Category Archives: review
รีวิว Fuji instax mini evo
กล้องฟูจิ instax มีพัฒนาการมายาวนาน ตั้งแต่เป็นกล้องอนาลอกถ่ายแล้วภาพไหลออกมาให้ลุ้นทันทีก็พัฒนามาถึงระบบกล้องไฮบริดที่รวมระบบกล้องดิจิทัลไว้กับเครื่องพิมพ์ฟิล์มinstaxขนาดเล็ก ถ่ายรูปเห็นภาพก่อนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะพิมพ์ภาพหรือไม่พิมพ์ นั่นทำให้ผู้ใช้งานสามารถประหยัดเงินค่าฟิล์มถ่ายภาพได้ หรือ ทำให้ลดการผิดพลาดที่ถ่ายแล้วได้ภาพที่ไม่สมบูรณ์

กล้อง Fuji instax mini evo เป็นกล้องดิจิทัลความละเอียด 5ล้านพิกเซล ที่มีระบบการพิมพ์ฟิล์ม instax ในตัว ตัวกล้องมีปุ่มเลือกโหมดฟิล์มได้ 10 ชนิด และ มีปุ่มเลือกลูกเล่นการแต่งภาพอีก 10 ชนิด ทำให้เมื่อใช้งานผสมกันแล้วก็สามารถสร้างภาพที่แตกต่างกันได้ 100 ชนิด
ลักษณะทั่วไป
เป็นกล้องดิจิทัลความละเอียด 5ล้านพิกเซล
มีช่องใส่ micro SD
ช่องชาร์จไฟเป็นแบบ usb-c
มีสายคล้องคอแถมมาด้วย
แบตเตอรี่สามารถถ่ายภาพและพิมพ์ได้ 100 ภาพ
สามารถถ่ายมาโครได้
แฟลชเป็นหลอดไฟ LED
ในโหมดการถ่ายภาพ ทุกภาพจะถูกบันทึกไว้ในเมมโมรี่ คุณภาพของกล้องดิจิทัลอยู่ในระดับที่แย่มาก ใครคิดจะใช้แทนกล้องดิจิทัลหรือใช้แทนมือถือให้ล้มเลิกความตั้งใจไปเลย เหมือนฟูจิไปเอาเซ็นเซอร์โบราณที่ไม่มีใครเอามาสร้างกล้องตัวนี้ คนที่ชอบกล้องคอมแพ็คอย่างผมยังเผลอคิดจะใช้แทนกล้องฟิล์ม หรือกล้องถ่ายเล่น โดยคาดหวังว่าไฟล์จะมีคุณภาพ แต่เมื่อเห็นไฟล์ที่ได้จากกล้องแล้วก็ล้มเลิกความตั้งใจในการดูภาพแค่ภาพไม่กี่นาที
ยังดีที่ evo ยังมีอีกความสามารถหนึ่งที่น่าสนใจ คือการทำตัวเป็นเครื่องพิมพ์ เราสามารถโหลด application ที่เชื่อมต่อกับกล้อง แล้วสั่งพิมพ์ภาพจากโทรศัพท์มือถือได้ นั่นทำให้เราได้เครื่องพิมพ์ภาพติดตัวที่สามารถถ่ายภาพได้ ซึ่งส่วนของการถ่ายภาพก็พอทนใช้งานในเวลาฉุกเฉิน ส่วนของการพิมพ์ภาพนั้นให้คุณภาพที่ดีน่าพอใจ ปกติฟิล์ม instax มักจะมีสีสันไม่สวย ภาพไม่คมชัด นั่นเป็นเพราะเป็นการถ่ายภาพตรงๆที่โฟกัสไม่แม่นและวัดแสงไม่ชัวร์ในแบบกล้องอนาลอกดั้งเดิม ภาพ instax ที่เคยมีก็เลยไม่คมชัดและสีไม่สวย แต่เมื่อทำงานในแบบเครื่องพิมพ์ เราเลือกภาพคมชัดสีสวยจากมือถือไปสั่งพิมพ์ เราก็ได้ภาพสีสวยคมชัดตามที่เราต้องการ
Fuji evo เหมาะกับใคร
Fuji evo เป็นกล้องดิจิทัลที่พิมพ์ภาพได้ เหมาะกับคนที่ต้องการมีประสบการณ์การใช้งานกล้อง instax ที่ยังไม่มั่นใจตัวเอง สามารถเลือกภาพที่จะพิมพ์ได้ ประหยัดการซื้อฟิล์มได้
Fuji evo เหมาะกับคนที่ต้องการพิมพ์ภาพถ่ายแบบทันทีทันใด สะดวกต่อการพกพา แต่ก็จะได้ภาพขนาดเท่าบัตรเครดิตหรือบัตรประชาชนเท่านั้น
Mini evo ไม่เหมาะกับใคร
ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการภาพสวยคมชัดระดับเดียวกับเทคนิคการพิมพ์ Dye-sub ซึ่งเป็นเทคนิคการพิมพ์ที่มีคุณภาพสูงสุดสำหรับตลาดผู้ใช้งานทั่วไป อย่างเช่นเครื่องพิมพ์ selphy ของ Canon
ไม่เหมาะกับคนที่ต้องการภาพขนาดใหญ่ เพราะ mini instax ให้ภาพขนาดเล็ก ส่วนคนที่ต้องการภาพขนาดใหญ่ต้องดูเครื่องพิมพ์พกพาระบบอื่น หรือถ้าเป็น instax ก็จะมีรุ่น wide ที่ให้ภาพใหญ่ขึ้น
ตัวอย่างการสั่งพิมพ์ภาพจากโทรศัพท์มือถือ mini evo จะรับคำสั่งพิมพ์จากโทรศัพท์ แล้วก็ส่งภาพออกมา เราต้องรอเวลาอีกประมาณ2 นาที ภาพถึงจะขึ้นสมบูรณ์มีความคมชัดในระดับที่น่าพอใจ
กาแฟอร่อยไม่แพง
กาแฟถุงนี้เจอในร้าน Donki สาขามาบุญครอง ซึ่งเป็นซุปเปอร์มาเก็ตของญี่ปุ่น มีอาหารและของใช้ญี่ปุ่นหลากหลาย และหนึ่งในสิ่งประทับใจก็คือกาแฟตัวนี้ อ่านยี่ห้อไม่ออก ดูจากภาพก็พอรู้ว่าเป็นกาแฟสำหรับชงแบบดริป มีซองสำเร็จรูปมาพร้อมสำหรับการแกะแล้วเทน้ำร้อนเลย
ราคาขาย 239 บาท ได้ 18 ซองเล็ก สามารถชงได้ 18 แก้ว ตกราคาเฉลี่ยแก้วละ 13.27 บาท ซึ่งถือว่าราคาไม่แพงเลยสำหรับกาแฟลักษณะนี้ เพราะปกติกาแฟดริปที่เป็นยี่ห้อไทยก็จะราคาแก้วละประมาณ30 บาท กาแฟไทยแต่ราคาแรงมากจนรู้สึกไม่อยากกินเลย แม้แต่กาแฟกระป๋องก็ยังราคา 15 บาท
กาแฟดริปจากร้าน Donki เป็นกาแฟดำที่มีรสชาติเปรี้ยวเล็กน้อยพอให้รู้สึก เมื่อกินผ่านคอแล้วยังคงมีรสหวานปะแล่มติดคออยู่นิดหน่อย หอมอยู่ในคอไปพักใหญ่ กลิ่นกาแฟตอนเทน้ำร้อนก็ส่งกลิ่นออกมาให้ดมได้ในระยะประมาณ1-2 เมตรนี่ รายละเอียดข้างซองบอกว่าให้ชงกับน้ำร้อนปริมาณ 150cc.
