ทำลำโพงบลูทูธใช้เอง

ลำโพงฟังเพลงในยุคนี้น่าจะเป็นลำโพงที่รับบลูทูธกันเป็นส่วนใหญ่แล้ว เพราะทุกคนใช้สมาร์ทโฟน และฟังเพลงผ่านลำโพงหรือหูฟังบลูทูธกันทั้งนั้น ราคาลำโพงบลูทูธมีช่วงกว้างมาก ตั้งแต่ร้อยบาทไปจนถึงหลายหมื่นบาท ซึ่งราคามักจะเป็นตัวกำหนดคุณภาพไปกลายๆ

ด้วยความทันสมัยของยุคนี้ทำให้อะไหล่อิเล็คทรอนิกส์มีราคาไม่แพงและมีคุณภาพดี การจะทำลำโพงฟังเพลงด้วยตัวเองจึงไม่ใช่เรื่องยาก หาชิ้นส่วนต่างๆมาประกอบกันแล้วใช้ฝีมือตัวเองอีกเล็กน้อยในการเชื่อมสายเราก็จะได้ลำโพงบลูทูธที่เราสร้างเอง

IMG_20220410_141833

ในภาพนี้คือลำโพงบลูทูธที่ใช้ดอกลำโพงชนิดฟูลเรนจ์ซึ่งหมายถึงดอกลำโพงที่สามารถส่งเสียงย่านความถี่ต่ำไปถึงความถี่สูงได้ในดอกเดียว ทำให้เหมาะสำหรับการนำมาใช้งานเป็นลำโพงฟังเพลง หากเป็นสามสิบปีที่แล้วเราแทบจะหาลำโพงฟูลเรนจ์แบบนี้ไม่ได้เลย เพราะเทคโนโลยีการออกแบบและผลิตพัฒนาไปมากนั่นเอง ส่วนวงจรขยายก็เป็นบอร์ดอิเล็คทรอนิกส์สำเร็จรูปที่สามารถรับสัญญาณบลูทูธจากคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ได้ เมื่อบอร์ดแยกสัญญาณเสียงออกจากบลูทูธได้แล้ว ก็จะมีวงจรขยายเสียงทำหน้าที่ขยายสัญญาณให้มีพลังมากขึ้นเพื่อส่งไปยังดอกลำโพง สิ่งที่เราต้องทำก็เพียงแค่เชื่อมสายต่อไฟเลี้ยงหรือแบตเตอรี่ และต่อสายลำโพงไปยังดอกลำโพง จัดวางดอกลำโพงในตู้หรือกล่องที่เหมาะสม เราก็จะได้ลำโพงมาใช้เปิดเพลงฟังได้

IMG_5845

เรายังสามารถเลือกใช้วัสดุทำตู้ลำโพงได้ตามใจ ผมเลือกใช้ขวดพลาสติกเนื้อดีดูคล้ายแก้วมาเป็นตัวโครงสร้างหลัก ปกติดอกลำโพงจะส่งเสียงออกทางด้านหน้าและด้านหลังของตัวมัน ถ้าดอกลำโพงไม่ได้อยู่ในตู้ คลื่นเสียงด้านหลังลำโพงกับด้านหน้าลำโพงซึ่งมีเฟสเสียงตรงกันข้ามกันจะหักล้างกัน ทำให้เสียงบางและพร่าเลือน ฟังแล้วคุณภาพแย่ การเลือกใช้ตู้ลำโพงที่เหมาะสมจะทำให้เราป้องกันคลื่นเสียงด้านหน้าและด้านหลังมาหักล้างกัน การออกแบบตู้ลำโพงเป็นเรื่องที่มีการเรียนรู้กันอย่างจริงจัง มีทฤษฎีวงจรไฟฟ้า และหลักการทางวิศวกรรมรวมถึงสมการการคำนวณอีกหลายสมการ ซึ่งถ้าทำได้ก็ควรออกแบบตู้ลำโพงให้ถูกต้อง แต่หากต้องการเน้นความสวยงามไม่ลงลึกในทฤษฎีตู้ลำโพงมากนัก เราก็เลือกเน้นไปที่สิ่งที่เราอยากได้ อยากมอง แต่พยายามเลือกขนาดตู้หรือปริมาตรห่อหุ้มลำโพงให้เยอะๆเข้าไว้เท่าที่่จะทำได้ เพราะการออกแบบตู้ลำโพงอย่างถูกต้องจะเน้นไปที่การคำนวณหาขนาดตู้ที่เล็กที่สุดเท่าที่จะทำให้ลำโพงทำงานได้ตามที่เราต้องการ ส่วนวัสดุทำตู้ลำโพงก็มีทฤษฎีอธิบายไว้เช่นกัน เราต้องเลือกสิ่งที่แข็งแต่เบาเป็นหลัก แต่ถ้าเราไม่จำกัดขนาด เราใช้ตู้ใหญ่ไปเลย ใหญ่ให้เกินพอก็สามารถทำได้ และมันมักจะให้ผลที่ดีด้วย

1649518105163-01

ภาคจ่ายไฟเลือกใช้รังถ่านแบบใส่ถ่าน AA จำนวน 4 ก้อน เพราะบอร์ดสำเร็จรูปตัวนี้สเป็คบอกไว้ว่ารับไฟ 5 โวลท์ ซึ่งแบตเตอรี่แบบชาร์จได้จะมีไฟอยู่ที่ประมาณ 1.2 โวลท์ ต่อ 1 ก้อน นั่นทำให้ 4 ก้อนมีไฟ 4.8 โวลท์นั่นเอง แต่ผมก็เชื่อว่าถ้าใส่ไฟเลี้ยงมากกว่าเล็กน้อย หรือน้อยกว่าไม่มากก็น่าจะยังได้อยู่ เพราะวงจรไอซีในบัจจุบันมักจะพยายามออกแบบให้ทำงานได้ในย่านไฟเลี้ยงกว้างๆ คือมากหน่อย หรือ น้อยหน่อย ก็ยังทำงานได้นั่นเอง

การประกอบลำโพงใช้เองในครั้งนี้ใช้หลักการนำของที่อยากใช้มาติดตั้งรวมกัน ไม่ได้มีการคำนวณที่ละเอียด เพราะเราทำเป็นงานอดิเรก และเมื่อมันใช้งานร่วมกันได้ ส่งเสียงได้หากจะพัฒนาไปสู่การทำขายก็ไม่ใช่เรื่องยาก ส่วนคุณภาพเสียงเมื่อฟังแล้วก็ต้องยอมรับว่าอุปกรณ์เหล่านี้ทำงานได้ดี ให้คุณภาพเสียงที่ดี ข้อดีของตู้ลำโพงขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับดอกลำโพงทำให้ทั้งระบบสามารถส่งเสียงย่านความถี่ต่ำได้ดีขึ้น การตอบสนองความถี่เลยทำได้ครบครัน กับเพลงร็อคหรือเพลงโชว์เสียงย่านต่ำเราจะได้ยินเสียงกลองกระเดื่อง เสียงเบสที่เล่นโน้ตต่ำๆได้ชัดเจน แตกต่างไปจากลำโพงบลูทูธขนาดเล็กทั่วไปที่ทำมามักจะมีแต่กลางและแหลม เสียงเบสหาย มาถึงส่วนของเสียงกลางที่เป็นย่านเสียงร้องเสียงพูดของคนและเสียงความถี่สูงที่เป็นประกายของทุกเสียง ลำโพงทำเองตัวนี้ก็ทำหน้าที่ส่งเสียงได้ดีเป็นปกติ เพราะเสียงกลางและเสียงแหลมไม่ใช่เรื่องยากสำหรับลำโพงเลย

20220416185128_IMG_0425

พอได้ลำโพงที่เสียงพอใจแล้วก็ปรับปรุงหน้าตาและฟังค์ชั่นนิดหน่อย ใส่ไฟประดับเข้าไปด้วยเพื่อให้มันเป็นโคมไฟวางสวยๆในบ้าน วางพื้นก็สวย วางโต๊ะก็สวย วางข้างเตียงก็สวย

20220416193715_IMG_0432

หากจะปรับปรุงการทำงานของลำโพงตัวนี้ให้ดีขึ้น ก็อยากจะหาทางเพิ่มดอกลำโพงซับวูฟเฟอร์เข้าไปด้วย ซึ่งคงต้องย้ายไปอยู่ในกล่องหรือตู้ลำโพงที่ใหญ่ขึ้น และคงต้องเปลี่ยนวงจรขยายให้มีกำลังมากขึ้นด้วย แต่ก็จะทำให้สูญเสียความกระทัดรัดในทรงกระบอกนี้ไป ลำโพงทรงกระบอกนี้มีขนาดใหญ่ระดับเดียวกับแก้วน้ำ มันนำไปวางไว้ในช่องวางแก้วในรถยนต์ได้ ก็ขึ้นอยู่กับคนออกแบบว่าต้องการอะไร เลือกใส่หรือเลือกไม่ใส่อะไร เพราะการออกแบบเครื่องเสียงคืองานศิลปะที่ใช้ความรู้วิทยาศาสตร์นั่นเอง

1650111642376-01

รีวิว หูฟัง Hifiman Re400a

หูฟัง Hifiman Re400a เป็นหูฟังที่ออกมาภายหลังจากที่ Re400 ทำตลาดมาระยะหนึ่ง เนื่องจาก Re400 เป็นหูฟังที่เน้นการฟังเพลงจากเครื่องเล่นเพลงโดยเฉพาะ ส่วน Re400a เป็นหูฟังที่มีส่วนของไมโครโฟนด้วย คงตั้งใจทำออกมาให้ใช้กับโทรศัพท์ระบบปฏิบัติการ android เป็นหลัก โดยใช้ขั้วต่อแจ๊คชนิด Trrs ซึ่งเป็นแจ๊ค 3.5 มม. ที่มีขีดดำ 3 ขีด หรือ มีขั้วเชื่อมต่อทางไฟฟ้า 4 ขั้วนั่นเอง ส่วนฝั่ง iphone ก็จะมีรุ่น Re400i ออกมาด้วยเช่นกัน

ระบบการฟังเพลงในยุคปี 2022 กระแสหลักคือการฟังผ่านสมาร์ทโฟน หูฟังไร้สาย และหูฟังที่ต้องเสียบกับโทรศัพท์เป็นอุปกรณ์สำคัญสำหรับการฟังเพลงไปแล้ว และแหล่งโปรแกรมก็จะเป็นบริการ streaming จากหลายๆยี่ห้อ หูฟังที่ถูกทำขายในตลาดใหญ่ๆจะต้องรองรับการใช้งานกับโทรศัพท์เต็มรูปแบบ

20220111174222_IMG_0773

Hifiman Re400a เป็นหูฟังชนิด inear ในกล่องจะมีอุปกรณ์แถมมาจำนวนมาก นั่นคือมี จุกยางสำหรับเปลี่ยนขนาดให้พอดีกับหูของผู้ใช้ ในกล่องมีจุกยางจำนวน 7 คู่ รวมกับที่ติดมากับหูฟังด้วยอีก 1 รวมเป็น 8 คู่ ซึ่งจุกยางที่ติดมาจากโรงงานจะเป็นจุกยางสีดำ นอกจากนี้ยังแถมซองใส่หูฟังหรือกระเป๋าใส่หูฟัง ที่เป็นเหมือนกระเป๋าขนาดเล็กๆ รูปร่างกลม ขึ้นรูปเป็นทรงค่อนข้างแข็ง

