศา หน้าเลนส์มีเนื้อกระจกนูนป่องออกมาดูแล้วต้องระวังการใช้งานเป็นพิเศษ ฝาปิดหน้าเลนส์จะเป็นลักษณะฝาครอบมากกว่า ระยะโฟกัสใกล้สุดทำได้ที่ 30 เซ็นติเมตร ใส่ฟิลเตอร์หน้าเลนส์ไม่ได้ เอาเลนส์ไปเม้าส์เสียบกับกล้อง nikon FM2n ก็ดูเข้าท่าดี

20241208124416_IMG_1227
20241208124729_IMG_1236

เวลาเราจะเอาเลนส์ Fisheyes ไปถ่ายภาพอะไรก็ตามมักจะเห็นความโค้งบวมออกมา ต้องอาศัยการถือกล้องให้ตรงได้ระนาบ อาการป่องบวมจะลดลง ในการทดลองใช้จะติดเลนส์​ Fisheyes เข้ากับกล้องดิจิทัล Canon Eos 6d. ผ่านเม้าส์อแด๊ปเตอร์ Nikon to EF. บิดเลนส์ไปที่รู้รับแสงที่ต้องการใช้ ตั้งค่า iso เป็นแบบ Automatic แล้วกล้องเปิดโหมด Av โฟกัสภาพได้ก็กดบันทึกภาพเลย

IMG_1204

จุดเด่นของเลนส์​Fisheye คือเป็นเลนส์มุมกว้างมาก ถ้ายืนถ่ายภาพไม่ระวังอาจจะติดปลายเท้าเข้าไปในภาพด้วย และจุดเด่นที่ 2 คือเลนส์ตัวนี้เวลาถ่ายใกล้จะให้ภาพตัวแบบที่ดูตลก นักอ่านหลายคนอาจจะเคยเห็นภาพลูกหมาที่ถูกถ่ายภาพด้วยเลนส์ Fisheye กันมาบ้าง ซึ่งเป็นภาพที่ดูน่ารักมาก ผมก็ลองถ่ายเหมือนกันแต่แถวบ้านไม่มีหมาเลยสักตัว

IMG_1195

การถ่ายภาพมุมกว้างเป็นเป็นจุดเด่นที่ช่วยให้การเก็บภาพในสถานที่ซึ่งไม่สามารถถอยหลังได้สามารถเก็บได้หมดในสิ่งที่ต้องการ เรายืนมองอะไรเห็นบ้างเราหยิบเลนส์ Fisheye ขึ้นมาถ่ายเราจะได้สิ่งนั้นอยู่ในภาพด้วย

20241201174005_IMG_1074
20241201173853_IMG_1069

เลนส์ Fisheye จะให้แนวเสาและกำแพงที่ควรจะเป็นเส้นตรงกลายเป็นบิดโค้ง ภาพสถาปัตยกรรมจะหลีกเลี่ยงยาก หากอยากแก้ความโค้งต้องแก้ด้วยซอร์แวร์ซึ่งในคอมพิวเตอร์ก็มีวิธีการแก้ไข ส่วนการถ่ายภาพวิวอื่นๆทั่วไปที่ไม่มีเส้นสายแนวดิ่งและแนวนอนมาฟ้องเราสามารถใช้การเลือกวางกล้อง จัดระดับกล้อง จัดวิธีการถือกล้อง การจัดองค์ประกอบภาพเข้ามาแก้ไขความบิดโค้งนี้ หากเราถือกล้องให้ดี ภาพที่ออกมาอาจจะเกือบเหมือนเลนส์มุมกว้างทั่วไปก็เป็นไปได้ หรือถ้าเห็นการบิดโค้งก็น้อยลงมาก

20241130161938_IMG_1054
20241130160133_IMG_1033
wtc-IMG_1346

แต่กับภาพภายในตึก ในบ้าน เสาและกำแพงชัดๆ เราจะเห็นมันโค้งป้องเหมือนลูกโป่งพองลมเลย มันให้ลักษณะภาพที่แปลกตา บางคนอาจรู้สึกสวยตื่นเต้น บางคนอาจไม่ชอบ แต่ละภาพจะมีอารมณ์ของมันเอง ภาพคนทำงานในโรงานที่ผมถ่ายมาก็ดูป่องกลม เป็นความเพี้ยนที่ผมไม่ชอบเลย แต่ความหมายของภาพกลับทำให้ผมเลือกที่จะเก็บเป็นภาพไว้ แม้จะบิดโค้งก็ตาม

20241128155707_IMG_1013

20241128155657_IMG_1012

20241128155559_IMG_1008

เลนส์ nikon 16 f2.8 fisheye เป็นเลนส์ที่ใช้งานสนุก ให้ภาพบิดโค้งแบบเต็มเฟรม จะไม่เหมือนเลนส์ตาปลาอีกหลายตัวที่ให้ให้ภาพเป็นวงกลม สามารถใช้ถ่ายวัตถุที่ต้องการเน้นให้มีความน่ามอง นำเสนอวัตถุหรือสิ่งที่อยู่กลางภาพให้โดดเด่น ผมลองเอาไปถ่ายภาพหมู่ของนักเรียนก็ให้ภาพที่น่ามอง ดูมีชีวิตชีวา

wtc-IMG_1327

เลนส์แมนวลโฟกัสของ nikon ทุกตัวจะมีตัวเลขระยะทางบนเลนส์ มีเส้นบอกระยะชัดลึกของรู้รับแสงหลายๆค่า ผมลองหมุนเลนส์ให้ระยะโฟกัสเป็น 1 เมตร แล้วก็รู้สึกว่าภาพไม่ได้ชัดที่ 1 เมตรจริงๆ ในความรู้สึกผมกลับรู้สึกว่ามันชัดที่ระยะเคลื่อนไปจาก1 เมตรเล็กน้อย แต่ผมลองบนกล้อง canon นะ ซึ่งระยะการรับภาพของเซ็นเซอร์ใน canon กับ nikon อาจอยู่คนละระยะกัน และ nikon ต่อผ่านอแด๊ปเตอร์เพื่อสวมติดกับกล้อง canon ระยะโฟกัสหรือระนาบของเซ็นเซอร์ก็อาจจะคลาดเคลื่อนไปจากสเป็ค สุดท้ายผมใช้เทคนิค hyperfocus เพื่อใช้เลนส์ nikon บนกล้องcanon ไม่ได้ ต้องใช้วิธีหมุนโฟกัสแล้วดูด้วยตาว่าชัดหรือยังแล้วค่อยถ่ายภาพ หากกล้องมีเทคโนโลยีช่วยการโฟกัสสำหรับเลนส์แมน่วลก็อาจจะสะดวกมากขึ้น

20241208124658_IMG_1234

สรุป
เลนส์ Nikon Fisheye 16mm f2.8 เป็นเลนส์​ตาปลา หรือ fisheye ที่ให้ภาพเต็มเฟรมกับกล้องฟิล์มซึ่งก็เท่ากับให้ภาพเต็มเฟรมกับกล้อง Full frame ด้วย ถ่ายภาพวัตถุระยะใกล้จะให้วัตถุขนาดใหญ่และผลักให้ฉากหลังเล็กลง การใช้ถ่ายภาพตึก อาคาร หรือ ภาพที่มีเสา มีเส้นสายทางสถาปัตยกรรมที่ต้องเป็นเส้นตรงจะเห็นชัดว่าให้ภาพป่อง บิดโค้ง การถ่ายถือกล้องให้ตรง มีมุมก้มเงยที่เหมาะสมจะทำให้ความบิดโค้งในภาพดูแล้วลดน้อยลงได้ การแก้ไขความโค้งของเลนส์ Fisheye จะต้องใช้ซอร์ฟแวร์ ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่สะดวกสำหรับกล้องดิจิทัล

dpp-eos6d-23dec2024-IMG_1449

dpp-eos6d-23dec2024-IMG_1440
dpp-eos6d-23dec2024-IMG_1435

เปรียบเทียบภาพถ่ายที่ใช้แฟลช

การถ่ายภาพเป็นการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเก็บไว้เป็นภาพ ใช้หลักการปล่อยให้แสงผ่านเลนส์ไปตกยังตัวรับภาพแล้วก็บันทึกปริมาณแสงเอาไว้ สมัยโบราณการถ่ายภาพจะต้องทำตอนมีแสงเพียงพอหรือตอนที่มีแสงสว่างก็คือมีแสงจากดวงอาทิตย์ ส่วนการถ่ายภาพตอนกลางคืนหรือถ่ายภาพในที่ร่มเราก็เพิ่มอุปกรณ์อีกตัวหนึ่งขึ้นมาคือ มีไฟส่องสว่างให้กับเหตุการณ์ กล้องถ่ายภาพนิ่งจะรับภาพในเวลาสั้นๆ แสงสว่างที่ฉายไปก็ฉายไปในเวลาสั้นเช่นกันเพื่อประหยัดพลังงาน แสงที่ฉายออกไปเพียงครู่เดียวเลยเรียกว่าแฟลช หรือเป็นไฟกระพริบที่มีความสว่างเพียงพอต่อการบันทึกภาพ