การชงกาแฟแบบดริปให้รสชาติกลมกล่อมกำลังดี ไม่ได้เข้มข้นหรือขมลึกๆเหมือนกาแฟดำจากเครื่องชงราคาแพง แล้วกาแฟตัวนี้ก็ไม่ได้คั่วเข้ม มันรสชาติเหมือนคั่วกลางมากกว่า ถือว่าเป็นกาแฟที่กินง่าย ดริปได้สะดวก แต่ถุงใหญ่ที่แกะแล้วจะไม่มีซิบล็อค ผมต้องไปซื้อถุงซิปล๊อคขนาดเล็กมาใส่ซองกาแฟทีละชิ้นเพื่อเก็บกลิ่นไม่ให้จาง เสียเวลาหยิบใส่ถุงเล็กนิดหน่อย แต่ก็ทำให้เก็บกินได้นานขึ้น
ปิ้งแซนวิชด้วยเตาอบ
อาหารเช้าหรืออาหารว่างที่เป็นแซนวิชอบร้อนเป็นของกินที่ซื้อสะดวก ทำง่าย และสามารถซื้อกลับมาทำเองก็ได้ ชาวแค้มปิ้งน่าจะคุ้นเคยเพราะเป็นเมนูทางเลือกที่รองจากมาม่า สินค้าแค้มปิ้งก็มีอุปกรณ์ปิ้งออกมาขาย อย่างเช่น coleman ที่ทำที่ปิ้งแซนวิชดูดีออกมาให้นักกางเต๊นท์ได้ลองใช้
การอบหรือปิ้งแซนชิชเองด้วย coleman sandwich cooker ต้องอาศัยเตา เราสามารถใช้เตาถ่าน หรือเตาแก๊สก็ได้ในการให้ความร้อน ซึ่งเท่าที่ลองใช้ก็ต้องวัดดวงกันในครั้งแรกว่าจะใช้ไฟแรงแค่ไหน ไฟแรงไปก็ไหม้ ไฟอ่อนไปก็ไม่สุกไม่หอมเหมือนที่เห็นในห้างเขาทำขาย
ซื้อ Coleman Sandwich Cooker https://s.shopee.co.th/30Y057Ujxq
แต่คราวนี้จะลองให้ความร้อนด้วยเตาอบ ซึ่งคาดว่าจะทำงานได้เช่นกัน เพราะเตาสามารถให้ความร้อนได้สูงและตั้งเวลาได้ เลยลองด้วยการซื้อแซนวิชที่ชอบจากร้านสะดวกซื้อแล้วเอามาใส่ coleman แบบถอดด้ามออก เพื่อจะวางตัว coleman ในเตาอบนั่นเอง
เตาอบที่ใช้คือ toshiba ขนาดเล็ก มีขายในแผนกเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่วไปราคาประมาณ 1000 บาท ส่วนตัวครอบแซนวิชก็ถอดด้ามออก แล้ววางแซนวิช ปิดฝาครอบเข้าด้วยกัน แล้วใช้ตัวหนีบกระดาษที่เป็นเหล็กหนีบเอาไว้ เนื่องจาก coleman จะออกแบบตัวล็อคไว้ที่ด้ามจับ พอถอดด้ามก็เลยต้องหาตัวหนีบมาหนีบเอาไว้แทนเพื่อให้ฝาปิดสนิท
เตาอบตั้งความร้อนไว้ที่ 230องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นระดับสูงสุดของเตาอบตัวนี้ ส่วนระยะเวลาก็ตั้งไว้ที่ 5 นาที เป็นการทดลองครั้งแรกเลยลองเลือกค่าที่จำง่ายไว้ก่อน แล้วก็เปิดให้เครื่องทำงาน
แซนวิชที่เลือกมาทำคือแซนวิชชีส ราคา 37 บาท เป็นแบบที่อร่อยที่สุดในความชอบของผมเอง เมนูขนมปังอบร้อนอื่นๆอย่างขนมปังเนยน้ำตาล หรือขนมปังปิ้งอื่นใดนั้นดูธรรมดาไปหน่อย จะทำกินสนุกๆทั้งทีขอสิ่งที่อร่อยถูกใจไปเลย สำหรับคนที่จะลดน้ำหนักขอแนะนำ ให้ลองกินแซนวิชชีสดู จะได้รู้ว่าถ้ากินของที่ทำให้อ้วนทุกคำต้องอร่อยคุ้มค่าการเสียวินัย 1 มื้อ
ที่อบแบบถอดด้ามวางในเตาอบขนาดเล็กได้ รอเวลาตามที่ตั้งไว้ 5 นาที ไฟแรงสุด 230 องศา เตาตัวนี้ให้ความร้อนทั้งด้านบนและด้านล่าง น่าจะให้ระดับความเกรียมของขนมปังได้พอกันทั้งสองด้าน
รอเวลาเมื่อครบ 5 นาที เตาจะดับเอง แล้วก็หาอะไรมาจับตัวหนีบ แล้วเปิดฝาตัวอบดู
ผลการทำงาน แซนวิชเหลืองอร่าม ความเกรียมระดับพอดีกิน หลังจากหยิบออกมากินเรียบร้อย ดูที่ตัวอบก็พบว่าตัวอบยังคงสภาพปกติ ไม่มีรอยไหม้เกรียม ไม่มีเขม่าเพราะไม่มีควัน ทำให้ล้างทำความสะอาดง่ายมาก ดีกว่าใช้เตาไฟและเตาแก๊สเยอะเลย
สรุป
ตัวอบแซนวิช coleman sandwich cooker ใช้ในเตาอบหรือเตาติ๊งแบบที่ชาวบ้านชอบเรียกได้
เตาอบขนาดเล็กตั้งไฟแรงสุดของเตา 230องศา ระยะเวลา 5 นาที ให้ความเกรียมเหลืองพอดีน่ากิน
เตาอบไม่มีควัน ไม่มีเขม่าจับ ทำให้ล้างทำความสะอาดง่าย
ใครอยู่คอนโดอยากอบแซนวิชกินด้วยอุปกรณ์แค้มปิ้งก็ลองทำได้
ใครยังไม่มีเครื่องอบแซนวิช ไปซื้อเครื่องอบแซนวิชเสียบปลั๊กโดยตรง เครื่องราคาถูกกว่าอุปกรณ์ของ coleman
ฝากให้ย้อนกลับไปดูรีวิว coleman sandwich cooker ที่นี่
ซื้อ Coleman Sandwich Cooker https://s.shopee.co.th/30Y057Ujxq
ซื้อเตาอบ Toshiba. https://s.shopee.co.th/60Bbf1mwnN
เครื่องไล่ยุง Flextail Tiny Repeller S
การทำกิจกรรมกลางแจ้งในสถานที่ต่างๆของประเทศไทย รวมถึงพื้นที่ในบ้านส่วนมากเราจะต้องประสบกับปัญหาแมลงและยุง นอกจากอาการคันและความน่ารำคาญแล้ว การถูกยุงกัดก็เป็นเรื่องที่อันตรายเกินคาด เพราะเป็นที่มาของโรคไข้เลือดออก ไข้มาลาเลีย มีอัตราการเสียชีวิตเพราะป่วยไข้เลือดออกเยอะมาก มีคนตายเพราะยุงกัดมาแล้ว ดังนั้นการป้องกันยุงกัดเป็นสิ่งที่ต้องทำ ห้ามละเลยเด็ดขาด
การไปเที่ยวแบบนั่งกินอาหารริมทะเล ในสวนอาหารพื้นที่โล่งกว้าง หรือนั่งกินนั่งเล่นในสถานที่แค้มปิ้ง เราทุกคนก็เจอกับปัญหายุงกัดเสมอ การไปนั่งดูลูกเตะฟุตบอลตอนเย็นและค่ำ ก็จะต้องทนยุงกัด ต้องหาพัดลม ต้องทาครีมป้องกันยุงกัด ต้องใช้สเปรย์ตะไคร้พ่นช่วยไล่ยุง ซึ่งก็ได้ผลบ้าง ไม่ได้ผลบาง แต่สุดท้ายก็คือไม่ได้ผล เราถึงมีอุปกรณ์ไล่ยุงสมัยใหม่ออกมาให้ใช้กัน และก็มาถึงเทคนิคการไล่ยุงที่ดีอีกแบบหนึ่งคือการไล่ยุงด้วย Flextail Tiny Repeller s ตัวนี้
อุปกรณ์ตัวนี้คือตัวที่จะไล่ยุงด้วยการส่งสารระเหยออกมารบกวนยุง สารระเหยตัวนี้อยู่ในแผ่นสี่เหลี่ยมที่จะต้องมีการให้ความร้อนถึงจะระเหย ระดับความร้อนที่เครื่องนี้ปล่อยสู่แผ่นระเหยประมาณ 110-165 องศาเซลเซียส แผ่นระเหยกันยุงนี้มีขายในบ้านเรามานานแล้วในสินค้ายี่ห้อหนึ่ง เป็นเครื่องให้ความร้อนกับแผ่นระเหยเวลาใช้ต้องเสียบปลั๊กไฟในบ้าน Flextail ออกแบบเครื่องไล่ยุงเครื่องนี้ให้เป็นเครื่องที่พกพาได้ มีแสงสว่างในตัวเพื่อใช้เป็นโคมไฟได้ด้วยหากต้องการ