20220111174249_IMG_0774

พอสินค้าตัวนี้มาถึงผม ก็ทดลองฟังทันที โดยหยิบหูฟังแกะออกจากกล่อง แล้วลองฟังเลย คุณภาพเสียงที่ได้ยินก็ตรงกับที่คาดไว้เหมือนเมื่อครั้งที่ทดลองฟังกับ Re400 รุ่นที่ยังไม่มีไมโครโฟน นั่นคือ เสียงไม่ได้เรื่องเมื่อฟังผ่านจุกยางสีดำที่ติดมาจากโรงงาน ผมก็ไม่รอช้า ลองเปลี่ยนทันที โดยเลือกเอาจากจุกยางอีก 7 คู่ที่มีให้ ผมรู้สึกว่าถ้าใช้จุกยางเล็กเกินไปเสียงเบสจะบาง ถ้าใช้จุกยางใหญ่เกินไปเบสจะหนาและทำให้กลางแหลมทึบ ส่วนจุกยางที่มีความยาวจะทำให้ตัวส่งเสียงถูกวางตัวห่างจากรูหูมากกว่าปกติก็จะทำให้เบสบางและเสียงกลางแหลมหดหาย ดังนั้นการเลือกจุกยากที่เหมาะกับรูปร่างของหูเราเองเป็นสิ่งสำคัญมาก ลองทดลองเปลี่่ยนให้ครบทั้ง7 คู่เพื่อหาเสียงที่ชอบที่สุด

20220216110128_IMG_0649

ผมเลือกเปลื่ยนจากจุกยางสีดำที่ติดมาจากโรงงานเป็นจุกสีขาวที่ขนาดเล็กที่สุดในกลุ่ม ผลการทดลองฟังได้บาลานซ์เสียงที่พอใจแล้ว ก็เลยเลือกจุกขาวคู่นี้เป็นหลักและใช้งานตั้งแต่วันที่ได้มา ระยะเวลาใช้บ้างไม่ใช้บ้างประมาณสองสัปดาห์ ผมก็เริ่มฟังอย่างจริงจัง

20220216110401_IMG_0654

Specification

Frequency Response : 15Hz-22KHz
Sensitivity : 102dB
Impedance : 32 Ohms+/- 3.2
Weight : 13.5g ( 0.47Oz )
Plug : 3.5mm
Maximum Input : 30mW

คุณภาพเสียง

re400a เป็นหูฟังอินเอียร์ ที่ให้ความสมดุลย์ของเสียงที่ดี ใช้เป็นตัวมอนิเตอร์ในการบันทึกเสียงพูดคุยต่างๆได้ดีเยี่ยม การถ่ายทอดเสียงในการฟังเพลงทำได้น่าฟัง เสียงกลางชัดมาก แต่ไม่ขึ้นขอบแหลมๆเสียดหู เสียงสูง เสียงเครื่องเคาะต่างๆทำได้เป็นธรรมชาติน่าฟัง ประกายแหลมที่ดังขึ้นแล้วค่อยๆจางไปทำได้ดีไม่รำคาญหู เสียงเบสก็มีให้ได้ยินเพียงพอ เสียงโซโล่เบส ก็ชัดเจนและมีความคม แน่น ไม่ยาน ไม่ล้น การเลือกจุกยางจะมีผลกับเสียงเบสชัดเจน เมื่อเลือกได้จุกที่ชอบแล้ว ก็ทำให้เราฟังเพลงต่างๆได้เพลิดเพลินมาก เสียงกลางที่ชัดเหมือนลำโพงบ้านทำให้เราถูกใจ เพราะมันเป็นแนวทางของเครื่องเสียงบ้านคุณภาพดี ส่วนการนำไปใช้คุยโทรศัพท์ก็ทำได้ดีไม่มีปัญหา คู่สนทนาน่าจะได้ยินเสียงที่เราพูดลงไปได้ชัดเจน เพราะใช้คุยไปกับหลายคน ทุกคนก็ไม่มีใครบ่นว่าเสียงเบาหรือเสียงบี้แบน แสดงว่าไมค์รับเสียงทำงานได้ปกติ

20220111174608_IMG_0779

จุดด้อยที่พบคือ หูฟังมีขนาดเล็กทำให้ไม่สามารถส่งเสียงย่านต่ำพิเศษได้ เสียงกลองตัวใหญ่ๆความถี่ต่ำมากๆในบางเพลงเราจะไม่ได้ยินเลย ผมรู้สึกได้ชัดกับเพลงของ Rachael Yamagata อัลบั้ม Acoustic Happenstance – 2016 ในเพลง Paper doll ให้ลองฟังนาทีที่ 2.20 เป็นต้นไป ดนตรีจะมีเสียงกลองที่ต่ำลึกมากๆ หูฟังเล็ก หูฟังยัดหูทุกตัวที่ผมมีแทบจะไม่ได้ยินเลย แต่จังหวะกลองมันมีอยู่ เพราะผมฟังผ่านหูฟังครอบหูไดรเวอร์ใหญ่ๆจะได้ยินชัดเจน หูฟังที่ได้ยินชัดก็อย่างเช่น Akg K701 หรือหูฟังออนเอียร์อย่าง Audio Technica Ath-250M ที่ใช้ไดรเวอร์ขนาด 40มม. ก็ได้ยินแต่น้อยลงกว่า K701 เล็กน้อย หรืออย่างหูฟังอย่าง Koss Ksc35 ก็ได้ยินเสียงต่ำลึกแผ่วๆ ซึ่งการที่เราฟังผ่านหูฟังอินเอียตัวเล็กๆไดรเวอร์เท่าเม็ดถั่วแบบนี้ การไม่ได้ยินเสียงความถี่ต่ำลึกก็คงเป็นข้อจำกัดทางกายภาพของหูฟังที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

สรุป

หูฟัง Hifiman Re400a เป็นหูฟังที่ออกมาเพื่อทำงานเหมือน Re400 แต่เพิ่มความสามารถเรื่องไมโครโฟนเข้ามาเพื่อให้ใช้กับโทรศัพท์มือถือ สามารถใช้สื่อสารพูดคุยได้ คุณภาพเสียงเหมือน Re400 มาก ใครเคยใช้งาน Re400 แล้วอยากให้มันมีไมค์เพื่อใช้คุยโทรศัพท์ไปด้วยเลยก็จะสมหวังกับ Re400a ตัวนี้แล้ว น้ำเสียงแนวเดียวกับลำโพงบ้านชั้นดี เป็นหูฟังให้เสียงดีที่สามารถใช้ฟังเพลงใช้ติดตัวไปกับโทรศัพท์ได้ทุกวัน ราคาพันต้นๆนับว่าเป็นราคาที่ชักชวนให้เสียเงินจริงๆ

หากสนใจซื้อ คลิกลิงค์นี้ครับ https://shope.ee/A9qoN3hNwg

รีวิว ไมโครโฟนและหูฟัง audio-technica ATGM1-USB

ชุดไมโครโฟนพร้อมหูฟัง ATGM1-USB PACK จะประกอบไปด้วยไมโครโฟน 1 ตัว ขนาดเล็กๆน่ารัก ใช้วางบนโต๊ะทำงาน กับหูฟังแบบออนเอียร์ 1 ตัว audio-technica ออกแบบอุปกรณ์ชุดนี้เพื่อให้ใช้งานในยุคของการ work from home ซึ่งเป็นยุคของการทำงานผ่านระบบออนไลน์ คุยออนไลน์ เรียนออนไลน์ เพราะโควิดระบาดจนคนส่วนมากต้องเก็บตัวอยู่กับบ้าน นักเรียนต้องเรียนจากที่บ้าน พนักงานต้องทำงานจากที่บ้าน ตรงตามคำที่แปะอยู่หน้ากล่องเลย

25de4f826592939d319558ebcfb01675

ไมโครโฟนตัวเล็กน่ารักตัวนี้จะเรียกว่ารุ่น ATGM1 ก็ได้ หรือจะเรียกเป็นรุ่น AT9933 ก็ได้ ในเว็บมันคือตัวเดียวกันแค่ตั้งคนละชื่อ มันเป็นไมโครโฟนชนิดคอนเด็นเซอร์ซึ่งมีจุดเด่นที่ความไวในการรับเสียง สามารถรับเสียงได้ดี และมุมการรับเสียงก็โฟกัสที่ด้านหน้าของไมค์ อยากให้รับเสียงจุดไหนก็ให้ไมค์ชี้ไปด้านนั้น พอร์ตการเชื่อมต่อไมโครโฟนตัวนี้เป็นแบบ usb ซึ่งสามารถเสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์โดยตรงได้เลย และไม่ต้องลงโปรแกรมพิเศษเพิ่มเติมหรือไม่ต้องลงไดรเวอร์ใดๆเลย ตัวไมโครโฟนขนาดเล็ก มีฐานวงกลมที่มีน้ำหนักพอสมควร ติดยางกันลื่นไว้ด้านล่างทำให้สามารถวางได้นิ่งสนิทบนโต๊ะทำงาน ก้านไมค์ยาวประมาณ 4 นิ้ว สามารถดัดเอนได้ตามใจ น้ำเสียงที่บันทึกได้ออกไปในแนวคมชัด มีเสียงกลางและแหลมที่ดีมาก เสียงทุ้มมีครบถ้วน การใช้ไมโครโฟนที่รับเสียงเฉพาะทิศทางทำให้เราได้เสียงพูดที่ดีมีคุณภาพ เสียงรบกวน เสียงแอร์ เสียงพัดลม จะน้อยลงไปอย่างมาก

audio technica at-250m at9933usb

ส่วนตัวหูฟังก็เป็นหูฟังออนเอียร์ขนาดกระทัดรัด ชื่อรุ่น AT-250M ขนาดไดรเวอร์ประมาณ 40 มม. ตัวโครงสร้างเป็นพลาสติก แจ็คเสียบเป็นชนิด 3.5 มม. แบบ TRS นั่นคือเป็นแจ็คเสียบที่มีขีดดำ 2 ขีด น้ำเสียงดีใช้ได้เลย ให้เสียงกลางที่ชัดและลอยเด่น เราสามารถฟังเสียงร้องแล้วหลงใหลไปกับน้ำเสียงทั้งชายและหญิงได้ เพราะหูฟังไม่บดบังความเด่นของเสียงคน ส่วนเบสก็ใหญ่มาก หากเปรียบเทียบกับลำโพงบ้าน เบสของหูฟังตัวนี้เป็นเบสที่ไม่บดบังเสียงกลาง ถ้าเราฟังเพลงร็อค เพลงบอสซ่าสนุกๆ เราจะได้ความรู้สึกว่าเบสมันเยอะและมันส์มาก หากเราฟังเพลงอคูสติก เบสที่เด่นและเยอะทำให้เพลงมีน้ำหนัก ส่วนเสียงย่านปลายแหลมก็มีให้พอดีๆ ไม่เสียดหู เปรียบเทียบกับของแพงกว่ากันสิบเท่า มันจะต่างกันตรงที่ เบสของหูฟังตัวนี้ลงไม่ลึก มีปริมาณเยอะแต่ไม่ลึก แต่ก็มีไม่กี่เพลงหรอกที่จะฟ้องว่าเบสไม่ลึก ที่รู้สึกว่าไม่ลึกเพราะเกิดจากความพยายามฟังเปรียบเทียบเท่านั้น ความแตกต่างจากของแพงอีกจุดคือเสียงแหลมที่ชัดไม่เท่า สำหรับการฟังปกติ หรือการทำงานหรือการเรียน มันดีมากแล้ว เทียบกับหูฟังเล่นเกมส์หลายตัวที่เคยใช้แล้ว ตัวนี้ดีกว่าเยอะเลย เทียบกับหูฟังพร้อมไมค์ที่แถมมากับโทรศัพท์ ชุดหูฟังและไมค์จาก audion-technica ชุดนี้ดีกว่ามาก

