สวยลอยฟ้าเจ้าพระยา

สมัยเด็กผมนั่งรถเมล์จากฝั่งธนข้ามมาฝั่งพระนครเพื่อมาเรียนโรงเรียนสวนกุหลาบ สะพานข้ามแม่น้ำจะมีอยู่ 2 สะพาน สะพานพุทธคือสะพานโครงสร้างเหล็กสีเขียวเป็นสะพานเก่าแก่ ถนนบนสะพานเป็นสามเลนส์ขับรถสวนกัน สะพานที่สองคือสะพานประปกเกล้าเป็นสะพานที่สร้างใหม่ มีอยู่ 3 สะพานขาไปและขากลับแยกกัน แต่ก็มีสะพานปกเกล้าอันที่สามที่วางอยู่ตรงกลางเป็นสะพานเปล่าๆ ไม่ได้มีทางขึ้นลง ผมเห็นตั้งแต่เด็กแต่ก็ไม่รู้ว่าจะสร้างสะพานปกเกล้าไว้ 3 สะพานทำไม จนเมื่อโตขึ้น มีอินเทอเน็ตให้อ่าน มีคนเคยอธิบายไว้ว่าสะพานปกเกล้าอันกลางวางแผนว่าจะใช้ทำทางเดินรถไฟฟ้าลาวาลิน ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้น

IMG_3074

มาถึงปัจจุบันสะพานปกเกล้าอันกลางก็ได้รับการปรับปรุงให้กลายเป็นสวนสาธารณะ ทำทางขึ้นลง ทำพื้นที่บนสะพานเป็นที่นั่ง มีต้นไม้ดอกไม้ประดับ ตอนขับรถผ่านก็รู้สึกตื่นเต้นที่กรุงเทพมีสวนสาธารณะเพิ่มขึ้น และยิ่งเป็นสวนบนสะพานด้วยก็ยิ่งดูน่าสนใจ แต่ก็ไม่เคยมีโอกาสได้ไปเดินเล่นเลย เพราะวงจรชีวิตไม่ได้ผ่านถนนเส้นนี้สักเท่าไร

จนลูกได้เข้าเรียนที่โรงเรียนสวนกุหลาบก็เลยมีโอกาสได้ใช้สะพานพุทธและสะพานปกเกล้าแทบทุกวัน ก็ได้เห็นสวนสาธารณะลอยฟ้าอีกครั้งและเริ่มอยากไปเดินเล่นดูวิวบนนี้ พอมีโอกาสก็เลยลองแวะเดินเล่นดู พร้อมกับพกกล้องถ่ายรูปไปเก็บภาพด้วย

IMG_2961
IMG_2966

ทางเดินเข้าหายากมาก ขนาดผมเคยเดินเล่นแถวนี้มาตั้งแต่เด็กยังหาทางเข้าไม่เจอ กว่าจะเจอว่าต้องเข้าทางไหนก็เดินหาอยู่นานมาก แถวนี้ไม่มีป้ายบอกทาง ไม่มีป้ายบอกชื่อสวนสาธารณะให้เห็นชัดเจนเลย หรือมีแต่ผมตาไม่ดีเองก็ไม่แน่ใจ แม้แต่การหาทางเข้าโดย googlemap ก็ยังงง สุดท้ายอาศัยวิธีดูว่าคนข้างบนเดินออกมาทางไหนก็เดินย้อนเข้าไปตามทางที่เขาออกมา

IMG_2971
IMG_2972

ทางขึ้นสะพานเป็นบันไดเดินขึ้นได้สะดวก มีลิฟท์ให้บริการด้วย สวนบนสะพานแห่งนี้เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2563 เข้าใจว่าสามารถใช้พื้นที่จัดกิจกรรมการแสดงต่างๆได้ด้วย สามารถพารถเข็นมาเที่ยวเล่นได้ ทางเดินบนสวนแห่งนี้เป็นพื้นเรียบสามารถเข็นรถได้สุดทางและขึ้นลงด้วยลิฟท์ได้ แต่….. ทางเข้าออก ทางข้ามถนน ยังไม่แน่ใจว่ามีทางลาดตลอดแนวไหม เพราะฟุตบาทประเทศไทยไม่เคยถูกออกแบบเผื่อให้รถเข็นใช้งานได้ง่ายๆ

IMG_2990
ลวดลายบนพื้นเป็นการเล่นสีที่แตกต่างกันเพื่อให้ดูเหมือนบันได แต่จริงๆเป็นทางเรียบทั้งหมด

สวนสาธารณะบนสะพานมีคนมาใช้บริการอยู่ค่อนข้างเยอะ มีพื้นที่นั่งดูวิวเยอะ ถ้ามีการจัดงานแสดงแสงสีเสียงในแม่น้ำเจ้าพระยาก็น่าจะมีคนมาเต็มสะพาน ผมขึ้นจากฝั่งปากคลองตลาด มองไปทางทิศตะวันออกจะเห็นวิวตึกสูงสวยงาม ถ้ามองไปทางทิศตะวันตกจะเห็นสะพานพุทธและพระปรางค์วัดอรุณ บรรยากาศน่านั่งเล่นหรือดูวิวได้เพลินๆ มีหลายคนมานั่งดูวิวพระอาทิตย์ตกที่ด้านวัดอรุณ

IMG_2983
IMG_3003
IMG_3002
IMG_3010
IMG_3025
IMG_3028

เพื่อเดินดูรอบแล้วก็เลยตัดสินใจรอเวลาให้ค่ำลงอีกนิด รอให้ท้องฟ้าเริ่มมืดภาพถ่ายจะได้ถ่ายเป็นสีฟ้าเข้ม พร้อมกับรอให้ถนนเปิดไฟเต็มที่ แสงไฟและสีท้องฟ้ายามเย็นจะได้ถ่ายรูปได้อารมณ์อีกแบบหนึ่ง ระหว่างที่รอเวลาก็ถ่ายเล่นหามุมวางกล้องไปเรื่อยๆ