Flextail Tiny Repeller s ตัวนี้ สามารถตั้งค่าให้ส่งสารระเหยออกมาได้ 3 ระดับ ทำงานที่ระยะป้องกัน 10ฟุต 20 ฟุต และ 40 ฟุต ยิ่งตัวเลขป้องกันเยอะก็ยิ่งหมายถึงปล่อยความร้อนเยอะขึ้น ระยะเวลาใช้งานที่ความร้อนสูงสุดประมาณ 5 ชั่วโมง. แผ่นสารเคมีสามารถใช้งานได้ประมาณ 4 ชั่วโมง
ในส่วนของแสงสว่างก็เลือกเปิดได้ 3 ระดับ และอีก 1 ระดับสำหรับแสงไฟกระพริบช้าๆ การออกแบบให้ทำงานทั้งไล่ยุงและให้แสงสว่างนี้ก็เพื่อให้ใช้งานกับทริปการเดินป่า ตั้งแคมป์ ซึ่งโดยปกตินักท่องเที่ยวนอนเต๊นท์ก็ต้องหาไฟพกพาไปใช้อยู่แล้ว การมีอุปกรณ์ที่ไล่ยุงได้และมีแสงสว่างไว้ใช้งานด้วยก็เป็นความคิดที่ดี
ตัวอุปกรณ์ใช้วัสดุคุณภาพดีมากในการประกอบ จับถือแล้วรู้สึกถึงความแข็งแรงมาก น้ำหนักพอสมควร น่าจะมีความทนทานทนกระแทกได้ดี ในสเป็คระบุว่าสามารถตกได้ 1 เมตรไม่เป็นอะไร กันน้ำด้วย ตกแล้วหยิบขึ้นจากน้ำได้ไม่พัง ที่ช่องใส่แผ่นระเหยสามารถใส่ได้ 2 แผ่น น่าจะทำให้ระยะทำการป้องกันได้ไกลมากขึ้น
ด้านล่างของอุปกรณ์เป็นแม่เหล็ก สามารถนำไปติดกับวัสดุโลหะได้ ติดประตูรถ ติดเสาเหล็กได้ มีรูเกลียวสำหรับใส่กับขาตั้งกล้องด้วย มีหูหิ้วเอาไว้คล้องกับเชือกด้วย ทำมาเพื่อให้ใช้ได้สะดวกมาก
ข้อมูลจากผู้ผลิต FLEXTAIL Tiny Repeller S
Features
- 2-in-1 เครื่องไล่ยุงและไฟแคมป์ปิ้ง
- โหมดป้องกันยุง 3 โหมด (Camping, Outdoor และ Super)
- เครื่องร้อน 165°C ได้รวดเร็วใน 50 วินาที
- ไฟแคมป์ปิ้งปรับความสว่างได้ 3 ระดับ (50 ลูเมน, 200 ลูเมน และ 400 ลูเมน)
- ป้องกันน้ำระดับ IPX5
- น้ำหนักเบาเพียง 5.3 ออนซ์
- มีคุณสมบัติแม่เหล็กในตัว
- มาพร้อมเคสสำหรับเก็บ
Specs
- ขนาด: 1.4 x 1.4 x 5.7 นิ้ว
- น้ำหนัก: 5.3 ออนซ์
- ความจุแบตเตอรี่: 4800 mAh
- Camping Mode ป้องกัน 10 ฟุต ได้ 20 ชั่วโมง
- Outdoor Mode ป้องกัน 20 ฟุต ได้ 10 ชั่วโมง
- Super Mode ป้องกัน 40 ฟุต ได้ 5 ชั่วโมง
- ไฟแคมปป์ปิ้งปรับความสว่างได้ 50-400 ลูเมน, นาน 10 – 40 ชั่วโมง
- ระดับการป้องกันน้ำ: IPX5
ผลการทดลองใช้
ลองนั่งเล่นในสนามหญ้าหน้าบ้าน พื้นที่นอกตัวบ้าน ตอนกลางคืน ปกติแทบจะยืนนิ่งๆไม่ได้เลยเพราะยุงเยอะมาก แต่การใช้งานเครื่องไล่ยุงก็ทำให้สามารถนั่งเล่น นั่งฟังเพลงนอกบ้านได้ยาวนานเป็นชั่วโมงโดยไม่ถูกยุงกัดเลย ตัวเครื่องใช้เวลาอุ่นสารระเหยอยู่ประมาณ 5 นาทีถึงจะร้อนได้ที่ หลังจากห้านาทีแรก ก็ไม่เห็นยุงบินมาให้เห็นในสายตาอีกเลย ถือว่าเป็นเครื่องไล่ยุงที่ทำงานได้จริง และทำให้ใช้เวลาในที่กลางแจ้งได้อย่างมีความสุข จัดว่าเป็นอุปกรณ์ยอดเยี่ยมตัวหนึ่งที่ควรมีไว้ใช้จริงๆ
ผู้ผลิตบอกไว้ในเว็บว่าแผ่นระเหยทำงานได้ประมาณ 4 ชั่วโมง แปลแบบไทยเป็นไทยคือ 4 ชั่วโมงแล้วจะป้องกันไม่ได้แล้ว นั่นก็หมายถึง ความสามารถในการไล่ยุงจะลดลงเรื่อยๆ ผมคิดเองว่า 3 ชั่วโมงคือระยะเวลาที่ควรเปลี่ยนแผ่น และจากที่ลองใช้งาน ประมาณชั่วโมงที่ 3-4 ก็เริ่มรู้สึกว่ามียุงบินอยู่ใกล้ๆ ผมมีง้างมือตบยุงไป 1 ครั้งตอนใกล้ครบสี่ชั่วโมง ดังนั้นสรุปด้วยตัวผมเองตรงนี้ว่าใช้แบบหวังผล 3 ชั่วโมงระดับความแรงสูงสุด ควรเปลี่ยนแผ่นแล้ว ส่วนใครที่ใช้แบบระดับความร้อนเริ่มต้น ป้องกันประมาณ 3 เมตร ก็อาจจะใช้ได้นานขึ้น
ภาพแผ่นระเหย ทางซ้ายคือแผ่นใหม่แกะออกจากซองยังไม่ได้ใช้งาน ทางขวาคืออันที่ผ่านการใช้งานมาแล้วประมาณ 4 ชม.
ติดเครื่องไล่ยุงไว้ที่บานประตูท้ายรถ เปิดท้ายนั่งดูลูกเตะฟุตบอล พักครึ่งแวะมานั่งกินน้ำ ยุงไม่กัด มีบางเวลาที่ดูเหมือนจะมียุงบินเข้ามาเฉียดใกล้ตัวบ้างเป็นบางครั้ง เหมือนยุงบินตามนักฟุตบอลเข้ามาใกล้ๆรถ แต่สักพักก็หายไป ผมนั่งอยู่ที่ท้ายรถนี้ได้สองชั่วโมงโดยไม่ต้องลุกหนีหรือเดินไปเดินมาเพื่อหนียุงอีกเลย
มีอยู่วันหนึ่งไปจอดรถรอลูกเตะบอล เนื่องจากสนามบอลมีจัดงาน มีรถจอดจำนวนมาก เลยต้องแวะออกไปนั่งรอที่อื่น ไปจอดรถรอในปั๊มน้ำมันแทน แล้วก็ลองใช้เครื่องไล่ยุงในรถ เปิดประตูรถให้อากาศถ่ายเท นั่งฟังเพลง นั่งเล่นโน้ตบุ๊คไปเรื่อยๆ อากาศข้างนอกก็เริ่มเย็นทำให้นั่งสบาย ในรถไม่มียุงรบกวนเลย แต่พอลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ ก็สัมผัสได้ว่ามียุงบินตามตอนเดินห่างจากรถ ยืนยันได้อีกครั้งว่าไล่ยุงได้ผลจริง เปิดให้เครื่องทำงานโหมดไฟแรงที่สุด ระยะทำงานตามสเป็คบอกไว้ว่าช่วยไล่ยุงได้ไกล 10 เมตร
นึกถึงกิจกรรมดูดาว ถ้ามีเครื่องไล่ยุงแบบนี้อยู่กับกล้องดูดาวก็จะทำให้การดูดาวมีความสุขมาก เพราะทุกทีที่ตั้งกล้องดูดาว จะต้องทนกับยุง ต้องยืนขยับตัวไปมาเพื่อไล่ยุง กระเป๋ากล้องที่พกไปไหนต่อไหนก็มักจะมีครีมกันยุงเป็นซองเก็บไว้ ต่อไปนี้มีเครื่องไล่ยุงทดแทน น่าจะทำให้ทริปถ่ายภาพกลางคืนหรือกิจกรรมกลางแจ้งในตอนมืดเป็นเรื่องที่ไม่น่าเบื่ออีกต่อไป