ในการฟังเพลง เราจะเพลิดเพลินกับน้ำเสียงตัวนีได้ไม่ตะขิดตะขวงใจ ความฉับไวต่อเสียงจะไม่แจะแจ้งเท่าของราคาสูง น้ำหนักแรงประทะ เหมือนจะผ่อนให้ฟังเสียงนุ่มๆทดแทน หากเราฟังเสียงโซโล่กลอง หรือเสียงฟาดฉาบ สแนร์ ความไวมันยังด้อยกว่ารุ่นใหญ่ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก หูฟังตัวนี้น่าจะเป็นหูฟังออนเอียร์ที่ราคาถูกที่สุดเท่าที่บริษัทจะผลิตมาขายแล้ว

IMG_20220114_103739

ให้ดูกล่องที่ใส่หูฟังและไมโครโฟนชุดนี้มา เราจะเห็นกล่องทางซ้าย ATGM1 เป็นชื่อรุ่น ซึ่งมันสวมทับกล่องทางขวาเอาไว้ แกะออกมาแล้วก็งงนิดหน่อย สรุปแล้วไมโครโฟนตัวนี้มีสองชื่อ คือ AT9933usb กับ ATGM1usb แต่ในคอมพิวเตอร์จะมองเห็นเป็นชื่อ AT9933usb

IMG_20220114_103720

การเพิ่มไมโครโฟนเข้ามาในระบบการทำงานจะช่วยให้การสื่อสารของเรามีคุณภาพมากขึ้น หากเราทำ content ใดๆที่ต้องสื่อสารทั้งภาพและเสียง คุณภาพเสียงของคลิปจะเป็นตัวตัดสินว่าผู้ชมจะอยากติดตามดูหรือไม่ หากเราสังเกตุตัวเราเองว่า พอเปิดคลิปใน youtube ดูแล้วหากพบว่าเสียงเบา เสียงแย่ ไม่มีคุณภาพ เราก็จะไม่อยากดู ดังนั้นเราก็ไม่ควรปล่อยให้คลิปหรือเนื้อหาของเรามีคุณภาพเสียงที่ไม่ชัดเจน

Microphone
Model: AT9933usb
Element: Back electret condenser
Polar Pattern: Cardioid
Frequency Response: 40 – 16,000 Hz
Weight: Approx. 60g (2.1oz) (without cable)
Cable: 2.0m (6,6’)
Dimensions: 65mm (2.56”) diameter x 120mm (4.72“)
Input Connector: USB bus-powered
Output Connector: USB (Type -A)

Headphone
Model no.: ath-250m
Type: closed dynamic circle type
Driver unit: 40mm
Output sensitivity: 102db/mw
Frequency response: 18~22,000hz
Maximum capacity: 500mw
Input impedance: 43
Output terminal: 3.5mm gold plated stereo mini-plug
Wire length: 2.0m

หากสนใจสั่งซื้อได้ที่

https://shope.ee/9pC3DCE6tf?share_channel_code=6

ทดลองไมค์ไร้สาย usb-c

ในยุคของการสื่อสารทันสมัยแบบดูหนังดูทีวีผ่านอินเทอเน็ตได้ง่ายๆนั้น การทำสื่อที่เป็นวิดีโอจะเป็นรูปแบบที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เมื่อก่อนเราอ่านบนหนังสือ เรามีการฟังบนรายการวิทยุ จนกลายเป็นการดูรายการทีวีหรือรายการวิดีโอใน youtube สื่อกระแสหลักได้กลายเป็นวิดีโอไปหมดแล้วในยุค คศ2021 คนที่อยากบันทึกคลิปวิดีโอเพื่อบันทึกเก็บไว้ดูเล่น หรือ ทำคลิปวิดีโอเพื่อเป็นเครื่องมือสื่อสาร เพื่อทำรายการชนิดต่างๆ กลายเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายขึ้น นอกจากเป็นเพราะโทรศัพท์มือถือที่พัฒนามาไกลมากจนทุกอย่างทำได้จบจากโทรศัพท์เครื่องเดียวแล้ว อุปกรณ์เสริมอย่างไมโครโฟนก็พัฒนามาไกลไม่ต่างกัน

ไมโครโฟนจากเดิมที่ต้องเป็นไมค์ตัวใหญ่ มีสายยาวหลายเมตร ก็มีการพัฒนาให้เป็นรูปแบบไร้สาย จากเดิมที่ต้องต่อเข้ากับช่องต่อชนิด 3.5มม. ในกล้องวิดีโอหรือในช่องเสียบไมค์ของโทรศัพท์ ก็กลายมาเป็นช่องเสียบชนิด usb ซึ่งช่วยลดความยุ่งยากในการใช้งานได้อย่างดี

ไมค์ไร้สายชนิดพอร์ต usb-c ตัวนี้สั่งจากเว็บ aliexpress เป็นไมค์ที่มีตัวส่ง 2 ตัว ตัวรับ 1 ตัว นั่นหมายความว่าสามารถใช้ไมค์สองตัวพร้อมกัน สามารถใช้ทำรายการพูดคุยกันสองคนได้สะดวก โดยไม่ต้องใช้สายให้พะรุงพะรัง ตัวรับสัญญาณเป็นชนิด usb-c สามารถเสียบตรงเข้ากับโทรศัพท์มือถือที่ใช้พอร์ตชาร์จแบบ usb-c ได้เลย ซึ่งโทรศัพท์ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ที่มีขายในปัจจุบันก็ใช้พอรตแบบนี้กันเกือบทั้งหมดแล้ว โดยตัวรับเสียงจะดึงกำลังไฟจากมือถือออกมาใช้ ส่วนหากใครจะเอาไปใช้กับมือถือ iphone ก็ใช้เสียบผ่านอแด๊ปเตอร์แปลงได้ ที่เจ่งก็คือ ตัวรับมี่ช่องให้เสียบ usb-c อีกช่องด้วย ทำให้เราสามารถชาร์จไฟผ่านตัวรับเสียงแล้วส่งต่อไปยังพอร์ตของโทรศัพท์ทำให้เราสามารถใช้ไมค์ไร้สายได้ยาวนานมากโดยไม่ต้องกลัวโทรศัพท์แบตหมด

ตัวไมค์สองตัวที่มากับกล่องเป็นไมค์รับเสียงรอบตัว มีแบตเตอรี่ในตัว ใช้ได้กี่ชั่วโมงต้องไปหาอ่านในคู่มือ เวลาชาร์จไฟจะต้องใช้สายชาร์จ usb-c มาเสียบ ในชุดมีไมค์สองตัวแต่สายชาร์จมีให้แค่เส้นเดียว คุณภาพเสียงเท่าที่ฟังผ่านๆก็อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ฟังรู้เรื่อง ลองฟังจากในคลิปดูครับ

ไมค์ตัวนี้เหมาะกับคนทีต้องการบันทึกรายการวิดีโอที่ต้องคุยกันสองคน เหมาะกับการไลฟ์ทางเฟสบุ๊คหรือ youtube เพราะการเชื่อมต่อง่ายดาย ลดความยุ่งยากและข้อผิดพลาดต่างๆ เนื่องจากการใช้ไมโครโฟนภายนอกกับโทรศัพท์มือถือเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจเยอะ ต้องเรียนรู้คำว่า Trs Trrs ซึ่งเป็นลักษณะของช่องเสียบแบบ 3.5มม. และในบางโปรแกรมที่ใช้ถ่ายวิดีโอก็ไม่รองรับการต่อไมค์ภายนอกที่เสียบผ่านช่องหูฟังด้วย และปัจจุบันโทรศัพท์หลายๆรุ่นก็ตัดช่อง 3.5มม. ออกไปแล้ว อุปกรณ์ไมค์ที่เคยใช้กับช่อง 3.5 จะเอามาใช้เลยทันทีก็ทำไม่ได้ ดังนั้น ถ้าเป็นไมค์ที่เสียบทางช่อง usb-c ก็จะแก้ปัญหาต่างๆได้เกือบทั้งหมด

นอกจากการใช้กับโทรศัพท์แล้ว เราก็ยังนำไปใช้กับคอมพิวเตอร์ได้ด้วย คนที่จำเป็นต้องทำรายการ หรือแคสเกมส์ หรือประชุมออนไลน์บ่อยๆน่าจะช่วยลดความยุ่งยากได้ น้ำเสียงที่รับได้ชัดและมีความคล่องตัวจะทำให้เราสนุกกับการทำรายการมากขึ้น

รีวิว eyewear แว่นตาติดลำโพง

เมื่อสักหลายปีก่อนผมพบว่ามีแว่นตาติดลำโพงวางขายแล้ว นั่นคือยี่ห้อ Bose และมีเพื่อนได้ซื้อไว้ใช้ ผมได้มีโอกาสลองไม่กี่นาทีเพราะเกรงใจเพื่อน ซึ่งในวันนั้นรู้สึกว่าราคาสูงเกินไป และคุณภาพเสียงไม่ได้ดีแบบที่คาดหวัง เนื่องจาก Bose ทำลำโพงเสียงดีไว้เยอะมาก และหูฟัง Bose ก็เสียงดีเช่นกัน พอลำโพงถูกติดตั้งไว้ในแว่นตา ก็แอบคิดว่าเสียงจะดี แต่ลองแล้วก็ไม่อยากซื้อ

20211008111714_IMG_0003

ผ่านมาถึงปีนี้ แว่นตาติดลำโพงอยู่ในเว็บขายของ ราคาระดับ 800บาท ซึ่งถูกกว่า Bose ถึง 10 เท่า ผมลืมไปแล้วว่าเสียง Bose เป็นยังไง แต่พอเห็นว่าราคาไม่ถึงพันก็เลยตัดสินใจซื้อมาใช้ โดยคาดหวังว่าเสียงจะดีขึ้นกว่ารุ่นแรกๆเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะเหมือนเสียงจากหูฟังแท้ๆ

20211008111752_IMG_0006

ลักษณะทั่วไป

แว่นตาสีดำ ติดกระจกพลาสติกเกรดต่ำ ตัวกรอบแว่นทำจากพลาสติก จุดที่ใช้ชาร์จไฟเป็นขั้วไฟฟ้าแบบมีแม่เหล็กดูด สายชาร์จจะถูกดูดติดกับแว่นเมื่อเสียบชาร์จไฟ สายชาร์จที่แถมมาด้านหนึ่งเป็นแม่เหล็ก ส่วนอีกด้านเป็น usb เพื่อเสียบกับอแด๊ปเตอร์ กำลังไฟสำหรับชาร์จระบุไว้ที่ 100ma เท่านั้น หลังจากได้ลองชาร์จก็พบว่า หากเราชาร์จแว่นด้วยเพาเวอร์แบงค์ เมื่อเริ่มชาร์จได้สักพักไม่กี่นาที เพาเวอร์แบงค์ก็จะตัดการทำงาน เพราะว่ากระแสไฟไหลน้อยเกินไป น้อยจนเพาเวอร์แบงค์ตัดสินใจหยุดจ่ายไฟ ดังนั้นหากเราจะชาร์จเราควรชาร์จผ่านอแด๊ปเตอร์จ่ายไฟจริงๆ

20211008111656_IMG_0002

น้ำเสียงของแว่นตาพร้อมลำโพงจะให้น้ำเสียงไม่ดีมาก อาการเสียงเหมือนเปิด speaker phone แล้วเอาโทรศัพท์มาวางไว้ใกล้ๆหู ฟังเสียงกลางรู้เรื่อง เสียงสูงมีให้ได้ยิน แต่เสียงต่ำแทบไม่มีเลย ซึ่งมันคงเป็นข้อจำกัดอย่างหนึ่งของลำโพงเล็กๆบางๆที่ซ่อนอยู่ในขาแว่น