การถ่ายภาพด้วยแฟลชเป็นการแก้ปัญหาแสงไม่พอเพื่อให้บันทึกภาพได้ ต่อมาก็เริ่มมีการใช้แฟลชเพื่อช่วยสร้างสรรค์ภาพให้แตกต่างไปจากเดิมได้ด้วย ช่างภาพจะเริ่มมีทางเลือกว่าจะใช้แฟลชในภาพหรือไม่ กล้องบางตัวมีแฟลชในตัวสามารถเลือกใช้หรือไม่ไม่ใช้ได้ กล้องระดับมืออาชีพไม่นิยมใส่แฟลชไว้กับตัวกล้อง แต่จะมีช่องให้ต่อแฟลชเพิ่ม

การใช้ กับ การไม่ใช้แฟลช ให้ผลกับภาพไม่เหมือนกัน ช่างภาพควรจะรเรียนรู้และทดลองใช้แฟลชให้เข้าใจ แล้วจากนั้นเมื่อเจอกับเหตุการณ์ต่างๆก็ค่อยตัดสินใจว่าจะใช่แฟลชหรือไม่ เพราะบางครั้งมีแฟลชก็ทำให้ภาพสมบูรณ์ขึ้น บางภาพไม่มีแฟลชก็อาจจะสวยกว่า ทุกการตัดสินใจให้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง เราต้องตัดสินใจเองว่าอยากได้ลักษณะภาพแบบใด

ภาพถ่ายแบบไม่ใช้แฟลช ภาพแรกคือถ่ายภาพไม่เปิดแฟลช กล้อ eos m โหมด P เลนส์ 18-55mm

IMG_0131

ภาพที่สองเป็นการถ่ายภาพเปิดแฟลช ใช้แฟลช ex90 ติดบนหัวกล้อง eos m เลนส์ 18-55mm

IMG_0132

ภาพโต๊ะหนังสือและเด็กนั่งอยู่นั้น จะเห็นว่าแสงแฟลชจะทำให้ตัวเด็กสว่าง พื้นที่ที่โดนแสงแฟลชเพียงพอจะเห็นภาพเห็นรายละเอียด ไม่ได้เป็นเงาดำ หลายคนก็มักจะบอกว่า ใช้แฟลชเพื่อเปิดเงา หรือ บางคนก็จะบอกว่าใช้แฟลชเพื่อให้เห็นรายละเอียดชัดๆ ส่วนที่อยู่ห่างออกไปที่ขอบภาพหรือหลังห้องด้านซ้ายมือ เป็นจุดที่แสงแฟลขไปไม่ถึง เพราะแสงแฟลชเมื่อส่องกลางภาพจนสว่างเพียงพอแล้ว กล้องจะตัดการทำงานของแฟลช ทำให้ปริมาณแสงที่ไปยังขอบภาพหรือด้านหลังห้องนั้นแทบจะไม่มีผลต่อภาพเลย ภาพใช้แฟลชและไม่ใช้แฟลช ส่วนที่อยู่ห่างออกไปมากๆจึงไม่ได้มีผลอะไรเกิดขึ้น

IMG_0144

IMG_0145

ภาพเด็กนั่งในรถ เป็นการใช้แฟลชเพื่อส่องสว่างระยะใกล้ ผลของแฟลชทำให้เห็นรายละเอียดในเงามืด เห็นรายละเอียดของเบา ซึ่งปกติส่วนที่โดนแสงจะสว่างพอดีในภาพถ่าย แต่ส่วนที่อยู่ในเงาจะเป็นสีดำไม่มีรายละเอียด แฟลชที่ยิงออกไปจะไปส่องสว่างเงาเหล่านี้ และเก้าออี้อยู่ใกล้ๆกับวัตถุหลักหรืออยู่ใกล้กับจุดที่แฟลชทำงานถึง จึงได้รับแสงแฟลชเพียงพอ

เทคนิคการใช้แฟลชมีหลายอย่าง ถ้าให้เขียนทั้งหมดมันจะเป็นตำราถ่ายภาพเนื้อหาเยอะมาก หากบอกเป็นหัวข้อสั้นๆแล้วเอาไปขยายผลต่อเองก็จะได้ประมาณนี้

1 การใช้แฟลชโดยไม่สนใจแสงภายนอก

2 การใช้แฟลชร่วมกับแสงภายนอก

3 การใช้แฟลชมากกว่า 1 ตัว

4 แฟลชที่ให้แสงแข็งกับแสงนุ่ม

5 แฟลชแมน่วล

6 แฟลช ทีทีแอล

7 แฟลช ทีทีแอลแบบแอ๊ดวานซ์

8 แฟลชกับแผ่นสะท้อนแสง

9 แฟลชกับร่มสะท้อนแสง

10 แฟลชกับร่มทะลุ

11 แฟลชมีสาย

12 แฟลชไร้สาย

13 การชดเชยแสงแฟลช

14 อุณหภูมิสีของแฟลช

ที่เขียนออกมา 14 แนวทาง เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการใช้แฟลช ซึ่งตอนที่ใช้งานจริงเราอาจจะใช้สองแนวทางร่วมกันก็ได้ หรืออาจจะหลายแนวทางร่วมกัน หมายความว่า เรามีความน่าจะเป็นที่ต้องคิดต้องเลือกนับร้อยวิธีการใช้แฟลช เช่นการใช้แฟลชแมน่วลร่วมกับร่มสะท้อน ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เกิดจาก 2 แนวทาง

บางสถานการณ์เราอาจจะใช้แฟลชแมน่วล ร่วมกับแผ่นสะท้อนแสง เพื่อถ่ายภาพร่วมกับแสงภายนอก โดยแฟลชจะเป็นแบบไร้สาย และต้องเลือกอุณหภุมิสีด้วย แค่นี้ก็มีเรื่องให้คิดอีกเยอะ

เทคนิคการใช้แฟลชเป็นเรื่องที่มีรายละเอียดจำนวนมาก คู่มืออธิบายการใช้งานแฟลชจะเยอะและหนากว่าคู่มือการใช้งานกล้อง เราอาจจะต้องใช้เวลาในการศึกษาเรื่องแฟลชยาวนานกว่าเรื่องอื่นในวิชาถ่ายภาพ ถ้ามีเวลาเราควรศึกษาอย่างจริงจัง ถ้าไม่มีเวลา ปล่อยมันผ่านไปแล้วบอกกับตัวเองและผู้อื่นว่าเราไม่ชอบใช้แฟลช


เดินเล่นตลาดน้อย

ชุมชนตลาดน้อยเป็นแหล่งเดินเล่นของนักท่องเที่ยวในยุคปัจจุบัน มีร้านอาหารมากมาย ร้านกาแฟ ร้านขนม พร้อมเส้นทางเดินดูความคลาสิคของบ้านเรือน ตึกเก่า มีการปรับปรุงทัศนียภาพหลายอย่างที่ทำให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับแม่เหล็ก นักเดินทางที่มาเที่ยวกรุงเทพก็ควรจะต้องแวะมาเดินเล่นและชิมอาหารชิมกาแฟกันสักแก้ว

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3012

ตามประวัติ สำเพ็งเป็นย่านการค้าเก่าแก่ตั้งแต่ก่อนยุครัตนโกสินทร์ มีพ่อค้าชาวต่างชาติมาค้าขายกับคนไทย โดยเฉพาะคนจีนที่แห่เข้ามาทำการค้าและอยู่อาศัยในแหล่งนี้ มีท่าเรือขนสินค้าเกิดขึ้นในระแวกนี้หลายแห่ง ต่อมามีคนมากขึ้นจนพัฒนากลายเป็นตลาดสำเพ็งซึ่งถือว่าเป็นย่านการค้าขนาดใหญ่ และเมื่อมีคนมากขึ้นก็เกิดตลาดการค้าแหล่งที่สองที่อยู่ใกล้ๆกัน ตลาดใหม่นี้เลยถูกเรียกว่าตลาดน้อย ซึ่งตลาดน้อยเริ่มมีบทบาทเยอะขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 – 4

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3022

ชุมชนย่านนี้มีอาคารบ้านเรือนเป็นตึกแถวที่มีดีไซร์ผสมผสานจากเมืองฝรั่ง ตึกกำแพงหนา เสาขนาดใหญ่ เป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสในยุครัชกาลที่ 5 พอมีคนจีนมาอาศัยอยู่เยอะขึ้นก็มีวัดจีนหรือศาลเจ้าเกิดขึ้นหลายแห่ง และยังคงอยู่ถึงปัจจุบัน