ในไทยมีขายแผ่นระเหยยี่ห้ออาร์ตแมท ลักษณะสีฟ้าเหมือนกัน แต่พิมพ์โลโก้สีแดง ขนาดเท่ากัน สามารถซื้อใส่ในเครื่อง Tiny Repeller s ได้เลย และบางร้านค้าที่ขายเครื่องก็แถมเป็นแผ่นอาร์ตแมทแทนก็มี คุณสมบัติการไล่ยุงลองแล้วไม่ต่างกัน แต่อาร์ตแมทมีกลิ่นเมื่ออยู่ใกล้ๆ น่าจะเป็นกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆที่ทำให้ผู้ใช้งานรู้ตัวว่าแผ่นระเหยกำลังทำงาน มีกลิ่นหอมอ่อนๆแค่ให้พอรับรู้ นั่งใกล้เครื่องจะได้กลิ่นชัด แต่ถ้านั่งไกลน่าจะกลิ่นจางมากจนเหมือนไม่มีกลิ่น แต่ว่าบางคนอาจจะไม่ชอบกลิ่นแบบนี้ก็ได้ ตัวผมเองก็ไม่ชอบ แต่ราคาต่อชิ้นก็ถูกมาก หาซื้อง่าย ราคาต่อชิ้นน่าจะไม่ถึง 3 บาท หาซื้อได้ที่ร้านสะดวกซื้อ ร้านในตลาดนัด ในออนไลน์ก็มีเต็มไปหมด
ข้อดี
1 กันยุงได้จริง
2 ไฟสว่าง แสงไฟสีสวยนวลตา
3 มีแม่เหล็กสามารถติดกับผนังเหล็ก ตัวถังรถยนต์ได้ มีรูน็อตสำหรับติดกับขาตั้งกล้อง
4 มีหูหิ้วหรือหูสำหรับคล้อง ทำให้พกห้อยไปกับกระเป๋าหรือเป้ได้สะดวก
5 มีแบตในตัว ทำงานได้ยาวนานหลายชั่วโมง
ข้อเสีย
1 ตอนชาร์จไฟเครื่องจะไม่ทำงาน
2 ไม่มีตัวนับเวลา หรือ ตัวบอกว่าแผ่นระเหยหมดสภาพตอนไหน
3 Repeller S คือรุ่นที่ 2 ที่ไม่สามารถทำงานเป็น powerbank ได้
สั่งซื้อได้ที่นี่
https://s.shopee.co.th/4L2PJREsOw
https://s.lazada.co.th/s.IpWWJ
https://s.lazada.co.th/s.IpclI
ชิมข้าวมันไก่เฉินกง
เฉินกงเป็นชื่อร้านข้าวมันไก่ ในเฟสบุ๊คของร้านแจ้งว่ามีหลายสาขา ผมไปลองกินที่สาขาถนนบางขุนนนท์ ร้านอยู่ริมถนน จอดรถยากมาก เพราะตำแหน่งร้านอยู่ติดทางม้าลาย อยู่ติดกับพื้นที่สีขาวแดง และขาวดำ ก็คือห้ามจอด ประกอบกับถนนบางขุนนนท์มีคนจอดรถแทบจะตลอดถนนในย่านที่มีของกินเปิดขาย ใครขับรถยนต์ไปกินสาขานี้ก็ต้องวัดดวงว่าจะโดนล็อคล้อหรือเปล่า เพราะทีมตำรวจในถนนเส้นนี้หูตาไวมาก น่าชื่นชมที่ขยันทำงานที่ไม่ใช่วัตถุประสงค์หลักของกรมฯ ผมแวะมากินร้านนี้ในครั้งที่สองด้วยการขับจักรยานมาเพราะต้องการจะกินแบบใจเย็น ไม่ต้องกังวลเรื่องจอดรถ ดูภาพประกอบมีจักรยานอยู่หน้าร้าน นั่นแหละของผมเอง
สภาพร้านคนค่อนข้างน้อย ผมไปนั่งในร้านมีโต๊ะนั่งสบายๆ แต่มีมอเตอร์ไซด์มารอรับของเยอะ น่าจะแทบตลอดเวลา สั่งอาหารไปสักพักต้องรออยู่พอสมควรเลยเพราะว่าคิวของไรเดอร์มีหลายคิว อาหารมีราคาตั้งแต่จานละ 50 บาท ขึ้นไป สิ่งที่ดูในรูปแล้วอยากลองกินก็คือเมนู ไก่สับ ผัก ข้าว น้ำจิ้ม ใส่ถาดมา ดูอลังการและราคาไม่แพง
ไก่สับมีความวาวดูฉ่ำน่ากิน เนื้อนิ่ม ไม่แห้ง ใครชอบของนิ่มน่าจะถูกใจสุดๆ เนื้อนิ่มแบบนี้เด็กและคนแก่น่าจะชอบ ส่วนผักลวกพร้อมซีอิ๊วกระเทียมเจียวก็น่ากิน รสชาติดี ตัวเม็ดข้าวคุณภาพธรรมดาไปหน่อย ข้าวมันไก่เทพๆทั้งหลายมักจะเด่นตั้งแต่ตัวข้าว กินเปล่าๆก็อร่อย แต่ร้านนี้ยังไม่ถึงแบบนั้น น้ำซุปใส่ถ้วยเกรดธรรมดาไม่โดดเด่นให้จดจำ น้ำจิ้มมี 2 อย่าง ทั้งคู่เป็นแบบที่ผมไม่ชอบ แต่ก็กินได้ ผมคิดว่าสิ่งที่ดีที่สุดในร้านนี้คือเนื้อไก่ มันนิ่ม อร่อย จนต้องอ่านใบปลิวโฆษณาบนโต๊ะ เป็นเรื่องราววิธีเลี้ยงของฟาร์มไก่
นอกจากไก่ต้มก็มีไก่ทอด มีข้าวขาหมูด้วยแต่วันนี้ไม่ได้ลองกิน เพราะตั้งใจจะกินข้าวมันไก่ให้หายข้องใจ เมนูไก่สับเสิร์ฟพร้อมข้าวที่คุ้นเคยคือข้าวมันไก่โรงแรมแห่งหนึ่ง หลังจากชิมที่เฉินกงแล้วผมก็สรุปว่าเฉินกงอร่อยกว่า ถูกกว่า แม้ว่าอุปสรรคการจอดรถจะทำให้ไม่น่าแวะ แต่การกินแบบเสิร์ฟเป็นถาดมันดูสวยงามน่ากินมากกว่า คนที่สั่งซื้อใส่ห่อกลับบ้านไม่รู้จะจัดจานได้น่ากินเท่าที่ร้านไหม ถ้าคิดแค่เอาใส่ปากเคี้ยวๆแล้วกลืน ไม่ต้องดูความสวยงามก็คงสั่งไรเดอร์หิ้วไปได้ แต่เชื่อเถอะว่ากินที่ร้านมันน่ากินกว่า
จุดควรปรับปรุงคือน้ำซุปที่เสิร์ฟตั้งแต่ลูกค้านั่งโต๊ะ สั่งอะไรยังไม่รู้แต่น้ำซุปเสิร์ฟให้แล้ว และกว่าที่อาหารจะมาเพราะต้องรอคิวไรเดอร์หลายคิว วันที่ผมไปกินผมรอเกือบสิบนาที ทำให้น้ำซุปไม่ร้อน ดูชืดและไม่น่ากิน ส่วนที่ซื้อกลับบ้านทำได้ดีกว่า ห่อด้วยกระดาษ ให้น้ำจิ้มพริกและซีอิ๊วดำสำหรับเด็กที่ไม่กินเผ็ดด้วย ตรงนี้ดี
จุดเด่นคือ ไก่นิ่ม อร่อย ผักก็อร่อย
จุดด้อยของสาขาถนนบางขุนนนท์คือ จอดรถยาก ผมต้องไปจอดไกลมากและก็เสี่ยงจะโดนล๊อคล้อ ถนนนี้เขาล๊อคจริง การขับรถไปกินอะไรในถนนบางขุนนนท์ตอนกลางวันให้เตรียมเงินค่าปรับล็อคล้อด้วย สถานีตำรวจอยู่ห่างจากร้านประมาณ 400 เมตร
เปรียบเทียบภาพถ่ายที่ใช้แฟลช
การถ่ายภาพเป็นการบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเก็บไว้เป็นภาพ ใช้หลักการปล่อยให้แสงผ่านเลนส์ไปตกยังตัวรับภาพแล้วก็บันทึกปริมาณแสงเอาไว้ สมัยโบราณการถ่ายภาพจะต้องทำตอนมีแสงเพียงพอหรือตอนที่มีแสงสว่างก็คือมีแสงจากดวงอาทิตย์ ส่วนการถ่ายภาพตอนกลางคืนหรือถ่ายภาพในที่ร่มเราก็เพิ่มอุปกรณ์อีกตัวหนึ่งขึ้นมาคือ มีไฟส่องสว่างให้กับเหตุการณ์ กล้องถ่ายภาพนิ่งจะรับภาพในเวลาสั้นๆ แสงสว่างที่ฉายไปก็ฉายไปในเวลาสั้นเช่นกันเพื่อประหยัดพลังงาน แสงที่ฉายออกไปเพียงครู่เดียวเลยเรียกว่าแฟลช หรือเป็นไฟกระพริบที่มีความสว่างเพียงพอต่อการบันทึกภาพ
การถ่ายภาพด้วยแฟลชเป็นการแก้ปัญหาแสงไม่พอเพื่อให้บันทึกภาพได้ ต่อมาก็เริ่มมีการใช้แฟลชเพื่อช่วยสร้างสรรค์ภาพให้แตกต่างไปจากเดิมได้ด้วย ช่างภาพจะเริ่มมีทางเลือกว่าจะใช้แฟลชในภาพหรือไม่ กล้องบางตัวมีแฟลชในตัวสามารถเลือกใช้หรือไม่ไม่ใช้ได้ กล้องระดับมืออาชีพไม่นิยมใส่แฟลชไว้กับตัวกล้อง แต่จะมีช่องให้ต่อแฟลชเพิ่ม
