รีวิว เก้าอี้ Sayl เก้าอี้เพื่อคนนั่งนาน อีกตัว

เก้าอี้เพื่อสุขภาพเป็นคำที่ได้ยินมาบ่อยมากขึ้นในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เทรนของโลกพัฒนาไปเรื่อยๆ การดูแลสุขภาพเป็นสิ่งจำเป็น และผู้ซื้อส่วนใหญ่ในโลกยินดีจ่ายเพื่อสุขภาพมากยิ่งขึ้นกว่าอดีตที่ผ่านมา

เก้าอี้ดีๆสำหรับการทำงาน ผมได้รู้จักและซื้อใช้ไปแล้ว นั่นก็คือ Aeron chair ที่ผมใช้มายาวนานประมาณ 11 ปี และทุกวันนี้มันยังดูใหม่ ไม่ย้วย ไม่พัง ไม่มีอะไรหลวมเลย ย้อนกลับไปอ่านรีวิวของผมได้ที่นี่ รีวิว Aeron chair

b168a1f1c91b6b1a6fd657407201e082

สถานการณ์การเรียนในโรงเรียนจะต้องปรับไปเป็นการเรียน online อันนึ่องมาจากการระบาดของโคโรน่าไวรัส เจ้าไวรัส covid19 ตัวนี้ทำลายเศรษฐกิจไปทุกวงการเลย สายการบินบางแห่งล้มละลาย คนเลิกเดินทาง น้ำมันล้นโลกจากดีมานที่หายไป และโรงเรียน ห้าง โรงแรม ที่เที่ยวถูกสั่งปิดตัวเป็นระยะๆ นั่นทำให้การเรียนต้องปรับตัว และโรงเรียนหลายแห่งก็ต้องเรียน online แทนการเดินทางไปเรียนแบบพบหน้า สถานการณ์การเรียนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา บางเดือนให้ไปโรงเรียน บางเดือนให้หยุดอยู่บ้านเรียนผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์แทน

ลูกผมได้เรียน online สลับกับการไปโรงเรียน เป็นอย่างนี้มาประมาณ 1 ปี ตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของCovid19ในประเทศไทย นักเรียนเริ่มปรับตัวได้แล้วว่าการเรียน online ต้องพบเจอต้องทำอะไรบ้าง ในที่สุดพ่อแม่ก็ต้องเตรียมโต๊ะเรียนและมุมนั่งเรียนอย่างเป็นทางการให้ เพราะมันต้องใช้ ต้องonline เป็นประจำ ลูกผมตอน 7 ขวบต้องใช้โปรแกรม Zoom meeting ต้องส่งงานด้วยโปรแกรม Google classroom โต๊ะและเก้าอี้เลยถูกจัดหามาให้ เพราะจะได้ไม่ต้องแย่งโต๊ะพ่อ แม่เลือกโต๊ะได้แล้ว พ่อเลือกเก้าอี้ และเก้าอี้ที่ถูกเลือกก็คือ Sayl ของ herman miller ตัวนี้นี่เอง

9095_0

Sayl ได้รับแรงบันดาลใจมากจากสะพานแขวนสีแดงที่มีชื่อเสียงของรัฐซานฟรานซิสโก นักออกแบบทำงานร่วมกับ Hermanmiller เพื่อที่จะออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีจุดเด่น มีลักษณะพิเศษ และมันก็ออกมาเป็นเก้าอี้ที่มีลายเส้นเหมือนสะพาน

Sayl2.2

Sayl เป็นเก้าอี้ที่ออกแบบมาให้รองรับกับสรีระของคนนั่งทำงานโดยมีราคาค่าตัวที่ถูกกว่า Aeron เกือบเท่าตัว ผมใช้ Aeron มา 11 ปี ผมรู้และเข้าใจแล้วว่าเก้าอี้ที่ดี เก้าอี้สำหรับคนนั่งนานเป็นอย่างไร และก่อนซื้อ Sayl ก็ได้ไปทดลองนั่งเล่นที่โชว์รูมด้วยเพื่อให้แน่ใจ ซึ่งเมื่อไปเห็นตัวจริงของ Sayl แล้วก็ประหลาดใจที่มันดูตัวใหญ่มาก ใหญ่พอๆกับ Aeron เลย เพราะเดิมทีเห็นแต่ภาพในจอคอมฯ ผมรู้สึกว่ามันเล็กมาตลอด แต่ Sayl ทำมาขนาดเดียว ไม่ได้มีหลายขนาดแบบ Aeron

IMG_20210412_134300
Sayl-Diagram

Sayl มีจุดเด่นที่หน้าตาและสีสัน สีดำจะเป็นตัวที่ราคาถูกสุด สีอื่นจะแพงขึ้นประมาณสามพันบาท สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือสีสันของมัน เพราะภาพในเว็บแต่ละสีนั้นสวยมาก สวยจนดูเพลินและอยากได้เกือบทุกตัว แถมยังไปพบในเว็บต่างประเทศอีกว่าบางสีนั้นเป็นการสั่งพิเศษ มีแบรนด์อื่นสั่งสีพิเศษไปขายเป็นเก้าอี้สำหรับเล่นเกมส์ ซึ่งสีนั้นก็ไม่ทำขายในโชว์รูมปกติ

IMG_20210412_135900

ผมพาลูกไปนั่งเล่นที่โชว์รูม ให้ลูกไปลองอ่านการ์ตูนบน Sayl บอกพนักงานขายว่า ขอทดลองนั่งนานๆ ขออ่านหนังสือสักพัก พนักงานก็ยินดี หลังจากทักทาย อธิบายเสร็จ แล้วปล่อยให้เราสองพ่อลูกใช้เวลาตามสบายกับเก้าอี้ในโชว์รูป โชว์รูมใหญ่มากน่าจะใหญ่กว่าสนามบาสมาตรฐานด้วย แต่ทั้งโชว์รูมมีผมกับลูกเท่านั้นที่มาเยี่ยมชม ลูกผมก็อ่านหนังสือการ์ตูนไปครึ่งเล่ม ผมก็เดินดู ลองนั่งตัวโน้นตัวนี้ด้วยความอยากรู้ว่าจะมีตัวไหนให้ความรู้สึกเป็นอย่างไรเมื่อเทียบกับ Aeron ขณะที่ลูกนั่งบน Sayl ผมก็นั่ง Sayl อีกตัวเพื่อคุยกันไปเรื่อยๆ

20210515080619_IMG_0432

พนักพิงของ Sayl เป็นพลาสติกสีทึบเนื้อนิ่ม สามารถระบายความร้อนได้ดี เนื้อพลาสติกเป็นเส้นขนาดใหญ่เท่ากับเส้นยากิโซบะ พนักพิงมีความยืดหยุ่นที่สามารถรองรับการกดลงมาของแผ่นหลังได้มันแทบจะโอบแผ่นหลังเอาไว้เลย ระยะการเอนหลังสามารถปรับได้ 3 ระดับ คือ เกือบตั้งตรง เอียงหลังเล็กน้อย และ เอียงหลังมากหน่อย ที่ระยะตั้งตรงก็จะเหมาะสำหรับการทำงาน ส่วนระยะที่เอนหลังออกไปก็จะเหมาะกับการเล่นเว็บ เล่นเกมส์

20210515081006_IMG_0442

ส่วนผมเอง ก็ลองเทียบความรู้สึกระหว่าง Sayl กับ Aeron ได้ความรู้สึกดังนี้

1 สีสัน Sayl กินขาด สีสวยเกือบทุกสี ยิ่งสีทูโทนยิ่งสวย อยากได้ตั้งแต่แรกเห็นเลย ถ่ายรูปสวยแน่นอน

2 ขนาดเก้าอี้ Sayl ใหญ่พอๆกับ Aeron ตัวกลางเลย ซึ่งก็พอดีสำหรับวัยรุ่นและผู้ใหญ่ที่วไป

3 ความสบายในการนั่ง Sayl มีพนักพิงหลังที่เด้งสู้แผ่นหลังใกล้เคียงกับ Aeron มาก ที่แผ่นหลังถือว่าทำดีทั้งคู่

4 เบาะรองก้นของ Sayl ปรับเลื่อนเข้าออกได้เล็กน้อย ทำให้สามารถปรับชิ้นรองก้นให้เหมาะกับคนนั่งได้ ขณะที่ Aeron ปรับไม่ได้ ตรงนี้ Aeron ต้องเลือกขนาดเก้าอี้ให้เหมาะกับรูปร่างไปเลย Aeron ถึงทำมามี 3 ขนาด

5 ทดลองนั่งผ่านชั่วโมงแรกไปผมให้คะแนน Sayl ดีเท่า Aeron แต่เมื่อเก้าอี้มาส่ง แล้วได้ลองนั่งนานๆ ผมค้นพบแล้ว่ว่า Aeron นั่งสบายกว่า

6 ชิ้นรองก้นของ Sayl เป็นชิ้นที่ไม่เอียงรองรับการเอนหลังหรือโน้มตัว มันไม่เอียงรับกับก้นเหมือน Aeron ตรงนี้ Aeron ดีกว่า

7 Sayl มีตัวปรับความเอียงของพนักพิง ว่าจะให้เอนหลังออกไปแค่ไหน ตั้งได้ 3 ระดับ แต่ละระดับมีความสบายไม่เหมือนกัน เอนมากก็สบายมาก แต่ก็จะไม่ได้ทำงาน เอนน้อยๆก็น้อยจนแทบไม่เอนเลย ระยะเอนน้อยตรงนี้เหมาะกับการนั่งทำงาน

8 เบาะของ Sayl เป็นฟองน้ำหุ้มด้วยผ้า ลายผ้าและสีสันของผ้าสวยมาก แต่น่าจะไม่ทนเท่า Aeron ที่เป็นตาขายสีดำ

9 Sayl มีรูปร่างดูล้ำสมัย เหมือนคนออกแบบชอบหุ่นยนต์กันดั้ม เป็นรูปทรงที่ดูไม่เชย

20210515081050_IMG_0444

Sayl เหมาะกับใคร

1 คนที่ใส่ใจสุขภาพ อยากมีแผ่นหลังที่แข็งแรง ไม่ถูกทำลายไปก่อนเวลาอันควร

2 โปรแกรมเมอร์ ถ้าโปรแกรมเมอร์คือเครื่องจักรเปลี่ยนกาแฟให้เป็นโค้ด เก้าอี้ที่ดีคือ แหล่งพลังงานที่หล่อเลี้ยงเครื่องจักรให้ทำงานได้ยาวนาน

3 คนเล่นเกมส์ การเล่นเกมส์ที่ใช้เวลานาน บางคนเล่นข้ามวันข้ามคืน เก้าอี้ดีๆทำให้คุณเล่นได้อึดและทนมาก

4 คนที่ต้อง live ทำงาน online หน้าคอมฯ นั่งพูด นั่งคุยนานๆ

20210515080454_IMG_0427

เก้าอี้ Sayl ยังคงได้รับนโยบายเดียวกันกับรุ่นอื่นของHerman miller คือรับประกัน 12 ปี วันนี้ลูกอายุ 8 ขวบ เมื่อผ่านไป 12 ปี ก็น่าจะอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว ซึ่งผมเชื่อว่าเก้าอี้จะยังไม่พัง เพราะตัวเดิมที่ใช้มาประมาณ 11 ปี ยังอยู่ดีทุกอย่าง ดังนั้น Sayl น่าจะอยู่ให้เราใช้งานได้จนถึงวันที่หมดประกัน และถึงตอนนั้น หากอยากจะซ่อม หรือ จำเป็นต้องซ่อม ก็น่าจะซ่อมได้ไม่ยาก และรีวิวนี้ก็ถูกเขียนตอนที่นั่งอยู่บน Sayl