IMG_3069
dpp-IMG_3075
dpp-IMG_3073

การถ่ายภาพตอนเย็นไปสู่ค่ำจะมีเวลาถ่ายไม่นาน เพราะสภาพแสงเปลี่ยนค่อนข้างเร็ว จังหวะเวลาที่ฟ้าเริ่มมืดและไฟตึกไฟเรือเริ่มเห็นชัดจะมีเวลาช่วงสั้นๆ ต้องหามุมวางกล้องไว้ล่วงหน้า การถ่ายภาพแสงโพล้เพล้แบบนี้จะให้ดีต้องมีขาตั้งกล้องมาด้วย และภาพสายน้ำที่พริ้วไหวก็ควรถ่ายด้วยเทคนิคเปิดหน้ากล้องนานๆ ซึ่งก็จำเป็นต้องใช้ขาตั้งกล้องด้วย แต่ผมไม่ได้พกไปก็ใช้วิธีวางกล้องไว้กับราวสะพานแล้วพยายามตั้งค่าการถ่ายให้กล้องรับแสงนานหลายๆวินาที

IMG_3078

สวนสาธารณะขนาบข้างซ้ายขวาด้วยถนนที่มีรถวิ่ง เสียงรถวิ่งดังรบกวนตลอดเวลา และถ้าเป็นจังหวะรถติดหรือรถเยอะก็น่ากังวลเรื่องควันรถอยู่เหมือนกัน ผมรอเก็บภาพจนสภาพแสงน้อยลงไปเรื่อยๆ ฟ้าสีฟ้ากลายเป็นสีน้ำเงินเข้มและกลายเป็นสีดำในที่สุด สุดท้ายฟ้ามืดก็เก็บกล้องและเดินกลับ ซึ่งตอนเดินกลับนี่จะมืดมาก มืดจนรู้สึกว่าอาจจะเกิดอันตรายได้ ในใจคิดว่าจะมีใครดักปล้นดักตีหัวเอากล้องไหม สาวๆเดินกลับจะปล่อยภัยไหม เรื่องเหล่านี้มีโผล่ให้คิดตอนเดินผ่านที่มืดๆใต้สะพานเพื่อจะกลับบ้าน

IMG_3083

สำหรับคนที่จะไปถ่ายรูปเล่น

1 เตรียมขาตั้งกล้องแข็งแรงไปด้วยและควรเป็นขาตั้งที่ยืดได้สูงๆ เพราะขอบกันตกสูงในบางจุด

2 เตรียมฟิลเตอร์ ND ลดแสงได้เยอะๆไปด้วย เอาไว้ถ่ายภาพวิวพื้นน้ำนิ่งๆ (เทคนิค long exposure)

3 พาเพื่อนไปด้วย ขากลับมันมืดและดูอันตราย

4 พกไฟฉายด้วย ตอนเดินออกมืดแล้ว ไม่มีไฟแสงสว่างที่ทางเดินออกถนน

5 ที่จอดรถใกล้ๆไม่รู้ว่าจอดตรงไหน ผมจอดที่ตลาดพาหุรัดแล้วเดินมา ชม.ละ 30 บาท

6 เอาที่อุดจมูกไปด้วย ตอนเดินเข้าและเดินออกจากสวนยังคงได้กลิ่นฉี่กลิ่นขยะรุนแรง

ฝากผู้อ่านส่งลิงค์นี้ให้ผู้ว่า กทม ได้อ่านด้วย

รีวิวกล้อง Fuji instax mini41

ในอดีตเมื่อปี คศ 1944 มีคุณพ่อคนหนึ่งถ่ายภาพลูกสาวด้วยกล้องถ่ายภาพที่มีอยู่ในยุคนั้น พอถ่ายภาพเสร็จลูกสาวก็ถามว่าทำไมไม่มีภาพให้ดูเลย เป็นคำถามจากเด็กที่ทำให้พ่อทำการค้นคว้าหาวิธีถ่ายภาพที่จะได้ภาพออกมาทันที และในที่สุดก็สร้างนวัตกรรมน่าทึ่งขึ้นมาจนกลายเป็น กล้องโพลารอยด์ กล้องที่ถ่ายภาพแล้วได้ภาพเลย และได้เปิดตัววางขายในปี 1948

IMG_1917

กล้องที่ถ่ายภาพแล้วได้ภาพทันทีเรียกว่า instant camera โดยยี่ห้อแรกที่พัฒนาขึ้นมาก็คือบริษัทโพลารอยด์ ส่วน Fuji จะเข้าสู่ตลาด instant ในปี 1998 และเริ่มขายกล้องกับฟิล์มเรียกชื่อว่า instax ต่อมาบริษัทโพลารอยด์ค่อยๆเสื่อมความนิยมและสูญเสียตลาดไปเกือบหมด เหลือเพียงบริษัทญี่ปุ่นเท่านั้นที่ยังคงทำระบบ instant camera

IMG_1948

กล้อง instax รุ่นล่าสุดรุ่นหนึ่งของปี คศ 2025 ก็คือรุ่น instax mini41 ซึ่งเป็นกล้อง instant camera ที่ใช้แผ่นฟิล์มขนาดเท่าบัตรเครดิต ชื่อเรียกของภาพขนาดเล็กนี้เรียกว่า instax mini โดยมีพื้นที่ของภาพ 62×46 mm. แนวตั้ง โดยกล้องก็ออกแบบมาให้จับถือแนวตั้ง ถ่ายภาพแล้วได้ภาพแนวตั้ง ส่วนขนาดภาพอื่นที่ fuji ทำออกมาก็มีอีก 2 ระดับคือ instax square ให้ภาพขนาด 62×62 mm และขนาดใหญ่ที่สุดเรียกว่า instax wide ขนาดภาพ 99×62 mm