การใช้ กับ การไม่ใช้แฟลช ให้ผลกับภาพไม่เหมือนกัน ช่างภาพควรจะรเรียนรู้และทดลองใช้แฟลชให้เข้าใจ แล้วจากนั้นเมื่อเจอกับเหตุการณ์ต่างๆก็ค่อยตัดสินใจว่าจะใช่แฟลชหรือไม่ เพราะบางครั้งมีแฟลชก็ทำให้ภาพสมบูรณ์ขึ้น บางภาพไม่มีแฟลชก็อาจจะสวยกว่า ทุกการตัดสินใจให้ผลลัพธ์ที่แตกต่าง เราต้องตัดสินใจเองว่าอยากได้ลักษณะภาพแบบใด
ภาพถ่ายแบบไม่ใช้แฟลช ภาพแรกคือถ่ายภาพไม่เปิดแฟลช กล้อ eos m โหมด P เลนส์ 18-55mm
ภาพที่สองเป็นการถ่ายภาพเปิดแฟลช ใช้แฟลช ex90 ติดบนหัวกล้อง eos m เลนส์ 18-55mm
ภาพโต๊ะหนังสือและเด็กนั่งอยู่นั้น จะเห็นว่าแสงแฟลชจะทำให้ตัวเด็กสว่าง พื้นที่ที่โดนแสงแฟลชเพียงพอจะเห็นภาพเห็นรายละเอียด ไม่ได้เป็นเงาดำ หลายคนก็มักจะบอกว่า ใช้แฟลชเพื่อเปิดเงา หรือ บางคนก็จะบอกว่าใช้แฟลชเพื่อให้เห็นรายละเอียดชัดๆ ส่วนที่อยู่ห่างออกไปที่ขอบภาพหรือหลังห้องด้านซ้ายมือ เป็นจุดที่แสงแฟลขไปไม่ถึง เพราะแสงแฟลชเมื่อส่องกลางภาพจนสว่างเพียงพอแล้ว กล้องจะตัดการทำงานของแฟลช ทำให้ปริมาณแสงที่ไปยังขอบภาพหรือด้านหลังห้องนั้นแทบจะไม่มีผลต่อภาพเลย ภาพใช้แฟลชและไม่ใช้แฟลช ส่วนที่อยู่ห่างออกไปมากๆจึงไม่ได้มีผลอะไรเกิดขึ้น
ภาพเด็กนั่งในรถ เป็นการใช้แฟลชเพื่อส่องสว่างระยะใกล้ ผลของแฟลชทำให้เห็นรายละเอียดในเงามืด เห็นรายละเอียดของเบา ซึ่งปกติส่วนที่โดนแสงจะสว่างพอดีในภาพถ่าย แต่ส่วนที่อยู่ในเงาจะเป็นสีดำไม่มีรายละเอียด แฟลชที่ยิงออกไปจะไปส่องสว่างเงาเหล่านี้ และเก้าออี้อยู่ใกล้ๆกับวัตถุหลักหรืออยู่ใกล้กับจุดที่แฟลชทำงานถึง จึงได้รับแสงแฟลชเพียงพอ
เทคนิคการใช้แฟลชมีหลายอย่าง ถ้าให้เขียนทั้งหมดมันจะเป็นตำราถ่ายภาพเนื้อหาเยอะมาก หากบอกเป็นหัวข้อสั้นๆแล้วเอาไปขยายผลต่อเองก็จะได้ประมาณนี้
1 การใช้แฟลชโดยไม่สนใจแสงภายนอก
2 การใช้แฟลชร่วมกับแสงภายนอก
3 การใช้แฟลชมากกว่า 1 ตัว
4 แฟลชที่ให้แสงแข็งกับแสงนุ่ม
5 แฟลชแมน่วล
6 แฟลช ทีทีแอล
7 แฟลช ทีทีแอลแบบแอ๊ดวานซ์
8 แฟลชกับแผ่นสะท้อนแสง
9 แฟลชกับร่มสะท้อนแสง
10 แฟลชกับร่มทะลุ
11 แฟลชมีสาย
12 แฟลชไร้สาย
13 การชดเชยแสงแฟลช
14 อุณหภูมิสีของแฟลช
ที่เขียนออกมา 14 แนวทาง เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการใช้แฟลช ซึ่งตอนที่ใช้งานจริงเราอาจจะใช้สองแนวทางร่วมกันก็ได้ หรืออาจจะหลายแนวทางร่วมกัน หมายความว่า เรามีความน่าจะเป็นที่ต้องคิดต้องเลือกนับร้อยวิธีการใช้แฟลช เช่นการใช้แฟลชแมน่วลร่วมกับร่มสะท้อน ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เกิดจาก 2 แนวทาง
บางสถานการณ์เราอาจจะใช้แฟลชแมน่วล ร่วมกับแผ่นสะท้อนแสง เพื่อถ่ายภาพร่วมกับแสงภายนอก โดยแฟลชจะเป็นแบบไร้สาย และต้องเลือกอุณหภุมิสีด้วย แค่นี้ก็มีเรื่องให้คิดอีกเยอะ
เทคนิคการใช้แฟลชเป็นเรื่องที่มีรายละเอียดจำนวนมาก คู่มืออธิบายการใช้งานแฟลชจะเยอะและหนากว่าคู่มือการใช้งานกล้อง เราอาจจะต้องใช้เวลาในการศึกษาเรื่องแฟลชยาวนานกว่าเรื่องอื่นในวิชาถ่ายภาพ ถ้ามีเวลาเราควรศึกษาอย่างจริงจัง ถ้าไม่มีเวลา ปล่อยมันผ่านไปแล้วบอกกับตัวเองและผู้อื่นว่าเราไม่ชอบใช้แฟลช
leica minilux 2024 กับฟิล์ม Kodak gold200
หลังจากส่งกล้อง Leica minilux ที่หลับไหลจากอาการสายแพรขาดไปซ่อมเรียบร้อย ก็ทดลองงานซ่อมกับฟิล์มสักม้วน ยุคปี 2024 ฟิล์มราคาแพงมาก ลองซื้อฟิล์มสีที่ราคาถูกที่สุดในท้องตลาดก็คือ Kodak Gold 200 ราคาม้วนละ 350 บาท แพงอย่างน่าตกใจ แต่ก็อยากลอง
กล้อง Leica minilux เป็นกล้องที่รูรับแสงกว้าง วัดแสงแม่น โฟกัสแม่น ถ้าสภาพดีมันคืออุปกรณ์ระดับเทพที่ให้คุณภาพสูง มีข้อเสียอย่างเดียวคือหากเราต้องการถ่ายภาพแบบไม่เปิดแฟลช เราต้องกดปุ่มสั่งการกล้องทุกครั้งที่เปิดกล้อง แถมต้องกดปุ่มถึง 6 ครั้งเพื่อปิดแฟลช ถ้าเราถ่ายภาพในที่แสงน้อย อย่างเช่นถ่ายในบ้าน ถ่ายตอนกลางคืน กล้องจะเปิดแฟลชเสมอ ทำให้ต้องกดสั่งปิดทุกครั้งนั่นเอง
ลองวัดฝีมือการถือกล้องว่านิ่งได้แค่ไหน ภาพในบ้าน แสงสว่างได้จากโคมไฟอ่านหนังสือ ความไวชัตเตอร์น่าจะต่ำจนต้องลุ้นว่าภาพจะสั่นหรือไม่ ผลออกมาก็พอใช้ได้ เลนส์รูรับแสงกว้างระดับ f2.4 ดูจะเก็บแสงโคมไฟได้ดี ให้แสงในภาพดูสวยงาม สวยกว่าตาเห็น ภาพนั่งโต๊ะภาพนี้ให้สีสันและระดับความสว่างที่ถูกใจ ลักษณะภาพสว่างบริเวณกลางภาพ และมืดดำที่ขอบภาพช่วยทำให้จุดสนใจเด่นชัด การไล่ระดับแสงจากสว่างไปมืดบนฟิล์มทำได้รุนแรงเด็ดขาด นั่นเป็นเพราะความสามารถในการรับแสงของฟิล์มต่ำกว่ากล้องดิจิทัลยุคปัจจุบันมาก ภาพโต๊ะหนังสือนี้ถ้าใช้กล้องดิจิทัลหรือโทรศัพท์รุ่นใหม่ในการถ่าย เราจะเห็นรายละเอียดในขอบภาพที่สว่างกว่าภาพนี้ ฉากหลังจะไม่ดำเท่านี้
เวลาถ่ายภาพด้วยกล้องฟิล์ม เราจะไม่มีข้อมูลการถ่ายภาพใดๆเลย อาศัยความจำเท่านั้น การดูภาพสแกนก็จะไม่รู้ว่าเป็นภาพจากกล้องตัวไหน ก็เลยจะพยายามถ่ายภาพให้พอรู้ว่าใช้กล้องอะไรโดยการถ่ายภาพตัวเองพร้อมกล้องในกระจก การถ่ายเซลฟี่สะท้อนกระจกทำให้รู้ว่าภาพชุดนี้ถ่ายจากกล้องตัวไหน แต่บังเอิญภาพนี้เงาในกระจกดูเบลอไปหน่อยทำให้ดูยากว่าเป็นกล้องอะไร แต่คนเคยจับกล้องรุ่นนี้ก็จะพอนึกออก พอเดาได้