อัพเดทปี 2025

DSC03295
IMG_2656

รีวิวลำโพง JBL Tuner fm

IMG_20210404_084828

ลำโพง JBL Tuner fm เป็นลำโพงบลูทูธทรงกระบอก คล้ายกระติกน้ำ ซึ่งเป็นทรงที่ทาง JBL ทำออกมาหลายรุ่น ส่วนมากจะเป็นลำโพงบลูทูธแต่เพียงอย่างเดียว เพิ่งจะมีรุ่นนี้ที่ใส่ฟังค์ชั่นเครื่องรับวิทยุ Fm มาให้ด้วย ทำให้มันเป็นเครื่องรับวิทยุที่น่าสนใจมาก เพราะมันกลายเป็นวิทยุที่รับสัญญาณบลูทูธ เชื่อมต่อกับเมือถือได้

IMG_0183

สเป็คของ JBL Tuner Fm

  • ขนาดตัวเครื่อง 16.5 x 6.6 x 6.6 cm
  • น้ำหนัก 445 กรัม
  • ดอกลำโพงขนาด 4.45 cm.
  • ตอบสนองความถี่ 85Hz – 20kHz
  • รับคลื่นวิทยุความถี่ 76MHz – 108MHz ในไทยรับตั้งแต่ 87.5-108 MHz
  • ระบบบลูทูธ เวอร์ชัน 4.1 (A2DP V1.2, AVRCP V1.5)
  • กำลังขับ 5W RMS
  • Signal-to-Noise Ratio > 80dB
  • แบตเตอรี่ความจุด 1,500 mAh, 3.7V
  • รองรับการใช้งานสูงสุด 8 ชั่วโมง
  • ชาร์จไฟผ่าน micro usb ใช้เวลาในการชาร์จจนเต็มประมาณ 3.5 ชั่วโมง
  • มีช่องรับสัญญาณเสียง Aux

IMG_0071

ลักษณะทั่วไป

ลำโพงตัวนี้ มีตัวรับคลื่นวิทยุระบบ Fm เป็นระบบสแกนหาคลื่นแบบดิจิทัล สามารถบันทึกสถานที่ที่ชอบฟังได้ 5 สถานี ระบบวิทยุสามารถสแกนคลื่นด้วยระบบอัตโนมัติ หรือ กดปุ่มเพื่อเปลี่ยนคลื่นที่ต้องการฟังได้ ปุ่มด้านบนตัวเครื่อง มีปุ่ม – และ + เอาไว้ปรับความดัง มีปุ่มตัวเลข 1 2 3 4 5 เอาไว้บันทึกสถานที่วิทยุที่ชอบ มีปุ่ม FM เพื่อกดฟังรายการวิทยุ มีปุ่ม Scan เพื่อทำการสแกนคลื่นรายการวิทยุ มีปุ่ม Tuner- และปุ่ม Tuner+ เพื่อเลือกสถานีเอง และปุ่มสุดท้ายก็คือปุ่มเลือกให้เครื่องทำงานระบบบลูทูธ เสาอากาศแบบชัก สามารถปรับหดเก็บแนบไปกับตัวกระบอกได้ ส่วนปุ่มเปิดปิดเครื่องจะอยู่ด้านข้าง

ทดลองฟัง

ในการทดลองฟังผมใช้โทรศัพท์ Redmi Note7 ระบบปฏิบัติการ Android สลับกับ iPhone4s ฟังด้วยเพลงในเครื่องบ้าง ฟังด้วย App อย่าง Spotify และ Youtube ด้วย ลำโพง JBL Tuner Fm สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่าหลายปีได้อย่างไม่เรื่องมาก เชื่อมได้ทุกเครื่อง เล่นเพลงจากในเครื่องก็เล่นได้ไม่สะดุด เล่นเพลงจากระบบสตรีมก็ทำได้ปกติ ไม่พบปัญหาอะไร

คุณภาพเสียงมีน้ำหนักเสียงที่หนักแน่น ตอบสนองความถี่ได้ดีโดยเฉพาะเสียงในย่านความถี่ต่ำที่ทำได้ดีมาก ฟังเพลงต่างๆผ่าน JBL Tuner Fm ตัวนี้มีเสียงเบสชัดเจน มันแตกต่างไปจากลำโพงบลูทูธตัวเล็กทั่วไปที่ฟังเสียงกลางชัดแต่เบสบาง JBL ตัวนี้ไม่มีอาการเบสบางเลย กลับกัน ลำโพงให้น้ำเสียงในย่านเบสได้โดดเด่น ทำให้มันเป็นลำโพงคุณภาพดีสามารถให้เสียงในระดับHifi ได้ เพราะเมื่อย้อนกลับไปฟังเพลงผ่านลำโพงเล็กกว่านี้อย่าง JBL Go ก็จะพบว่า เสียงของ Go มีเบสบาง มีเพียงเสียงกลางที่ดีน่าพอใจเท่านั้น แต่ JBL Tuner Fm ให้น้ำเสียงที่กลมกล่อม ตอบสนองย่านเสียงเบสได้ดี เพลงที่ฟังจะให้ความรู้สึกถึงน้ำหนักที่จะแจ้ง มีน้ำเสียงนุ่มนวล อาจจะเพราะเสียงย่านเบสช่วยให้เสียงดนตรีสมบูรณ์ขึ้น

20210331070243_IMG_0063

การฟังรายการวิทยุจาก JBL Tuner FM ถือเป็นจุดเด่นที่ดีมาก เพราะคุณภาพการรับคลื่นวิทยุทำได้ดีทัดเทียมกับการเปิดวิทยุในรถยนต์ คลื่นที่รับชัดก็คือชัดมาก ไม่มีเสียงแทรก ไม่มีเสียงซ่าเลย คลื่นวิทยุที่รับได้ อย่างคลื่นที่ลงท้ายด้วย .0 และ.5 ทำได้ดีเยี่ยม คลื่นที่ลงท้ายด้วย .25 .75 ก็รับได้เช่นกัน น้ำเสียงจากรายการวิทยุให้น้ำเสียงที่ฟังสบาย เสียงพูดฟังรู้เรื่อง แต่นุ่มนวลกว่าวิทยุกระเป๋าหิ้วหรือวิทยุพกพาอื่นๆที่เคยใช้ เนื่องจากวิทยุพกพาราคาถูกที่ใช้ระบบหมุนหาคลื่นแบบอนาลอก จะไม่ลงทุนกับลำโพงในเครื่อง เสียงจากรายการวิทยุก็จะมีแต่เสียงบางๆ เน้นเสียงพูด เหมือนจงใจทำโทนเสียงให้แหลมแทงหูนิดน้อยเพื่อให้ฟังรู้เรื่อง แต่ฟังดนตรีไม่เพราะเลย ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่เกิดกับ JBL Tuner FM เพราะเสียงรายการวิทยุจากตัวนี้มันยอดเยี่ยมน่าฟังมาก เสียงเพลงที่ส่งผ่านรายการวิทยุมีคุณภาพสูง น้ำหนักเสียงย่านความถี่ต่ำมีให้ฟังอย่างเพียงพอ มันสมดุลย์กับเสียงกลางและเสียงสูง คุณภาพเสียงระดับ Hifi มีอยู่ในลำโพงตัวนี้เต็มๆ

20210331064622_IMG_0060

ฟังเพลงผ่านบลูทูธด้วย App อย่าง Spotify ก็ทำงานได้มาตรฐานมาก การเชื่อมต่อเสถียร ไม่หลุด น้ำเสียงมีเบส กลาง แหลมครบ คุณภาพเสียงดีสมกับค่าตัวหลายพันบาท เสียงร้องชัดเจนยังคงเป็นเอกลักษณ์ คุณภาพเสียงมันดีกว่าลำโพงขนาดเล็ก แต่ก็ยังไม่สามารถเอาไปเทียบกับลำโพงบลูทูธขนาดใหญ่ได้ ลองฟังเทียบกับซาวบาร์ของ Xiaomi ที่เป็นตัวใหญ่ยาว 80cm เจ้าตัวใหญ่จะให้เสียงใสและนุ่มกว่า เปิดได้ดังกว่า JBL Tuner FM มีกำลังขับตามสเป็คเพียง 5 วัตต์ นั่นหมายถึงมันเปิดในงานปาร์ตี้ที่มีคนเยอะไม่ได้เลย มันเหมาะกับการฟังใกล้ๆ นั่งฟัง 1-2 คน เท่านั้น ซึ่งนั่นก็น่าจะตรงกับวัตถุประสงค์ของการออกแบบ

20210331063944_IMG_0059

รายการวิทยุที่รับได้ หากทางรายการมีชื่อ มีการส่งข้อมูลชื่อสถานทีมาด้วย JBL Tuner FM ก็มีหน้าจอแสดงผลที่ขึ้นชื่อเป็นตัวหนังสือให้ ตัววิ่งจะไหลอยู่ในหน้าจอให้เราได้เห็นข้อมูลสถานี เราสามารถบันทึกรายการที่ชอบไว้ได้ 5 สถานี เมื่อเจอสถานีที่ชอบก็กดปุ่มตัวเลขค้างไว้เลย เลขนั้นก็จะจำสถานีเอาไว้ สะดวกมาก

20210331064712_IMG_0062

จุดเด่น

น้ำเสียงกลมกล่อม มีเสียงย่านเบส กลาง แหลม ครบ

ระบบรับคลื่น FM ชัดเจน แม่นยำ

บันทึกสถานีวิทยุได้ 5 ช่อง

เปิดปิดทำได้เร็ว กดฟังวิทยุได้เร็ว

ขนาดตัวเครื่องไม่ใหญ่มาก สามารถพกพาใส่กระเป๋าใส่เป้ได้สะดวก

จุดด้อย

เสียงเบาเกินไปใช้กับปาร์ตี้ไม่ได้

สรุป

JBL Tuner FM ถูกออกแบบมาให้เป็นลำโพงพกพา มีขนาดกระทัดรัด ไม่ใหญ่เกินไปจนพกลำบาก มีขนาดไม่เล็กมากทำให้สามารถสร้างเสียงเบสได้ลงลึกและต่ำกว่าลำโพงเล็ก ผลก็คือน้ำเสียงโดยรวมทำได้ยอดเยี่ยม มีเสียงครบย่านความถี่ที่จำเป็นในการฟังเพลง ความสามารถเรื่องการรับคลื่นวิทยุทำได้ชัดเจนแม่นยำ เป็นวิทยุคุณภาพดี เราสามารถพกลำโพงตัวนี้ติดตัวไปได้ตลอดเวลา ใส่เป้ ใส่กระเป๋าได้ไม่รู้สึกยุ่งยาก

รีวิวฟิล์มขาวดำกับกล้อง Harman Reusable Camera

IMG_0488

กล้อง Harman Reusable Camera เป็นกล้องที่ขายมาเป็นเซ็ต แถมฟิล์มมา 2 ม้วน เมื่อปีก่อนผมได้รีวิวกล้องตัวนี้ไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่เป็นการรีวิวหรือทดลองใช้กับฟิล์มสี เพราะเจตนาอยากจะเห็นภาพเร็วๆ เนื่องจากการเตรียมอุปกรณ์เพื่อล้างฟิล์มขาวดำจะต้องใช้ของจำนวนมาก และใช้ความพยายามในการล้างฟิล์มเองด้วย ทำให้ตัดสินใจเลือกฟิล์มสีไปก่อนเพื่อความสะดวกและจะได้รู้ผลเร็ว ซึ่งก็ได้เห็นคุณภาพของกล้องราคาไม่แพงตัวนี้กันแล้ว และถือว่าน่าพอใจกับกล้องตัวนี้ กลับไปอ่านรีวิวได้ที่นี่