ไมโครโฟนรับเสียงก็อยู่บนขาแว่น จากการสอบถามคู่สนทนาก็ได้ความว่า เสียงพูดของเราปลายทางได้ยินปกติ ไม่ได้รู้สึกว่าเสียงเบาหรือดังเกินไป เสียงที่ได้ยินเหมือนเกิดขึ้นอยู่กลางศรีษะ นั่นก็พอจะคาดเดาได้ว่า เสียงข้างซ้ายและขวาออกมาใกล้เคียงกันมาก ทำให้มิติเสียงอยู่ตรงกลางในหัวเราเป๊ะๆ หากเราใช้ฟังเสียงเพลงสเตอริโอทั่วไป เราก็จะได้ยินมิติเสียง รับรู้ตำแหน่งซ้าย กลาง ขวา ได้แม่นยำตามเจตนาของเพลง ระบบสเตอริโออิมเมจของหูฟังทำได้ดีมาก มันติดแค่เสียงเบสไม่มีเหมือนหูฟังทั่วไปเท่านั้น

การใช้งานหูฟังบนแว่นตาจะไม่มีอะไรไปอุดหูเลย ดังนั้น เสียงดังจากภายนอก เสียงบรรยากาศต่างๆจะยังคงวิ่งเข้าหูเรา เรายังได้ยินเสียงแวดล้อมเป็นปกติ ถ้าเราไปยืนอยู่ใกล้เครื่องจักร หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กำลังส่งเสียงดังน่ารำคาญ ก็จะทำให้เราไม่ได้ยินเสียงจากหูฟังเลย ดังนั้นการใช้งานหูฟังตัวนี้จะต้องเลือกสถานที่คุยด้วย การได้ยินเสียงภายนอกเล็ดลอดเข้าไป และสามารถรบกวนการพูดคุยกับปลายทางด้วยนั้น ทำให้เราปลอดภัยมากยิ่งขึ้นจากการใส่หูฟัง ถ้ามีคนเรียกเราก็หันไปหาได้ มีรถวิ่งผ่านก็ได้ยิน เราใช้ชีวิตปกติได้แม้จะฟังเสียงข่าวอยู่ในหูฟัง

เมื่อใช้ประชุมออนไลน์ก็ทำงานได้ปกติ ประสิทธิภาพการสื่อสารทำได้เต็มร้อย ใช้ทำงานได้เลย ใครคิดจะนำกรอบไปใส่เลนส์สายตาสำหรับตัวเองจริงๆก็ทำได้ มันเป็นอุปกรณ์ของใช้ที่ใช้งานได้ตามหน้าที่หลักของมัน

good diy ไฟห้องน้ำพร้อมลำโพง

ไฟห้องน้ำพร้อมลำโพงสำหรับเล่นเพลง หรือเสียงอื่นๆ เพื่อให้ดังกว่าเสียงจากการเบ่งของเราเอง

รีวิวลำโพง JBL Tuner fm

IMG_20210404_084828

ลำโพง JBL Tuner fm เป็นลำโพงบลูทูธทรงกระบอก คล้ายกระติกน้ำ ซึ่งเป็นทรงที่ทาง JBL ทำออกมาหลายรุ่น ส่วนมากจะเป็นลำโพงบลูทูธแต่เพียงอย่างเดียว เพิ่งจะมีรุ่นนี้ที่ใส่ฟังค์ชั่นเครื่องรับวิทยุ Fm มาให้ด้วย ทำให้มันเป็นเครื่องรับวิทยุที่น่าสนใจมาก เพราะมันกลายเป็นวิทยุที่รับสัญญาณบลูทูธ เชื่อมต่อกับเมือถือได้

IMG_0183

สเป็คของ JBL Tuner Fm

  • ขนาดตัวเครื่อง 16.5 x 6.6 x 6.6 cm
  • น้ำหนัก 445 กรัม
  • ดอกลำโพงขนาด 4.45 cm.
  • ตอบสนองความถี่ 85Hz – 20kHz
  • รับคลื่นวิทยุความถี่ 76MHz – 108MHz ในไทยรับตั้งแต่ 87.5-108 MHz
  • ระบบบลูทูธ เวอร์ชัน 4.1 (A2DP V1.2, AVRCP V1.5)
  • กำลังขับ 5W RMS
  • Signal-to-Noise Ratio > 80dB
  • แบตเตอรี่ความจุด 1,500 mAh, 3.7V
  • รองรับการใช้งานสูงสุด 8 ชั่วโมง
  • ชาร์จไฟผ่าน micro usb ใช้เวลาในการชาร์จจนเต็มประมาณ 3.5 ชั่วโมง
  • มีช่องรับสัญญาณเสียง Aux

IMG_0071

ลักษณะทั่วไป

ลำโพงตัวนี้ มีตัวรับคลื่นวิทยุระบบ Fm เป็นระบบสแกนหาคลื่นแบบดิจิทัล สามารถบันทึกสถานที่ที่ชอบฟังได้ 5 สถานี ระบบวิทยุสามารถสแกนคลื่นด้วยระบบอัตโนมัติ หรือ กดปุ่มเพื่อเปลี่ยนคลื่นที่ต้องการฟังได้ ปุ่มด้านบนตัวเครื่อง มีปุ่ม – และ + เอาไว้ปรับความดัง มีปุ่มตัวเลข 1 2 3 4 5 เอาไว้บันทึกสถานที่วิทยุที่ชอบ มีปุ่ม FM เพื่อกดฟังรายการวิทยุ มีปุ่ม Scan เพื่อทำการสแกนคลื่นรายการวิทยุ มีปุ่ม Tuner- และปุ่ม Tuner+ เพื่อเลือกสถานีเอง และปุ่มสุดท้ายก็คือปุ่มเลือกให้เครื่องทำงานระบบบลูทูธ เสาอากาศแบบชัก สามารถปรับหดเก็บแนบไปกับตัวกระบอกได้ ส่วนปุ่มเปิดปิดเครื่องจะอยู่ด้านข้าง

ทดลองฟัง

ในการทดลองฟังผมใช้โทรศัพท์ Redmi Note7 ระบบปฏิบัติการ Android สลับกับ iPhone4s ฟังด้วยเพลงในเครื่องบ้าง ฟังด้วย App อย่าง Spotify และ Youtube ด้วย ลำโพง JBL Tuner Fm สามารถเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่าหลายปีได้อย่างไม่เรื่องมาก เชื่อมได้ทุกเครื่อง เล่นเพลงจากในเครื่องก็เล่นได้ไม่สะดุด เล่นเพลงจากระบบสตรีมก็ทำได้ปกติ ไม่พบปัญหาอะไร

คุณภาพเสียงมีน้ำหนักเสียงที่หนักแน่น ตอบสนองความถี่ได้ดีโดยเฉพาะเสียงในย่านความถี่ต่ำที่ทำได้ดีมาก ฟังเพลงต่างๆผ่าน JBL Tuner Fm ตัวนี้มีเสียงเบสชัดเจน มันแตกต่างไปจากลำโพงบลูทูธตัวเล็กทั่วไปที่ฟังเสียงกลางชัดแต่เบสบาง JBL ตัวนี้ไม่มีอาการเบสบางเลย กลับกัน ลำโพงให้น้ำเสียงในย่านเบสได้โดดเด่น ทำให้มันเป็นลำโพงคุณภาพดีสามารถให้เสียงในระดับHifi ได้ เพราะเมื่อย้อนกลับไปฟังเพลงผ่านลำโพงเล็กกว่านี้อย่าง JBL Go ก็จะพบว่า เสียงของ Go มีเบสบาง มีเพียงเสียงกลางที่ดีน่าพอใจเท่านั้น แต่ JBL Tuner Fm ให้น้ำเสียงที่กลมกล่อม ตอบสนองย่านเสียงเบสได้ดี เพลงที่ฟังจะให้ความรู้สึกถึงน้ำหนักที่จะแจ้ง มีน้ำเสียงนุ่มนวล อาจจะเพราะเสียงย่านเบสช่วยให้เสียงดนตรีสมบูรณ์ขึ้น

20210331070243_IMG_0063

การฟังรายการวิทยุจาก JBL Tuner FM ถือเป็นจุดเด่นที่ดีมาก เพราะคุณภาพการรับคลื่นวิทยุทำได้ดีทัดเทียมกับการเปิดวิทยุในรถยนต์ คลื่นที่รับชัดก็คือชัดมาก ไม่มีเสียงแทรก ไม่มีเสียงซ่าเลย คลื่นวิทยุที่รับได้ อย่างคลื่นที่ลงท้ายด้วย .0 และ.5 ทำได้ดีเยี่ยม คลื่นที่ลงท้ายด้วย .25 .75 ก็รับได้เช่นกัน น้ำเสียงจากรายการวิทยุให้น้ำเสียงที่ฟังสบาย เสียงพูดฟังรู้เรื่อง แต่นุ่มนวลกว่าวิทยุกระเป๋าหิ้วหรือวิทยุพกพาอื่นๆที่เคยใช้ เนื่องจากวิทยุพกพาราคาถูกที่ใช้ระบบหมุนหาคลื่นแบบอนาลอก จะไม่ลงทุนกับลำโพงในเครื่อง เสียงจากรายการวิทยุก็จะมีแต่เสียงบางๆ เน้นเสียงพูด เหมือนจงใจทำโทนเสียงให้แหลมแทงหูนิดน้อยเพื่อให้ฟังรู้เรื่อง แต่ฟังดนตรีไม่เพราะเลย ซึ่งอาการเหล่านี้ไม่เกิดกับ JBL Tuner FM เพราะเสียงรายการวิทยุจากตัวนี้มันยอดเยี่ยมน่าฟังมาก เสียงเพลงที่ส่งผ่านรายการวิทยุมีคุณภาพสูง น้ำหนักเสียงย่านความถี่ต่ำมีให้ฟังอย่างเพียงพอ มันสมดุลย์กับเสียงกลางและเสียงสูง คุณภาพเสียงระดับ Hifi มีอยู่ในลำโพงตัวนี้เต็มๆ

20210331064622_IMG_0060

ฟังเพลงผ่านบลูทูธด้วย App อย่าง Spotify ก็ทำงานได้มาตรฐานมาก การเชื่อมต่อเสถียร ไม่หลุด น้ำเสียงมีเบส กลาง แหลมครบ คุณภาพเสียงดีสมกับค่าตัวหลายพันบาท เสียงร้องชัดเจนยังคงเป็นเอกลักษณ์ คุณภาพเสียงมันดีกว่าลำโพงขนาดเล็ก แต่ก็ยังไม่สามารถเอาไปเทียบกับลำโพงบลูทูธขนาดใหญ่ได้ ลองฟังเทียบกับซาวบาร์ของ Xiaomi ที่เป็นตัวใหญ่ยาว 80cm เจ้าตัวใหญ่จะให้เสียงใสและนุ่มกว่า เปิดได้ดังกว่า JBL Tuner FM มีกำลังขับตามสเป็คเพียง 5 วัตต์ นั่นหมายถึงมันเปิดในงานปาร์ตี้ที่มีคนเยอะไม่ได้เลย มันเหมาะกับการฟังใกล้ๆ นั่งฟัง 1-2 คน เท่านั้น ซึ่งนั่นก็น่าจะตรงกับวัตถุประสงค์ของการออกแบบ

