การสร้าง Visibility

Visibility คือการมีตัวตน การแสดงตัวว่าเราคือใคร ทำงานอะไร มีสินค้าหรือบริการอะไร สิ่งนี้เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากในการทำธุรกิจ เพราะถ้านึกดูให้ดี ตอนเราจะทำบริษัท เราก็ต้องจดทะเบียนบริษัท ต้องเปิดร้าน เปิดโรงงาน ต้องมีสถานที่ทำงาน ต้องมีนามบัตร ต้องมีเว็บไซต์ สิ่งเหล่านี้คือส่วนหนึ่งของการมี Visibility

การมี Visibility ที่ชัดเจนจะทำให้เรามีโอกาสได้รับการแนะนำงาน หรือ ลูกค้าจำเราได้ โดยเฉพาะในกลุ่ม Networking หรือการประชุมทางธุรกิจ สมาชิกในห้องทุกคนควรจะรู้ว่าเราทำอะไร เราต้องแสดงตัวอย่างชัดเจน นอกจากการแนะนำตัวอย่างเป็นทางการแล้ว การทำสิ่งอื่นๆอีกหลายอย่างจะทำให้เรามี Visibility ที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และที่ดีที่สุดคือ เราต้องมี Visibility ในความทรงจำของผู้คนเลย คือนึกถึงสินค้าแล้วนึกถึงเรา หรือ นึกถึงบริการตัวนี้ต้องนึกถึงเรา

ลองดูในคลิปแล้วทดลองทำตามนะครับ

นาฬิกากับเวลา

นาฬิกาข้อมือเคยเป็นอุปกรณ์ติดตัวมายาวนาน แต่พอยุคสมัยของโทรศัพท์มือถือครองเมือง ทุกคนมีโทรศัพท์ติดตัว การดูเวลาก็จะดูจากโทรศัพท์มือถือแทนนาฬิกากันเป็นส่วนมาก แต่ก็ยังมีบางคนที่ยังคงชินกับการดูเวลาจากนาฬิกาอยู่ดี และเมื่อยกนาฬิกาขึ้นมาดูก็พบกว่า นาฬิกาเดินไม่ตรง เพราะเวลาไม่ตรงกับที่โชว์อยู่บนโทรศัพท์

20240613180214_IMG_2392

ก่อนจะมีโทรศัพท์มือถือ เราไม่เคยรู้เลยว่าเวลาในนาฬิกาข้อมือของเราตรงหรือไม่ตรง นาฬิกาในบ้านเป็นแบบใส่ถ่านแล้วก็เดินอย่างนั้นอยู่เป็นปี นาฬิกาข้อมือใส่ถ่านก็เดินแบบนั้นอยู่เป็นปี นาฬิกาออโตเมติก ระบบกลไก อาศัยการสั่นสะเทือนไปเป็นพลังงานในการผลักเข็มนาฬิกาให้เดิน ก็มักจะเป็นนาฬิการะดับหรูหราราคาแพง นาฬิกาพวกนี้ก็ไม่เคยเดินตรง เจ้าของนาฬิกามักจะต้องตั้งเวลาเทียบกับนาฬิกาเรือนอื่นอยู่เสมอ

การหาข้อมูลเวลาที่เที่ยงตรงและแม่นยำแต่ราคาถูกที่สุดคือการเทียบกับเวลาจากอินเทอเน็ต หรือ internet time โดยค่าเวลาจะเป็นนาฬิกาที่แสดงอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เชื่อมต่อกับอินเทอเน็ต internet time จะถือว่าเที่ยงตรงที่สุด เพราะได้รับการดูแลและแก้ไขให้ตรงเสมอ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่ดึงเวลาจาก internet มาใช้ตั้งค่าตัวเองก็ถือว่าเที่ยงตรงเช่นกัน โทรศัพท์มือถือก็ดึงเวลาจากเครือข่ายผู้ให้บริการ และผู้ให้บริการก็จะใช้เวลาที่ดึงมาจาก internet time  ส่วนเวลาใน smartwatch จะตรงกับ internet time ตอนที่ถูก ซิงค์กับ app แล้ว แต่พอเวลาผ่านไปสักเดือน หากไม่มีการซิงค์กับคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ เวลาใน smartwatch ก็จะเดินไม่ตรง  ในตัวอย่างคือเดินช้าไปประมาณ 2 นาที ต่อเดือน เพราะไม่ได้ซิงค์มาเป็นเดือนนั่นเอง