IMG_4840


กว่าจะได้มีโอกาสใช้ฟิล์มขาวดำในชุดของมันเองก็ผ่านไปอีกหลายเดือน ผมใช้กล้อง Harman
Reusable กับฟิล์มในชุดคือฟิล์ม Kentmere pan400 กลักสีม่วงสวยงาม ฟิล์มตัวนี้เป็นฟิล์มขาวดำ ความไวแสง 400 ต้องล้างด้วยน้ำยาขาวดำแท้ ผมเลือกใช้น้ำยา Kodak D76 ซึ่งเป็นน้ำยามาตรฐานของฟิล์มขาวดำ ตามสูตรของผู้ผลิตจะแนะนำเอาไว้ว่า ถ้าล้างด้วยน้ำยา D76 จะต้องล้างที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส และใช้เวลาล้าง 9.30 นาที

IMG_20210221_074216

และเมื่อล้างเสร็จขั้นตอนทุกอย่างแล้ว ก็เลยสแกนภาพด้วยมือถือ โดยการถ่ายภาพฟิล์มแล้วนำไปปรับแต่งด้วยซอร์ฟแวร์ เพื่อให้ได้ภาพขาวดำออกมา ภาพที่ได้เป็นภาพที่ไม่ค่อยคมชัดนัก อาจจะเป็นเพราะวิธีสแกน หรืออาจจะเป็นเพราะกล้องมีระยะชัดตายตัว ปรับโฟกัสไม่ได้ ทำให้บางภาพที่ถ่ายใกล้กับตัวแบบจะทำให้ภาพดูไม่คมชัด หรือ โฟกัสไม่ตกอยู่บนตัวแบบ

1613868155067-01

ข้อดีของ Harman Reusable Camera คือ มันเป็นกล้องคอมแพ็คที่ออกแบบมาเพื่อให้มือใหม่ได้ทดลองใช้ ไม่มีระบบวัดแสง มีแต่การเปิดแฟลชหรือปิดแฟลชเท่านั้นที่ดูเป็นลูกเล่นให้เลือกปรับแต่ง กล้องใช้แบตเตอรี่ขนาด AAA จำนวน 1 ก้อนเพื่อใช้งานในการเปิดแฟลช หากใช้ในที่แสงพอดีกับสเป็คกล้อง ก็จะให้ภาพที่มีน้ำหนักเข้มอ่อนพอดี ภาพเหตุการณ์ที่มีแสงแดดอ่อนบนกล้องตัวนี้มีคุณภาพดีเกินราคา แต่หากไปเจอกับที่มืด หรือเหตุการณ์ในร่มเงา ในห้อง ในตึก สภาพแสงในบ้านมักจะน้อยอยู่แล้ว กล้องคอมแพ็คชัตเตอร์คงที่แบบนี้จะให้ภาพอันเดอร์ทันที การเปิดแฟลชช่วยก็จะพอทำให้ได้ภาพ แต่แสงแฟลชก็ไม่แรงนัก ภาพที่เปิดแฟลชถ่ายในบ้านยังคงดูอันเดอร์อยู่

1613868874915-01

หากจะสรุปถึงคุณภาพของกล้องและฟิล์มของบ็อกเซ็ตชุดนี้ กล้องคอมแพ็คเปลี่ยนฟิล์มได้มีกลไกการทำงานที่แม่นยำ สปีดชัตเตอร์ระดับ 1/100 วินาทีโดยประมาณพร้อมรูรับแสง f10 ทำให้มันเหมาะกับการถ่ายภาพในที่มีแสงสว่างมากพอ อย่างเช่นตอนกลางวัน ภาพตัวแบบที่โดนแสงแดดโดยตรงจะให้คุณภาพที่ดี หากถ่ายในที่แสงน้อยก็ต้องเปิดแฟลชเสมอ และพยายามยืนใกล้แบบเอาไว้ เพราะแสงแฟลชจากพลังงานแบตเตอรี่ก้อนเดียวก็ทำงานได้ในระยะประมาณ 1-1.5เมตรเท่านั้น

IMG_20210225_141205

ทดลองนำฟิล์มไปอัดขยายด้วยกระบวนการห้องมืด ก็อัดภาพออกมาได้สวยงามดี ภาพที่ถ่ายมาค่าแสงพอดีก็จะสามารถอัดภาพออกมาได้มีน้ำหนัก มีส่วนขาวสุดและดำสุดในภาพ ดังนั้นการเลือกถ่ายภาพด้วยกล้อง Harman Reusable ก็ควรจะเลือกสถานการณ์ที่เหมาะสมกับสเป็คกล้องไว้ก่อน ก็คือ แสงแดดส่อง หรือ แดดกำลังดี จะให้ภาพที่ดีที่สุด หลีกเลี่ยงการถ่ายภาพในที่ร่ม หลีกเลี่ยงภาพในบ้านในอาคารที่ไม่มีแสงธรรมชาติ

2021-02-21_06-00-22



บ็อกเซ็ตชุดนี้ให้ความสนุกสนานได้ดี แต่ต้องอาศัยคนที่มีความชำนาญในการล้างฟิล์มด้วย ค่าใช้จ่ายกล้องพร้อมฟิล์มประมาณ 1000 บาท ค่าน้ำยาล้างฟิล์มประมาณ 1000 บาท ซึ่งน้ำยาจะใช้ล้างได้เกินสิบม้วน ใครมีน้ำยาล้างฟิล์มอยู่แล้วก็ไม่ต้องซื้อ แต่ใครไม่มีก็ต้องลงทุนกันหน่อย หรือ ถ้าจะไปจ้างคนอื่นล้างก็หายากและราคาก็แพงระดับหลายร้อยบาทต่อม้วน ค่าใช้จ่ายหลังการถ่ายภาพที่สูงระดับนี้คงทำให้มีคนลองเล่นไม่มากนัก

สั่งซื้อได้ที่ https://shope.ee/1q7YfKc1bU

2021-02-25_05-53-57

แบตเตอรี่ 18650 แบตยอดฮิตใน gadget

IMG_20210131_084109

อุปกรณ์จำพวกเพาเวอร์แบงค์ และ พัดลมพกพา รวมถึงใส้ในของแบตเตอรี่โน้ตบุ๊คนิยมใช้แบตเตอรี่ชนิด 18650 กันทั้งนั้น แบตประเภทนี้มีขนาดใหญ่และมีแรงดันอยู่ที่ 3.7 V ของใช้ส่วนมากเมื่อซื้อมาใหม่ๆ จะได้แบตเตอรี่แถมมาด้วย แต่แบตแถมก็อายุสั้นเก็บไฟได้ไม่นาน ที่ตัวแบตเองไม่มียี่ห้อ ใช้ไปไม่กี่เดือนก็แบตเสื่อมเสียแล้ว

IMG_20210131_083917

ลองหาแบตเตอรี่ในเว็บดู ก็มีร้านค้าหลายร้านที่มีขาย มีราคาตั้งแต่ก้อนละ 15 บาทไปถึง ร้อยกว่าบาท ซึ่งเป็นช่วงราคาที่กว้างมาก ปริมาณไฟที่เป็นหน่วยมิลลิแอมป์ ก็มีตั้งแต่ 1800-3600mA จริงๆก็ดูเหมือนจะใส่มามั่วๆ แถมบางตัวก็ใส่ว่าจุ 9900 mA ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย

IMG_20210131_083808

แบตที่อยู่ในพัดลมพกพาก็เสื่อมแล้ว เลยตัดสินใจเสี่ยงซื้อสักร้านหนึ่งในเว็บ แล้วก็เลือกระดับราคาก้อนละประมาณ 45 บาท คือไม่เอาต่ำสุดและไม่เอาสูงๆ ลองซื้อมา 2 ก้อนเพื่อใส่พัดลม 2 ตัว ผลก็คือ ใช้งานได้ เก็บไฟได้นานกว่าตอนได้พัดลมมาใหม่ๆเสียอีก น่าจะสรุปสั้นๆได้ว่าแบตยี่ห้อที่เสี่ยงซื้อมีคุณภาพดี และยังไม่เสื่อมในวันที่วางขาย ตัวแบตมียี่ห้อ มีสติ๊กเกอร์รับประกันติดอยู่ด้วย ใครอยากซื้อใช้ก็ลองไปหาดูนะครับ ยี่ห้อAWT กล่องสีดำ


รีวิว วิทยุ Radiwow R-108

ในยุคปี พศ 2563 เป็นช่วงเวลาที่วิทยุไม่ได้รับความนิยมจากคนส่วนใหญ่แล้ว เพราะใครต่อใครก็ต่างรับชมข่าวสารและความบันเทิงทางอินเทอเน็ตทั้งหมด ดูหนังทางระบบของ netflix หรือ youtube หรือเว็บเฉพาะทางทั้งหลาย หากจะฟังเพลงก็มี spotify มี apple music และอีกหลายระบบ หลายแพล็ตฟอร์ม สิ่งเหล่านี้ทำให้ฮาร์ดแวร์อย่างเครื่องเล่นแผ่นซีดี ดีวีดี บลูเรย์ แผ่นเสียง ค่อยๆขายได้น้อยลงเรื่อยๆ แม่แต่เครื่องเล่นเพลงดิจิทัลที่เคยฮิตระเบิดอย่าง ipod ก็ยังต้องถอยให้กับระบบใหม่ๆ โทรศัพท์มือถือกลายเป็นระบบหลักของสื่อกระแสหลัก และดูไม่มีตัวเลือกลำดับรองเลย

20200906165719_IMG_4312

แต่ก็ยังมีผู้ใช้บางส่วนที่ยังสนใจจะใช้วิทยุโทรทัศน์อยู่ เพราะเป็นระบบที่ง่ายและไม่ต้องปรับตัวมาก ไม่ต้องลงทุนสูง ผู้ใหญ่ หรือ คนแก่ในบ้านก็คุ้นเคยกับระบบวิทยุและโทรทัศน์แบบโบราณอยู่ ซึ่งความโบราณนี้นอกจากประหยัดแล้วมันก็ใช้งานง่ายจริงๆ และไม่ต้องอาศัยอินเทอเน็ตด้วย ค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงอินเทอเน็ตก็ค่อนข้างแพงเนื่องจากต้องจ่ายเป็นรายเดือน บางบ้านบางคนมีค่าใช้อินเทอเน็ตมากกว่าค่าน้ำค่าไฟเสียอีก

20200831222236_IMG_4289

เครื่องรับวิทยุส่วนมากจะโดนผลิตออกมาแบบราคาถูก และมีระบบที่ไม่ซับซ้อน ทำให้คุณภาพมักจะไม่ค่อยดี วิทยุอนาลอกที่มีการหมุนหาคลื่นแบบอนาลอกก็มักจะรับคลื่นไม่เก่ง มีสัญญาณรบกวนแทรกเข้ามาง่านย จำนวนสถานีที่ควรจะรับสัญญาณได้ก็ไม่ครบทุกความถี่ เครื่องรับวิทยุที่รับสัญญาณ FM ด้วยระบบการหาคลื่นแบบดิจิทัลจะเป็นทางเลือกที่มีคุณภาพการรับสูง เหมือนเครื่องรับวิทยุในรถยนต์ที่มักจะรับสัญญาณได้ดีและฟังได้ชัดมาก วิทยุตั้งโต๊ะที่ใช้ในบ้านถ้ารับคลื่นได้ดีเท่าระบบในรถยนต์ก็เป็นสิ่งที่ผู้ใช้อยากได้มานานแล้ว