Mini
Square
Wide

mini41 มีหน้าตาสวยงาม ออกแบบเป็นโทนสี ดำเทา พิมพ์ตัวหนังสือกำกับด้วยสีส้มและสีขาว เป็นดีไซร์ที่ดูทันสมัยผสมย้อนยุคนิดๆ มีการปรับปรุงสเป็คให้ทันสมัยลดข้อผิดพลาดที่ระบบ instax เดิมเคยมี เช่น มีระบบวัดแสงเพื่อตั้งค่าความไวชัตเตอร์อัตโนมัติ นั่นหมายถึงกล้องจะวัดแสงพอดีเสมอ เหมือนระบบ aperture piority ในกล้องโปร ไม่เหมือนกล้อง instax รุ่นเก่าที่มีความเร็วชัตเตอร์ตายตัวซึ่งจะทำให้ภาพ instax มักมีความมืดในฉากหลังเป็นส่วนใหญ่ ส่วนฉากหน้าหรือตัวคนก็จะได้รับแสงแฟลชในระดับที่พอดี ภาพถ่ายคนที่มีด้านหลังดำมักเป็นภาพจำของ instax ในอดีต

IMG_1912

mini41 ต้องใส่ถ่านขนาด AA จำนวน 2 ก้อน ถ่าน 1 ชุดสภาพสมบูรณ์จะถ่ายภาพได้ประมาณ 100 ภาพ การถ่ายภาพทุกครั้งจะยิงแฟลชออกไปด้วยไม่สามารถสั่งปิดได้ กล้องไม่มีรูเสียบขาตั้งกล้อง และไม่มีการตั้งเวลาถ่ายภาพ รวมถึงไม่มีระบบถ่ายภาพซ้อนหรือชัตเตอร์ B ด้วย ซึ่งลูกเล่นระดับโปรเหล่านี้จะอยู่ในกล้องรุ่นท๊อป นั่นหมายความว่า mini41 เป็นกล้องสำหรับมือสมัครเล่นและสำหรับคนที่ชอบถ่ายภาพโดยไม่ต้องคิดเยอะ

IMG_1923

กล้องสามารถปรับหน้าเลนส์บิดไปตำแหน่งการถ่ายมาโคร จะเป็นการเปลี่ยนระยะโฟกัสของเลนส์ให้มีระยะชัดประมาณ 30-50 cm ซึ่งพอดีสำหรับการถ่ายภาพเซลฟี่ หรือถ่ายภาพสิ่งของระยะใกล้ ส่วนการโฟกัสปกติจะอยู่ที่ระยะ 50-infinity สิ่งที่ปรับปรุงจากรุ่นเก่าอีกอย่างหนึ่งก็คือช่องมองภาพจะมี 2 ระยะ ระยะปกติ และระยะมาโครที่จะแก้ไขการถ่ายภาพระยะใกล้ไม่ให้เอียงข้างหรือแก้พาราแล็กซ์ การใช้ mini41 ก็จะทำให้เราสามารถเล็งจุดสนใจให้อยู่กลางภาพได้เสมอไม่ว่าจะถ่ายไกล หรือ ใกล้ เลือกโดยการบิดเลนส์จากระยะปกติไปสู่มาโคร และหากเราจะถ่ายภาพตัวเองหรือถ่ายเซลฟี่ก็ต้องเลือกระยะเป็นมาโคร

image

ภาพที่ถ่ายจากกล้อง instax จะไหลออกจากกล้อง และใช้เวลาสร้างภาพประมาณ 90 วินาทีถึงจะขึ้นภาพครบและดูสวยงาม แต่จากการใช้งานจริง เมื่อครบ 90 วินาทีแล้วภาพยังมีคอนทราสต์และส่วนสีดำที่ยังไม่สมบูรณ์ เราอาจจะต้องรอสัก 10 นาทีเพื่อให้ภาพคงที่และส่วนสีดำค่อยข้างดำตามจริง และเมื่อสีคงที่แล้วภาพจะอยู่สภาพนั้นไปอีกนาน สามารถเก็บไว้ดูได้อีกหลายปี ถ้าเก็บดีแบบไม่โดนแสงแดดโดยตรง หรือเก็บในอัลบั้มภาพที่มีการเปิดปิดบังแสงได้ ภาพจะคงสภาพนั้นได้นานมาก แต่ถ้าภาพโดนแสงแดดโดยตรง ในเวลาไม่กี่ปีภาพจะจางลงไปเรื่อยๆ การเก็บรักษาจึงจะต้องเก็บภาพให้ดีระวังไม่ให้โดนแสงแดดโดยตรง

IMG_20251003_171411344

ทุกภาพที่ถ่ายจะเปิดแฟลชเสมอ ถ่ายภาพคนจะได้หน้าคนสว่างพอดีจากแฟลช และฉากหลังจะได้แสงพอดีจากระบบการวัดแสงอัตโนมัติ

IMG_20251005_123203966

แสงภายนอกเหมาะสมอย่างยิ่งกับการถ่ายภาพด้วยกล้อง instax ค่าแสงที่ฉากหลังพอดี ความสว่างบนตัวคนก็พอดี ลักษณะท้องฟ้าสว่างแสงจ้ามีเมฆบังแดดนิดหน่อย

IMG_20251005_153548590

การถ่ายภาพภายในรถตอนกลางวันก็ให้รูปที่ได้รับแสงพอดีทั้งฉากหลังและหน้าของคน แสงแฟลชทำให้ตัวคนสว่างพอดี ส่วนด้านฉากหลังไม่มืดดำเพราะกล้องวัดแสงตามจริง ระบบอัตโนมัติสั่งความไวชัตเตอร์ให้เปิดรับแสงนานพอจะรับแสงจริง ก็ได้ภาพตามที่เห็น