IMG_20231104_225755

ดูจากอาการที่เวลาเดินไม่ตรง คลาดเคลื่อนประมาณสองนาทีต่อเดือนนั่นก็หมายความว่า smartwatch น่าจะใช้วงจรกำเนิดความถี่แบบอิเล็คทรอนิกส์  คุณภาพความถี่จะเป็นแบบตามมีตามเกิด คือไม่ได้ใช้ควอตซ์ในการควบคุมความถี่  เพราะความคลาดเคลื่อนของควอตซ์จะประมาณ 1วินาทีต่อเดือน หรือ 12-15วินาทีต่อปี    ส่วนวงจรกำเนิดความถี่แบบอิเล็คทรอนิกส์  จะมีสูตรคำนวณจาก R L C ค่าทางไฟฟ้าของอุปกรณ์ รวมถึงแรงดันไฟที่อยู่ในอุปกรณ์ด้วย ค่าอุปกรณ์ที่ไม่แม่นยำทำให้กำเนิดสัญญาณความถี่ที่ไม่แน่นอน ทำให้วงจรนับสัญญาณนาฬิกานับแล้วไม่ถูกต้อง  จะใช้นาฬิกาแบบนี้อ้างอิงเวลาไม่ได้เลยในระยะยาว  เพราะความถี่มันคลาดเคลื่อนเยอะเกินไป อุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ที่ต้องมีเวลาที่แน่นอนก็จะต้องอาศัยการตั้งค่าเทียบกับ internet time อย่างสม่ำเสมอ หรือต้องต่อเน็ตตลอดเวลานั่นเอง

นาฬิกาที่ควบคุมเวลาด้วยระบบควอตซ์จึงเป็นนาฬิกาที่เดินตรงที่สุดในโลกเพราะผิดพลาดน้อย ไม่นับนาฬิกาอะตอมที่ใช้ในห้องแล็ป ส่วนนาฬิกาออโตเมติก ระบบสั่นสะเทือนแล้วสะสมพลังงานไปผลักเข็ม แบบของหรู ของแพงทั้งหลาย เป็นระบบที่ไม่เที่ยงตรง เพราะคลาดเคลื่อนมากไม่ต่างกับนาฬิกาตามมีตามเกิด

แต่นาฬิกาออโตเมติกเลือกที่จะเอาจุดขายเรื่องอื่นมาทำตลาดคือ เป็นนาฬิกาที่เสถียรที่สุด  เพราะว่ามันทำงานได้อย่างน้อย 5 ปี ก่อนจะต้องส่งถึงมือช่างซ่อมบำรุง  ส่วนนาฬิกาควอตซ์ทำงานได้ประมาณ 2 ปีแล้วต้องส่งไปเปลี่ยนถ่านกับช่าง  อุปกรณ์ที่ห่างมือช่างได้นานกว่าก็ถือว่าเสถียรกว่านั่นเอง นาฬิกาในโลกนี้เลยมีจุดขาย2 อย่าง คือ เสถียร  กับ แม่นยำ  ต่างคนต่างมีตำแหน่งทางการตลาดของตัวเอง

อยากได้นาฬิกาที่เดินตรงให้ซื้อนาฬิการะบบควอตซ์ อยากได้นาฬิกาที่เดินได้ยาวนาน โอกาสเสียน้อยให้ซื้อนาฬิกาออโตเมติก แต่ต้องยอมรับกับการเดินไม่ตรงและต้องอาศัยกันตั้งเวลาเทียบกับโทรศัพท์มือถือแทบจะทุกวัน ส่วน smartwatch ก็เที่ยงตรงถ้าตั้งค่าให้ซิงค์กับโทรศัพท์ทุกวัน