20200906165549_IMG_4307

Radiwow เป็นยี่ห้อจากประเทศจีน ผมไม่ทราบประวัติ ไม่ทราบว่ามีชื่อเสียงในระดับใด เพราะเท่าที่เคยรู้ ยี่ห้อทีทำวิทยุเก่งก็จะมี tivoli ที่เป็นของฝรั่ง ยี่ห้อ degend เป็นของจีน tecsun เป็นของจีน สามยี่ห้อนี้มีวิทยุคุณภาพดีให้เลือกซื้อ ส่วนยี่ห้อ Radiwow ก็เป็นตัวที่ผมเลือกเสี่ยงซื้อมาใช้เองเลย เพราะดูสเป็คแล้วน่าสนใจ และเมื่อได้มาแล้วก็พบว่ามีจุดเด่นหลายอย่างให้พูดถึง ที่สำคัญคือ ราคาไม่แพง

20200831222027_IMG_4284

Radiwow R-108 มีขนาดกระทัดรัด สามารถรับคลื่น FM AM MW LW SW ได้ ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่โนเกีย BL-5c ที่ใช้กับโทรศัพท์มือถือมาตั้งแต่ยุคยี่สิบปีที่แล้ว ระบบรับคลื่นเป็นดิจิทัล มีปุ่มที่ด้านหน้าให้กดเต็มไปหมดเลย ลำโพงติดมากับเครื่อง 1 ดอกเป็นแบบฟูลเร้นจ์ ในกล่องมีสายชาร์ชนิด micro-usb 1เส้น และสายอากาศเพื่อช่วยรับคลื่นอีก 1 เส้น ตัวเครื่องมีเสาแบบชักติดมาด้วย

20200831222318_IMG_4291
20200831222411_IMG_4293

การรับคลื่นระบบดิจิทัลเราสามารถหมุนด้วยปุ่มด้านข้าง ซึ่งมีความพิเศษคือสามารถกดเพื่อเปลี่ยนโหมดการหมุนให้หมุนได้ละเอียดขึ้นได้ ส่วนปุ่มกดหน้าเครื่องจำนวนมากสามารถกดเลือกคลื่นที่ต้องการฟังได้ตรงๆ อย่างเช่น หากอยากจะฟังสถานีคลื่น 102.50 MHz เราก็สามารถกดปุ่ม Freq 1 0 2 5 0 แล้วเครื่องก็จะรับคลื่นช่อง fm102.50 ให้เราได้ทันที วิธีนี้เป็นวิธีเลือกคลื่นสัญญาณที่รวดเร็วมาก ดีกว่าที่จะหมุนคลื่นไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึง

20200831222051_IMG_4286

คุณภาพการรับคลื่นของ R-108 รับได้คมชัดแม่นยำ เสียงที่ถ่ายทอดก็ออกมาชัดเจน ลำโพงมีเสียงกลางและเสียงเบสเล็กน้อยให้พอรู้สึกว่ามีคุณภาพพอใช้ได้ แต่ที่ประทับใจก็คือ ช่องเสียบหูฟังเมื่อลองฟังผ่านหูฟังแล้วให้น้ำเสียงที่ไพเราะสำหรับการฟังเพลงเลย เสียงกลางมีเพียงพอ เสียงเบสเด่นมาก ทำให้ฟังแล้วได้น้ำเสียงที่นุ่มนวล สามารถใช้ต่อสายสัญญาณไปเข้าระบบเครื่องเสียงบ้านได้เลย

ตัวเครื่องออกแบบให้มีขาตั้งด้านหลังเพื่อช่วยวางมุมเอียง หันหน้าขึ้นสู่ผู้ใช้งาน เป็นการออกแบบที่คำนึงถึงรูปแบบการใช้งานที่ปราณีตดี หน้าปัดแสดงตัวเลขมีแสงสว่างในตัว จะสว่างขึ้นมาเสมอเมื่อเรากดปุ่มหรือหมุนคลื่น เมื่อหมุนเสร็จแล้วไฟก็จะดับไป แถมข้อมูลบนหน้าปัดยังมีนาฬิกาให้อีกด้วย และมันสามารถตั้งปลุกได้ด้วย

เมื่อนำ R-108 ไปเทียบกับ Tivoli Model2 ความสามารถในการรับคลื่นค่อนข้างสูสีกัน แต่ลำโพงของ Tivoli มีขนาดใหญ่กว่า จะให้เสียงพูดที่หนากว่า ให้เสียงเบสที่ใหญ่โตลงได้ลึกกว่า ส่วนเรื่องความคมชัดในการรับสัญญาณถือว่าทำได้ใกล้เคียงกัน แต่ R-108 จะรับคลื่นได้เยอะกว่าเพราะใช้วิธีหมุนทีละคลิกแบบดิจิทัล ทำให้สามารถล็อคคลื่นความถี่ได้ละเอียด

การชาร์จไฟก็ใช้วิธีเสียบสาย micro-usb เข้าไปกับตัวเครื่อง ชาร์จเหมือนเป็นโทรศัพท์มือถือ แต่ระยะเวลาการใช้งานด้วยแบตเตอรี่ในตัวก็ทำงานได้นานเป็นวัน สิ่งที่ชอบใน R-108 ก็คือ ปุ่มเปิดปิดเครื่องเป็นปุ่มกดขนาดใหญ่ที่สุดบนหน้าปัด และอยู่ในตำแหน่งที่ชัดเจน จำง่าย เราสามารถเอื้อมมือไปกดปิดหรือเปิดได้สะดวกโดยไม่ต้องชำเรืองมองเลย แต่การเลือกคลื่นความถี่เรายังคงต้องมองหน้าจออยู่ดี ตัวเครื่องมีเขียนไว้ที่ด้านหน้าว่าสามารถบันทึกสถานีได้มากถึง 500 สถานี แต่ผมก็ไม่ได้ลองใช้ เพราะไม่รู้ว่าจะบันทึกสถานทีไว้ทำไม เนื่องจาก R-108 สามารถเลือกคลื่นได้ง่ายนั่นเอง

20200906165814_IMG_4318

คุณภาพเสียงที่รับสัญญาณแล้วส่งออกมาทางช่องหูฟังให้น้ำเสียงไปทางนุ่มและชัด เป็นความชัดที่เกิดจากการรับสัญญาณได้คมชัด ไม่ได้คมชัดแบบแทงหู ส่วนความนุ่มนวลในน้ำเสียงก็เปรียบเทียบกับการรับวิทยุในโทรศัพท์หรือ tablet ที่รับสัญญาณ FM ได้ก็ทิ้งห่างกันคนละเรื่องเลย เสียงวิทยุจาก tablet จะให้เสียงที่แสบหูนิดๆ ฟังนานๆแล้วจะเครียด โดยการฟังเปรียบเทียบผมใช้หูฟัง Full size อย่าง AKG K701 เป็นตัวทดสอบ

20200906204550_IMG_4351

ผมยังชอบที่จะมีวิทยุเอาไว้ฟังเพลง ฟังข่าวสารต่างๆ เพราะการฟังวิทยุเราจะได้ความหลากหลายและความใหม่ของสิ่งที่นำเสนอ หลายปีที่ผ่านมาเราเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค เราจะพบเจอแต่คนที่คล้ายเรา ชอบเสพสื่อและข่าวคล้ายๆเรา จนเรารู้สึกว่าเราคือตัวแทนหรือคิดเหมือนสังคมส่วนใหญ่ แต่ในความเป็นจริง ระบบของโซเชียลเน็ทเวิร์คทุกระบบพยายามหาคน หาข่าว หาสื่อ หาโฆษณาที่คาดว่าเราจะชอบมาให้เราเสพ นั่นทำให้เราไม่ได้สัมผัสความหลากหลายที่แท้จริง เพราะสิ่งที่ได้ยิน ได้ดู มันถูกเลือกมาเพื่อให้เราชอบ ตรงนี้ถือว่าเป็นข้อเสีย ดังนั้นการฟังวิทยุบนรายการที่ใครก็ไม่รู้จัดรายการให้เราฟัง เปิดเพลงให้เราฟัง หาข่าวที่แต่ละสถานีมองว่าสำคัญมาให้เราฟัง เราจะได้เสพสื่อที่สถานีชอบ ข่าวที่เจ้าของรายการชอบ ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ข้อมูลที่เราชอบ ดังนั้นความหลากหลายจะมาเต็มนั่นเอง เพื่อลดการครอบงำจากโซเชียลเน็ทเวิร์ครอบตัวเรา

รีวิว ไมโครโฟน Zoom H1

การถ่ายคลิปวิดีโอได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากกล้องถ่ายภาพมีความสามารถในการถ่ายวิดีโอด้วย แต่คุณภาพเสียงที่บันทึกจากกล้องก็ไม่ได้ดีมาก ผู้ผลิตอุปกรณ์บันทึกเสียงจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แก้ปัญหาเหล่านี้ออกมาขาย และไมโครโฟนที่พกพาได้ บันทึกเสียงได้ ก็มีออกมาให้เราได้เลือกใช้กัน โดยคุณภาพเสียงที่ไมโครโฟนตัวนี้บันทึกได้จะมีคุณภาพสูงมาก นักดนตรีหลายคนพกอุปกรณ์แนวนี้เอาไว้บันทึกเสียงที่ตัวเองเล่นด้วย

IMG_5409

ไมโครโฟน Zoom รุ่น H1 ออกมานานแล้ว และในปัจจุบันก็มีรุ่นปรับปรุงเป็นรุ่น H1n โดยมีหลักการทำงานคล้ายคลึงกัน ราคาใกล้เคียงกัน ในรีวิวนี้จะเป็นรุ่นแรก หรือ H1 ลองฟังคลิปวิดีโอที่พูดถึงไมค์ตัวนี้ได้

รีวิว Apple USB-C to headphone jack 3.5mm

โทรศัพท์มือถือในยุคปัจจุบันเริ่มออกแบบให้ไม่มีช่องเสียบหูฟังแบบ 3.5mm โดยคงเหลือไว้แต่พอร์ตชนิด usb-c แค่เพียงพอร์ตเดียวเท่านั้น เป็นผลให้หูฟังระบบเก่าที่เป็นแจ็ค 3.5mm ไม่สามารถใช้งานกับเครื่องรุ่นใหม่ได้ หลายยี่ห้อก็จะผลิต accessory ออกมาทดแทน คือ ทำตัว usb-c to headphone jack 3.5mm ออกมา คนที่จะใช้โทรศัพท์รุ่นใหม่กับหูฟังรุ่นเก่าก็ต้องพึ่งอแด๊ปเตอร์ตัวนี้เท่านั้น และเมื่อมันเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยส่งเสียงเข้าหูฟัง ก็เลยมีประเด็นเรื่องคุณภาพเสียงออกมาให้พิจารณาด้วย

Apple usb-c to 3.5mm

ค่าย apple ก็มีพอร์ตเฉพาะของตัวเองเป็น lightning มือถือและแท็ปเบล็ตอย่าง ipad ก็ใช้พอร์ตชนิดนี้ แต่ก็ดันมีรุ่นหนึ่งอย่าง ipad pro ที่เลือกใช้พอร์ต usb-c ออกมา และไม่มีช่องเสียบหูฟัง การจะใช้หูฟังกับ ipad รุ่น usb-c ก็เลยจำเป็นต้องมีตัวแปลง usb-c to headphone jack 3.5mm ตัวนี้ เราก็เลยมี apple usb-c to 3.5mm ให้ใช้

(เพิ่มเติม oct2023 มือถือ iphone15 ที่เปิดตัวในปี 2023 ก็เปลี่ยนมาใช้พอร์ต usb-c แล้ว)