ภาพถนนเยาวราชตอนกลางคืน เป็นการถ่ายภาพในที่แสงน้อยที่มีข้อจำกัดคือไม่ใช้ขาตั้งกล้อง เพราะว่าคนเยอะมากจนไม่สามารถกางขาตั้งก้องออกมาโดยไม่กีดขวางการเดินทางของผู้อื่น จึงใช้วิธีถือถ่ายด้วยมือ ตั้งโฟกัสบนกล้องเป็นระยะอินฟินิตี้ เพื่อลดความผิดพลาดจากการโฟกัส เพราะตอนกลางคืนมักจะทำให้การโฟกัสทำงานผิดพลาดได้ง่าย ก่อนถ่ายก็สูดลมหายใจเข้าลึกหน่อยจากนั้นกลั้นหายใจแล้วกด
เสริมเกี่ยวกับการใช้แฟลชถ่ายภาพ
สองภาพนี้เป็นการยกตัวอย่าง ภาพบนคือการถ่ายภาพด้วยระบบอัตโนมัติ กล้องคิดให้ยังไงก็ถ่ายไปอย่างนั้น สภาพแสงในบ้านค่อนข้างน้อย พอกล้องคิดให้ทุกอย่าง กล้องก็ถ่ายแบบเปิดแฟลชให้ ทุกอย่างในภาพก็จะสว่าง ชัด เคลียร์ ดูรู้ว่ามีอะไรอยู่ในภาพบ้าง ส่วนภาพล่างก็เป็นภาพที่ถ่ายแบบไม่เปิดแฟลช คนถ่ายต้องกดปุ่มสั่งเพื่อปิดแฟลชก่อน แล้วพยายามถือกล้องให้นิ่งในการถ่าย ฟิล์มความไว 200 กับสภาพแสงในบ้านตอนกลางคืนเป็นงานยาก ต้องพยายามมากเพื่อไม่ให้ภาพสั่น แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาดีเกินคาด ภาพดูสวยงามกว่า ถูกใจมากกว่าการเปิดแฟลช
ภาพตัวอย่างเปรียบเทียบกับใช้แฟลชกับไม่ใช้
ภาพม้วนนี้ใช้บริการร้านล้างฟิล์มพร้อมสแกน Toiletlab ส่งฟิล์มห้าโมงเย็น ผ่านไปชั่วโมงกว่าๆก็ได้ไฟล์ทาง google drive แล้ว ร้านทำงานบริการได้ดีน่าอุดหนุน ไฟล์ภาพที่ได้ก็มีขนาดประมาณ 8.9 ล้านพิกเซล (3661 × 2456) สามารถใช้พิมพ์ขนาด A4 แบบคุณภาพสูงได้
Leica minilux ยังคงน่าใช้ในปี 2024 สภาพกล้องยังแข็งแรง สามารถซ่อมบำรุงได้แทบจะทุกอาการ โดยเฉพาะอาการเสียประจำรุ่นอย่างสายแพรขาดก็สามารถซ่อมได้ เพราะมีอะไหล่ขายอยู่ในอินเทอเน็ต ใครยังอยากได้กล้องคุณภาพสูง เป็นไอค่อนของวงการถ่ายภาพอีกตัวหนึ่งก็ลองหามาใช้ได้ มันดีและมันน่าใช้ และที่สำคัญ มันสะกิดให้เราอยากถ่ายภาพ แม้ฟิล์มจะแพงก็เถอะ
บันทึกไว้
ล้างสแกนที่ Toiletlab
ค่าฟิล์ม 350
ค่าล้างพร้อมสแกน 150
ค่าส่งฟิล์มกลับ 70
รีวิว Hifiman HE400se
ในยุคที่โทรศัพท์มือถือเป็นอุปกรณ์ที่มากกว่าแค่การใช้สื่อสาร หลายคนใช้โทรศัพท์ถ่ายรูป ใช้ฟังเพลง ใช้ดูหนัง สิ่งที่แถมมากับโทรศัพท์นอกจากที่ชาร์จแล้วก็มีหูฟัง คนส่วนใหญ่ในโลกจึงมีหูฟังติดตัวอยู่แล้วอย่างน้อยคนละ 1 เส้นหรือ 1 ชุด แม้ว่าระยะหลังโทรศัพท์บางยี่ห้อจะไม่แถมที่ชาร์จและหูฟัง แต่ผู้ใช้งานก็ยังคงดิ้นรนหาซื้อหูฟังมาใช้อยู่ดี

หูฟังแถมมากับโทรศัพท์ หรือ แม้แต่การซื้อเพิ่มเติมเองส่วนมากคนจะนิยมใช้หูฟังตัวเล็ก และโดยมากก็จะเป็นหูฟังชนิด in-ear หรือยัดเข้าไปในหูได้เลย รวมไปถึงบางคนก็ใช้หูฟังไร้สายขนาดเล็ก หรือ true wireless ทำให้ปัจจุบันหูฟังตัวใหญ่ขายได้น้อย แต่ก็ยังมีบางคนที่พยายามหาหูฟังตัวใหญ่มาใช้ นั่นเป็นเพราะหูฟังตัวใหญ่เสียงดีกว่าตัวเล็ก ตามธรรมชาติของการออกแบบ

พูดถึงหูฟังตัวใหญ่ เราจะพบว่าส่วนมากเป็นหูฟังแบบครอบหู มีสายคาดบนหัว หูฟังชนิดนี้ยังได้รับความนิยมในห้องบันทึกเสียง มักจะถูกใช้งานในระดับอาชีพ และพบได้บ่อยในกลุ่มของนักเล่นเกมส์ และพบในกลุ่มนักฟังเพลงจริงจัง การเลือกใช้หูฟังเพื่อฟังเพลง เราจะเรียกหูฟังครอบหูว่า Full size ซึ่งมีหลายยี่ห้อที่ผลิตออกมาขาย โดย Hifiman ก็เป็นหนึ่งในยี่ห้อเหล่านั้นที่ทำหูฟังขนาดใหญ่ขาย และรุ่นที่สร้างชื่อเสียงให้บริษัทก็คือหูฟังขนาดใหญ่หรือ Full size ที่ใช้ระบบการสร้างคลื่นเสียงแบบ Plana Magnetic
หูฟัง Hifiman HE400se เป็นหูฟังแบบ plana magnetic ที่อาศัยตะแกรงสนามแม่เหล็กช่วยขยับไดอะแฟลมเพื่อสร้างคลื่นเสียง หูฟังชนิดนี้จะมีจุดเด่นที่ความฉับไว ตอบสนองต่อสัญญาณไฟฟ้าได้รวดเร็ว และมักเป็นเทคนิคที่อยู่ในหูฟังระดับท๊อป หรือรุ่นสูงๆเท่านั้น แต่ HE400se เป็นหูฟังระดับล่างสุดของกลุ่ม Fullsize ราคาขายนับว่าถูกมาก
HE400se ตอบสนองความถี่ 20-20,000Hz มีความต้านทาน 25 โอห์ม ซึ่งถือว่าไม่สูงมาก แต่มีความไวหรือ Sensitivity เพียงแค่ 91dB ซึ่งค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับหูฟังทั่วไป เพราะหูฟังแถมหรือหูฟังขนาดเล็กมักจะมีความไวเกิน 100dB ไปเยอะ นั่นก็หมายความว่า HE400se เป็นหูฟังที่ให้เสียงค่อนข้างเบา ต้องใช้เครื่องเล่นเพลงที่มีพละกำลังที่มากพอถึงจะทำงานร่วมกันได้อย่างดี หากนำไปใช้กับเครื่องเล่นเพลงยุคเก่าอย่างipod หรือ วอล์คแมนโบราณ ก็อาจจะได้เสียงที่ไม่เต็มประสิทธิภาพ แต่กับเครื่องเล่นยุคใหม่ โทรศัพท์รุ่นใหม่หลายๆรุ่นก็ทำได้พอใช้ได้ ใช้กับคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊คสมัยใหม่ก็ทำงานได้ดี เพราะอุปกรณ์ยุคใหม่มักจะมีสเป็คที่สูงขึ้นมากและสามารถส่งกำลังไฟฟ้าออกมาได้มากกว่านั่นเอง
หูฟังออกแบบให้สามารถเปลี่ยนสายได้ ทำให้เรามีช่องทางในการอัพเกรดหากต้องการ สายหูฟังที่แถมมาเป็นสายขนาด 3.5มม. แบบ TRS หากนำไปใช้กับโทรศัพท์จะไม่มีไมโครโฟน ทำให้ใช้คุยโทรศัพท์ไม่ได้ แต่คนที่ใช้หูฟังตัวนี้กับโทรศัพท์เชื่อว่าเป็นคนที่ไม่ได้ต้องการคุยงานใดๆผ่านหูฟังตัวนี้อยู่แล้ว
คุณภาพเสียง
ทดลองฟังเพลงผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์ เปิดไฟล์ wav ด้วยโปรแกรม iTune ระบบ windows และต่อ external dac เข้ากับ แอมป์หูฟัง แล้วต่อออกมายัง HE400se กับอีกระบบหนึ่งที่เป็นแบบพกพาคือเล่นผ่านเครื่องเล่นเพลง Aune M1 ที่เป็น wav player สัญญาณเสียงต่อตรงเข้า HE400se