20210331063944_IMG_0059

รายการวิทยุที่รับได้ หากทางรายการมีชื่อ มีการส่งข้อมูลชื่อสถานทีมาด้วย JBL Tuner FM ก็มีหน้าจอแสดงผลที่ขึ้นชื่อเป็นตัวหนังสือให้ ตัววิ่งจะไหลอยู่ในหน้าจอให้เราได้เห็นข้อมูลสถานี เราสามารถบันทึกรายการที่ชอบไว้ได้ 5 สถานี เมื่อเจอสถานีที่ชอบก็กดปุ่มตัวเลขค้างไว้เลย เลขนั้นก็จะจำสถานีเอาไว้ สะดวกมาก

20210331064712_IMG_0062

จุดเด่น

น้ำเสียงกลมกล่อม มีเสียงย่านเบส กลาง แหลม ครบ

ระบบรับคลื่น FM ชัดเจน แม่นยำ

บันทึกสถานีวิทยุได้ 5 ช่อง

เปิดปิดทำได้เร็ว กดฟังวิทยุได้เร็ว

ขนาดตัวเครื่องไม่ใหญ่มาก สามารถพกพาใส่กระเป๋าใส่เป้ได้สะดวก

จุดด้อย

เสียงเบาเกินไปใช้กับปาร์ตี้ไม่ได้

สรุป

JBL Tuner FM ถูกออกแบบมาให้เป็นลำโพงพกพา มีขนาดกระทัดรัด ไม่ใหญ่เกินไปจนพกลำบาก มีขนาดไม่เล็กมากทำให้สามารถสร้างเสียงเบสได้ลงลึกและต่ำกว่าลำโพงเล็ก ผลก็คือน้ำเสียงโดยรวมทำได้ยอดเยี่ยม มีเสียงครบย่านความถี่ที่จำเป็นในการฟังเพลง ความสามารถเรื่องการรับคลื่นวิทยุทำได้ชัดเจนแม่นยำ เป็นวิทยุคุณภาพดี เราสามารถพกลำโพงตัวนี้ติดตัวไปได้ตลอดเวลา ใส่เป้ ใส่กระเป๋าได้ไม่รู้สึกยุ่งยาก

เรื่องตกยุคของการฟังเพลง

2020-10-15_10-14-09

นี่คือภาพโบราณวัตถุที่หาซื้อยากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่อยู่ในภาพนี้คือแผ่นซีดีเปล่าที่มีความจุ 700Mb หากต้องการบันทึกข้อมูลใดๆที่ขนาดไม่เกินตัวมันก็ต้องใช้เครื่องบันทึกแผ่นซีดีในคอมพิวเตอร์ในการบันทึก

เขียนให้เด็กรุ่นใหม่ได้เข้าใจว่า ก่อนยุค 5g 4g ลงไปถึงแถวๆ 3g ต้นๆ และ 2g ปลายๆ ช่วงเวลาประมาณ คศ 2000-2005 เป็นช่วงเวลาที่ประเทศไทยนิยมใช้แผ่น cdr อย่างมาก เพราะอินเทอเน็ตในยุคนั้นยังไม่เร็ว การส่งข้อมูลขนาดใหญ่ยังต้องอาศํย usb flash drive ซึ่งความจุก็เริ่มต้นที่ ไม่กี่ Mb และไล่ไปจนถึงหลายร้อย Mb และยิ่งเวลาผ่านไปใกล้ๆยุคปี คศ 2010 เราถึงจะมี flash drive ความจุ 1Gb และมากกว่าให้ใช้ในระดับราคาถูกๆ

การส่งข้อมูลให้เพื่อน ส่งข้อมูลของที่ทำงาน หากจะส่งด้วย flash drive ก็จะต้องสละ flash drive ไปด้วยเลย เพราะหลายๆที่เมื่อได้ก็อปปี้ข้อมูลไปแล้วก็ไม่คืนตัว flash drive การส่งข้อมูลด้วยแผ่น cd-r สำหรับความจุ 700Mb และ แผ่น dvd-r สำหรับความจุ 4.3Gb เลยเป็นทางออกที่ไม่แพง ราคาแผ่นเปล่าจะอยู่ในระดับราคา 8-20 บาท

IMG_4024

คนชอบฟังเพลงจะนิยมนำแผ่นซีดีเพลงมาก็อปปี้ข้อมูลเพลงลงในคอมพิวเตอร์ หรือบางคนก็หาเพลง mp3 จากอินเทอเน็ตมาเปิดฟัง การฟังในคอมพิวเตอร์จะสะดวกสำหรับการเลือกเพลง แต่หากจะฟังนอกบ้าน บางคนก็ใช้เครื่องเล่น mp3 มาเล่นเพลง บางคนก็ใช้เครื่องเล่นซีดี walkman ในการเล่นเพลง และบางคนก็เลือกจะรวมเพลงที่ชอบแล้วทำเป็นแผ่นซีดีเพลง 1 แผ่น ซึ่งจะจุเพลงได้ประมาณ 60 นาที การรวมเพลงเองก็เลยจะต้องบันทึกลงแผ่น cd-r นั่นเอง

เครื่องเล่นเพลงในรถยนต์เริ่มแถมเครื่องเล่นซีดีติดรถมาให้ตั้งแต่ตอนเป็นป้ายแดง เครื่องเล่นซีดีเพลงเหล่านี้มักจะมีความสามารถในการอ่านไฟล์ข้อมูลบน cd-r ด้วย หลายคนก็ก็อปปี้ไฟล์ mp3 มาไว้ในแผ่น cd-r แล้วก็พกไปฟังในรถ ความจุแผ่น 700 Mb สามารถใส่เพลง mp3 บิตเรตประมาณ 128k ได้ประมาณ 100-150 เพลง นั่นทำให้การฟังเพลงตลอดทริปการเดินทางในรถยนต์เป็นเรื่องบันเทิงที่เป็นที่พึ่งของคนชอบฟังเพลง เหตุเพราะรายการวิทยุเป็นสิ่งที่น่าเบื่อสำหรับคนชอบฟังเพลง และยุคสิบกว่าปีที่แล้วโลกเรายังไม่มีบริการ streaming ใดๆให้ใช้ ฟังจากไฟล์ที่บันทึกไว้ในแผ่น cd-r จึงเป็นทางเลือกที่ต้องเลือก

IMG_20170131_145346

ยุคที่ cd-r เบ่งบานเราสามารถหาซื้อแผ่นเหล่านี้ได้ในห้างไอทีต่างๆ ทุกห้าง ทุกร้านจะมีแผ่น cd-r ขาย บางร้านเป็นร้านขายแผ่นเปล่าโดยเฉพาะ คนซื้อจากร้านเฉพาะทางเหล่านี้ไม่ได้นับเป็นแผ่น แต่จะนับเป็นหลอด เพราะแผ่น cd-r จะเสียบอยู่บนเสา(เหมือนหลอด) หลอดนึงมี 50 แผ่น หลอดเตี้ยๆก็มี 25 แผ่น หน่วยวัดจะวัดกันเป็นหลอดเลย

ร้านสะดวกซื้ออย่างเซเว่นก็เริ่มมีแผ่น cd-r ให้ซื้อปลีก ผมเคยซื้อแผ่นในแพ็คพลาสติกราคา 20-30 บาท ในนั้นมี 2 แผ่น เพื่อใช้งานฉุกเฉินตอนที่หลอดทั้งยวงถูกใช้งานไปหมดแล้ว นอกจากแผ่นเปล่าที่วางขายแล้ว ปากกาเขียนแผ่นซีดีก็มีขายด้วยเช่นกัน เพราะกลายเป็นสินค้าที่ต้องมี สินค้าที่ต้องขายไปคู่กัน คนที่บันทึกแผ่นซีดีเยอะๆจะต้องมีปากกาเขียนแผ่นซีดีติดตัวเสมอ

ในปี คศ 2020 นี้ ปรากฏว่า ไม่มีแผ่นซีดีเปล่าขายอีกแล้วในร้านสะดวกซื้อ ในห้างก็เริ่มไม่มีขายแล้ว และเมื่อมีความจำเป็นต้องใช้ก็เลยต้องไปหาซื้อใน online และผมก็ได้สั่งซื้อมาใช้ เหตุที่จำเป็นต้องใช้ก็เพราะลูกอยากฟังเพลงที่เขาชอบ โดยจะฟังบนรถแม่ การเปิดเพลงในรถยนต์ ให้เสียงออกในรถจะต้องใช้แผ่น mp3 ใส่เครื่องเล่นในรถ ก็เลยเป็นเหตุผลที่ต้องซื้อแผ่นในครั้งนี้

ลืมเล่าไป เราสามารถใช้แผ่น dvd-r บันทึกแทน cd-r ก็ได้ เพราะความจุก็สูงกว่ามาก เป็นการใช้แผ่นได้คุ้มค่ากว่าด้วย เพียงแต่ ในรถแม่ เครื่องเล่นเพลงอ่านได้แต่แผ่น cd-r เท่านั้น

รีวิว วิทยุ Radiwow R-108

ในยุคปี พศ 2563 เป็นช่วงเวลาที่วิทยุไม่ได้รับความนิยมจากคนส่วนใหญ่แล้ว เพราะใครต่อใครก็ต่างรับชมข่าวสารและความบันเทิงทางอินเทอเน็ตทั้งหมด ดูหนังทางระบบของ netflix หรือ youtube หรือเว็บเฉพาะทางทั้งหลาย หากจะฟังเพลงก็มี spotify มี apple music และอีกหลายระบบ หลายแพล็ตฟอร์ม สิ่งเหล่านี้ทำให้ฮาร์ดแวร์อย่างเครื่องเล่นแผ่นซีดี ดีวีดี บลูเรย์ แผ่นเสียง ค่อยๆขายได้น้อยลงเรื่อยๆ แม่แต่เครื่องเล่นเพลงดิจิทัลที่เคยฮิตระเบิดอย่าง ipod ก็ยังต้องถอยให้กับระบบใหม่ๆ โทรศัพท์มือถือกลายเป็นระบบหลักของสื่อกระแสหลัก และดูไม่มีตัวเลือกลำดับรองเลย

20200906165719_IMG_4312

แต่ก็ยังมีผู้ใช้บางส่วนที่ยังสนใจจะใช้วิทยุโทรทัศน์อยู่ เพราะเป็นระบบที่ง่ายและไม่ต้องปรับตัวมาก ไม่ต้องลงทุนสูง ผู้ใหญ่ หรือ คนแก่ในบ้านก็คุ้นเคยกับระบบวิทยุและโทรทัศน์แบบโบราณอยู่ ซึ่งความโบราณนี้นอกจากประหยัดแล้วมันก็ใช้งานง่ายจริงๆ และไม่ต้องอาศัยอินเทอเน็ตด้วย ค่าใช้จ่ายในการเข้าถึงอินเทอเน็ตก็ค่อนข้างแพงเนื่องจากต้องจ่ายเป็นรายเดือน บางบ้านบางคนมีค่าใช้อินเทอเน็ตมากกว่าค่าน้ำค่าไฟเสียอีก

20200831222236_IMG_4289

เครื่องรับวิทยุส่วนมากจะโดนผลิตออกมาแบบราคาถูก และมีระบบที่ไม่ซับซ้อน ทำให้คุณภาพมักจะไม่ค่อยดี วิทยุอนาลอกที่มีการหมุนหาคลื่นแบบอนาลอกก็มักจะรับคลื่นไม่เก่ง มีสัญญาณรบกวนแทรกเข้ามาง่านย จำนวนสถานีที่ควรจะรับสัญญาณได้ก็ไม่ครบทุกความถี่ เครื่องรับวิทยุที่รับสัญญาณ FM ด้วยระบบการหาคลื่นแบบดิจิทัลจะเป็นทางเลือกที่มีคุณภาพการรับสูง เหมือนเครื่องรับวิทยุในรถยนต์ที่มักจะรับสัญญาณได้ดีและฟังได้ชัดมาก วิทยุตั้งโต๊ะที่ใช้ในบ้านถ้ารับคลื่นได้ดีเท่าระบบในรถยนต์ก็เป็นสิ่งที่ผู้ใช้อยากได้มานานแล้ว