IMG_20200612_130433

google ทำอแด๊ปเตอร์ usb-c to 3.5mm มาใช้กับมือถือ nexus ราคาเส้นละ 20 ดอลล่าร์ พอ apple ทำบ้าง แต่ตั้งขาย 10ดอลล่าร์ ก็เป็นประเด็นให้สาวกค่าย google บ่นว่า google ทำของแพง และยิ่งมีคนเทียบคุณภาพเสียงแล้ว พบกว่า apple ทำเสียงออกมาดีกว่า google ก็เลยยิ่งเป็นประเด็น และในที่สุด google ก็ลดราคาอแด๊ปเตอร์ของตัวเองลงมาอยู่ในระดับราคาเดียวกับ apple

ด้วยข้อมูลที่ฝรั่งหลายเว็บบอกไว้ว่าคุณภาพเสียงของ apple ทำออกมาดี ผมก็เลยสนใจสั่งซื้อมาลองกับโทรศัพท์ของตัวเองด้วย โดยโทรศัพท์ที่ใช้ก็คือ Redmi Note7 ที่ใช้พอร์ต usb-c และเมื่อได้ทดลองเสียบอแด๊ปเตอร์ของ apple เข้าใช้งานกับมือถือ android พบว่าทำงานได้ดี ก็เลยจัดการทดสอบจริงจัง และ อยากจะทดลองใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คด้วย เลยหาตัวแปลงพอร์ต usb-c to usb-a มาใช้ร่วมกัน

คุณภาพเสียงของ apple usb-c to 3.5mm ตัวนี้ถือว่าน่าสนใจ มันให้ความโปร่งฟังสบาย เสียงใส และมีเสียงย่านเบสที่ลงลึก ติดตามการเล่นโน้ตเบสได้ง่าย และฟังเสียงกลองแยกแยะเสียงกระเดื่องได้ชัดเจน เทียบเสียงที่ต่อหูฟังตรงกับโทรศัพท์ กับเสียงที่เสียบผ่านอแด๊ปเตอร์เส้นนี้ เสียงตรงจากโทรศัพท์จะให้เสียงโดยรวมเหมือนนักดนตรียืนทับซ้อนกัน ชิ้นดนตรีแต่ละชิ้นจะอยู่ชิดติดกัน แต่เสียงที่ผ่านอแด๊ปเตอร์เส้นนี้จะแยกแยะช่องไฟได้ห่างและชัดเจนกว่า การทับซ้อนกันของแต่ละชิ้นดนตรีไม่มีเลย แบบนี้ถือว่าเสียงจาก apple ทำได้ดีน่าชื่นชมมาก ยิ่งเมื่อดูจากราคาขายในไทย ราคาเพียง 390 บาท ก็ทำให้รู้สึกดียิ่งขึ้นไปอีก เพราะเราใช้เงินแค่นี้ก็อัพเกรดเสียงโทรศัพท์มือถือให้ดีมากๆได้แล้ว

ทดลองเอาอแด๊ปเตอร์ apple usb-c เส้นนี้ไปใช้กับคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊ค ก็ทำงานได้ดี โน้ตบุ๊คระบบปฏิบัติการวินโดส์ 10 สามารถใช้งานได้เลย ผมมีโน้ตบุ๊ค asus ใช้ cpu ryzen ก็ทำงานได้ แต่ใช้กับคอมพิวเตอร์ที่เป็นระบบปฏิบัติการ windows 7 ไม่ได้ กับเครื่องที่ใช้ได้เสียบตรงเข้ากับพอร์ต usb-c ก็ทำงานได้เลย ถือว่าเป็น external soundcard ก็ได้ คุณภาพเสียงก็ดีขึ้นกว่าเสียงจากฮาร์ดแวร์ติดเครื่องมา น้ำเสียงสดใส ช่องไฟแต่ละชิ้นดนตรีก็จัดวางห่างกันไม่ทับซ้อน เป็นการอัพเกรดคุณภาพที่ราคาแค่หลักร้อยบาท ฟังแล้วอยากซื้อมาติดกับคอมฯทุกตัวในบ้าน

Screen Shot 2563-07-22 at 8.25.36 AM

ทดลองใช้ร่วมกับโน้ตบุ๊ค Macbookair ปี 2010 โดยหาตัวแปลงพอร์ต usb-a to usb-c มาใช้ร่วมด้วย ระบบปฏิบัติการ osx ก็จัดการติดตั้งฮาร์ดแวร์ให้เสร็จสรรพ ไม่ต้องใช้ไดรเวอร์ใดๆ คุณภาพเสียงของฮาร์ดแวร์ติดเครื่อง macbookair รุ่นนี้ให้น้ำเสียงที่ดีมากอยู่แล้วตั้งแต่ต้น ถือว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีคุณภาพเสียงที่ดี เสียงผ่านอแด๊ปเตอร์ usb-c to 3.5mm ก็ให้แนวเสียงไปในทิศทางเดียวกัน จะบอกว่าเสียงเหมือนกันเลยก็ได้

ทดลองใช้กับ mac mini ก็ทำงานได้ราบรื่นไม่มีปัญหา อแด๊ปเตอร์เส้นนี้สามารถส่งเสียงไมค์ได้ด้วย ทำให้เราสามารถใช้หูฟังพร้อมไมค์กับสายเส้นนี้ได้ และใช้พูดคุยในโปรแกรม chat หรือ โปรแกรมประชุมใดๆก็ได้ เป็นความสะดวกที่เพิ่มเติมขึ้นมา

ปกตินักเล่นเครื่องเสียงจะหาซื้อ usb dac มาต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่ออัพเกรดคุณภาพเสียงของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะให้ดียิ่งขึ้น usb-dac จากจีนที่เป็นยี่ห้อประหลาดพูดไปก็ไม่มีคนรู้จักก็มักจะมีราคาขายกันอยู่ในระดับหลัก 500 บาทขึ้นไป และ บางยี่ห้อที่มีสเป็คสูงขึ้น หรือ มีแอมป์หูฟังด้วย ก็จะมีระดับราคาหลักพันบาท ขึ้นไปจนถึงเป็นหมื่นบาท ไปถึงหลายๆหมื่นบาทก็มี ใครที่อยากอัพเกรดแต่ไม่อยากจ่ายแพง เลือก apple usb-c to 3.5mm ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะราคาถูกมาก

ถ้าเราใช้หูฟังรุ่นที่มีไมค์ด้วย ในคอมพิวเตอร์ก็จะมีไมค์ โผล่เข้ามาเป็น 2 ตัว คือไมค์จากตัวเครื่องคอมพิวเตอร์เอง และ ไมค์จาก usb-c หรือหูฟังนั่นเอง ภาพด้านล่างนี้เป็นหูฟังมีไมค์ของ sony

IMG_20200722_082652
Screen Shot 2563-07-22 at 8.26.29 AM

ถ้าเราใช้หูฟังที่ไม่มีไมค์ ในคอมพิวเตอร์ก็จะมีแค่ไมค์จากคอมฯ เท่านั้น ไม่มีไมค์จากช่อง usb-c ภาพด้านล่างนี้คือหูฟัง AKG K701

IMG_20200722_082716
Screen Shot 2563-07-22 at 8.27.20 AM

ข้อดี

ประหยัดและเสียงดี

ข้อเสีย

ทำงานได้ในระดับ cd quality หรือ 16bit 44.1kHz เท่านั้น และพลังเสียงเบาเกินไปเมื่อใช้กับหูฟัง AKG K701 อยากให้ดังกว่านี้สักเท่าตัวจะดีมาก

สรุป

น้ำเสียงเป็นกลาง ย่านเสียงทุ้มกลางและแหลมมาพอดีๆกัน เราสามารถต่อกับหูฟังได้หลากหลาย และทดลองใช้กับหูฟังขนาดใหญ่อย่าง AKG K701 ก็ให้น้ำเสียงได้นุ่มนวลกลมกล่อม ถือว่าเป็นการอัพเกรดแบบประหยัดแต่คุณภาพเสียงดีเทียบกับโน้ตบุ๊คราคาแพงจากค่าย apple เลย

สนใจสั่งซื้อได้ที่ https://shope.ee/5AS8OHI8Yc


เพิ่มเติมเรื่องระดับเสียง

apple usb-c to 3.5mm ตัวนี้ให้เสียงเบาเมื่อใช้งานกับโทรศัพท์ android อย่าง redmi note7 และคาดว่ากับ ยี่ห้ออื่นก็อาจจะให้ผลเสียงเบาเช่นกัน แต่เมื่อเอา adaptor ตัวนี้ไปใช้กับโน้ตบุ๊คระบบปฏิบัติการ windows10 จะได้เสียงที่ดังกว่ามาก สามารถเปิดเสียงได้ดังกว่าใช้งานบนโทรศัพท์เกิน 2 เท่า เรียกได้ว่า เปิดให้เสียงดังจนไม่อยากทนฟังก็ยังได้ อาจจะเป็นเพราะระบบปฏิบัติการในโทรศัพท์มีการจำกัดระดับความดังไว้ ส่วนใน windows10 ให้เสียงที่ดังเพียงพอต่อการใช้งาน

สนใจสั่งซื้อได้ที่ https://shope.ee/5AS8OHI8Yc

ชะตา ธรรมชาติ chata thammachart

Chata Thammachart ร้านกาแฟกลางทุ่งนา

ท่ามกลางธรรมชาติ มีร้านกาแฟผุดขึ้นกลางทุ่งนา ล้อมรอบด้วยนาและต้นไม้ แต่งร้านสวยงาม อาคารทรงกรวยเหมือนหมวกแหลมๆค่ำอยู่กลางทุ่ง ดูสวยจากระยะไกล เข้าไปนั่งก็ร่มลื่นและลมเย็นสบาย

ช่วงปี 2020 โรงเรียนปิดเพราะโควิด เด็กนักเรียนต้องเรียนผ่านระบบออนไลน์ นั่งเฝ้าหน้าจอกันทั้งวัน ผ่านไปเดือนกว่าโรงเรียนเริ่มปรับตัว มีพักเบรค มีให้ปิดจอกันเป็นชั่วโมงเพื่อให้เด็กได้พัก ได้ไปทำงานแล้วค่อยมาพบกันที่หน้าจอ บ้านผมก็อาศัยเวลาพักกลางวันยาวๆบางวัน พาลูกไปนั่งรถเล่นไกลๆหน่อย ไปนั่งกินร้านอาหารที่กลับมาเปิดบริการได้หลังจากโควิดเริ่มซาลงเล็กน้อย 

dpp-2020 chata -IMG_0005
dpp-2020 chata -IMG_0020

ร้านนี้อยู่ทางไปนครปฐม ไม่ไกลจากกรุงเทพ ขับรถไปไม่นานเพราะบนถนนรถไม่ค่อยติด ผู้คนส่วนมากยังคงกักตัว ไม่เดินทางเหมือนแต่ก่อน เรายังคงใส่แมสออกจากบ้านเป็นปกติ ลูกผมก็ใส่ไปเที่ยวร้านอาหาร ใส่ไปวิ่งเล่นในทุ่งนา ความรู้เกี่ยวกับโควิดในปี คศ 2020 ทุกอย่างยังใหม่ เรายังไม่มีวัคซีน การป้องกัน และการเว้นระยะห่างเป็นสิ่งที่ทำได้เพียงเท่านี้ 

dpp-2020 chata -IMG_0034
dpp-2020 chata -IMG_0064

ร้านกาแฟร่มลื่น ต้นไม้เยอะ ทุ่งนาเขียว อาหารอร่อย ราคาก็สูงเหมือนร้านในกรุงเทพ มีคนแวะมาที่นี่เยอะมาก ขับรถมากันจากกรุงเทพทั้งนั้น ทางร้านถึงกับต้องทำลานจอดรถอย่างดี และมีมาตรการการตรวจวัดอุณหภูมิ และขอร้องให้ลูกค้าใส่แมสตลอดเวลาที่ไม่ได้กินอาหาร

dpp-2020 chata -IMG_0035
dpp-2020 chata -IMG_0036
dpp-2020 chata -IMG_0045
dpp-2020 chata -IMG_0052
dpp-2020 chata -IMG_0110