น้ำเสียงที่ฟังในนาทีแรกก็รับรู้ได้ถึงเสียงกลางที่ชัด เสียงเบสอิ่ม โดยเฉพาะเสียงเบสที่ห่อหุ้มเพลงทั้งเพลงไว้แสดงตัวได้เด่นชัดมาก จะเรียกว่าเบสหนาก็ได้ แต่เบสไม่กลบเสียงกลางเลย ยิ่งเป็นเพลงที่โซโล่เบสยิ่งน่าฟัง เบสที่ขึ้นไว กระชับ คึกคัก เป็นจุดเด่นของหูฟังตัวนี้เลย เพลงช้าก็ฟังอบอุ่น เพลงเร็วก็สนุก
ทุ้มกลางแหลมออกมาพอดีๆ แต่ละเพลงมีสมดุลย์เสียงที่น่าฟัง กลางที่ร้องชัดๆไม่ได้เด่นไปกว่าย่านเสียงอื่น เสียงกลองสแนร์ฟาดก็ได้ยินชัดโดยไม่มีอาการคมแข็งเลย ส่วนเสียงย่านสูงก็มีให้พอดี แต่ไม่ได้เด่นมาก ไม่ได้ใสกริ๊งแบบทอดประกายยาวๆ อาจจะรู้สึกเสียงย่านสูงประกายน้อยไปหน่อย
เสียงกลางที่ชัดและเบสที่ฉับไว ย่านสูงที่ไม่กัดหู ทำให้เพลงฟังสนุก ติดตามเนื้อเพลง ติดตามเสียงร้องได้อย่างเพลิดเพลิน เสียงหายใจ เสียงลูกคอยังไม่ชัดมากเท่ากับหูฟังอย่าง AKG K701 แต่ความอิ่มหนาของเสียงเพลงทำให้ฟังสนุกกว่า เปรียบเทียบแล้วก็เหมือนเอา K701 มาเติมซับวูฟเฟอร์
สไตล์เสียงของ HE400se เป็นสไตล์ลำโพงบ้านเสียงดี เราจะไม่ได้ยินเสียงแบบนี้จากลำโพงคอมพิวเตอร์ใดๆเลย และจะไม่ได้ยินเสียงแบบนี้กับลำโพงในชุดสเตอริโอระดับตลาดราคาประหยัดแน่นอน ลำโพงบ้านที่ให้น้ำเสียงโทนแบบนี้น่าจะมีราคาแพงระดับหลายหมื่นบาทและต้องใช้งานคู่กับแอมป์ที่ดีด้วย ซึ่งทั้งหมดนั้น HE400se ทำงานภายใต้เครื่องเสียงพกพาตัวเดียวก็ได้ มันเป็นความคุ้มค่ามากๆที่ค่าตัวเพียงสองพันกว่าบาทเมื่อรอจังหวะลดราคาแรงๆ แต่กลับให้เสียงที่ดีทัดเทียมกับชุดเครื่องเสียงบ้านหลักหมื่นได้ ราคาเต็มของหูฟังตัวอยู่นี้อยู่ที่ 99 ดอลล่าร์
หูฟังขนาดใหญ่ มีแรงบีบหัวค่อนข้างมาก ฟองน้ำหนาช่วยทำให้ไม่รู้สีกเจ็บ แต่ก็รู้สึกว่าบีบแน่นเกินไป ส่วนฟองน้ำจะหุ้มหนังเทียมเอาไว้ทำให้ส่วนที่สัมผัสกับหัวจะรู้สึกร้อนเมื่อใส่เป็นเวลานาน ความสบายในการใส่ยังถือว่าต่ำ แต่ก็ทนใส่ได้เพราะคุณภาพเสียงที่ดี
หูฟังตัวนี้ไม่ใช่หูฟังมอนิเตอร์ มันฟังเพลงอะไรก็เพราะ ถ้าจะใช้ทำมาสเตอร์หรือมอนิเตอร์การบันทึกเสียงที่เน้นเรื่องการปรับโทนเสียงให้ไพเราะจะไม่เหมาะเลย ควรไปใช้หูฟังที่จืดกว่านี้ หรือเปิดเผยมากกว่านี้ อย่างเช่นหูฟังแบบ AKG K701 ซึ่งจะเหมาะกับงานมากกว่า
สรุป
Hifiman HE400se เป็นหูฟัง Full size ที่ให้น้ำเสียงน่าฟัง เหมาะสำหรับการฟังเพลง ไม่เหมาะกับการเป็นมอนิเตอร์ในงานบันทึกเสียง เสียงทุ้มกลางแหลมที่พอดี เสียงมีความอิ่มปนหวาน เหมาะที่จะฟังเพลงป๊อป เพลงอคูสติก จริงๆต้องบอกว่าเหมาะกับการฟังเพลงแทบทุกประเภท โดยเฉพาะเพลงที่บันทึกเสียงเบสมาดีๆยิ่งทำให้เสียงเพราะขึ้น น้ำหนักค่อนข้างมากอาจจะทำให้รู้สึกไม่สบายหัวหากฟังนานๆหลายชั่วโมง ถ้าต้องเลือกตัวเดียวสำหรับการฟังเพลงเป็นหลัก เพิ่มการดูหนังบ้าง ตัวนี้ก็น่าเลือกที่สุด
ปลั๊กไฟ TESSAN ตัวเสียบตื้น น่าใช้มาก
ปลั๊กพ่วงแบบนี้ตามหามานานแล้ว จุดเด่นคือตัวเสียบแบบบาง สามารถใช้ในที่แคบ เสียบปลั๊กที่อยู่หลังตู้ได้ ลองใช้แล้วก็แน่นหนา แข็งแรงดี ไม่ได้ดูเป็นของที่พร้อมจะพัง สามารถเสียบปลั๊กบนตัวมันได้ 8 ช่อง เหมาะสำหรับอุปกรณ์ไอทีทั้งโต๊ะเลย มีช่อง usb-A และ usb-C ให้อีก ใช้ตามสะดวกเลย
- Voltage Compatibility: 100~250V AC 50/60Hz
- Power Rating: 1250W, 10A Max, 125V~
- Item Dimensions: 7.13*6.3*1.65 in
- Product Weight: 0.81 lb
- USB-A output: 5V/2.4A per port
- USB-C output: 5V/3A
- Total USB output: DC 5V, 3A/15W in Total
- Length of Cable: 5 Ft
สั่งซื้อได้ที่นี่ https://s.shopee.co.th/7006GlirL9



สั่งซื้อได้ที่นี่ https://s.shopee.co.th/7006GlirL9
โคมไฟน่าใช้ ราคาไม่แพง
การมีโต๊ะเก้าอี้ที่ใช้ทำงานหรืออ่านหนังสือ เป็นของจำเป็นของนักเรียนทุกคน และที่จะขาดไม่ได้เลยคือโคมไฟ โดยเราจะมีทางเลือกทั้งแบบโคมไฟตั้งโต๊ะ หรือ ติดกำแพง ติดเพดาน ในอดีตโคมไฟจะใช้หลอดไฟแบบหลอดทรงกลม มีขาเกลียวเอาไว้หมุนเข้ากับตัวโคม ใช้ไฟบ้าน 220v แต่ปัจจุบันโคมไฟที่ใช้ LED เริ่มได้รับความนิยมากขึ้น เพราะประหยัดไฟกว่า ให้แสงสว่างได้มากกว่าและปรับโทนสีของแสงได้ด้วย
โคมไฟตามภาพด้านบนเป็นโคมไฟ LED ที่สามารถให้แสงสว่างได้มากถึง 10วัตต์ ตัวหลอดไฟ LED ที่เรียงตัวอยู่ในโคมนั้นจะสามารถเลือกใช้ความสว่างได้หลายระดับ และเลือกโทนสีของแสงที่ออกจากโคมได้ ใช้ไฟเลี้ยงจากช่อง usb ซึ่งเราก็ควรจะเลือกใช้อแด๊ปเตอร์ usb ที่ให้กำลังไฟสัก 10วัตต์ หรือจ่ายกระแสได้ระดับ 2.4A จะได้ไฟสว่างเพียงพอ ถ้าเราใช้ตัวอแด๊ปเตอร์กำลังไฟต่ำที่จ่ายกระแสได้แค่ 0.5A. ความสว่างก็จะน้อยตาม
ทดลองติดตั้งโคมไฟกับโต๊ะหนังสือ แล้วใช้โทรศัพท์ลง app ชื่อ lux meter เพื่อทำการวัดความสว่าง โดยการวางโทรศัพท์ไว้ที่พื้นโต๊ะ ตั้งโคมไฟให้หลอดไฟอยู่สูงกว่าศรีษะ ความสูงวัดจากพื้นโต๊ะไม่ได้วัดละเอียด แต่น่าจะประมาณ 70cm แล้วลองวัดค่าความสว่างดู ก็ได้ระดับความสว่างที่ 500lux ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง เพราะระดับความสว่างที่เหมาะสมกับห้องทำงานคือ 300-400lux
ใครกำลังมองหาโคมไฟราคาไม่แพง ให้แสงสว่างเพียงพอ และประหยัดพลังงานก็ลองใช้ตัวนี้ก็ได้ ถ้าสนใจก็คลิกตามไปซื้อได้.