20200906165549_IMG_4307

Radiwow เป็นยี่ห้อจากประเทศจีน ผมไม่ทราบประวัติ ไม่ทราบว่ามีชื่อเสียงในระดับใด เพราะเท่าที่เคยรู้ ยี่ห้อทีทำวิทยุเก่งก็จะมี tivoli ที่เป็นของฝรั่ง ยี่ห้อ degend เป็นของจีน tecsun เป็นของจีน สามยี่ห้อนี้มีวิทยุคุณภาพดีให้เลือกซื้อ ส่วนยี่ห้อ Radiwow ก็เป็นตัวที่ผมเลือกเสี่ยงซื้อมาใช้เองเลย เพราะดูสเป็คแล้วน่าสนใจ และเมื่อได้มาแล้วก็พบว่ามีจุดเด่นหลายอย่างให้พูดถึง ที่สำคัญคือ ราคาไม่แพง

20200831222027_IMG_4284

Radiwow R-108 มีขนาดกระทัดรัด สามารถรับคลื่น FM AM MW LW SW ได้ ใช้พลังงานจากแบตเตอรี่โนเกีย BL-5c ที่ใช้กับโทรศัพท์มือถือมาตั้งแต่ยุคยี่สิบปีที่แล้ว ระบบรับคลื่นเป็นดิจิทัล มีปุ่มที่ด้านหน้าให้กดเต็มไปหมดเลย ลำโพงติดมากับเครื่อง 1 ดอกเป็นแบบฟูลเร้นจ์ ในกล่องมีสายชาร์ชนิด micro-usb 1เส้น และสายอากาศเพื่อช่วยรับคลื่นอีก 1 เส้น ตัวเครื่องมีเสาแบบชักติดมาด้วย

20200831222318_IMG_4291
20200831222411_IMG_4293

การรับคลื่นระบบดิจิทัลเราสามารถหมุนด้วยปุ่มด้านข้าง ซึ่งมีความพิเศษคือสามารถกดเพื่อเปลี่ยนโหมดการหมุนให้หมุนได้ละเอียดขึ้นได้ ส่วนปุ่มกดหน้าเครื่องจำนวนมากสามารถกดเลือกคลื่นที่ต้องการฟังได้ตรงๆ อย่างเช่น หากอยากจะฟังสถานีคลื่น 102.50 MHz เราก็สามารถกดปุ่ม Freq 1 0 2 5 0 แล้วเครื่องก็จะรับคลื่นช่อง fm102.50 ให้เราได้ทันที วิธีนี้เป็นวิธีเลือกคลื่นสัญญาณที่รวดเร็วมาก ดีกว่าที่จะหมุนคลื่นไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึง

20200831222051_IMG_4286

คุณภาพการรับคลื่นของ R-108 รับได้คมชัดแม่นยำ เสียงที่ถ่ายทอดก็ออกมาชัดเจน ลำโพงมีเสียงกลางและเสียงเบสเล็กน้อยให้พอรู้สึกว่ามีคุณภาพพอใช้ได้ แต่ที่ประทับใจก็คือ ช่องเสียบหูฟังเมื่อลองฟังผ่านหูฟังแล้วให้น้ำเสียงที่ไพเราะสำหรับการฟังเพลงเลย เสียงกลางมีเพียงพอ เสียงเบสเด่นมาก ทำให้ฟังแล้วได้น้ำเสียงที่นุ่มนวล สามารถใช้ต่อสายสัญญาณไปเข้าระบบเครื่องเสียงบ้านได้เลย

ตัวเครื่องออกแบบให้มีขาตั้งด้านหลังเพื่อช่วยวางมุมเอียง หันหน้าขึ้นสู่ผู้ใช้งาน เป็นการออกแบบที่คำนึงถึงรูปแบบการใช้งานที่ปราณีตดี หน้าปัดแสดงตัวเลขมีแสงสว่างในตัว จะสว่างขึ้นมาเสมอเมื่อเรากดปุ่มหรือหมุนคลื่น เมื่อหมุนเสร็จแล้วไฟก็จะดับไป แถมข้อมูลบนหน้าปัดยังมีนาฬิกาให้อีกด้วย และมันสามารถตั้งปลุกได้ด้วย

เมื่อนำ R-108 ไปเทียบกับ Tivoli Model2 ความสามารถในการรับคลื่นค่อนข้างสูสีกัน แต่ลำโพงของ Tivoli มีขนาดใหญ่กว่า จะให้เสียงพูดที่หนากว่า ให้เสียงเบสที่ใหญ่โตลงได้ลึกกว่า ส่วนเรื่องความคมชัดในการรับสัญญาณถือว่าทำได้ใกล้เคียงกัน แต่ R-108 จะรับคลื่นได้เยอะกว่าเพราะใช้วิธีหมุนทีละคลิกแบบดิจิทัล ทำให้สามารถล็อคคลื่นความถี่ได้ละเอียด

การชาร์จไฟก็ใช้วิธีเสียบสาย micro-usb เข้าไปกับตัวเครื่อง ชาร์จเหมือนเป็นโทรศัพท์มือถือ แต่ระยะเวลาการใช้งานด้วยแบตเตอรี่ในตัวก็ทำงานได้นานเป็นวัน สิ่งที่ชอบใน R-108 ก็คือ ปุ่มเปิดปิดเครื่องเป็นปุ่มกดขนาดใหญ่ที่สุดบนหน้าปัด และอยู่ในตำแหน่งที่ชัดเจน จำง่าย เราสามารถเอื้อมมือไปกดปิดหรือเปิดได้สะดวกโดยไม่ต้องชำเรืองมองเลย แต่การเลือกคลื่นความถี่เรายังคงต้องมองหน้าจออยู่ดี ตัวเครื่องมีเขียนไว้ที่ด้านหน้าว่าสามารถบันทึกสถานีได้มากถึง 500 สถานี แต่ผมก็ไม่ได้ลองใช้ เพราะไม่รู้ว่าจะบันทึกสถานทีไว้ทำไม เนื่องจาก R-108 สามารถเลือกคลื่นได้ง่ายนั่นเอง

20200906165814_IMG_4318

คุณภาพเสียงที่รับสัญญาณแล้วส่งออกมาทางช่องหูฟังให้น้ำเสียงไปทางนุ่มและชัด เป็นความชัดที่เกิดจากการรับสัญญาณได้คมชัด ไม่ได้คมชัดแบบแทงหู ส่วนความนุ่มนวลในน้ำเสียงก็เปรียบเทียบกับการรับวิทยุในโทรศัพท์หรือ tablet ที่รับสัญญาณ FM ได้ก็ทิ้งห่างกันคนละเรื่องเลย เสียงวิทยุจาก tablet จะให้เสียงที่แสบหูนิดๆ ฟังนานๆแล้วจะเครียด โดยการฟังเปรียบเทียบผมใช้หูฟัง Full size อย่าง AKG K701 เป็นตัวทดสอบ

20200906204550_IMG_4351

ผมยังชอบที่จะมีวิทยุเอาไว้ฟังเพลง ฟังข่าวสารต่างๆ เพราะการฟังวิทยุเราจะได้ความหลากหลายและความใหม่ของสิ่งที่นำเสนอ หลายปีที่ผ่านมาเราเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ค เราจะพบเจอแต่คนที่คล้ายเรา ชอบเสพสื่อและข่าวคล้ายๆเรา จนเรารู้สึกว่าเราคือตัวแทนหรือคิดเหมือนสังคมส่วนใหญ่ แต่ในความเป็นจริง ระบบของโซเชียลเน็ทเวิร์คทุกระบบพยายามหาคน หาข่าว หาสื่อ หาโฆษณาที่คาดว่าเราจะชอบมาให้เราเสพ นั่นทำให้เราไม่ได้สัมผัสความหลากหลายที่แท้จริง เพราะสิ่งที่ได้ยิน ได้ดู มันถูกเลือกมาเพื่อให้เราชอบ ตรงนี้ถือว่าเป็นข้อเสีย ดังนั้นการฟังวิทยุบนรายการที่ใครก็ไม่รู้จัดรายการให้เราฟัง เปิดเพลงให้เราฟัง หาข่าวที่แต่ละสถานีมองว่าสำคัญมาให้เราฟัง เราจะได้เสพสื่อที่สถานีชอบ ข่าวที่เจ้าของรายการชอบ ซึ่งมันอาจจะไม่ใช่ข้อมูลที่เราชอบ ดังนั้นความหลากหลายจะมาเต็มนั่นเอง เพื่อลดการครอบงำจากโซเชียลเน็ทเวิร์ครอบตัวเรา

รีวิว ไมโครโฟน Zoom H1

การถ่ายคลิปวิดีโอได้รับความนิยมมากขึ้นเนื่องจากกล้องถ่ายภาพมีความสามารถในการถ่ายวิดีโอด้วย แต่คุณภาพเสียงที่บันทึกจากกล้องก็ไม่ได้ดีมาก ผู้ผลิตอุปกรณ์บันทึกเสียงจึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่แก้ปัญหาเหล่านี้ออกมาขาย และไมโครโฟนที่พกพาได้ บันทึกเสียงได้ ก็มีออกมาให้เราได้เลือกใช้กัน โดยคุณภาพเสียงที่ไมโครโฟนตัวนี้บันทึกได้จะมีคุณภาพสูงมาก นักดนตรีหลายคนพกอุปกรณ์แนวนี้เอาไว้บันทึกเสียงที่ตัวเองเล่นด้วย

IMG_5409

ไมโครโฟน Zoom รุ่น H1 ออกมานานแล้ว และในปัจจุบันก็มีรุ่นปรับปรุงเป็นรุ่น H1n โดยมีหลักการทำงานคล้ายคลึงกัน ราคาใกล้เคียงกัน ในรีวิวนี้จะเป็นรุ่นแรก หรือ H1 ลองฟังคลิปวิดีโอที่พูดถึงไมค์ตัวนี้ได้

รีวิว Apple USB-C to headphone jack 3.5mm

โทรศัพท์มือถือในยุคปัจจุบันเริ่มออกแบบให้ไม่มีช่องเสียบหูฟังแบบ 3.5mm โดยคงเหลือไว้แต่พอร์ตชนิด usb-c แค่เพียงพอร์ตเดียวเท่านั้น เป็นผลให้หูฟังระบบเก่าที่เป็นแจ็ค 3.5mm ไม่สามารถใช้งานกับเครื่องรุ่นใหม่ได้ หลายยี่ห้อก็จะผลิต accessory ออกมาทดแทน คือ ทำตัว usb-c to headphone jack 3.5mm ออกมา คนที่จะใช้โทรศัพท์รุ่นใหม่กับหูฟังรุ่นเก่าก็ต้องพึ่งอแด๊ปเตอร์ตัวนี้เท่านั้น และเมื่อมันเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยส่งเสียงเข้าหูฟัง ก็เลยมีประเด็นเรื่องคุณภาพเสียงออกมาให้พิจารณาด้วย