กาแฟอร่อย น้ำหวานน้ำผลไม้ก็อร่อย สองชั่วโมงในร้านอาหารสวยๆและมีวิวโล่งๆให้ดูช่วยให้พวกเราหายเครียดได้บ้าง เพราะต้องอยู่กับหน้าจอตลอดวันตั้งแต่เช้า พ่อแม่เป็นผู้ใหญ่ก็ปรับตัวไม่ยาก แต่เด็กยังไม่คุ้นเคย ก็จะรู้สึกเครียดเพราะธรรมชาติของเด็กจะต้องได้วิ่งเล่น แต่มาติดกับการเรียนออนไลน์เพราะโควิด เราก็ได้แต่เยียวยากันเองโดยการหาที่เที่ยวที่คนไม่มาก ไม่แออัด จะได้ลดการติดเชื้อลงได้

dpp-2020 chata -IMG_0069

จัดอุปกรณ์สำหรับทำ conference online

20180218171838_IMG_7253
IMG_20200418_211227
2020-04-18_10-03-43
IMG_9917

ประชุม online เรียนทาง online แล้วต้องได้ภาพซีดๆเน่าๆจากกล้องในคอมพิวเตอร์ ใครอยากได้ภาพสวยลองเพิ่มกล้องเว็บแคมสักตัวที่มันคุณภาพ Full HD ดู อย่างกล้อง Action Camera ราคาพันกว่าบาทก็ทำงานได้ดี กล้องเว็บแคมคุณภาพสูงก็มีให้เลือกใช้ ลองดูตัวที่ชอบ เพื่อให้ภาพสวยขึ้น ส่วนเสียงดีๆ ก็ต้องไมค์แยกนะครับ ไมค์ที่ดีมักจะแพงกว่ากล้อง หากเลือกใช้ไมค์แยก จะต้องโดนลำโพงแยกอีกตัว….. มันจะเสียเงินเพิ่มขึ้นไปอีก

ทำแบบนี้แล้วดียังไง
ภาพสวยก็สบายตา
ไมค์แยกรับเสียงไว ก็ทำให้พูดเบาๆสบายๆไม่ต้องตะโกน และขยับตัวได้อิสระโดยที่เสียงยังดีอยู่
ลำโพงแยกก็เสียงฟังสบาย ดีกว่าใส่หูฟังนานๆ

กล้อง SJ4000 wifi ตัวนี้พันกว่าบาท เคยแพงหลายพัน แต่ปัจจุบันราคาลดลงมากแล้ว
ไมค์ Zoom H1 ตัวนี้สามพันกว่า รุ่นนี้หมดแล้ว รุ่นใหม่คือ H1n ราคาเท่าเดิม ควรใช้ร่วมกับ soundcard หรือ Dac แยกอีกตัว Dac ถูกหลักร้อยก็มีให้ซื้อ
ลำโพง Tivoli ตัวนี้เกือบแปดพัน แต่รอซื้อตอนลดราคา

แต่ถ้าซื้อแยกทั้งหมดเลยก็เปลืองเงินอยู่ไม่น้อย คิดไปคิดมา ถ้ายังไม่ซื้อสักอย่าง ไม่ต้องซื้อก็ได้ ใช้หูฟังแถมมากับโทรศัพท์แทนก็ได้ สื่อสารได้เหมือนกัน

ให้ลูกลองเล่น Brain Box

IMG_20200413_133119

เจ้าของเล่นชิ้นนี้อยู่ในบ้านผมมาหลายปีแล้ว ตั้งแต่ลูกยังเล็กก็ได้รับบริจาคมาจากป้า เป็นของเล่นที่ยังไม่ได้แกะเลย ท่าทางจะเป็นของที่เล่นไม่ทันและลูกของป้าก็โตพ้นวัยไปเยอะแล้ว ของชิ้นนี้เลยตกเป็นมรดกมาให้ลูกผมเอง ขอบฟ้าเป็นเด็กโชคดีมากที่มีญาติเป็นนักช็อปปิ้ง

IMG_20200413_133125

Brain Box คือชื่อของเล่นชิ้นนี้ มันเป็นชุดของเล่นที่เป็นวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย มีสวิตซ์ มีตัวนำ มีหลอดไฟ มอเตอร์ ลำโพง วงจรสำเร็จรูปทำหน้าที่ได้หลายอย่าง มีเซ็นเซอร์แสง มีตัวต้านทาน มีคาปาซิเตอร์ มีสวิตซ์แปลกๆ คู่มือที่มากับกล่องบอกว่าสามารถต่อได้ 500 วงจร ในคู่มือจะมีวิธีเล่น มีวงจรไล่ไปทีละวงจร แต่ละวงจรมีรายละเอียดปลีกย่อย มีคำอธิบาย และมีสอนให้เปลี่ยนบางอย่างในแต่ละวงจรเพื่อดูผลการเปลี่ยนแปลง

IMG_20200415_101155

ผมลองเล่นกับลูกไป 2 ชั่วโมง ก็พบว่า มันดึงความสนใจของเด็กได้ต่อเนื่องมาก มันให้ความรู้ความเข้าใจกับเด็กเจ็ดขวบได้จริง แต่ที่สะดุดใจเป็นการส่วนตัวก็คือ ของเล่นชุดนี้มันเหมือนเป็นแล็บทดลองวิชาไฟฟ้าสมัยที่ผมเรียนปริญญาตรีเลย หลักการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆเป็นอย่างไรเราจะได้ทดลองสร้างวงจรจริงเพื่อดูผลการทำงานแต่ละอุปกรณ์ มันสร้างความเข้าใจให้กับเด็กวิศวะไฟฟ้าได้ง่ายดายมาก

ยกตัวอย่างสวิตซ์ก็ได้ ปกติสวิตซ์จะทำงานปล่อยไฟฟ้า หรือ ตัดวงจรไฟฟ้า เมื่อเรากดสวิตซ์ให้ทำงาน ไฟจะไหลไปยังโหลดหรืออุปกรณ์ได้เหมือนต่อสายไฟตรง เมื่อสวิตซ์ตัดการทำงาน ก็จะเหมือนตัดสายไฟ หลักการมีแค่นี้ เด็กเรียนวิชาไฟฟ้าก็เรียนแบบนี้ วิศวกรก็เรียนแบบนี้ แต่สวิตซ์ 3 ชนิด คือ 1 สวิตซ์กดติดปล่อยดับ กับ 2 สวิตซ์แม่เหล็กหรือ dry reed (ศัพท์นี้ผมเพิ่งรู้นะเนี่ย)ชนิดโดนแม่เหล็กแล้วต่อวงจร เอาแม่เหล็กออกก็จะดับ กับ 3 สวิตซ์แบบซีเล็คเตอร์เลื่อนไปเปิด แล้วต้องเลื่อนกลับเพื่อปิด แค่ 3 อย่างนี้ก็ทำให้ทึ่งแล้ว เพราะในทางวิศวกรรม สวิตซ์ทั้ง 3 ชนิด เมื่อทำงาน มันก็จะส่งไฟฟ้าผ่านไปยังอุปกรณ์ได้เหมือนกัน ในการออกแบบวงจรมันเหมือนกัน ในการวิเคราะห์วงจรบนกระดาษมันเหมือนกัน แต่ในทางปฏิบัติมันให้ผลไม่เหมือนกัน สิ่งนี้ถ้าไม่อยู่หน้างานจริงไม่มีทางได้รู้ เด็กวิศวกรที่อยู่กับแบบเรียนแต่ไม่ลงมือทำชิ้นงานจริงจะไม่มีทางรู้เลยว่าสวิตซ์ทั้ง 3 แบบมันให้ผลลัพธ์ไม่เท่ากัน

ถ้าเราวิเคราะห์ให้ลึกสักหน่อย เราจะพบว่า สวิตซ์ทั้ง 3 ชนิดนี้น่าจะมีความต้านทานที่หน้าสัมผัสไม่เท่ากัน มันทำให้ไฟฟ้าไหลผ่านไปไม่เท่ากัน มีผลทำให้ อุปกรณ์ที่ต่อใช้งานทำงานไม่เท่ากัน ถ้าเราต่อวงจรด้วยหลอดไฟแสงสว่าง เราจะเห็นหลอดไฟสว่างทั้งหมด แต่ตาเราจะแยกแยะความสว่างที่ต่างกันเล็กน้อยไม่ได้ ดูด้วยตาเราจะบอกว่าหลอดไฟสว่างเท่ากันนั่นเอง แต่หากเราเปลี่ยนจากหลอดไฟเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าที่หมุนใบพัดให้ลอยตัวขึ้น เราจะเห็นว่ามอเตอร์หมุนเร็วมากเหมือนกัน เพราะสายตาเราแยกไม่ออก แต่ใบพัดที่หมุนแรงจนเกิดแรงยกทำให้ลอยตัวขึ้นไป มันมีความแตกต่างกันว่าสวิตซ์แต่ละชนิดส่งใบพัดให้ลอยสูงไม่เท่ากัน การทดลองบอกเราว่า สวิตซ์เลื่อนเปิดและต้องเลื่อนกลับเพื่อปิดส่งใบพัดได้สูงที่สุด สวิตซ์กดติดปล่อยดับส่งใบพัดให้ลอยขึ้นไม่แน่นอน และสวิตซ์แม่เหล็ก ทำงานด้วยการแหย่แม่เหล็กเข้าไปใกล้ๆสวิตซ์เพื่อให้ต่อวงจรและเมื่อชักแม่เหล็กออกสวิตซ์จะตัดไฟ เจ้าระบบแม่เหล็กนี้ส่งใบพัดให้ลอยออกไปได้ต่ำที่สุด นี่คือผลความแตกต่างที่เกิดจากความต้านทานในหน้าสัมผัสสวิตซ์มีค่าไม่เท่ากัน แค่เด็กทดลองเล่นเราไม่ต้องลงลึกก็ได้ ของเล่นแนวนี้เหมาะที่จะให้เด็กเล่นเป็นพื้นฐาน เพื่อทำความรู้จักกับวงจรไฟฟ้า

โลกเราไม่ได้ต้องการแค่คนปลูกข้าวกับโปรแกรมเมอร์ เรายังต้องการวิศวกรเพื่อออกแบบระบบที่ทำงานได้ตรงวัตถุประสงค์ เรายังต้องการคนเข้าใจฮาร์ดแวร์ เรายังต้องการคนออกแบบที่รู้ถึงข้อจำกัดต่างๆของอุปกรณ์ สิ่งเหล่านี้สอนกันยาก การมีเครื่องมือที่ช่วยพัฒนาความรู้นี้ทำให้เราประหยัดเวลาได้มาก เพราะในรุ่นผม กว่าจะได้เรียนรู้ กว่าจะได้เข้าใจเหตุผลทางไฟฟ้าเหล่านี้ก็ต้องรอจนอายุยี่สิบกว่า ขณะที่เด็กเจ็ดขวบได้เรียนรู้และได้เริ่มสัมผัสกับมันแล้ว การจะต่อยอดไปให้เข้าใจมากขึ้นก็ทำได้รวดเร็ว โลกเราก้าวหน้าไปมาก เครื่องมือการเรียนรู้ก็พัฒนาไปมาก ผู้ใหญ่อย่างรุ่นผมก็คงต้องติดตามความเปลี่ยนแปลงไปตลอด เพื่อให้เราสามารถเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกได้อย่างรู้เท่าทัน