IMG_20251004_123902737

หากเราจะปิดแฟลชเราจะต้องใช้วิธีบังแสงแฟลชไปเลย บางคนอาจใช้เทปกาวปิด แต่ถ้าไม่อยากติดเทป เอานิ้วบังแฟลชแทนก็ได้ ภาพก็จะได้แสงจริงของสถานที่นั้นโดยไม่มีความสว่างของแฟลชมารบกวน แต่การถ่ายภาพในที่แสงน้อยกล้องจะเปิดชัตเตอร์ได้นานสุดไม่เกิน 1/2 วินาที ประกอบกับการถ่ายระยะใกล้เลนส์จะสูญเสียแสงไปอีกเล็กน้อยอาจจะ 1-2stop ทำให้ภาพมีสีเข้มหรืออันเดอร์ หากสภาพแสงจริงมีน้อยเกินไปภาพก็จะดูเข้มหรือดูมืดกว่าที่ควร ลองดูภาพเปรียบเทียบแสงจริงที่ใช้โทรศัพท์มือถือถ่าย

IMG_20251004_102141251

สเป็คกล้อง
ฟิล์มที่ใช้ ฟิล์มอินสแตนท์ FUJIFILM instax™ mini (จำหน่ายแยก)
ขนาดรูป 62 × 46 มม.
เลนส์ ทางยาวโฟกัส 60 มม. รูรับแสง _F 12.7
ช่องมองภาพ อัตราขยาย 0.37x พร้อมแก้ไขตำแหน่งของวัตถุในโหมดถ่ายระยะใกล้
ระยะถ่าย 0.3 เมตร ขึ้นไป โหมดถ่ายระยะใกล้ตั้งแต่ 0.3 – 0.5 เมตร
ชัตเตอร์ โปรแกรมชัตเตอร์อิเล็กทรอนิกส์ 1/2 ถึง 1/250 วินาที สโลว์ซิงค์สำหรับแสงน้อย
การควบคุมแสง อัตโนมัติ, Lv 5.0 ถึง 14.5 (ISO 800)
ระยะเวลาในการแสดงภาพ ประมาณ 90 วินาที ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและอุณหภูมิ
Flash เวลาชาร์จแฟลช: 7 วินาที ช่วงใช้แฟลชที่มีประสิทธิภาพ: 0.3 ถึง 2.2 ม.
แหล่งจ่ายไฟ แบตเตอรี่ AA 2 ก้อน
ระบบอัตโนมัติ หลังจาก 5 นาที
ขนาด (กว้าง x สูง x ลึก) 104.5 × 122.5 × 67.5 มม.
น้ำหนัก 345 กรัม ไม่รวมแบตเตอรี สายคล้อง และฟิล์ม

ข้อดี
ให้ภาพฉากหลังไม่มืดเพราะมีระบบชัตเตอร์อัตโนมัติ จะวัดแสงพอดีเสมอ
ฟิล์ม fuji instax หาซื้อง่ายมาก และราคาถูกกว่ายี่ห้ออื่น
มีระบบมาโคร
มีช่องมองภาพที่แก้ไขปรับตามระยะโฟกัส

ข้อเสีย
ไม่มีรูขาตั้งกล้อง
ไม่สามารถปิดแฟลชได้
ไม่มีระบบตั้งเวลาถ่าย

สรุปยาวๆ
ภาพจากกล้อง instax รุ่น mini11 mini12 mini40 mini41 จะเป็นกล้องที่ใช้ระบบชัตเตอร์อัตโนมัติ เปลี่ยนความไวชัตเตอร์เพื่อควบคุมปริมาณแสง และกล้องจะมีระยะทำงานของชัตเตอร์อยู่ที่ 1/2 – 1/250 วินาที มีนักถ่ายภาพบางคนเคยบ่นว่า ภาพ instax จากกล้อง mini11 mini12 จะมีภาพที่สว่างหรือโอเวอร์เกินไปในสภาพแสงจ้า ซึ่งน่าจะเกิดจากแสงแดดจัดมากและความไวชัตเตอร์ขึ้นได้ไม่สูงนั่นเอง เป็นปัญหาปกติที่เกิดกับกล้องความไวชัตเตอร์น้อยเกินไป

กล้อง instax ที่มีความไวชัตเตอร์สูงกว่านี้ คือกล้องรุ่น mini90 mini99 mini70 เป็นกล้องสเป็คโปร ความไวชัตเตอร์สามารถขึ้นได้สูงถึง 1/400 วินาที หรือสูงกว่าเกือบ 1stop เมื่อเทียบกับรุ่น mini11 mini12 mini41 ทำให้สามารถถ่ายภาพในสภาพแสงแดดจัดมากได้ดีกว่า จะให้ภาพที่ดูไม่โอเวอร์เกินไป และกล้อง mini90 mini99 จะรองรับการใช้งานแบบโปร คือมีรูติดขาตั้งกล้อง สามารถตั้งค่าการถ่ายภาพซ้อนได้ สามารถปิดแฟลชได้

กล้องรุ่นสมัครเล่นอย่างรุ่น mini8 mini9 เป็นกล้องที่ใช้ความไวชัตเตอร์คงที่ประมาณ 1/50 วินาที แต่สามารถเปลี่ยนรูรับแสงได้ 5 ระดับ ทำให้สามารถรองรับสภาพแสงได้กว้าง และทำให้ถ่ายภาพในสภาพแสงจ้ามากๆได้ดี ให้ภาพที่ไม่โอเวอร์ในสภาพแสงที่แดดจัด แต่ก็ต้องอาศัยการดูหลอดไฟแสดงผลว่าต้องบิดหน้ากล้องไปที่รูรับแสงเท่าไหร่ตามการวัดค่าแสงของกล้อง กล้องกลุ่มนี้เป็นกล้องที่ต้องทำความเข้าใจการวัดแสงบ้างเล็กน้อย ควรจะอ่านคู่มือกล้องก่อนใช้ ซึ่งหลายคนก็ไม่ได้อ่าน นั่นทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่การทำกล้องที่ใช้ระบบชัตเตอร์อัตโนมัติอย่าง mini11 mini12 mini41 นั่นเอง