Apple usb-c to 3.5mm

ค่าย apple ก็มีพอร์ตเฉพาะของตัวเองเป็น lightning มือถือและแท็ปเบล็ตอย่าง ipad ก็ใช้พอร์ตชนิดนี้ แต่ก็ดันมีรุ่นหนึ่งอย่าง ipad pro ที่เลือกใช้พอร์ต usb-c ออกมา และไม่มีช่องเสียบหูฟัง การจะใช้หูฟังกับ ipad รุ่น usb-c ก็เลยจำเป็นต้องมีตัวแปลง usb-c to headphone jack 3.5mm ตัวนี้ เราก็เลยมี apple usb-c to 3.5mm ให้ใช้

(เพิ่มเติม oct2023 มือถือ iphone15 ที่เปิดตัวในปี 2023 ก็เปลี่ยนมาใช้พอร์ต usb-c แล้ว)

IMG_20200612_130433

google ทำอแด๊ปเตอร์ usb-c to 3.5mm มาใช้กับมือถือ nexus ราคาเส้นละ 20 ดอลล่าร์ พอ apple ทำบ้าง แต่ตั้งขาย 10ดอลล่าร์ ก็เป็นประเด็นให้สาวกค่าย google บ่นว่า google ทำของแพง และยิ่งมีคนเทียบคุณภาพเสียงแล้ว พบกว่า apple ทำเสียงออกมาดีกว่า google ก็เลยยิ่งเป็นประเด็น และในที่สุด google ก็ลดราคาอแด๊ปเตอร์ของตัวเองลงมาอยู่ในระดับราคาเดียวกับ apple

ด้วยข้อมูลที่ฝรั่งหลายเว็บบอกไว้ว่าคุณภาพเสียงของ apple ทำออกมาดี ผมก็เลยสนใจสั่งซื้อมาลองกับโทรศัพท์ของตัวเองด้วย โดยโทรศัพท์ที่ใช้ก็คือ Redmi Note7 ที่ใช้พอร์ต usb-c และเมื่อได้ทดลองเสียบอแด๊ปเตอร์ของ apple เข้าใช้งานกับมือถือ android พบว่าทำงานได้ดี ก็เลยจัดการทดสอบจริงจัง และ อยากจะทดลองใช้ร่วมกับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คด้วย เลยหาตัวแปลงพอร์ต usb-c to usb-a มาใช้ร่วมกัน

คุณภาพเสียงของ apple usb-c to 3.5mm ตัวนี้ถือว่าน่าสนใจ มันให้ความโปร่งฟังสบาย เสียงใส และมีเสียงย่านเบสที่ลงลึก ติดตามการเล่นโน้ตเบสได้ง่าย และฟังเสียงกลองแยกแยะเสียงกระเดื่องได้ชัดเจน เทียบเสียงที่ต่อหูฟังตรงกับโทรศัพท์ กับเสียงที่เสียบผ่านอแด๊ปเตอร์เส้นนี้ เสียงตรงจากโทรศัพท์จะให้เสียงโดยรวมเหมือนนักดนตรียืนทับซ้อนกัน ชิ้นดนตรีแต่ละชิ้นจะอยู่ชิดติดกัน แต่เสียงที่ผ่านอแด๊ปเตอร์เส้นนี้จะแยกแยะช่องไฟได้ห่างและชัดเจนกว่า การทับซ้อนกันของแต่ละชิ้นดนตรีไม่มีเลย แบบนี้ถือว่าเสียงจาก apple ทำได้ดีน่าชื่นชมมาก ยิ่งเมื่อดูจากราคาขายในไทย ราคาเพียง 390 บาท ก็ทำให้รู้สึกดียิ่งขึ้นไปอีก เพราะเราใช้เงินแค่นี้ก็อัพเกรดเสียงโทรศัพท์มือถือให้ดีมากๆได้แล้ว

ทดลองเอาอแด๊ปเตอร์ apple usb-c เส้นนี้ไปใช้กับคอมพิวเตอร์และโน้ตบุ๊ค ก็ทำงานได้ดี โน้ตบุ๊คระบบปฏิบัติการวินโดส์ 10 สามารถใช้งานได้เลย ผมมีโน้ตบุ๊ค asus ใช้ cpu ryzen ก็ทำงานได้ แต่ใช้กับคอมพิวเตอร์ที่เป็นระบบปฏิบัติการ windows 7 ไม่ได้ กับเครื่องที่ใช้ได้เสียบตรงเข้ากับพอร์ต usb-c ก็ทำงานได้เลย ถือว่าเป็น external soundcard ก็ได้ คุณภาพเสียงก็ดีขึ้นกว่าเสียงจากฮาร์ดแวร์ติดเครื่องมา น้ำเสียงสดใส ช่องไฟแต่ละชิ้นดนตรีก็จัดวางห่างกันไม่ทับซ้อน เป็นการอัพเกรดคุณภาพที่ราคาแค่หลักร้อยบาท ฟังแล้วอยากซื้อมาติดกับคอมฯทุกตัวในบ้าน

Screen Shot 2563-07-22 at 8.25.36 AM

ทดลองใช้ร่วมกับโน้ตบุ๊ค Macbookair ปี 2010 โดยหาตัวแปลงพอร์ต usb-a to usb-c มาใช้ร่วมด้วย ระบบปฏิบัติการ osx ก็จัดการติดตั้งฮาร์ดแวร์ให้เสร็จสรรพ ไม่ต้องใช้ไดรเวอร์ใดๆ คุณภาพเสียงของฮาร์ดแวร์ติดเครื่อง macbookair รุ่นนี้ให้น้ำเสียงที่ดีมากอยู่แล้วตั้งแต่ต้น ถือว่าเป็นคอมพิวเตอร์ที่มีคุณภาพเสียงที่ดี เสียงผ่านอแด๊ปเตอร์ usb-c to 3.5mm ก็ให้แนวเสียงไปในทิศทางเดียวกัน จะบอกว่าเสียงเหมือนกันเลยก็ได้

ทดลองใช้กับ mac mini ก็ทำงานได้ราบรื่นไม่มีปัญหา อแด๊ปเตอร์เส้นนี้สามารถส่งเสียงไมค์ได้ด้วย ทำให้เราสามารถใช้หูฟังพร้อมไมค์กับสายเส้นนี้ได้ และใช้พูดคุยในโปรแกรม chat หรือ โปรแกรมประชุมใดๆก็ได้ เป็นความสะดวกที่เพิ่มเติมขึ้นมา

ปกตินักเล่นเครื่องเสียงจะหาซื้อ usb dac มาต่อกับคอมพิวเตอร์เพื่ออัพเกรดคุณภาพเสียงของคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะให้ดียิ่งขึ้น usb-dac จากจีนที่เป็นยี่ห้อประหลาดพูดไปก็ไม่มีคนรู้จักก็มักจะมีราคาขายกันอยู่ในระดับหลัก 500 บาทขึ้นไป และ บางยี่ห้อที่มีสเป็คสูงขึ้น หรือ มีแอมป์หูฟังด้วย ก็จะมีระดับราคาหลักพันบาท ขึ้นไปจนถึงเป็นหมื่นบาท ไปถึงหลายๆหมื่นบาทก็มี ใครที่อยากอัพเกรดแต่ไม่อยากจ่ายแพง เลือก apple usb-c to 3.5mm ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ เพราะราคาถูกมาก

ถ้าเราใช้หูฟังรุ่นที่มีไมค์ด้วย ในคอมพิวเตอร์ก็จะมีไมค์ โผล่เข้ามาเป็น 2 ตัว คือไมค์จากตัวเครื่องคอมพิวเตอร์เอง และ ไมค์จาก usb-c หรือหูฟังนั่นเอง ภาพด้านล่างนี้เป็นหูฟังมีไมค์ของ sony

IMG_20200722_082652
Screen Shot 2563-07-22 at 8.26.29 AM

ถ้าเราใช้หูฟังที่ไม่มีไมค์ ในคอมพิวเตอร์ก็จะมีแค่ไมค์จากคอมฯ เท่านั้น ไม่มีไมค์จากช่อง usb-c ภาพด้านล่างนี้คือหูฟัง AKG K701

IMG_20200722_082716
Screen Shot 2563-07-22 at 8.27.20 AM

ข้อดี

ประหยัดและเสียงดี

ข้อเสีย

ทำงานได้ในระดับ cd quality หรือ 16bit 44.1kHz เท่านั้น และพลังเสียงเบาเกินไปเมื่อใช้กับหูฟัง AKG K701 อยากให้ดังกว่านี้สักเท่าตัวจะดีมาก

สรุป

น้ำเสียงเป็นกลาง ย่านเสียงทุ้มกลางและแหลมมาพอดีๆกัน เราสามารถต่อกับหูฟังได้หลากหลาย และทดลองใช้กับหูฟังขนาดใหญ่อย่าง AKG K701 ก็ให้น้ำเสียงได้นุ่มนวลกลมกล่อม ถือว่าเป็นการอัพเกรดแบบประหยัดแต่คุณภาพเสียงดีเทียบกับโน้ตบุ๊คราคาแพงจากค่าย apple เลย

สนใจสั่งซื้อได้ที่ https://shope.ee/5AS8OHI8Yc


เพิ่มเติมเรื่องระดับเสียง

apple usb-c to 3.5mm ตัวนี้ให้เสียงเบาเมื่อใช้งานกับโทรศัพท์ android อย่าง redmi note7 และคาดว่ากับ ยี่ห้ออื่นก็อาจจะให้ผลเสียงเบาเช่นกัน แต่เมื่อเอา adaptor ตัวนี้ไปใช้กับโน้ตบุ๊คระบบปฏิบัติการ windows10 จะได้เสียงที่ดังกว่ามาก สามารถเปิดเสียงได้ดังกว่าใช้งานบนโทรศัพท์เกิน 2 เท่า เรียกได้ว่า เปิดให้เสียงดังจนไม่อยากทนฟังก็ยังได้ อาจจะเป็นเพราะระบบปฏิบัติการในโทรศัพท์มีการจำกัดระดับความดังไว้ ส่วนใน windows10 ให้เสียงที่ดังเพียงพอต่อการใช้งาน

สนใจสั่งซื้อได้ที่ https://shope.ee/5AS8OHI8Yc

Aune M1 player

IMG_0269

Stock M1 build with PCM1793 as DAC and NE5532 + OPA2134 as amplifier. It’s able to push 700 mW into 32Ω load

เครื่องเล่นเพลง Aune M1 เป็นเครื่องเล่นเพลงที่มีคุณสมบัติเฉพาะ ใช้งานค่อนข้างยากแต่ก็มีคุณภาพที่สูงมาก มันเป็นเครื่องเล่นไฟล์ชนิด wav เท่านั้น ไม่สามารถเล่น Mp3 หรือ Flac ได้เลย แถม Wav ที่เล่นได้ต้องมีสเป็คแค่ 16bit 44.1kHz เท่านั้น จะเป็น Wav ระดับ Hi-res หรือ 24bit ก็ไม่ได้ นี่เป็นความเฉพาะเจาะจงที่ทำให้ใช้งานยาก

IMG_0285

เวลาที่เราได้ไฟล์เพลงมาจากการซื้อ Mp3 เราก็เล่นไม่ได้ เวลาโหลดไฟล์เพลงใน Bittorrent ก็มักจะได้มาเป็น Flac ก็เล่นไม่ได้ นานๆทีถึงจะมีคนปล่อยไฟล์เป็นแบบ wav 16bit มาให้ ซึ่งมักจะเป็นเพลงเก่าหรืออัลบั้มที่ออกมานานแล้ว เพราะ Flac เพิ่งมาฮิตในยุคหลังๆ หากเราย้อนไปในยุคแรกของไฟล์ดิจิทัล และยุคของ ipod ช่วงแรกเรายังหาไฟล์ wav ได้ง่าย แต่พอโลกเรามีเครื่องเล่นเพลงยี่ห้ออื่นๆที่เล่นไฟล์ Flac ได้ เราก็จะพบไฟล์ Flac ได้บ่อยมากและตอนนี้ก็เป็นไฟล์ที่ฮิตมากที่สุดในโลกของ Bittorrent สุดท้ายในปัจจุบันหาเราอยากได้ไฟล์ wav เราแทบจะต้อง rip ไฟล์ออกจากแผ่นซีดีของเราเอง