รีวิวหูฟังสำหรับ Work from Home และประชุม Online

ในสถานการณ์ไวรัสโควิด19 ระบาดจนเป็นสาเหตุการเสียชีวิตทั่วโลกไปแล้วเป็นหมื่นคน มีผู้ติดเชื้อทั่วโลก สามแสนกว่าคน และประเทศไทยก็อยู่ในการระบาดที่กำลังมากขึ้นเรื่อยๆ รัฐบาลมีคำสั่งให้หยุดอยู่กับบ้าน อย่าออกไปไหนโดยไม่จำเป็น อย่าไปอยู่ในที่คนเยอะ มีคำสั่งปิดห้าง ร้านอาหาร สถานที่อีกจำนวนมากที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อก็โดนสั่งให้หยุดทำการ แม้แต่โรงเรียน มหาวิทยาลัยก็ปิดด้วยเช่นกัน

ผลจากการจำกัดบริเวณ การสื่อสารผ่านระบบ online ก็กลายเป็นความจำเป็นพื้นฐานขึ้นมาทันทีทันใด ระบบการประชุมทางไกลผ่านอินเทอเน็ตถูกพูดถึงจนกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเรียนรู้ นอกจากคนทำงานแล้ว นักเรียนนักศึกษาก็เป็นกลุ่มที่ต้องใช้งาน รีวิวในครั้งนี้ก็จะนำหูฟัง 3 ตัวมาทดสอบ เพื่อดูว่าแต่ละตัว แต่ละสเป็คมีความเหมาะสมต่อการใช้งานอย่างไร

CORSAIR-HS50-STEREO-Headphone-red-right

หูฟัง Corsair รุ่น HS50 pro

เป็นหูฟังครอบหูตัวหนึ่งที่มีไมค์โครโฟนดูกระทัดรัด ใช้การเชื่อมต่อด้วยสาย mini 3.5 แบบ 4 ขั้ว หรือ แบบเดียวกับที่ใช้กับโทรศัพท์นั่นเอง เป็นแจ็คแบบรวมไมค์และหูฟังไว้ด้วยกัน ในกล่องจะมีอแด๊ปเตอร์สำหรับใช้เสียบกับคอมพิวเตอร์รุ่นเก่าที่แยกช่องไมค์และหูฟังเป็นคนละช่องเสียบ แจ็ค 3.5มม.นี้ทำให้เราใช้ HS50 pro ร่วมกับโทรศัพท์ แท็บเบล็ต และโน้ตบุ๊ครุ่นใหม่ๆได้อย่างสะดวก แต่จะใช้กับ iphone ที่ไม่มีช่อง 3.5มม.แล้วไม่ได้ รวมถึงโทรศัพท์ androids รุ่นท๊อปที่ตัดช่อง 3.5มม.ออกไปแล้วก็ใช้ไม่ได้เช่นกัน น้ำหนักตัวชั่งด้วยเครื่องชั่งที่ผมใช้ประจำ 318g

ตอนใช้งานเราจะได้ฟังเสียงสเตอริโอที่ชัดเจน และมีเสียงกลางที่ชัดพอสมควร หูฟัง HS50 pro เป็นหูฟังที่ใช้ตัวขับเสียงข้างละ 1 ตัว เพื่อทำหน้าที่ส่งเสียงเต็มย่าน น้ำเสียงออกไปในแนวทางเดียวกับหูฟังสำหรับการฟังเพลง แต่ไดนามิคจะไม่จะแจ้งเท่า ความสด ความใสเป็นรองหูฟังสำหรับงานดนตรี แต่มันก็ดีกว่าหูฟังสมอลทอล์คที่แถมมากับโทรศัพท์ แล้วไมค์ที่ติดอยู่ก็สามารถรับเสียงได้ดี สามารถดัดก้านไมค์ให้งอเข้ามาอยู่ใกล้ปากได้ ทำให้สามารถใช้คุยแทนโทรศัพท์ได้ทันที คนที่มีนิสัยพูดเสียงเบาก็จะสามารถปรับไมค์เข้าใกล้ปากได้มากกว่าปกติ ตัวหูฟังมีปุ่มหมุนปรับเพื่อเพิ่มหรือลดเสียง มีปุ่มสำหรับปิดไมค์ หูฟังตัวนี้เหมาะกับการใช้งานกับคอมพิวเตอร์และโทรศัพท์ทั่วไป เสียงพูดผ่านไมค์เน้นกลางแหลม ฟังชัดเป็นหลัก ไม่มีเนื้อเสียงย่านทุ้มแบบวงการเพลงออดิโอไฟล์ การออกแบบไมค์เน้นการพูดแล้วฟังรู้เรื่องเป็นหลัก มันเหมาะกับการคุยผ่าน internet อย่างมาก

corsair Void-USB-1

หูฟัง corsair Void Elite RGB USB

หูฟังรุ่น Void Elite RGB เป็นหูฟังพร้อมไมค์ที่มีตัวครอบหูค่อนข้างใส่สบาย ช่องหูกว้างทำให้ไม่หนีบโดนใบหู ตัวสายเสียบเป็นชนิด usb นั่นหมายความว่ามันถูกออกแบบมาให้ใช้กับเครื่องคอมพิวเตอร์เท่านั้น เมื่อเสียบกับคอมพิวเตอร์เราก็สามารถใช้งานได้ทันที แต่หากอยากได้ลูกเล่นเพิ่มเติมเราต้องลงซอร์ฟแวร์ ชื่อ iCue เพิ่มด้วย โดยความสามารถต่างๆที่ได้เพิ่มขึ้นมาจะมีหลายอย่างเช่น มีไฟแสดงโลโก้ที่เปลี่ยนสีได้ รองรับการทำงานระบบเสียงรอบทิศ 7.1 แบบซิมูเลท ปรับโทนเสียงต่างๆได้ ปรับระดับความไวของไมค์ได้ น้ำหนักตัวชั่งได้ 373g

เสียงจากหูฟังเมื่อฟังเพลงให้ความชัดเจน ลักษณะเสียงจะคล้าย HS50pro บุคลิกเน้นเสียงกลางที่มากกว่าปกติ เสียงเบสลึกจะน้อยและเบลอนิดๆ เสียงสูงก็มีเยอะ ทำให้มันกลายเป็นหูฟังที่เน้นเสียงพูดที่ฟังได้รู้เรื่องดีมาก ไดนามิคของหูฟังจะน้อย ฟังดนตรีจะธรรมดาเกินไป หูฟังมีปุ่มปรับระดับเสียงเป็นแบบดันขึ้นดันลง มีปุ่มปิดไมค์กดใช้งานได้สะดวก ทำให้เหมาะกับการเล่นเกมส์และประชุม online มาก ปิดไมค์สะดวก ที่ปุ่มปรับเสียงสามารถกดเพื่อเลือกใช้ความสามารถทางด้าน surround เมื่อใช้งานเสียงรอบทิศ ก็จะเป็นการผลักดันเสียงต่างๆให้กระจายตัวออกไปรอบๆหัว เป็นประสบการณ์การฟังเพลงที่ดี ใช้ดูหนังสนุก เล่นเกมส์ได้ดี ทำให้ฟังเสียงรอบตัวได้สมจริงมากกว่าหูฟังที่ไม่มีลูกเล่นเสียงรอบทิศ ตัวครอบหูหรือฟองน้ำมีความนิ่ม ใส่แล้วไม่รู้สึกหนัก เสียงไมค์จะรับเสียงกลางเป็นหลัก ไม่เน้นแหลมและทุ้ม ระดับเสียงผ่านไมค์จะเบากว่าตัวอื่นอย่างชัดเจน แต่ให้คุณภาพเสียงพูดที่เป็นกลาง เป็นธรรมชาติมากกว่า

Sennheiser-GSP-350-Headphone

Sennheiser GSP350

เป็นหูฟังระบบเสียงรอบทิศ 7.1 แบบ Virtual ก้านไมค์โครโฟนเป็นแบบยกขึ้นยกลงได้ หากยกขึ้นจะเป็นการปิดไมค์ ยกลงก็จะเป็นการเปิดไมค์ อีกด้านที่ไม่มีก้านไมค์จะมีปุ่มวอลลุ่มหมุนได้ เพื่อปรับระดับความดังของหูฟัง หูฟังตัวนี้เป็นสาย usb ซึ่งตัวมันเองมี โปรเซสเซอร์แยกมาเลย ดูแล้วเหมือนเป็น External soundcard อีกทอดหนึ่ง มีปุ่มอยู่บนตัวโปรเซสเซอร์ กดเพื่อใช้งานระบบ DSP และ ยกเลิก DSP ได้ น้ำหนักตัวชั่งได้ 274g ซึ่งเบาที่สุดในกลุ่มนี้ แม้หน้าตาจะดูเหมือนหนักกว่าทุกตัว แต่ชั่งแล้วกลับเบาที่สุด

คุณภาพการฟังเพลงสเตอริโอไม่ใช้ DSP อยู่ในระดับมาตรฐานของราคาช่วงนี้ เสียงนุ่มน่าฟัง แต่เมื่อกดใช้งาน DSP ให้ทำงานในระบบ 7.1 มันก็จะดันเสียงดนตรีให้ลอยอยู่ด้านหน้าเหมือนนั่งฟังผ่านลำโพงคู่หน้า มิติที่สร้างขึ้นก็ลอยออกจากหูเราไปจริงๆ แต่ไม่ได้เหมือนนั่งฟังในห้องฟัง แค่มันกระจายตัวเสียงเสมือนว่าลำโพงอยู่ด้านหน้าศรีษะเล็กน้อย การดูหนังผ่าน GSP350 ให้เสียงรอบทิศที่ยอดเยี่ยม สนุกกว่าการฟังแบบสเตอริโอ บรรยากาศโอบล้อมในโหมดเสียงรอบทิศทำได้ดีเหมือนอยู่ในโรงหนังจริงๆ ถ้าใช้ดูหนังก็ถือว่าถูกเรื่อง ถ้าใช้เล่นเกมส์ก็น่าจะดีเช่นกันเพราะทำให้เราได้ยินเสียงรอบทิศ เกมส์แนวต่อสู้หรือแนว FPS ก็น่าจะได้ประโยชน์ต่อการฟังเสียงที่มาจากหลายๆทิศทาง ไมค์รับเสียงคุณภาพดีมาก ให้น้ำเสียงผ่านไมค์ที่ครบย่านความถี่ที่เหมาะกับเสียงพูด น้ำเสียงพูดจากไมค์ตัวนี้จะเพราะกว่าหูฟังตัวอื่นๆ ในการทดสอบครั้งนี้ เหมือนมีการปรับปรุงเสียงพูดให้กังวาลและอิ่มชัด ระดับความดังของเสียงจากไมค์ก็ดังที่สุด

สรุปการทดสอบ

การประชุมหรือสอนหนังสือ หรือเรียนหนังสือผ่าน internet จำเป็นต้องมีไมโครโฟนและหูฟังแบบสาย เราไม่สามารถใช้หูฟังไร้สายไปกับภารกิจได้เพราะหูฟังไร้สายมักจะทำมาใช้งานต่อเนื่องได้ไม่เกิน 2 ชม. แบตเตอรี่ก็จะหมด ซึ่งการเรียนการสอนเราจะใช้เวลาเยอะกว่านั้น ดังนั้นหูฟังพร้อมไมค์ระบบมีสายจึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่า และที่ได้ทดสอบ 3 ชนิดในครั้งนี้ต่างก็เป็นหูฟังที่น่าใช้ในสถานการณ์ไม่เหมือนกัน ดังนี้