สำหรับ mini41 เป็นกล้องที่มีหน้าตาสวย มีฟังค์ชั่นพื้นฐานสำหรับการถ่ายภาพแบบไม่ต้องคิดอะไร หยิบออกมาเล็งแล้วกดถ่ายได้เลย ช่องมองภาพปรับเปลี่ยนเพื่อแก้ไขให้ตรงกับการถ่ายภาพระยะใกล้ได้ เสียดายตรงที่ไม่มีรูติดขาตั้งกล้อง และไม่มีการตั้งเวลาถ่าย มันขาดอยู่สองอย่างเท่านั้นก็จะกลายเป็นกล้องที่สมบูรณ์แบบสำหรับมือสมัครเล่น

แถม

IMG_2793

กระเป๋าใส่กล้อง mini41 ก็มีทำขายโดยเฉพาะเลย ดีไซร์รูปทรงไปในแนวทางเดียวกันกับกล้อง สีสันก็เข้ากัน สินค้าชิ้นนี้ไม่มีขายเป็นทางการในประเทศไทย แต่มีขายในญี่ปุ่นราคา 4290 เยนที่ร้าน bigcamera ประเทศญี่ปุ่น ส่วนในไทยคงต้องหาจากเว้บ shoping ต่างๆ ซึ่งผมก็ได้มากจากเว็บเช่นกัน ราคาถูกกว่าไปซื้อที่ญี่ปุ่นซะงั้น แปลกดี

เที่ยววัดกับช่างภาพมันก็จะได้ภาพแบบนี้

เที่ยววัดกับช่างภาพมันก็จะได้ภาพแบบนี้

1739977151851-01
1740053908968
1740033674183
1740033674116
1740033674093
1740033674049
1740033674145
1740033674038
1740033673976
1740033674008

งานขาวดำ

ความสนุกในการถ่ายภาพมันเกิดจากเราได้อยู่กับภาพนั้นนานมากโดยที่เราไม่รู้ตัว มันเริ่มจากเรื่องราวของกิจกรรมที่เรากำลังทำ มีส่วนร่วม เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ ไม่ว่าจะเป็นชีวิตประจำวัน การเดินทาง การท่องเที่ยว หรือการทำงาน เมื่อเราเป็นคนในเหตุการณ์ เราจะเห็นภาพเหตุการณ์ด้วยตา และเมื่อเราหยิบกล้องมาบันทึกภาพ มันคือจังหวะที่เราบันทึกสิ่งที่เราอยากจดจำและมันเป็นภาพที่เราเลือกแล้วว่าจะเก็บไว้นานๆ

IMG_20240629_133910

เราหยิบกล้องขึ้นมา มันเป็นกล้องที่เราเตรียมไว้ก่อนจะออกจากบ้าน เราเตรียมเครื่องมือตั้งแต่ก่อนเหตุการณ์จะเกิด เรามีความพยายามโดยไม่รู้ตัว และเมื่อถ่ายภาพเสร็จ เราจะส่งฟิล์มไปล้าง แม้โลกนี้จะมีกล้องดิจิทัลมากกว่าจำนวนมนุษย์ในโลก แต่เราก็ยังใช้กล้องฟิล์มในบางวัน ซึ่งบางวันนี้แหละคือภาพจำชั้นดีที่จะอยู่กับเราได้นานเกินคาด และอาจจะนานกว่าภาพดิจิทัลในโทรศัพท์มือถือเสียด้วย

การล้างฟิล์มเราเลือกวิธีล้าง เลือกร้าน ถ้าเป็นฟิล์มสีกับฟิล์มสไลด์เราจะส่งไปล้างที่ร้านขาประจำ ฟิล์มขาวดำเราสามารถล้างเองได้ถ้าเคยฝึกล้าง ตอนล้างฟิล์มเราจะถือฟิล์มในมือเราไปอีกอย่างน้อย 10 นาทีแล้วแต่สูตรเคมี สมาธิเราจะอยู่กับเวลาที่แม่นยำ ถ้าเรานับเวลาผิดฟิล์มก็อาจจะมืดหรือสว่างเกินไป และตอนนี้ก็เป็นช่วงลุ้นด้วยว่าเมื่อล้างแล้วจะได้ภาพที่ดีไหม เมื่อล้างเสร็จ ก็เข้าสู่การตากหรือทำให้แห้ง การรอฟิล์มแห้งก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง เราจะเห็นภาพบนฟิล์มขาวเป็นดำ ดำเป็นขาวตั้งแต่ตอนตาก เราจะเห็นว่าทั้งม้วนมีกี่ภาพ มีภาพเสียไหม มีภาพที่ดีไหม มีส่วนไหนที่ดำเกินไป หรือ ฟิล์มใสเกินไป

พอฟิล์มแห้ง ถ้าเป็นร้านก็จะใช้ฟิล์มทั้งม้วนไปสแกนได้เลย แต่ถ้าล้างฟิล์มเองที่บ้าน เราจะต้องตัดฟิล์มเพื่อเก็บเข้าซองพลาสติก ซองพลาสติกเราใส่ได้ 6 ภาพต่อแถว เราก็ต้องจับแผ่นฟิล์มแล้วนับ6 ภาพแล้วตัดฟิล์ม มือใหม่บางคนก็ตัดเบี้ยว มือเก่าที่ทำบ่อยจะตัดได้ชัวร์กว่า เราจะเห็นแต่ละภาพบนฟิล์ม เราจะเล็งตัดอย่างระวังเพื่อไม่ให้รอยตัดเบี้ยวไปโดนส่วนของภาพ หลังจากขั้นตอนนี้เราจะพร้อมนำไปอัดขยาย หรือบางคนก็นำไปสแกนด้วยเครื่องสแกนฟิล์มอย่างง่าย ผมใช้วิธีติดฟิล์มบนกล่องไฟ แล้วใช้กล้องดิจิทัลถ่ายภาพฟิล์มนั้นตรงๆ จากนั้นใช้ซอร์ฟแวร์ปรับแต่งให้ภาพกลับมาเป็นโทนขาวดำปกติ ปรับความเข้มอ่อน ส่วนขาว ส่วนเทา ส่วนดำ จนได้ภาพที่ชอบ