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3019

ความเก่าแก่เป็นเสน่ห์ของย่านตลาดน้อย มีนักถ่ายภาพจำนวนมากที่เดินเล่นและถ่ายภาพออกไปอวดในโซเชียลเน็ตเวิร์ตต่างๆ เลยเกิดเป็นกระแสความนิยมที่จะมาเดินเล่นถ่ายรูปแบบบอกต่อในวงกว้าง นอกจากช่างภาพแล้ว นักวาดรูป นักเดินทาง นักชิม คอกาแฟ ต่างก็ต้องแวะเวียนเยือนมากันสักครั้ง ถนนในตรอกและซอยได้รับการปรับแต่งให้เป็นสถานที่โชว์งานศิลปะ มีการวาดภาพบนกำแพง บ้านเก่าเปิดเป็นร้านขายของ เปิดเป็นร้านกาแฟแทบตลอดทางเดิน มุมสวยๆในซอยก็มีของเก่าและมีการตกแต่งให้เป็นจุดถ่ายรูป

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3024

ใครชอบถ่ายภาพ ใครชอบของกิน ใครชอบสีสันก็แวะมาเดินเล่นได้อย่างสนุกสนาน มุมถ่ายภาพเยอะมาก ทุกคนในชุมชนเหมือนพร้อมใจกันปรับปรุงสถานที่ของตนเองเพื่อรองรับนักท่องเที่ยว ถนนหนทาง เส้นทางเดินได้รับการพัฒนาอย่างร่วมมือร่วมใจ ทุกอย่างสอดคล้องเป็นไปในแนวเดียวกัน

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3037

ศาลเจ้าในชุมชนมีหลายแห่ง และเปิดรับนักท่องเที่ยวทุกศาล ใครชอบไหว้พระ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ แวะมาไหว้พระจีนที่ตลาดน้อยก็ได้หลายจุด

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3038

ริมน้ำเจ้าพระยาของย่านนี้คือท่าเรือของกรมเจ้าท่าซึ่งเป็นผู้ดูแลการจราจรทางน้ำ ตึกกรมเจ้าท่าก็อยู่ริมน้ำ และมีการก่อสร้างดูสวยงามทันสมัย มีนักท่องเที่ยวแวะมาเดินเล่นอยู่ตลอดเวลา เป็นจุดถ่ายรูปอีกจุดหนึ่งที่ผ่านแล้วก็ต้องถ่ายภาพเก็บไว้

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3041

งานกราฟิตี้หรืองานวาดภาพบนกำแพงก็มีให้เห็นตลอดทาง ทุกจุดได้รับการถ่ายภาพไปส่งต่ออยู่เรื่อยๆ จนนักเดินทางรุ่นใหม่ที่อยากรู้อยากเห็นมีการเดินดู เดินตามรอย บล๊อกเกอร์สายกิน เที่ยว ถ่ายภาพ หลายคนก็แวะมาทำคอนเท้นท์ในชุมชนนี้

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3062

ศาลเจ้าโบราณ ตึกโบราณ ดีไซร์แปลกตาก็ยังคงอยู่ ตึกจีนประตูแดงข้างในมีบ่อน้ำขนาดใหญ่ก็ปรับมาเป็นจุดรับนักท่องเที่ยว ตึกนี้มีสถาปัตยกรรมจีนเข้มข้น แค่เดินดูก็เหมือนได้เที่ยวในฉากถ่ายหนังจีนโบราณ

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3064

ตลาดน้อยเป็นแหล่งรวมเหล็ก งานเครื่องจักรเครื่องยนต์ มีซากเหล็กวางกระจายอยู่ตลอดย่าน รถเก่าสภาพสนิมขึ้นก็เป็นจุดแวะที่ต้องดูต้องถ่ายรูปอีกจุดหนึ่ง ใครมาตลาดน้อยแล้วไม่ได้ถ่ายรูปคู่กับรถเก่าคันนี้ก็ต้องบอกว่ามาไม่ถึง รถคันนี้ห้ามหาย ห้ามย้าย ห้ามซ่อม ห้ามแตะต้อง น้องสนิมคงต้องอยู่ที่นี่ต่อไปอีกนาน

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3066

ตามทางเดินในซอยที่เลี้ยวไปเลี้ยวมาก็มีส่วนที่ไม่ได้รับการปรับปรุง มันเป็นสุสานรถ สุสานเหล็ก กลิ่นน้ำมันเครื่องคละคลุ้งในบางจุด เราได้เห็นทั้งร้านกาแฟสวยและกองขยะรวมกันอยู่ในชุมชนนี้ นักท่องเที่ยวก็คงยิ้มอ่อนๆที่เมืองไทยพัฒนากองขยะเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3075

จากการเดินหลงอยู่ในซอยวนไปวนมาอยู่หลายชั่วโมง ก็เห็นกำแพงนี้เป็นแผนที่อธิบายจุดต่างๆในตลาดน้อย ผมคิดว่าแผนที่นี้คือแผนที่ที่ดีที่สุดสำหรับนักท่องเที่ยว เข้าใจง่ายกว่าแผนที่ใน google map เพราะดูรู้เรื่องและลงจุดสำคัญเอาไว้ครบแล้ว น่าจะมีคนทำออกมาให้ดูง่ายๆบ้าง ใครอยากเดินเล่นให้ครบจุดสำคัญก็เดินตามแผนที่นี้เลย

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3077

ดูแผนที่แล้วลองดูเส้นทางที่เดินหลัง ก็พบว่าหลายชั่วโมงที่ใช้ในตลาดน้อยมันจะประมาณเส้นสีฟ้า

walk2-53953983538_836ffdfef9_o

ในที่สุดก็ได้พบกับร้านโปสการ์ด ตั้งแต่มือถือใช้แทนแผนที่ได้ ใช้แทนกล้องถ่ายภาพได้ คนเราก็แทบจะไม่ได้ซื้อโปสการ์ดอีกเลย และไม่ได้เห็นร้านโปสการ์ดมาหลายปี เพราะใครๆก็แวะมาถ่ายภาพเก็บไว้เองได้สะดวก การซื้อกระดาษสักใบเป็นที่ระลึกก็น้อยลง การส่งจดหมายหากันก็สูญพันธุ์ไปแล้ว คนที่ยังขายโปสการ์ดอยู่ก็นับว่าใจแข็งมากที่ไม่หนีไปทำอาชีพอื่น

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3080

ในตลาดน้อยเป็นซอยเล็กๆเดินไปเดินมา เดินแบบคนไม่รู้ทางก็มั่วไปจนเจอโรงแรมสวย แค่ประตูก็สวยแล้ว ภายในไม่ได้เข้าไปดูเพราะเขาปิด ผมก็แปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมถึงปิด ไม่มีใครให้ถามด้วย ผมเคยเห็นคลิปของกลุ่มช่างภาพมาจัดกิจกรรมที่โรงแรม photostel แห่งนี้ ก็หวังว่าจะได้มีโอกาสได้แวะไปชิมกาแฟในนี้บ้าง

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3086

ศาลเจ้าแห่งแรกของย่านตลาดน้อยคือศาลโจซือกง ตั้งอยู่ในซอย อยู่ติดน้ำ มีที่จอดรถ บริการที่จอดรถ ใครชอบสายมูแวะมามูในย่านตลาดน้อยได้ รับรองว่าอิ่มบุญและอิ่มท้อง

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3088

ตลอดทางมีร้านกาแฟมากมาย ทั้งร้านเล็ก ร้านใหญ่ ร้านไม่ลงทุนและร้านที่ลงทุนสูง ร้านสวยก็เป็นจุดถ่ายรูปไปโดยปริยาย ใครกินกาแฟร้านสวยในตลาดน้อยจนครบก็น่าจะไปตรวจสุขภาพกันบ้าง

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3091

ขอเก็บภาพตัวเองไว้บ้างว่าเราก็ได้แวะมาเยี่ยมตลาดน้อยแล้ว เราเริ่มต้นสำรวจตลาดที่ปากซอยเจริญกรุง 22 แล้วก็เดินหลงอยู่หลายชั่วโมง จนมาเจอทางออกที่ถนนอีกด้านที่ถนนทรงวาด และออกสู่ถนนอีกครั้งที่ซอยภาณุรังษี ผมจับทิศไม่ค่อยถูกเพราะไม่ได้เป็นคนในพื้นที่ อาศัยว่าทนเมื่อยเดินทนก็เดินสำรวจไปเรื่อย

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3097

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3102

ปากทางเข้าตลาดน้อยด้านถนนทรงวาดมีป้ายบอกชัดเจน คนในถนนทรงวาดมีอาชีพขายเหล็กเส้น เหล็กกล่อง เหล็กแผ่นแทบตลอดทั้งถนน นอกจากนี้ก็เป็นอะไหล่เครื่องจักร มีเครื่องจักรมือสองและเศษอะไหล่กองอยู่เป็นจุดๆ มีคนซ่อมรถอยู่ตามริมถนน

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3105

จบเส้นทางการเดินประมาณ 10000ก้าว ที่วงเวียนประตูแดง หรือ วงเวียนโอเดียน หรือ ประตูมังกร แล้วแต่จะเรียก

dpp-eos6d-29aug2024-IMG_3112

ทริปนี้ไม่มีภาพในร้านสำหรับกินดื่มชิมขนมเพราะตั้งใจเดินให้ทั่วเพื่อสำรวจว่ามีอะไรบ้าง เรื่องกินจะเป็นอีกทริปในครั้งต่อไป สวัสดี