หากเราต้องการหูฟังที่ใช้กับอุปกรณ์ได้หลากหลายเป็นหลัก ใช้กับคอมพิวเตอร์ได้ ใช้กับโทรศัพท์ที่มีช่อง 3.5มม.ได้ ให้เลือก HS50pro

ถ้าจะเสียบช่อง usb ต้องเลือก Elite RGB หรือ Gsp350

หากต้องการเสียงรอบทิศงบน้อย เลือก Elite RGB

หากเราต้องการใช้ดูหนังเป็นหลัก คุยเป็นรอง และใช้กับคอมพิวเตอร์เท่านั้นเลือก Gsp350

หากเน้นฟังเพลงเป็นหลักใช้ HS50pro

หากเน้นสีสันไฟกระพริบ เลือก Elite RGB

หากเป็นคนพูดเสียงเบา งบน้อยเลือก HS50pro

หากชอบเสียงไมค์ที่บันทึกเสียงได้ระดับไฮไฟ อยากได้เสียงพูดชัดๆมีคุณภาพ เลือก Gsp350

หากชอบเสียงผ่านไมค์ที่ฟังชัด เน้นเสียงพูดต้องฟังได้ใจความ เลือก HS50pro

ถ้าจะเล่นเกมส์ที่ต้องใช้ระบบเสียง 7.1 เลือก Gsp350

หากต้องการตัวที่เบาที่สุดก็ต้องเลือก Gsp350


ลิงค์ไปซื้อ HS50Pro

ลิงค์ไปซื้อ Gsp350

ลิงค์ไปซื้อ Elite RGB

ขอขอบคุณร้านมั่นคงแก็ดเจ็ทที่เอื้อเฟื้ออุปกรณ์ในการทดสอบครับ



สำหรับคนอยากได้ของราคาประหยัด ให้ลองอ่านรีวิว Logitech H111 ดูครับ

รีวิวหูฟัง 3 รุ่น ราคาเบาๆ แต่เอาจริง

หูฟังแถมมากับโทรศัพท์หรือเครื่องเล่นเพลงมักจะไม่ค่อยดี หรือเครื่องเล่นเพลงบางรุ่นก็ไม่แถมหูฟังแล้ว นั่นเป็นสาเหตุให้บางคนคิดจะอัพเกรด หาของที่เสียงดีกว่าของแถมมาใช้ ในการทดสอบรวมรอบนี้เราเลยหาหูฟังที่มีราคาขายในตลาดประมาณ 2000 -2500 บาท เป็นเกณฑ์เพื่อดูว่ามีตัวไหนน่าสนใจบ้าง

IMG_0086

ผมได้หูฟัง 3 รุ่นในงบประมาณที่ต้องการมาทดสอบ บางตัวอาจมีราคาตั้งที่สูงกว่าแต่ก็มีส่วนลด มีโปรโมชั่นที่ทำให้มันอยู่ในงบ และหูฟังเหล่านี้ก็คือ Sony IER-H500A , Zero Audio Carbo Mezzo ZH-DX220 และ Hifiman Re400 ซึ่งต่อไปจะเรียกสั้นๆว่า H500 Mezzo และ Re400 ตามลำดับ

อุปกรณ์ที่ใช้ทดสอบ

โทรศัพท์ Red mi note7

เครื่องเล่นเพลง ipod shuffle Gen1

คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค

เครื่องเล่นเพลง Aune M1

IMG_0053

H500 เป็นหูฟัง in-ear ตอบสนองความถี่ 5-40000 Hz มีไมค์ ใช้คุยโทรศัพท์ได้ ให้สายยาว 1.2 เมตร ขั้วเสียบ 3.5มม แบบมีขีดดำ 3 ขีด ให้น้ำเสียงที่ฟังสนุกตั้งแต่นาทีแรก เสียงเบสแน่นเหมือนมีลาวเนสหรือวงจรยกเสียงเบสช่วยนิดๆ เสียงสูง ตัว S ตัว ซ จะชัดเจน ทำให้เสียงกลางคม และฟังชัด แต่ไม่นุ่มนวลแบบออดิโอไฟล์ ความคึกคักเป็นจุดเด่น ใช้ฟังเสียงพูด เสียงพิธีกรได้ชัดถ้อยชัดคำ เสียงดนตรีต่างๆมาครบแต่จะมีเสียงสูงที่ดังล้ำออกมานิดๆ ตัวจุกยางของหูฟังค่อนข้างนิ่ม ใส่สบาย ผมไม่แน่ใจว่าในแพ็คเกจให้จุกยางมาเปลี่ยนกี่ขนาด ถ้าเลือกขนาดหูฟังให้เหมาะจะช่วยปรับระดับเสียงเบสได้ ผมชอบจุกยางของโซนี่มากกว่าของยี่ห้ออื่นที่ทดลอง ฟังเพลงอคูสติกจะสนุกมาก เพราะให้เสียงกลาง เสียงบรรยากาศที่ชัด และมีเสียงเบสที่พร้อมจะผลักดันทุกเสียงให้ออกมามีสีสัน เป็นการปรุงแต่งที่น่าฟัง

IMG_0058

Mezzo เป็น in-ear ให้สายยาว 1.2 เมตร ตอบสนองความถี่ 6-40000Hz ขั้วต่อชนิด 3.5มม. แบบสเตอริโอดั้งเดิม หรือ มีขีดดำ2 ขีด ไม่มีไมค์ ดังนั้นใช้คุยโทรศัพท์ไม่ได้ ลักษณะสายแบนทำให้การแกะคลี่สายทำได้ง่าย น้ำเสียงของ Mezzo เป็นหูฟังที่ให้เบสใหญ่โต เป็นหูฟังซุปเปอร์เบส เสียงเบสในเพลง เสียงกลองในเพลง จะฟังแล้วโดนยกให้ดังทั้งหมด เหมือนเอาหูฟังแบบแฟลตมายก Equaliser หรือ ปรับความถี่แบบ ยกเบส ยกแหลม ถ้าเป็น Graphic Eq ก็จะเหมือนยกให้เป็นตัว V คือ เสียงสูง ตัว S ตัว ซ ชัดเจนจนรู้สึกว่าดังเกินไป ฟังเพลงร็อคได้มันส์มาก เพราะกลองกับเบสโดนยกจนรู้สึกว่ามันเกิดมาเพื่อปั๊มเบสเลย ฟังให้เสียงกลางฟังได้เรื่อยๆ แต่เสียงเบสจะดังมาก เหมาะกับคนชอบเบสตรงๆเลย เสียงเบสที่ดังปานนี้ แต่เสียงก็ยังไม่แป๊ก ไม่ออกอาการพล่า จุกยางที่ติดมากับหูค่อนข้างใหญ่เกินไปสำหรับหูผม ถ้าเปลี่ยนจุกยางให้เหมาะน่าจะลดเสียงเบสลงได้ และน่าจะใส่สบายขึ้น

IMG_0054

Re400 เป็นหูฟัง in-ear ขั้วต่อ 3.5มม แบบสเตอริโอปกติ มีขีดดำ 2 ขีด ดังนั้นจะไม่มีไมค์ ใช้คุยโทรศัพท์ไม่ได้ สายมีผิวสัมผัสเหมือนเชือก ตอบสนองความถี่ 15-22000Hz น้ำเสียงสดเป็นธรรมชาติ ถือเป็นจุดเด่นมากๆของหูฟังตัวนี้ แต่ต้องได้ใส่กับจุกยางที่พอเหมาะจริงๆถึงจะได้น้ำเสียงที่ดี ความโปร่งของเสียงกลางเป็นแนวเสียงที่โชว์เพลงร้องได้อย่างยอดเยี่ยม เสียงเบสที่มีพอดี ไม่ล้น ไม่บวม ไม่ทับเสียงกลาง และเสียงสูงก็ไม่เน้นตัว s ตัว ซ จนมากเกินไป เป็นเสียงแนวแฟลตอย่างแท้จริง หากฟังทดสอบด้วยเพลงร้อง หูฟังตัวนี้จะชนะเลิศเลย ความพอดีของทุกย่านความถี่ทำให้เราฟังหูฟังเส้นนี้ได้นานมาก เสียงเบสคมและมีน้ำมีนวลแต่ไม่อ้วนเบลอ มีเสียงดังขึ้นมาแล้วจบลงอย่างกระชับ เป็นบุคคลิกเสียงที่นักฟังเครื่องเสียงค่อนข้างชอบ ผมได้หูฟังตัวนี้มาพร้อมจุกยางที่ไม่พอดีกับหู ใส่ฟังครั้งแรกนึกว่าเป็นหูฟังเสีย คือเป็นเสียงโทรโข่ง ไม่มีเบส ไม่มีแปลายแหลม นาทีแรกที่ได้ยินยังสงสัยว่าหูฟังเสียงแบบนี้ได้รับความนิยมได้ยังไง แต่เมื่อลองเปลี่ยนจุกยางแล้ว พอเราเจอจุกยางที่พอดี เราจะได้เสียงที่สุดยอดมาก ยิ่งรู้ว่าราคาขายอยู่ในระดับ 2 พันบาทยิ่งน่าซื้อใช้ จุดเด่นอีกอย่างที่พบคือ หูฟังตัวนี้ใส่สบาย เมื่อเลือกจุกยางที่เหมาะสมแล้วน้ำเสียงจะเหมือน earbud คุณภาพดี เราควรใช้เวลาทดลองเปลี่ยนจุกยาง หาขนาดที่พอดีกับหูเรา แล้วเราจะได้หูฟังคุณภาพสูงในราคาเบาๆ

ข้อสังเกต

ผมใช้หูฟัง Re400 แล้วเปลี่ยนจุกยางเป็นของ sony h500 ได้น้ำเสียงที่ถูกใจที่สุด เสียงกลางมีเนื้อ มีมวล มีปลายเสียงที่ชัดแต่ไม่คมไม่บาดหู เสียงเบสลึกมีความฉ่ำและไม่กระแทกกระทั้นหูแบบ in-ear ทั่วไป ผมไม่ได้มีแพ็คเกจจุกยางของ Re400 ทั้งกล่อง เพราะเคยรู้มาว่า Re400 แถมจุกยางเยอะมาก น่าจะมีจุกยางให้เปลี่ยนได้ละเอียด น่าจะทำให้คนฟังได้เสียงที่ดีกับหูตัวเองจริงๆ

IMG_0092

สรุป

ถ้าใช้กับโทรศัพท์เป็นหลัก ใช้คุยด้วย ต้องเลือก Sony H500 เราจะได้หูฟังที่ฟังสนุก ฟังค์ชั่นครบ ใช้ได้ทุกโอกาส

ถ้าใช้ฟังเพลงออดิโอไฟล์ เพลงบันทึกดี ใช้ฟังนอกบ้าน ที่บ้านมีเครื่องเสียงขั้นเทพอยู่แล้ว เลือก Hifiman Re400 ไปเลย แล้วเสียเวลาลองจุกยางอย่างละเอียด หาจุกที่พอดีกับหูเรา ฟังไปฟังมา เดี๋ยวจะโดนเครื่องเล่นเพลงเครื่องใหม่อีกเครื่อง

ถ้าชอบร็อค ชอบเบส ชอบอะไรที่จัดจ้าน ก็เลือก Mezzo

ขอขอบคุณร้านมั่นคงแก็ดเจ็ทที่เอื้อเฟื้ออุปกรณ์ในการทดสอบครับ