กว่าจะเป็นภาพให้เราได้ชื่นชม เราผ่านขั้นตอนต่างๆจำนวนมาก เราได้อยู่กับภาพที่เราตั้งใจถ่ายนานมากตั้งแต่ต้นจนจบ ได้ลุ้นว่าจะดีตามที่ตั้งใจไหม มันเป็นช่วงเวลาที่เราได้ความสนุกจากการใช้ฟิล์ม ขั้นตอนที่เยอะและเวลาที่ยาวนานแบบนี้ทำให้เราเกิดความชอบ ประทับใจในภาพ และรับรู้ว่ามันสร้างผลกระทบกับหัวใจมากกว่ากล้องดิจิทัล นี่คือเสน่ห์ของการถ่ายภาพด้วยฟิล์ม เป็นความทรงจำที่เรามีส่วนร่วมกับมัน.

fuji instax evo แสดงวันที่

ในยุคสมัยของกล้องฟิล์ม กล้องถ่ายภาพส่วนมากจะไม่มีการแสดงวันที่ในภาพ แต่กล้องรุ่นที่สามารถใส่วันที่ลงไปในฟิล์มซึ่งจะทำให้ภาพที่อัดขยายออกมาเห็นวันที่กำกับอยู่ก็จะมีราคาสูงขึ้นกว่ารุ่นปกติเล็กน้อย นักถ่ายภาพระดับจริงจัง ระดับทำงานมืออาชีพมักจะไม่ชอบให้มีการพิมพ์วันที่ลงไปในฟิล์ม เพราะมันเป็นการรบกวนภาพ ทำให้ดูไม่สวย

ส่วนในยุคของกล้องดิจิทัล ระบบแสดงวันที่ในภาพไม่มีแล้ว เพราะไฟล์ดิจิทัลมีข้อมูลการถ่ายภาพที่สำคัญบันทึกไว้ เราสามารถดูคุณสมบัติต่างๆของไฟล์ดิจิทัลได้ สามารถดูวันที่ เวลาถ่ายภาพ ค่าความไวชัตเตอร์ รูรับแสง ความไวแสงของเซ็นเซอร์ ดูได้ละเอียดมาก ส่วนภาพที่พิมพ์ออกมาเป็นกระดาษจากไฟล์ดิจิทัลก็จะไม่มีวันที่บอกไว้ เมื่อเวลาผ่านไปนานสักหน่อยเราก็อาจจะลืมวันเวลาของเหตุการณ์ไปแล้ว

DSCF0593
ภาพจากไฟล์ดิจิทัล ไม่มีวันที่กำกับไว้

ในยุคปัจจุบันกล้องดิจิทัลบางรุ่นเริ่มใส่วันที่เข้ามาแสดงในหน้าจอ เพราะเป็นความนิยมอดีตชนิดหนึ่งที่ช่างภาพยุคนี้โหยหา กล้อง Fuji instax evo เป็นกล้องดิจิทัลที่สามารถพิมพ์ภาพบนฟิล์ม instax ได้ และตัวกล้องก็มีลูกเล่นการแสดงวันที่ด้วย เราสามารถตั้งค่าเพื่อดูวันที่ในภาพได้เลยบนจอ และวันที่นั้นก็สามารถจะถูกพิมพ์ติดออกมากับภาพด้วย ซึ่งในทางเทคนิค ไฟล์ดิจิทัลในกล้องไม่ได้ถูกใส่ภาพวันที่เอาไว้ กล้องใช้ซอร์ฟแวร์แสดงวันที่ให้เห็นตอนดู และตอนพิมพ์เท่านั้น ถ้าเราก็อปปี้ไฟล์ไปเปิดในเครื่องคอมพิวเตอร์ตัวอื่นๆ ส่วนของวันที่ซึ่งแสดงผลในภาพด้วยสีส้มก็จะไม่มีให้เห็น ดูจากภาพตัวอย่างในโพสท์นี้ภาพแรก ที่เป็นภาพจากแผ่นหน่วยความจำ

IMG_20250824_081518510
ภาพที่พิมพ์ออกมาเป็นใบจะมีวันที่สีส้มกำกับไว้ด้านมุมขวาล่าง

ภาพที่สองจะเป็นภาพจากการพิมพ์ออกมา ตัวหนังสือบอกวันที่ซึ่งเป็นสีส้มจะแสดงอยู่ในแผ่นภาพ(แผ่นฟิล์ม) ให้ความรู้สึกเหมือนดูภาพถ่ายสมัยเด็กๆ(โบราณ) มีข้อดีคือเรารู้ว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นเมื่อใด ช่วงปีไหน ช่วยทำให้ความทรงจำชัดเจนยิ่งขึ้น ยิ่งคนดูอายุเยอะขึ้นยิ่งต้องการวันที่ในภาพประกอบด้วย

IMG_20250824_085614854

กล้อง Fuji instax Evo เป็นกล้องดิจิทัลที่พยายามทำตัวให้โบราณ เป็นส่วนผสมของความทันสมัยโดยการใช้กล้องดิจิทัล แต่เลียนแบบผลลัพธ์ของยุคอดีต ยิ่งใช้งานก็ยิ่งรู้สึกสนุก ติดขัดอยู่อย่างเดียว คุณภาพของภาพจากกล้องตัวนี้ค่อนข้างต่ำ ความละเอียดไม่มาก ถ่ายในสภาพแสงน้อยไม่สวย