IMG_20240901_154420

โปสการ์ดจากตลาดน้อย แม้ความนิยมจะน้อย แต่การมีของที่ระลึกติดมือกลับมาก็เป็นเครื่องเตือนความจำที่ดี และได้อุดหนุนศิลปินในพื้นที่ด้วย

leica minilux 2024 กับฟิล์ม Kodak gold200

dpp-IMG_9980

หลังจากส่งกล้อง Leica minilux ที่หลับไหลจากอาการสายแพรขาดไปซ่อมเรียบร้อย ก็ทดลองงานซ่อมกับฟิล์มสักม้วน ยุคปี 2024 ฟิล์มราคาแพงมาก ลองซื้อฟิล์มสีที่ราคาถูกที่สุดในท้องตลาดก็คือ Kodak Gold 200 ราคาม้วนละ 350 บาท แพงอย่างน่าตกใจ แต่ก็อยากลอง

IMG_20240825_183820

กล้อง Leica minilux เป็นกล้องที่รูรับแสงกว้าง วัดแสงแม่น โฟกัสแม่น ถ้าสภาพดีมันคืออุปกรณ์ระดับเทพที่ให้คุณภาพสูง มีข้อเสียอย่างเดียวคือหากเราต้องการถ่ายภาพแบบไม่เปิดแฟลช เราต้องกดปุ่มสั่งการกล้องทุกครั้งที่เปิดกล้อง แถมต้องกดปุ่มถึง 6 ครั้งเพื่อปิดแฟลช ถ้าเราถ่ายภาพในที่แสงน้อย อย่างเช่นถ่ายในบ้าน ถ่ายตอนกลางคืน กล้องจะเปิดแฟลชเสมอ ทำให้ต้องกดสั่งปิดทุกครั้งนั่นเอง

000049

ลองวัดฝีมือการถือกล้องว่านิ่งได้แค่ไหน ภาพในบ้าน แสงสว่างได้จากโคมไฟอ่านหนังสือ ความไวชัตเตอร์น่าจะต่ำจนต้องลุ้นว่าภาพจะสั่นหรือไม่ ผลออกมาก็พอใช้ได้ เลนส์รูรับแสงกว้างระดับ f2.4 ดูจะเก็บแสงโคมไฟได้ดี ให้แสงในภาพดูสวยงาม สวยกว่าตาเห็น ภาพนั่งโต๊ะภาพนี้ให้สีสันและระดับความสว่างที่ถูกใจ ลักษณะภาพสว่างบริเวณกลางภาพ และมืดดำที่ขอบภาพช่วยทำให้จุดสนใจเด่นชัด การไล่ระดับแสงจากสว่างไปมืดบนฟิล์มทำได้รุนแรงเด็ดขาด นั่นเป็นเพราะความสามารถในการรับแสงของฟิล์มต่ำกว่ากล้องดิจิทัลยุคปัจจุบันมาก ภาพโต๊ะหนังสือนี้ถ้าใช้กล้องดิจิทัลหรือโทรศัพท์รุ่นใหม่ในการถ่าย เราจะเห็นรายละเอียดในขอบภาพที่สว่างกว่าภาพนี้ ฉากหลังจะไม่ดำเท่านี้

000045
ภาพในร้านตัดผม ภาพนี้ถ่ายด้วยกล้องดิจิทัลไปแล้วหลายภาพ แต่ก็รู้สึกว่าอยากได้ภาพบนฟิล์มด้วย ก็เลยหยิบ minilux ออกมาถ่าย เล็งโฟกัสที่หน้าของเด็กในกระจก ผลงานออกมาก็คมชัดในจุดที่ต้องการ minilux โฟกัสได้แม่นยำมาก แถมยังวัดแสงได้พอดีเหลือเชื่อ แสงนอกหน้าต่างที่ส่องเข้ามายังจุดนั่งตัดผม พอดีกับแสงภายในร้าน ผมเจตนาให้เห็นแขนของผมเองในภาพนิดๆ เพื่อให้รู้ว่าเราก็อยู่ในภาพเหมือนกัน ลูกตัดผม พ่อถ่ายภาพ โมเม้นนี้มีแค่ตอนเด็กเท่านั้น ถ้าเด็กโตขึ้นเป็นวัยรุ่นก็คงไม่แวะร้านแนวนี้แล้ว

000048

เวลาถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์ม เราจะไม่มีข้อมูลการถ่ายภาพใดๆเลย อาศัยความจำเท่านั้น การดูภาพสแกนก็จะไม่รู้ว่าเป็นภาพจากกล้องตัวไหน ก็เลยจะพยายามถ่ายภาพให้พอรู้ว่าใช้กล้องอะไรโดยการถ่ายภาพตัวเองพร้อมกล้องในกระจก การถ่ายเซลฟี่สะท้อนกระจกทำให้รู้ว่าภาพชุดนี้ถ่ายจากกล้องตัวไหน แต่บังเอิญภาพนี้เงาในกระจกดูเบลอไปหน่อยทำให้ดูยากว่าเป็นกล้องอะไร แต่คนเคยจับกล้องรุ่นนี้ก็จะพอนึกออก พอเดาได้

000061

ภาพถนนเยาวราชตอนกลางคืน เป็นการถ่ายภาพในที่แสงน้อยที่มีข้อจำกัดคือไม่ใช้ขาตั้งกล้อง เพราะว่าคนเยอะมากจนไม่สามารถกางขาตั้งก้องออกมาโดยไม่กีดขวางการเดินทางของผู้อื่น จึงใช้วิธีถือถ่ายด้วยมือ ตั้งโฟกัสบนกล้องเป็นระยะอินฟินิตี้ เพื่อลดความผิดพลาดจากการโฟกัส เพราะตอนกลางคืนมักจะทำให้การโฟกัสทำงานผิดพลาดได้ง่าย ก่อนถ่ายก็สูดลมหายใจเข้าลึกหน่อยจากนั้นกลั้นหายใจแล้วกด

000052
000043
000064



เสริมเกี่ยวกับการใช้แฟลชถ่ายภาพ

IMG_20240825_181237

สองภาพนี้เป็นการยกตัวอย่าง ภาพบนคือการถ่ายภาพด้วยระบบอัตโนมัติ กล้องคิดให้ยังไงก็ถ่ายไปอย่างนั้น สภาพแสงในบ้านค่อนข้างน้อย พอกล้องคิดให้ทุกอย่าง กล้องก็ถ่ายแบบเปิดแฟลชให้ ทุกอย่างในภาพก็จะสว่าง ชัด เคลียร์ ดูรู้ว่ามีอะไรอยู่ในภาพบ้าง ส่วนภาพล่างก็เป็นภาพที่ถ่ายแบบไม่เปิดแฟลช คนถ่ายต้องกดปุ่มสั่งเพื่อปิดแฟลชก่อน แล้วพยายามถือกล้องให้นิ่งในการถ่าย ฟิล์มความไว 200 กับสภาพแสงในบ้านตอนกลางคืนเป็นงานยาก ต้องพยายามมากเพื่อไม่ให้ภาพสั่น แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาดีเกินคาด ภาพดูสวยงามกว่า ถูกใจมากกว่าการเปิดแฟลช

InCollage_20250712_212037366

ภาพตัวอย่างเปรียบเทียบกับใช้แฟลชกับไม่ใช้

ภาพม้วนนี้ใช้บริการร้านล้างฟิล์มพร้อมสแกน Toiletlab ส่งฟิล์มห้าโมงเย็น ผ่านไปชั่วโมงกว่าๆก็ได้ไฟล์ทาง google drive แล้ว ร้านทำงานบริการได้ดีน่าอุดหนุน ไฟล์ภาพที่ได้ก็มีขนาดประมาณ 8.9 ล้านพิกเซล (3661 × 2456) สามารถใช้พิมพ์ขนาด A4 แบบคุณภาพสูงได้

Screenshot 2567-08-26 at 20.07.10

Leica minilux ยังคงน่าใช้ในปี 2024 สภาพกล้องยังแข็งแรง สามารถซ่อมบำรุงได้แทบจะทุกอาการ โดยเฉพาะอาการเสียประจำรุ่นอย่างสายแพรขาดก็สามารถซ่อมได้ เพราะมีอะไหล่ขายอยู่ในอินเทอเน็ต ใครยังอยากได้กล้องคุณภาพสูง เป็นไอค่อนของวงการถ่ายภาพอีกตัวหนึ่งก็ลองหามาใช้ได้ มันดีและมันน่าใช้ และที่สำคัญ มันสะกิดให้เราอยากถ่ายภาพ แม้ฟิล์มจะแพงก็เถอะ

บันทึกไว้
ล้างสแกนที่ Toiletlab
ค่าฟิล์ม 350
ค่าล้างพร้อมสแกน 150
ค่าส่งฟิล์มกลับ 70