การ rip ไฟล์เพลงเองก็หมายความว่าเราจะต้องมีแผ่นซีดีเป็นของตัวเอง หรือไม่ก็ยืมเพื่อนมา rip ดังนั้น ความยุ่งยากของการใช้ M1 เป็นเครื่องเล่นก็คือ กว่าจะได้ฟังมันมีขั้นตอนที่ยุ่งยาก และมันก็อาจจะทำให้เบื่อหน่ายได้ ซึ่งเหตุผลเรื่องความยุ่งยากก็ทำให้ M2 ออกมาทดแทน M1 โดยเพิ่มความสามารถในเรื่องการเล่นไฟล์เพลงได้หลากหลายอย่างแท้จริง และทำให้ M1 เป็นของที่ถูกเมิน

สิ่งที่ทำให้ผมยังคงชอบที่จะใช้งาน Aune M1 ก็คือ ปุ่มวอลลุ่มที่เป็นแบบอนาลอกโบราณ เป็นแบบที่ใช้งานได้เข้าใจง่าย ความคุ้นเคยกับการบิดสุดด้านทวนเข็มนาฬิกาเพื่อปิดเสียงเงียบ หรือค่อยๆหมุนตามเข็มนาฬิกาเพื่อเพิ่มเสียงทีละนิด ทำให้เราได้ระดับเสียงที่ถูกใจเราทุกครั้งที่หมุน มันดีกว่าปุ่มกดดิจิทัลที่บางครั้งเรากดเพิ่มนิดเดียว แต่มันเพิ่มความดังให้เราเยอะเกินไป เนื่องจากผมเคยเจอเครื่องเล่นที่ปุ่มปรับความดังมันมีระยะสเต็ปของดิจิทัลที่ค่อนข้างห่าง level ที่เราฟังรู้สึกเบาไป พอกดเพิ่มเสียงไปอีก 1 คลิก ระดับเสียงก็ดังเกินไป มันไม่มีระยะความดังที่พอดีกับหูของเรา การมีปุ่มวอลลุ่มโบราณที่บิดไปมากน้อยตามใจเราจะทำให้เราตั้งระดับเสียงที่ถูกใจที่สุดได้ง่ายดายมาก และอย่างที่สองก็คือ มันเสียงดี ซึ่งข้อนี้เป็นสิ่งที่เราได้ยินกับหู แล้วเรารู้สึกว่าเราพอใจเสียงแบบนี้แล้ว

จุดสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่ชอบก็คือการมี digital out ทำให้การอัพเกรดระบบเป็นเรื่องง่าย เราสามารถเลือกใช้ Dac ตัวอื่นมาต่อเพื่อถอดรหัสเสียงดิจิทัลได้ เราเลือกสไตล์เสียงของ Dac ที่มาต่อได้ แม้ว่าเราจะพอใจกับเสียงที่มันแปลงเป็นอนาลอกให้แล้ว แต่เราก็มี Dac ตัวอื่นๆในใจเราอีกหลายตัวที่เราอยากลอง ยังคงมี Dac ระดับไฮเอนด์ที่ราคาตกมากๆให้เราลองซื้อลองเล่นดู เครื่องเล่นเพลงที่มีสัญญาณ digital out ในท้องตลาดปัจจุบันเป็นสิ่งที่หายากมาก เครื่องเล่นส่วนใหญ่จะตัดความสามารถตรงนี้ออกไป อาจจะเพราะไม่จำเป็น อาจจะเพราะ Dac รุ่นใหม่ๆเสียงดีกว่า Dac เก่าสเป็คต่ำ ก็เป็นได้ แต่เราเป็นนักเล่น อะไรที่ลองเล่นได้ก็อยากเล่น เครื่องเล่นเพลงที่ต่อ digital out จึงเป็นตัวเลือกที่ต้องการใช้งานนั่นเอง ถามว่า ipod มีสัญญาณ Digital out ให้เราใช้หรือไม่ ก็ตอบว่า ไม่มี เราจะต้องใช้อุปกรณ์เสริมราคาหลายพันบาทเพื่อที่จะใช้ดึงสัญญาณ digital out ออกจาก ipod ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ต้องจ่ายเพิ่มและใช้งานไม่สะดวก เพราะอุปกรณ์ที่ดึงสัญญาณดิจิทัลให้เรานั้นมันคือแท่นวางที่มีช่องเชื่อมต่อสารพัดช่องนั่นเอง เราแทบจะพกพาไม่ได้เลย

คุณภาพการเล่นเพลงของ Aune M1 ไม่มีข้อกังขา ผมรู้สึกว่ามันดีเหมือนเครื่องเล่นซีดี รู้สึกว่ามันดีเหมือนการเล่นไฟล์เพลงคุณภาพสูงบนคอมพิวเตอร์ แต่มาในรูปแบบของอุปกรณ์พกพาขนาดกระทัดรัด ในอดีตผมเคยฟังเพลงอย่างจริงจังกับเครื่องเสียงรถยนต์ นักเล่นยุคเก่าก็จะชอบต่อเครื่องเล่นซีดีแบบหลายแผ่นในรถ เพื่อให้สามารถเปิดแผ่นที่ชอบได้สัก 6 แผ่นเป็นอย่างน้อย เครื่องเล่นแผ่นซีดีบางรุ่นก็ใส่ได้ 10 แผ่น เทียบกับเครื่องเล่นเพลงดิจิทัลอย่างปัจจุบันที่ใส่เพลงได้เป็นร้อยเป็นพันเพลงแทบไม่ได้เลยในแง่ความสะดวก และการพกพาเพลงไปฟังบนรถ

ในวันที่เราเดินทางต่างจังหวัด เราต้องขับรถประมาณ 10 ชั่วโมง เราต้องใช้ซีดีกี่แผ่นเพื่อจะเปิดเพลงให้ได้ 600 นาทีเท่ากับเวลาที่รถวิ่ง ซีดี 1 แผ่นเรามีเพลงประมาณ 50 นาที จะฟังตลอดเส้นทางต้องมี 12 แผ่น และต้องเป็นแผ่นที่เราชอบทั้งหมด และชอบทุกเพลงด้วย ซึ่งมันเป็นเรื่องยากมาก สุดท้ายผมก็เคยขนซีดี 50 แผ่นติดรถไปเที่ยวยาวๆไกลๆ

พอใช้เป็นเครื่องเล่นเพลงอย่าง ipod ผมก็มี 1000 เพลงอยู่ในฝ่ามือ นั่นเป็นความสะดวกของการฟังเพลงผ่านไฟล์เพลง และเมื่อ ipod ครองโลก การจะมีเครื่องเล่นเพลงอะไรที่เจ๋งกว่าออกมาและมีจุดขายที่เด่นชัดย่อมเป็นเรื่องยาก ในตลาดเครื่องเล่นเพลงก็หาตัวที่จะทำมาดีกว่า ipod ก็แทบไม่มีเลย และนี่ก็คือโชคและจังหวะที่ดีที่ Aune มีเครื่องเล่นตัวนี้ออกมา แต่มันไมไ่ด้ออกมาแทน ipod ที่จุเพลงได้เป็นพันเป็นหมื่น แต่มันออกมาแทนเครื่องเล่นซีดี ทั้งแบบแผ่นเดียวและแบบหลายๆแผ่น เพราะเราจะก็อปปี้ไฟล์เพลงจากแผ่นซีดีลงบนหน่วยความจำแล้วนำไปเปิดเล่นเปิดฟังในสถานที่ที่เราต้องการ

คนรักแผ่นซีดีน่าจะรักชอบเครื่องเล่นไฟล์เพลงแบบนี้ เพราะมันให้คุณภาพเสียงที่ดีมากทัดเทียมกับเครื่องเล่นแผ่นซีดี แต่มันเก็บไฟล์เพลงได้มากกว่า มันสามารถเก็บเพลงได้หลายสิบแผ่นเสียด้วย การเปิด การเลือกเพลง ก็ทำได้ง่ายดาย คนที่ซื้อ Aune M1 น่าจะเป็นคนที่มีแผ่นซีดีอยู่ในบ้านค่อนข้างเยอะ และยังคงหลงใหลกับแผ่นซีดีเหล่านั้น ความสุขของการมีไฟล์เพลงจากแผ่นออดิโอไฟล์เป็นร้อยเพลงติดตัวออกจากบ้านไปเที่ยวเล่น อยากฟังเมื่อไหร่ก็ได้ฟังเพลงคุณภาพสูง เหตุผลเหล่านี้ทำให้เรายอมซื้อเครื่องเล่นเครื่องนี้ได้ไม่ยากเลย

แต่ ipod ก็เล่นเพลง wav ได้และจุได้เยอะเหมือนกัน แล้วเราอยากได้อะไรที่ ipod ให้ไม่ได้ล่ะ นั่นคือคำตอบที่ชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะจุดเด่นอีกอย่างหนึ่งของเครื่องเล่น Aune M1 ก็คือ มีภาค headphone amp ที่ดีมาก มันสามารถส่งกำลังขับไปใช้งานกับหูฟังขนาดใหญ่ได้ สามารถใช้งานกับหูฟังความต้านทานสูงได้ เพราะหูฟัง Fullsize มักจะต้องการพลังงานในการผลักดันตัวไดรเวอร์ส่งเสียงที่มากเพียงพอ ipod จะกำลังไม่พอเมื่อใช้กับหูฟังขนาดใหญ่ ซึ่ง Aune M1 ทำได้ค่อนข้างดี

จุดเด่นที่ชัดเจน ทำให้เรายอมใช้งานและอดทนกับความยุ่งยากในการเล่น เมื่อเราเตรียมเพลงให้พร้อม แล้วเปิดไฟล์เพลงนั้นๆด้วย Aune M1 พร้อมหูฟัง Fullsize สักตัว เราจะพบว่า สิ่งที่เรายอมแลก ที่เรายอมยุ่งยาก มันให้คุณภาพเสียงที่ดีมากนั่นเอง และทำให้เราไม่อยากกลับไปฟัง ipod ในแบบเดิมๆอีกเลย

IMG_20210806_220238

อัพเดทสิ่งที่เพิ่งค้นพบ

Aune M1 มีโหมดการเล่นลับที่ซ่อนไว้ นั่นคือ pro mode ที่จะเล่นไฟล์เสียงให้น้ำเสียงที่แตกต่างไปจากเดิมเล็กน้อย วิธีการเข้าระบบ pro ก็คือ ตอนเปิดเครื่องให้กดปุ่ม play ค้างไว้ แล้วค่อยเลื่อนสวิตซ์เปิดเครื่อง เมื่อเปิดแล้วเครื่องจะเข้าระบบ Pro และจะมีตัวหนังสือสีแดงขึ้นในจอภาพ หากเลือกใช้แล้ว การปิดแล้วเปิดใหม่ครั้งต่อไป ก็จะติดเป็นโหมด Pro ไปตลอด แต่หากจะเลิกใช้โหมด Pro นี้ ก็ให้ใช้วิธีเหมือนตอนเข้า ก็คือขณะปิดเครื่องอยู่ ให้กดปุ่ม play ค้างไว้ แล้วค่อยเลื่อนสวิตซ์เปิด ตัวเครื่องเล่นก็จะออกจากโหมด Pro แล้วกลับสู่ระบบปกติ