ส่องดูผนังเซลล์ไม้ก๊อก

ภาพวาดของเซลล์จากไม้คอร์กจากกล้องจุลทรรศน์
ที่มา หนังสือ Micrographia

โรเบิร์ต ฮุค ( Robert Hooke) เป็นคนแรกที่บัญญัติศัพท์คำว่า เซลล์ (cell) เขาเริ่มส่องชิ้นส่วนไม้ค็อกโดยกล้องจุลทรรศน์และพบกับแพทเทิลน่าสนใจ และได้วาดภาพประกอบ จนนำไปสู่การทำเป็นหนังสือชื่อ Micrographia ตีพิมพ์ในปี คศ 1665 และการเรียนการสอนของนักเรียนมัธยมในวิชาวิทยาศาสตร์ก็มีให้ได้ทดลองส่องดูเซลล์เช่นกัน และที่บ้านมีกล้องจุลทรรศน์ก็เลยเอาไม้ค๊อกมาส่องเล่นและบันทึกภาพเก็บไว้

DSC07787
IMG_20250524_204156335

ออกแบบ Rollup

ลูกค้าประจำท่านหนึ่งอาชีพทำสำนักงานบัญชี ได้แจ้งว่าจะใช้สื่อไปออกงานสัมมนา อยากได้ Rollup ชุดหนึ่ง ขอให้ช่วยออกแบบและผลิตให้หน่อย

ผมมีภาพถ่ายของพี่ท่านนี้แล้ว เคยทำนามบัตรและแฟ้มใส่เอกสารให้สำนักงานนี้อยู่แล้ว ก็เลยนำสต๊อคภาพต่างๆมาจัดวางใหม่ กำหนดสัดส่วนเป็นภาพแนวตั้ง ความยาวโรลอัพที่ต้อการใช้คือ 80x200cm

rollup 80x200 วิทยา tnc2025 (80 x 200 ซม.) - v2-rollup 80x200 วิทยา tnc2025 (80 x 200 ซม.) wittaya heritage

ออกแบบด้วยความตั้งใจจะให้ขนาดภาพมีขนาดใกล้เคียงตัวจริง เพื่อให้ตอนใช้งานภาพจะมีขนาดเหมือนเชิญตัวจริงมานั่งเป็นแบบ

IMG_1794

IMG_1796

ใช้แฟลชปรับปรุงภาพ

PHOTO_COLLAGE1553348756275

สองภาพนี้เป็นรูปของพ่อผมเองที่นั่งอยู่ในห้องพักโรงพยาบาล จากการป่วยหนักอยู่หลายวัน พอถึงวันที่จะออกก็นั่งเล่นอ่านหนังสือพิมพ์สบายใจ ผมไปรับพร้อมกล้องถ่ายรูป ช่วงนั้นพกกล้อง yashica 635 ติดตัว เป็นกล้องที่ถ่ายภาพขนาด 6x6cm ใช้ฟิล์ม 120 ฟิล์ม 1 ม้วนจะถ่ายได้ประมาณ 10 ภาพ

ภาพแรกถ่ายตอนที่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ริมหน้าต่าง แสงจากด้านนอกสว่างมาก ส่วนแสงในห้องก็อยู่ในระดับปกติ หากเทียบกับแสงภายนอกก็น่าจะมีความแตกต่างกันหลายสต๊อป เลยตัดสินใจถ่ายภาพเลือกค่ารูรับแสงที่พอดีกับการใช้แฟลชที่พกมาด้วย เจตนาภาพหลักคือภาพที่ใช้แฟลช แต่ถ่ายภาพแรกถ่ายโดยปิดแฟลชเสียก่อน ได้ภาพแรกแล้วก็หยิบแฟลชขึ้นมา เสียบสายซิงค์กับกล้องแล้วปรับตั้งแฟลชให้ส่องขึ้นเพดานห้อง ตั้งใจใช้เทคนิคการเบ๊าซ์แฟลชเพื่อให้แสงแฟลชสะท้อนเพดานและแสงจะมีความนุ่มนวล ตั้งค่าของแฟลชเป็นแบบ Auto 2.8 คือแฟลชจะยิงแสงออกไป และมีเซ็นเซอร์หน้าแฟลชคอยวัดค่าแสง เมื่อค่าความสว่างบนวัตถุหรือตัวแบบพอดีกับค่า f2.8 ก็จะตัดการทำงาน ถ่ายเสร็จก็ได้ภาพสีสวยแบบภาพที่สอง

เพดานห้องพักเป็นสีขาว ความสูงไม่มากจึงสามารถเลือกใช้เทคนิคการเบ๊าซ์แฟลชได้ ฟิล์ม 120ม้วนนี้ความไวน่าจะ iso 160 ใช้กับกล้อง yashica 635 ที่มีรูรับแสงกว้างสุด 3.5 คิดหยาบๆก็คำนวณกำลังแฟลชให้เหมือนใช้รูรับแสง f4 บนฟิล์ม iso100 ก็ได้ เพราะใกล้เคียงกัน ก็เลยตั้งค่าแฟลชไปที่โหมด auto 2.8 เผื่อให้แฟลชเกินไว้ 1 สต๊อป การถ่ายภาพด้วยฟิล์ม จะคำนวณแสงแฟลชผิดไป 1 สต๊อป เป็นเรื่องที่ยังพอใช้งานได้ เพราะภาพแฟลชพอดี กับแฟลชอันเดอร์นิดหน่อย ก็ให้ภาพที่ดีได้ แค่คนละอารมณ์