รวมภาพจาก ZV-1f สไตล์ฟิล์ม

กล้องคอมแพ็คของ Sony รุ่น ZV-1f เป็นกล้องที่มีโหมดสี FL หรือ ย่อมาจากคำว่า Film look ซึ่งเป็นสไตล์สีที่ทำเลียนแบบภาพจากฟิล์ม อดีตเวลาเราถ่ายภาพด้วยฟิล์ม หากต้องการจะดูภาพเราก็ต้องอัดภาพมาเป็นกระดาษ และหากจะดูภาพในจอคอมพิวเตอร์หรือในสมาร์ทโฟน เราก็ต้องสแกนฟิล์มเป็นไฟล์ภาพ ซึ่งร้านล้างฟิล์มก็จะมีบริการสแกนฟิล์มด้วย บางคนไม่อัดภาพเป็นกระดาษแล้ว ก็จะส่งฟิล์มไปล้าง+สแกนเลย เราก็จะได้ดูภาพจากฟิล์ม

DSC00378

แต่กว่าจะเสร็จสิ้นขบวนการล้างและสแกน ก็ใช้เวลาหลายวัน หรือแม้แต่การไปส่งฟิล์มแล้วนั่งรอ ก็ต้องลุ้นว่าทางร้านจะล้างฟิล์มให้ได้ในวันเดียวไหม ความไม่สะดวกเรื่องเวลาทำให้กล้องดิจิทัลที่ให้ภาพสไตล์ฟิล์มได้เริ่มน่าสนใจ และก็พบว่าใน ZV-1f มีโหมดภาพสไตล์ฟิล์มมาให้ช่างภาพที่นิยมภาพจากฟิล์มได้มีของเล่นติดตัวชิ้นใหม่

นอกจากภาพสไตล์ฟิล์มแล้ว เรายังสามารถเลือกสไตล์สีแบบนี้ตอนถ่ายวิดีโอได้ด้วย ทำให้เราได้ภาพเคลื่อนไหวที่ดูคล้ายฟิล์มเช่นกัน และมันก็ดูเป็นสีสันที่น่ามอง เหมือนภาพจากโรงหนัง เหมือนภาพงานหนังอาร์ตที่มีสีอมเขียวอมฟ้าเล็กน้อย บางคนใช้กล้องโปรตัวใหญ่ถ่ายคลิปทำงานโปรดักชั่นสุดเนี้ยบแล้วในขั้นตอนสุดท้ายก็ย้อมสีทั้งงานให้เป็นสไตล์หนังอาร์ต ซึ่งแนวสีที่ถ่ายคลิปได้เหมือนหนังอาร์ตมีให้ใช้ตรงๆ เราได้ภาพสีอาร์ตในขั้นตอนการถ่ายเลย จบหลังกล้องจริงๆ

DSC00398

กล้อง ZV-1f มีจอภาพแบบ flip บิดกางออก ปรับหมุนเพื่อถ่ายภาพแนวดิ่ง ภาพก้มลงมองจานอาหารได้สะดวก ทำให้ถ่ายภาพของกินได้มุมมองที่แปลกตามากขึ้น จอภาพที่หมุนได้รอบตัวช่วยให้เราจัดองค์ประกอบภาพได้อิสระมาก แม้แต่การบิดจอเพื่อถ่ายตัวเอง ก็เป็นเรื่องที่ทำได้สะดวก เหมาะกับการทำงานคนเดียว ถือกล้องเอง ดูจอเอง เลือกมุมกล้องเอง ไม่ต้องใช้อุปกรณ์เสริมให้รุงรัง

DSC00517

การถ่ายคลิปวิดีโอด้วยเฟรมภาพสูงระดับ 120ภาพต่อวินาทีหรือ 120fps แล้วนำมาเล่นกลับในความเร็ว 30 ภาพต่อนาที ก็จะได้ภาพสโลว์ที่สวยงาม เหมาะกับเหตุการณ์ที่มีการเคลื่อนไหวเร็ว และยิ่งมีสไตล์สีที่ดูเป็นโทนหนังอาร์ต ก็ทำให้คลิปดูน่าสนใจมากขึ้น

DSC00631
DSC00627

ด้วยเลนส์ติดกล้องเป็นเลนส์รูรับแสงกว้างระดับ f2 ทำให้การถ่ายภาพในที่แสงน้อยเป็นเรื่องง่าย เพราะความไวแสงของเลนส์และการตั้งค่า iso ที่สูงขึ้นโดยสัญญาณรบกวนน้อยตามสไตล์กล้องยุคใหม่ ภาพบรรยากาศในโรงแรมที่มีแสงไม่เยอะมากก็เก็บภาพได้ เล่าเรื่องด้วยสไตล์สีที่น่ามองได้

DSC00637

เลนส์มุมกว้างเทียบเท่ากับเลนส์ 20มม. เป็นเลนส์ที่ให้ภาพดูยิ่งใหญ่ อลังการ เหมาะกับการถ่ายในที่แคบแล้วเก็บภาพได้เหมือนตาเห็น เรายืนคุยกับใคร มองอะไร เรายกกล้องถ่ายด้วยเลนส์ 20มม. เราจะได้วัตถุที่เรามองเห็นอยู่ในภาพเลย โดยไม่ต้องถอย

DSC00570

สรุป

สไตล์ภาพ FL หรือ Film Look เป็นสไตล์สีที่เลียนแบบภาพจากฟิล์ม ให้โทนภาพอมเขียวอมฟ้าดูคล้ายภาพจากหนังหรือมิวสิควิดีโอที่แต่งสีหรือปรับสีมาแล้ว เป็นการทำสีเสร็จในกล้องเลย ถ่ายเสร็จก็ได้ภาพสีที่ต้องการเลย ไม่ต้องไปเสียเวลาทำต่อในโปรแกรมตัดต่อ เหมาะกับช่างภาพหรือคนที่ต้องการลดขั้นตอนการทำงานให้น้อยที่สุด ทีมงานตัวคนเดียวควรจะมีอุปกรณ์แบบนี้ใช้งาน

DSC02230
DSC02168
DSC01788
DSC01696
IMG_20240331_212007
IMG_20240608_203709
DSC01735
DSC01602
IMG_20240318_104825
1710671844668
DSC02808
DSC02871
DSC02787
DSC02697

สั่งซื้อที่นี่ https://shope.ee/9eyuQHL1zl

รีวิวกล้อง SONY ZV-1F

รีวิวกล้องน่าใช้ Sony ZV-1F.

1707829233240-01

สำหรับช่างภาพที่ฝึกฝนการถ่ายภาพมาระยะหนึ่ง บางคนอาจมีอาชีพเป็นช่างภาพ บางคนอาจมีอาชีพอื่นที่ต้องถ่ายภาพจำนวนมาก ก็จะมีบางเวลาที่ไม่อยากจับกล้องตัวใหญ่ที่ใช้ทำงาน บางครั้งก็อยากได้กล้องตัวเล็กพกง่าย หยิบได้เร็ว เก็บได้เร็ว เอาไว้ถ่ายภาพในวันสบายๆ แต่วันสบายๆนั้นก็ต้องได้ภาพที่ดีซึ่งหมายถึงดีตามมาตรฐานระดับสูงของช่างภาพ ก็คืออยากได้กล้องเล็ก เบา และให้ภาพดีเหมือนกล้องโปรนั่นเอง

IMG_1176

ในยุคสมัยของโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่แสนเฟื่องฟู ตั้งแต่กล้องในโทรศัพท์คุณภาพดีเท่ากับกล้องคอมแพ็คหรือกล้องดิจิทัลตัวเล็กๆ กล้องคอมแพ็คก็โดนแย่งตลาดไป คนส่วนใหญ่ซื้อโทรศัพท์ราคาระดับกลางไปถึงสูงเพื่อให้มีกล้องคุณภาพดีอยู่ในโทรศัพท์และใช้แทนกล้องถ่ายภาพไปเลย พอตลาดมวลชนหันไปใช้โทรศัพท์แทน กล้องคอมแพ็คก็ทะยอยเลิกผลิตกันไป ถ้าเป็นสักห้าปีก่อน บางทีเรานึกไม่ออกเลยว่าจะมีกล้องคอมแพ็คดิจิทัลราคาย่อมเยาให้ซื้อหรือไม่  ตามร้านกล้องในห้างก็ไม่มีวางขายกล้องคอมแพ็คหลักพันบาทแล้ว เหลือแต่หลักหมื่นจนไปเป็นหลายๆหมื่น บางรุ่นก็เป็นแสน

ในอดีตผมมีความรู้สึกชอบกล้องคอมแพ็คที่เป็นกล้องฟิล์มอยู่หลายตัว Leica Minilux ก็เป็นกล้องคอมแพ็คใช้ฟิล์มของไลก้าที่ราคาไม่แพงเท่าตัวอื่นของยี่ห้อนี้ ก็มีไว้ใช้อยู่พักหนึ่ง ถ่ายเล่นพอสนุกๆแล้วก็วางเก็บไว้ ถือว่าเป็นกล้องฟิล์มที่มีขนาดตัวเล็กกว่ากล้องระดับโปร ตอนใช้งานก็หยิบขึ้นมากดถ่าย วัดแสงได้แม่นยำ ให้ภาพที่ดี  แต่พอเข้าสู่ยุคฟิล์มแพงและการใช้งานต้องรอล้างฟิล์มและสแกนภาพหลายวันก็เลยไม่ค่อยได้ใช้อีก 