รีวิวนาฬิกา ALBA aqpk401 สว่างสุดๆ พร้อมเทคนิคการถ่ายภาพเรืองแสง
นาฬิกาเป็นเครื่องมือบอกเวลา และเป็นเครื่องประดับไปด้วยในตัว การเลือกนาฬิกาที่เหมาะกับตัวเราก็มีเรื่องให้พิจารณาหลายอย่าง ตั้งแต่ระบบการทำงานของนาฬิกา ว่าจะเป็นแบบใส่ถ่าน แบบไขลาน หรือ แบบออโตเมติก จะต้องกันน้ำลึกแค่ไหน ใช้ตัวเรือนเป็นพลาสติกหรือโลหะ เรื่องสายก็มีสายโลหะ สายหนัง สายผ้า จะมีความทนทานและเหมาะกับกิจกรรมที่เราจะทำ ต้องจับเวลาไหม ต้องแสดงผลเป็นเข็มหรือตัวเลข งบประมาณมากหรือน้อย เน้นความสวยงานหรูหราเพียงใด หลายเรื่องเหล่านี้ทำให้มีนาฬิกาเต็มตู้ขายของในห้างที่จะรอให้เราเลือกใช้


ALBA เป็นแบรนด์ที่ขายนาฬิกามาตั้งแต่ประมาณปี 1979 โดยเป็นบริษัทในเครือเดียวกับ SEIKO ที่มีชื่อเสียงมากในการผลิตนาฬิกา โดย ALBA จะเน้นออกแบบนาฬิกาที่ทนทาน สวยงาม และ ราคาไม่แพง คุณภาพของ ALBA จะทัดเทียมกับ SEIKO เพราะเป็นบริษัทเดียวกัน และใช้อะไหล่ร่วมกันด้วย เราจะเห็นได้จากสินค้า ALBA จะมีลักษณะคล้ายของ SEIKO ถ้าเราเป็นคนที่ชอบ SEIKO อยู่แล้ว เวลามอง ALBA ก็จะมีความรู้สึกไม่ต่างกับ SEIKO เลย
ALBA aqpk401 เป็นนาฬิกาแบบอนาลอก ใส่ถ่าน ระบบควอตซ์ แสดงผลด้วย 3 เข็ม ออกแบบมาให้เป็นของราคาไม่แพง เน้นทนทาน เน้นการใช้งานสมบุกสมบัน บางคนจะเรียก Field watch คือใส่ไปลุยไปทำกิจกรรมได้โดยไม่ต้องกังวล สามารถมองเห็นได้ง่ายทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน สายนาฬิกาเป็นสายผ้า ตัวเรือนและสายน้ำหนักเบามาก ใส่แล้วแทบไม่รู้สึกว่าใส่
รอบนาฬิกาเป็นโลหะผิวด้าน หน้าปัดนาฬิกาสีครีมไม่ได้ขาวปกติ เพราะนาฬิกาเรือนนี้มีแผงหน้าปัดทั้งแผงที่สะท้อนแสงหรือมีพรายน้ำเต็มพื้นที่ เมื่อใช้นาฬิกาในที่มืดหรือแสงน้อย หน้าปัดจะเรืองแสงสีเขียวออกมา ทำให้มองเห็นเวลาได้ชัดเจน เป็นความสวยงามอีกแบบหนึ่งของการใส่นาฬิกามีพรายน้ำ หรือตัวสะท้อนแสง
สายนาฬิกาเป็นผ้าถัก สีดำ น้ำหนักเบา ดูบอบบาง แต่ใส่แล้วก็ไม่หลุด บางคนอาจจะอยากเปลี่ยนสายไปเป็นสายหนังหรือสายโลหะ ซึ่งก็มีให้เลือกซื้ออย่างหลากหลาย แต่ต้องเลือกสายที่มีขนาด 18มม. ซึ่งไม่ใช่ขนาดสายที่นิยมซื้อขายกันในตลาดออนไลน์ ตอนสั่งซื้อต้องดูตัวเลขความกว้างของสายให้ดี
เมื่อใส่กับข้อมือแล้วน้ำหนักเบามาก ตัวกรอบรอบนอกเป็นโลหะผิวด้าน ให้ความรู้สึกเหมาะกับการลุยทำกิจกรรมต่างๆโดยไม่ต้องระวังมาก ขนาดตัวเรือนประมาณ 36 มม. ซึ่งเป็นขนาดกลางๆ ไม่ใหญ่แบบนาฬิกาสปอร์ต หรือ ไม่เล็กแบบนาฬิกาผู้หญิง เป็นขนาดที่ใส่แล้วเหมาะกับมือทั้งเด็กและผู้ใหญ่
ในประเทศไทยคงต้องหาซื้อจากออนไลน์ โดยเจ้าของร้านระบุไว้ในสินค้าว่าเป็นของส่งจากญี่ปุ่น นั่นก็อาจจะเป็นไปได้ว่า นาฬิกาเรือนนี้ไม่มีขายเป็นทางการในประเทศไทย ราคาป้ายจากญี่ปุ่น 5500 เยน ราคาที่ซื้อได้ในมาเก็ตเพลส รอจังหวะโปรโมชั่นก็จะได้มาในราคาพันต้นๆเท่านั้น ถือว่าเป็นนาฬิกาคุณภาพดีที่ราคาถูกมาก
สั่งซื้อได้ที่ https://s.shopee.co.th/20ahgVgIF0
ลองเปลี่ยนสายโลหะเข้าไป เพิ่งจะรู้ว่าตัวเรือนของ Alba รุ่นนี้ มันเหมือนเป็นฝาแฝดกับนาฬิกาเรือนเก่าที่มีอยู่ ทำให้สลับสายมาใช้ได้เลย ความด้านบนสายและตัวเรือนมีลักษณะที่ด้านเหมือนกันพอดี แถมระยะความใหญ่หรือความกว้างของสายก็เท่ากันด้วย
เทคนิคการถ่ายภาพ
เพิ่มเติมเทคนิคการถ่ายภาพนาฬิกาให้มีแสงสะท้อนจากพรายน้ำ เราจะใช้วิธีการส่องไฟฉายเข้าไปที่หน้าปัด เพื่อให้สารเรืองแสงได้สะสมแสงเอาไว้ ยิ่งแสงมีความเข้มหรือความสว่างมากก็จะยิ่งทำให้สารเรืองแสงสะสมแสงได้มาก สีเขียวที่เรืองแสงออกมาจะยิ่งฉ่ำ ยิ่งสว่าง มองในที่สว่างก็เห็นเป็นสีเขียวสวยงาม แต่ความเรืองแสงจะค่อยๆจางลงเมื่อเวลาผ่านไปสักนาที และจะกลับไปอยู่ในระดับที่ดูปกติในเวลาไม่นาน แต่ถ้าเราปิดไฟห้องหรือทำห้องให้มืด เราก็จะยังคงเห็นแสงสีเขียวบนหน้าปัดได้ ซึ่งเป็นปกติของตัวสะท้อนแสงของนาฬิกาที่ออกแบบให้สะสมแสงตอนสว่างและเรืองแสงในที่มืด
สั่งซื้อได้ที่ https://s.shopee.co.th/20ahgVgIF0

























































