IMG_0257

IMG_0267
IMG_0261

แฟลช Vivitar Automatic 2700 ตัวนี้เป็นแฟลชราคาไม่แพง ให้ฟังค์ชั่นการทำงานที่พอใช้งานสำหรับนักถ่ายภาพระดับเริ่มต้นแต่อยากจริงจัง ใช้เรียนรู้การทำงานกับแฟลชได้ เราสามารถใช้แบบ manual คำนวณค่าการเปิดรูรับแสงเอง หรือ ใช้แบบ Autoตั้งค่ารูรับแสงตามตารางด้านหลังก็ได้ แฟลชตัวนี้ซื้อในยุคปี คศ 1998 ซึ่งถึงปัจจุบันนี้แฟลชตัวนี้เปิดไม่ติดแล้ว

งานตีแบด 28jun2025

งานนี้เป็นการแข่งขันแบดมินตันของกลุ่มนักธุรกิจที่มีอยู่ได้กันหลายกลุ่ม ทั้งหมดก็นัดหมายมาตีแบดกัน ผมเป็นสมาชิกในกลุ่มหนึ่งก็เลยมาร่วมกิจกรรมด้วย แต่มาเป็นช่างภาพ มาเก็บภาพให้กับกลุ่ม ภาพถ่ายไว้เยอะ แต่เลือกบางภาพมาทำเป็นสีขาวดำแล้วก็รวมไว้ในเว็บคลิกดูได้ตามสะดวก

ข้อมูลการถ่ายภาพอยู่ด้านล่าง

IMG_0971
IMG_0981
IMG_0986
IMG_1018
IMG_1017
IMG_0996
IMG_0988
IMG_1035
IMG_1043
IMG_1052
IMG_1060
IMG_1063
IMG_1073
IMG_1075
IMG_1080
IMG_1087
IMG_1096
IMG_1097
IMG_1100
IMG_1113
IMG_1114
IMG_1117
IMG_1141
IMG_1145
IMG_1148
IMG_1157
IMG_1158
IMG_1179
IMG_1182
IMG_1185
IMG_1192
IMG_1194

แนวคิดของการเลือกทำภาพเป็นโทนขาวดำก็เพราะ กิจกรรมทั้งหมดทำในที่ร่ม เป็นภาพในอาคาร แสงในอาคารเป็นแสงที่ไม่แรงมาก ภาพสีที่ถ่ายในสภาพแสงน้อยจะมีคอนทราสต์ไม่มาก ให้ความแตกต่างของสีอ่อนและสีเข้มไม่มาก นั่นทำให้ภาพดูจืดไปกว่าปกติ เทคนิคหนึ่งที่เหมาะกับสภาพแสงน้อยคอนทราสต์ต่ำก็คือภาพขาวดำ เพราะภาพขาวดำจะสามารถเร่งให้คอนทราสต์สูงขึ้นได้โดยภาพยังมีความสวยงามอยู่ และส่วนมากภาพขาวดำก็มักจะเลือกถ่ายในสภาพแสงที่ไม่มีแดด นั่นคือคือสภาพแสงน้อยหรือแสงนุ่มจะเหมาะกับการถ่ายเป็นโทนขาวดำ ก็เลยเลือกที่จะทำภาพในชุดนี้เป็นขาวดำนั่นเอง

ภาพชุดนี้ถ่ายด้วยกล้อง Canon Eos RP ติดเลนส์ canon EF 70-200 f2.8 ถ่ายภาพเป็น Raw + jpg โดยส่งไฟล์ jpg เข้าโทรศัพท์ แล้วใช้ app ที่ชื่อ snapseed ในการปรับสีให้เป็นขาวดำ กล้องรุ่นนี้เป็นกล้อง Full frame ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2019 แต่ผมเพิ่งจะได้ลองใช้งานในปี 2025 นี้ ค้นพบว่ากล้องมีความทันสมัยและออกแบบมาเพื่อให้ช่างภาพใช้งานได้สะดวกมากขึ้น มันพัฒนาไปจาก DSLR เยอะมาก และพัฒนาไปจาก mirrorless ยุคแรกของ Canon ซีรีส์ M ไปไกลมากเช่นกัน

ข้อดีที่ได้รับการปรับปรุงจากกล้อง DSLR ก็คือ กล้องจะมีความสามารถในการแก้ไขอาการภาพบิดโค้งหรือแก้ความเพี้ยนแบบโค้งจากในตัวกล้องเลย ภาพที่บันทึกเป็น jpg จะถูกแก้ไขให้เรียบร้อยแล้ว เดิมทีในกล้อง Dslr ถ้าเราถ่ายภาพด้วยเลนส์มุมกว้าง ส่วนของเสาหรือเพดานที่จะต้องเป็นเส้นตรงก็จะบิดโค้งให้เห็นในภาพ ซึ่งการแก้ไข Distortion ได้ในกล้องเลยเป็นจุดเด่นที่ถูกใจมาก ซึ่งเดิมทีเราจะต้องไปแก้ไขในขั้นตอนการแปลงไฟล์ Raw เป็น jpg

ความสามารถในการโฟกัสภาพทำได้รวดเร็วมาก และการติดตามวัตถุหรือการโฟกัสแบบแทรคกิ้งก็ทำได้สุดฉลาด มีความสามารถในการโฟกัสที่ดวงตาของแบบ ซึ่งเป็นสิ่งที่กล้อง DSLR ไม่เคยทำได้ ส่วนกล้อง Mirrorless อย่าง Eos m แม้จะมีความสามารถโฟกัสที่ใบหน้า แต่ก็โฟกัสช้าและบางทีก็มัวเบลอหลุดโฟกัสไปเฉยๆ แต่ RP ทำได้เร็วมากและแม่นยำสุดๆ ผมสามารถถ่ายภาพลูกเตะฟุตบอลวิ่งไปวิ่งมาในสนามได้คมชัดเกือบทุกภาพ ซึ่งจากเดิมที่เคยใช้ Dslr จะโฟกัสนักเตะได้ชัดบ้างไม่ชัดบ้างแบบครึ่งต่อครึ่ง