กล้อง Contax T3 ก็เป็นกล้องฟิล์มตัวท๊อปตัวหนึ่ง ให้คุณภาพที่ดีมาก โฟกัสเร็วมาก วัดแสงแม่นมาก ใช้ถ่ายภาพอยู่หลายม้วน หลังๆก็ไม่ค่อยได้ใช้เพราะขี้เกียจรอเวลาส่งฟิล์มล้าง แถมระยะหลังฟิล์มราคาแพงจนไม่น่าคบ ก็เลยวางยาวไว้ในกระเป๋ากล้อง แทบไม่ได้แตะอีกเลย

Nikon L35AF เป็นกล้องคอมแพ็คค่ายญี่ปุ่นที่ออกแบบดี แข็งแรง และคุณภาพดีเช่นกัน เรื่องกล้องผมว่าญี่ปุ่นไม่เป็นรองเยอรมันเลย หามาใช้เพราะได้ข่าวว่าดี ลองใช้แล้วก็พบว่าดีจริงและราคาไม่แพงมาก ทั้งสามตัวที่กล่าวถึงก็จะมีรีวิวเขียนไว้ในเว็บนี้แล้ว ลองหาอ่านดูได้

IMG_0046
ฟิล์มขาวดำที่ผ่านการล้างแล้ว รอนำไปอัดเป็นภาพ

กล้องคอมแพ็คใช้ฟิล์มที่กล่าวถึงนี้ใช้งานได้ดี แต่ก็มีค่าใช้จ่ายเรื่องค่าล้างฟิล์มและการสแกนภาพ ปัจจัยกำหนดคุณภาพของภาพต้องคิดตั้งแต่เลือกฟิล์ม เลือกกล้องเลือกเลนส์ เลือกร้านล้างฟิล์มและสแกน กว่าจะได้ภาพที่ถูกใจต้องเสี่ยงวัดดวงกันหลายอย่าง สุดท้ายเมื่อได้ภาพมาก็ดูภาพสแกนในโทรศัพท์มือถือหรือไม่ก็ในคอมพิวเตอร์ แถมเอาไปโพสท์ในโซเชียลเน็ตเวิร์คก็ส่งดิจิทัลไฟล์ออกไป แทบไม่ได้อัดขยายออกมาเป็นภาพบนกระดาษเลย

พอไม่คิดจะอัดภาพเป็นกระดาษก็เลยมองหากล้องดิจิทัลคอมแพ็คกันอีกครั้งในรอบสิบปี ผมเคยมีกล้องคอมแพ็คตัวเจ๋งอย่าง Fuji x100 ที่ราคาไม่ถูกเลย แต่ก็ใช้อยู่ปีกว่าก็ขายออกไปก่อน เพราะว่าโฟกัสช้า ไม่สามารถถ่ายภาพลูกที่กำลังหัดคลานหัดเดินได้ทัน กล้องดิจิทัลไม่ได้มีอายุการใช้งานนานเหมือนกล้องฟิล์ม เก็บไว้โดยไม่ได้ใช้ก็ดูเป็นทางเลือกที่ไม่ดีนัก มาช่วงนี้ที่ไม่ต้องถ่ายภาพเด็กคลานและเดินแล้ว เพราะลูกโตเปลี่ยนเป็นวิ่งแทน ก็แทบจะเลิกใช้กล้องคอมแพ็คหรือกล้องฟิล์มถ่ายไปเลย ต้องเปลี่ยนไปใช้กล้อง DSLR แทนเพื่อให้ถ่ายภาพตอนเคลื่อนไหวเร็วๆได้ทัน ประกอบกับมีเรื่องของการถ่ายคลิปวิดีโอเพิ่มเข้ามาด้วย กล้องAction camera อย่าง gopro ที่ลงน้ำได้ด้วย ก็ต้องหามาใช้ประกอบกัน  การหากล้องถ่ายภาพมาใช้อีกครั้งก็เลยคิดเผื่อความสามารถเรื่องการถ่ายวิดีโอเพิ่มเติม คืออยากได้ทั้งภาพนิ่งและวิดีโอที่ดีในกล้องตัวเดียวกัน

IMG_1203

ด้วยความชอบสีสันของภาพถ่ายที่มีลักษณะของฟิล์ม ทั้งโทนสีและโทนขาวดำของกล้องฟิล์มมีบุคลิกที่เด่นชัดและยากจะทำเลียนแบบด้วยคอมพิวเตอร์ การค้นหากล้องดิจิทัลที่ให้ภาพคล้ายฟิล์มเป็นเป้าหมายในใจช่างภาพยุคหัดถ่ายฟิล์มมายาวนานหลายปี บางครั้งก็ลองไปปรับแต่งตัวเลขสีในกล้องดิจิทัลทั้งกล้อง DSLR รวมถึงกล้อง mirrorless หลายตัวก็ยังไม่ถูกใจ แต่พอมีข่าวว่า sony ทำกล้องที่สามารถเลือกปรับสีให้ดูเพี้ยนคล้ายภาพจากฟิล์มได้ ก็เลยสนใจ และก็ติดตามอ่านมาเรื่อย จนเกิดเป็นรีวิวกล้อง Sony ZV-1F ตัวนี้

สั่งซื้อที่นี่ https://shope.ee/9eyuQHL1zl

ข้อมูลกล้อง

กล้องอนุกรม ZV ของ Sony เริ่มจาก ZV-1 เป็นกล้องคอมแพ็คเซ็นเซอร์ 1 นิ้ว มาสู่กล้องเปลี่ยนเลนส์ได้ ZV-E10 เซ็นเซอร์ aps-c ต่อมาก็มี ZV-E1 ที่เป็นกล้องเปลี่ยนเลนส์ขนาดเซ็นเซอร์ Full frame แล้วก็มาสู่ กล้องคอมแพ็ค ZV-1F แล้วก็มาถึงกล้องคอมแพ็ค ZV-1 ii จุดเด่นของตัวกล้องกลุ่ม ZV ก็คือมีไมโครโฟนรับเสียงคุณภาพดี และมีลูกเล่นการโฟกัสสิ่งของหรือ Product show case ที่เอาไว้ใช้กับการ live ขายของ หยิบสินค้าชิ้นเล็กๆขึ้นมาโชว์แล้วกล้องสามารถโฟกัสไปที่สิ่งของแทนหน้าคนขายได้ จุดเด่นสองอย่างนี้ทำให้ ZV ทุกตัวได้รับความนิยมมาก

ZV-1F เป็นกล้องดิจิทัลคอมแพ็ค ติดเลนส์ฟิกซ์ 20f2 ซึ่งเป็นเลนส์เดี่ยวคุณภาพสูง รูรับแสงกว้าง เซ็นเซอร์รับภาพขนาด 1 นิ้ว เป็นขนาดที่ไม่เล็กมาก สามารถให้ภาพที่มีคุณภาพดีกว่าโทรศัพท์มือถือและกล้องคอมแพ็คทั่วไป การทำงานภายในกล้องถูกออกแบบมาให้เป็นกล้องที่ทำงานได้เร็ว โฟกัสแม่น และถ่ายวิดีโอได้สเป็คบิทเรทที่สูงมาก การออกแบบเป็นเลนส์ฟิกซ์ทำให้กล้องมีขนาดเล็ก เลนส์ติดกล้องไม่มีชิ้นส่วนยื่นเข้าออกตอนเปิดปิด ทำให้ลดโอกาสความเสียหายเรื่องสายแพรเสียหายในระยะยาว และพอไม่มีการยืดตัวของเลนส์ก็ทำให้มันมีขนาดกระทัดรัดที่สุดตอนทำงาน เหตุที่กังวลเรื่องสายแพรเพราะว่ากล้องคอมแพ็คที่มีเลนส์ยื่นเข้ายื่นออกได้จะมีอาการสายไฟในเลนส์เสียหาย ซึ่งกล้องคอมแพ็คฟิล์มที่เคยใช้มีปัญหานี้แทบทุกตัว แม้แต่เลนส์ซูมที่ใช้กับกล้อง DSLR ก็เคยมีปัญหาสายไฟในเลนส์ขาดเช่นกัน

ยังมีจุดเด่นด้านอื่นที่ทำให้กล้อง ZV-1F ตัวนี้น่าสนใจคือ ช่องเสียบสาย usb เป็นชนิด usb-c สามารถชาร์จไฟได้ด้วยทำให้เราไม่ต้องถอดแบตออกมาชาร์จข้างนอก สามารถเสียบชาร์จด้วย powerbank ได้ ซึ่งข้อนี้เป็นข้อดีมากๆ โดยเฉพาะคนที่ต้องเดินทางบ่อยๆ เที่ยวต่างประเทศบ่อยๆ จะมีประโยชน์โดยตรง 

ยังมีลูกเล่นการปรับโทนสีภาพให้ดูสีสวยแปลกตาหลายแบบ อยู่ในเมนู creative look ทำให้เราสามารถปรับโทนสีของคลิปวิดีโอและภาพนิ่งได้ ซึ่งผมเลือกซื้อกล้องตัวนี้เพราะลูกเล่นการการปรับโทนสีโดยเฉพาะเลย 

หลังจากเริ่มใช้งานมาหลายวันก็ทะยอยค้นพบข้อดีเพิ่มขึ้นทีละอย่าง เชื่อว่าทีมพัฒนาโซนี่น่าจะทำแบบสำรวจหรือขอข้อมูลจากผู้ใช้งานจำนวนมากจะปรับปรุงและใส่ลูกเล่นต่างๆมาในกล้องได้อย่างน่าประทับใจ เริ่มจาก

DSC00104_1
ZV-1F ถ่ายด้วยรูรับแสงกว้างสุด ตอนกลางคืน แสงสว่างในห้องนอน

เลนส์ไวแสง 20 f2.0 เป็นเลนส์ที่เหมาะกับการถ่ายภาพในที่แสงน้อย ทำให้มันเหมาะกับการถ่ายภาพแทบทุกสถานการณ์ ประกอบกับการทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์รับแสงขนาดใหญ่ 1 นิ้ว กล้องที่ผลิตในยุคใหม่เป็นกล้องที่มีสัญญาณรบกวนต่ำกว่ากล้องสเป็คเดียวกันในอดีต คุณภาพของภาพตอนถ่ายในที่แสงน้อยจะดูดีกว่ากล้องเมื่อยี่สิบปีที่แล้วอย่างมาก 

06-ZV-1F_top_white

ปุ่มชัตเตอร์และปุ่มถ่ายวิดีโอเป็นปุ่มกดวางแยกกัน ไม่สับสนในการใช้งาน และการจัดวางปุ่มก็เลือกวางได้อย่างเข้าใจ การใช้งานระหว่างสองโหมดนี้ไม่สับสนเลย 

DSC00136

เครื่องพิมพ์ตีธง เป็นเครื่องพิมพ์แบบ letterpress ที่ดัดแปลงไปทำงานปั๊มเจาะรู และทำเส้นปรุได้

ระหว่างที่กำลังเล็งจะถ่ายภาพนิ่ง หากเราอยากเปลี่ยนเป็นถ่ายวิดีโอเราก็กดปุ่มถ่ายวิดีโอ กล้องจะเริ่มบันทึกภาพวิดีโอเลย ตรงนี้เป็นการทำงานที่ไม่ต้องย้ายโหมด ไม่ต้องเปลี่ยนโหมด ไม่ต้องเข้าเมนูใดๆ เป็นความรวดเร็วที่ควรทำได้มาตั้งนานแล้ว แต่ก็เพิ่งพบกับกล้องรุ่นนี้

DSC00164
ภาพใบไม้ถ่ายด้วยเลนส์ 20f2 บนกล้อง ZV-1F
DSC00165
กล้อง ZV-1F กดซูมภาพแบบดิจิทัล 2X

กล้องมีระบบดิจิทัลซูมที่ทำให้เลนส์ฟิกซ์ก็สามารถมีภาพขยายใหญ่เหมือนมีเลนส์ซูมได้ การทำดิจิทัลซูมก็คล้ายกับการคร็อปภาพ ซึ่งหากเลนส์มีคุณภาพ การคร็อปภาพก็จะเหมือนเลนส์มีทางยาวโฟกัสเพิ่มขึ้นนั่นเอง จากเลนส์ 20มม. ก็จะกลายเป็นเลนส์ 40มม. ในทางปฏิบัติแม้จะเป็นการคร็อปภาพ แต่การคร็อปภาพจากภาพที่ใหญ่มาก ก็ยังคงให้ภาพขนาดกลางที่มีคุณภาพอยู่ sony ออกแบบให้ขยายภาพหรือซูมได้ถึง 4เท่า ซึ่งภาพที่คร็อป4เท่า ก็ยังพอใช้งานได้

ซ้อมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาที่สนามฟุตบอล

ระบบการซูมดิจิทัลสามารถตั้งค่าความเร็วในการซูมได้ เราสามารถค่อยๆซูมเข้าไปช้าๆที่ตัวบุคคลเพื่อสร้างมุมมองภาพเหมือนการถ่ายทำสารคดีหรือถ่ายหนัง การซูมอย่างนุ่มนวลให้ภาพวิดีโอที่สวยงามนุ่มนวลไม่กระตุก ลูกเล่นการซูมนี้ช่วยทำให้การถ่ายคลิปวิดีโอเป็นเรื่องสนุก เรามีตัวเลือกซูมช้า ปานกลาง และเร็ว รวมถึงมีปุ่มบนหน้าจอที่ 1x 2x 4x ให้เลือกด้วย กดแล้วได้ระยะซูมที่ต้องการทันทีไม่ต้องรอ ระบบการซูมดิจิทัลแบบนี้ใช้เป็นเครื่องมือสร้างภาพเคลื่อนไหวที่น่าดูได้

DSC00110
ของไหว้เทศกาลตรุษจีน

การที่กล้องมีจอภาพแบบ flip สามารถกางออกมาดูในมุมมองอื่นได้ ทำให้เราสามารถถ่ายภาพเงย หรือก้ม หรือมุมมองแปลกๆได้ ซึ่งกล้อง DSLR ในอดีตการจะถ่ายมุมมองก้มลงอย่างแม่นยำ ก็อาจจะต้องใช้อุปกรณ์เสริมเพิ่ม แต่จอภาพแบบ flip ทำให้การถ่ายภาพทุกองศาการถือกล้องเป็นเรื่องง่าย จัดวางกล้องได้อิสระมาก

DSC00019
ภาพเครื่องพิมพ์ ถ่ายเป็นโหมดขาวดำจบหลังกล้อง

ภาพขาวดำตั้งค่าจากในกล้องเลย ปรับแต่งค่าคอนทราสต์นิดหน่อย เราก็จะได้ภาพขาวดำที่ให้โทนสีดำที่ลึก เข้มข้น เป็นแนวทางใกล้เคียงกับการทำงานขาวดำด้วยฟิล์ม ใกล้เคียงกับการอัดขยายภาพขาวดำบนกระดาษ สไตล์สีขาวดำที่สวยงามต้องเกิดกับคนที่เคยมองภาพขาวดำบนกระดาษอัดภาพจริงๆถึงจะบอกได้ว่าขาวดำแท้จริงเป็นอย่างไร ในอดีตยังไม่เคยมีกล้องดิจิทัลที่ทำภาพขาวดำได้ใกล้เคียงเลย มีตัวนี้แหละที่ดูใกล้ขึ้น และพอยอมรับได้ (ผมยังไม่เคยใช้ Leica monochrome)

DSC00029
ภาพเครื่องพิมพ์ถ่ายในโหมด สี ปรับแต่งสีให้เป็นโทนฟิล์ม ทำเสร็จในกล้องเลย

การถ่ายภาพสีในสถานที่ที่แสงไม่แรงมาก หรือแดดไม่จัด หรือถ่ายในที่ร่ม ภาพจะมีความนุ่มนวลโดยธรรมชาติ และหากรวมกับการปรับแต่งฟิลเตอร์สีที่กล้องมีมาให้ ก็จะทำให้เราได้ภาพคล้ายกับงานที่ถ่ายด้วยกล้องฟิล์ม 

DSC00131
บรรยากาศในโรงพิมพ์

ภาพขาวดำที่สวยคือภาพที่มีโทนสีขาว เทา ดำ ครบ และส่วนสีดำที่สุดมีความดำที่ดำสนิท ในทางเทคนิคคือภาพมีคอนทราสต์สูง มีส่วนขาวสุดและส่วนดำสุด แต่โทนเทาจะต้องต่อเนื่องคือไล่อ่อนไปเข้มได้นุ่มนวล

DSC00114
แม่ลูกคู่กัน

โหมดสีแบบฟิล์มกลายเป็นโหมดที่ปรับแต่งทิ้งไว้และใช้โหมดนี้ถ่ายภาพเกือบตลอดเวลา เพราะสไตล์สีแบบฟิล์มเป็นสีที่น่ามอง ดูมีเสน่ห์เมื่อเป็นภาพถ่าย ไม่แปลกใจที่จะมีคนชอบภาพสไตล์อินสตาแกรม หรือ มีคนชอบการปรับสีของ app VSCO ซึ่งโซนี่ก็เอาใจเต็มที่ด้วยการใส่โทนสีพิเศษแนวนี้เข้ามาให้เลือกใช้

DSC00104_1
ลองคร็อปภาพเป็นพาโนราม่า

สิ่งที่ชอบอีกอย่างก็คือระบบ app ที่ทำงานได้รวดเร็ว เชื่อมต่อง่าย สามารถใช้ app เพื่อโหลดไฟล์ได้สะดวก แถมยังมีระบบเก็บภาพบน cloud ให้ใช้ด้วยอีกขนาด 25Gb ซึ่งพอจะใช้เป็นที่แบ็คอัพภาพนิ่งได้ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าระบบ app ที่เชื่อมต่อกับ cloud จะมีปัญหาในภายหลังไหม เพราะระบบอื่นๆจากประสบการณ์ที่เคยใช้มา ส่วนที่เป็น cloud มักจะทำงานดีเมื่อปีแรก และเมื่อเริ่มไม่ได้รับความนิยมของระบบบน cloud ก็มักจะหายไป

DSC00083
ถ่ายภาพโต๊ะทำงาน เลนส์มุมกว้าง 20mm เก็บสิ่งที่มองเห็นครอบคลุมเหมือนสายตาจริงของเรา
DSC00028
ถ่ายระยะใกล้ๆหรือมาโคร รูรับแสง f2 ให้ภาพวัตถุชัดขณะที่ฉากหลังเบลอได้
DSC00125
เก็บภาพมุมกว้างเหมือนตาเห็น เรายืนมองอะไร เราก็ยกถ่ายสิ่งนั้นได้ ไม่ต้องถอย
ระบบดิจิทัลซูม ปรับความเร็วในการซูมไว้ที่ระดับช้า ให้ความนุ่มนวลในการซูมเหมือนมืออาชีพ
บันทึกคลิปได้ไม่ต่างจาก gopro แต่จะได้สีสันตามการปรับแต่งที่กล้องเลย ไม่ต้องไปทำสีอีกครั้งในคอมพิวเตอร์

DSC00177
ภาพสนามฟุตบอล ยืนดูแล้วก็ถ่ายสิ่งที่เห็น ภาพมุมกว้างเหมือนสายตามนุษย์
DSC00162
ทุ่งนาปลูกข้าวกำลังออกรวงสวยงาม 

ข้อจำกัด หรือ อาจจะเรียกว่าเป็นข้อเสียก็ได้

กล้องตัวนี้มีข้อดีเยอะ ขณะเดียวกับก็มีข้อจำกัดที่เยอะเช่นกัน การจะเลือกใช้กล้องตัวนี้ควรจะรู้ว่ามีข้อจำกัดอะไรบ้าง

ด้วยความที่เป็นเซอร์เซอร์ไม่ได้ใหญ่เท่ากับ Full flame หรือเทียบกับ aps-c ก็ยังถือว่าเล็กกว่า มันทำให้กล้องมีสัญญาณรบกวนที่สูงเมื่อเทียบกับเซ็นเซอร์ที่ใหญ่กว่า ผลก็คือภาพจะไม่เนียนใสในแบบที่เคยได้จากกล้อง Fullframe ถ้าเราเทียบกับมุมใกล้เคียงกัน ZV-1F กับกล้อง aps-c เราก็จะเห็นว่าสัญญาณรบกวนของ ZV-1F มีเยอะกว่าอย่างชัดเจน 

มุมรับภาพของเลนส์ 20mm เทียบเท่า Fullflame ทำให้มันเป็นเลนส์ไวด์หรือเลนส์มุมกว้าง เหมาะกับการถ่ายภาพวิว และถ่ายคลิปวิดีโอเสียมากกว่า การเอาไปถ่ายภาพบุคคล ภาพครึ่งตัวแนวพอร์ตเทรดติดฝาบ้าน หรือภาพเฮดช็อตเน้นใบหน้าและไหล่จะไม่เหมาะเพราะเป็นมุมที่ไม่สวย ถ้าต้องการภาพบุคคลอย่างจริงจังควรไปใช้เลนส์ Tele หรือ 85มม. บนกล้อง Fullflame ไปเลยจะเหมาะกับงานมากกว่า

ZV-1F ถ่ายภาพนิ่งได้เป็น jpg เท่านั้น ไม่มีโหมดไฟล์ raw มาให้ใช้ ทำให้เราหมดโอกาสการปรับแต่งในภายหลังอย่างยืดหยุ่น หากเราชินกับการถ่ายภาพที่ผิดพลาดได้บ้าง หรือ ยังลังเลใจในการแต่งภาพ อยากเลือกโทนสีในภายหลัง เราจะอยากถ่ายเป็น raw ซึ่ง ZV-1F ไม่มี บางคนจะไม่ชอบต้องปรับตัวพอสมควร การมาใช้กล้องที่ถ่ายได้แต่ไฟล์ jpg อย่างเดียวจะบังคับให้เราเลือกสไตล์สีตั้งแต่ตอนถ่าย ซึ่งก็ไม่ได้แย่หากเทียบกับการใช้ฟิล์ม เพราะการเลือกสไตล์สีก็เหมือนการเลือกยี่ห้อฟิล์ม เราเพียงแค่ต้องถ่ายโดยวัดแสงอย่างแม่นยำด้วย เพื่อจะได้ไม่ต้องปรับแต่งหลังถ่ายอีก เนื่องจากแก้ไขความสว่างของภาพและสีกับไฟล์ jpg ทำได้ไม่มาก และยิ่งแก้ไขก็ยิ่งสูญเสียรายละเอียดของไฟล์

การถ่ายสิ่งของหรือสินค้าแบบจัดฉากหรือจัดไฟถ่ายจะค่อนข้างลำบาก เพราะเลนส์เป็นเลนส์ไวด์ แม้จะเข้าใกล้วัตถุได้ แต่ก็จะมีสัดส่วนความเพี้ยนสูง ช่างภาพแนวสินค้าหรือโฆษณามักจะไม่ใช้เลนส์มุมกว้าง เลนส์มาโครระดับโปรจะเป็นเลนส์ทางยาวโฟกัสเยอะหรืออยู่ในระยะ Tele กันทั้งสิ้น ส่วนมากเลนส์มาโครจะมีระยะประมาณ 100มม.

อีกข้อหนึ่งที่เป็นข้อเสียที่ใหญ่หลวงเลยก็คือ กล้องมีความเร็วชัตเตอร์ช้าสุดแค่ 1/4 วินาที คือเปิดหน้ากล้องนานกว่านี้ไม่ได้ แค่ 1 วินาทีก็ยังทำไม่ได้ จุดนี้ช็อคพอสมควรเลย การเปิดชัตเตอร์นานไม่ได้มันจะทำให้เราไม่สามารถถ่ายภาพ ด้วยเทคนิค long exposure  การจะเอาไปถ่ายพลุเป็นเส้นทำไม่ได้ เอาไปถ่ายไฟรถยนต์ที่วิ่งเป็นเส้นทำไม่ได้ เอาไปถ่ายน้ำตกให้สายน้ำนุ่มๆ เปิดหน้ากล้องนานๆก็ทำไม่ได้ มีเทคนิคการถ่ายภาพอีกหลายอย่างที่ต้องเปิดหน้ากล้องนานๆหลายวินาที น่าเสียดายมากที่ ZV-1F จะทำไม่ได้ ขนาดกล้องคอมแพ็คฟิล์มตัวอื่นในอดีตที่เคยผ่านมาบางตัวยังถ่ายได้ที่ 4 วินาที หรือ 8 วินาที 

การกดล๊อคค่าแสงหรือ Ae lock หาไม่เจอในเมนูปกติ มันถูกซ่อนอยู่ด้านไหนเมนู ต้องตั้งค่าให้ปุ่มคัสต้อมเพื่อใช้คำสั่ง Ae lock ซึ่งกว่าจะค้นหาจนเจอ ผมต้องพยายามหาอยู่หลายครั้งและเรียนรู้การตั้งค่าปุ่มคัสต้อม ใช้กล้องมาเป็นเดือน บอกตรงๆว่ายังตั้งค่าปุ่ม ตั้งค่าเมนูส่วนตัวในกล้องยังไม่เป็นเลย

สรุป

กล้อง Sony ZV-1F เป็นกล้องคอมแพ็คที่มีเลนส์ 20มม. ไวแสง เลนส์คุณภาพสูงมาก ให้ภาพใสกริ๊ง สามารถถ่ายภาพได้เหมือนตาเห็น สามารถใส่สีให้ดูคล้ายโทนภาพจากฟิล์ม ใช้ถ่ายวิดีโอได้คล่องตัว ใส่สีสันในวิดีโอให้ดูเป็นหนังอาร์ตได้ไม่ยาก จบหลังกล้องได้ไม่ต้องไปย้อมสีในโปรแกรมตัดต่อ แต่ก็มีลูกเล่นที่บันทึกไฟล์สำหรับตัดต่อได้แบบโปรด้วย ใช้เป็นกล้องไลฟ์ขายของแสดงสินค้าตัวเล็กๆแล้วกล้องโฟกัสสินค้าเล็กๆได้ นับว่าเป็นกล้องสารพัดประโยชน์ที่ราคาไม่แพงเลย 

ไปดูตัวอย่างภาพจากกล้อง ZV-1F เพิ่มเติมได้ที่นี่

สนใจสั่งซื้อได้ที่นี่ https://shope.ee/5V7Q4wN5Mx

หรือที่นี่ https://shope.ee/9eyuQHL1zl