พาลูกดูหนังโรง เรื่อง อวตารภาค 2

ในช่วงปีใหม่ก่อนจะเปลี่ยนเป็น พ.ศ. 2566 ผมอยู่ในช่วงวันหยุดสิ้นปี และลูกก็หยุดเรียน เลยคิดว่าจะพาลูกไปดูหนังในโรงหนังสักเรื่อง และเรื่อง อวตารภาค2 ก็กำลังฉายอยู่ หนังเรื่องนี้สร้างต่อจากภาค1ที่ผ่านมาแล้วเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว

แม้ว่ายุคปัจจุบันเราจะมีบริการดูหนัง streaming ทางอินเทอเน็ตที่ทำให้เราได้นั่งดูอยู่ในบ้านแล้ว แต่ประสบการณ์การดูหนังโรงใหญ่ในห้างก็ยังเป็นสิ่งที่เด็กๆชอบ ผมเคยถามลูกว่าการดูหนังในโรงหนังแตกต่างกับในบ้านอย่างไร ลูกตอบว่า จอใหญ่ เสียงดี นี่คือสองคำตอบที่ชัดเจนที่สุดในมุมมองของเด็กอายุ 10 ขวบ ซึ่งไม่เหมือนกับมุมมองของพ่อกับแม่แล้ว

ผมเองแม้จะชอบเรื่องเครื่องเสียง ชอบการดูหนังฟังเพลง แต่ผมก็ไม่เคยโปรดปราณการไปดูหนังในโรงหนังเลย อาจเพราะผมสนใจแค่เนื้อหาของหนังก็ได้ เรื่องความอลังการ เสียงดี จอใหญ่เลยไม่สำคัญสำหรับผม และยิ่งผมมีนิสัยที่ไม่ชอบคนเยอะ ไม่ชอบรถติด ก็ยิ่งทำให้การไปดูหนังในห้างเป็นเรื่องที่ไม่อยากทำ ถ้าไม่จำเป็น

พอตัดสินใจได้ก็เลือกว่าจะดูหนังเรื่องอวตารภาค2 โดยเรื่องนี้เป็นหนังที่เน้นภาพที่ตระการตา น่าตื่นเต้น เลยเลือกที่จะดูแบบ 3 มิติ ซึ่งการดูแบบ 3 มิติเราจำเป็นต้องดูในโรงหนังเท่านั้น เพราะระบบดูจากแผ่นหรือดูจาก streaming ยังไม่มีให้บริการ นั่นก็เป็นที่มาของเรื่องปวดหัวของผมแต่ไม่ใช่ของคนอื่น เพราะ 3 มิติ เราต้องเลือกโรง เลือกสถานที่ว่าจะต้องไปดูที่ไหน

บ้านผมใกล้เซ็นทรัลปิ่นเกล้าและโรงหนังในห้างเซ็นทรัลแห่งนี้ก็เป็นเครือเมเจอร์ซินิเพล็กซ์ และด้วยความที่เราอยากจะได้ที่นั่งในโรงที่ดีก็เลยต้องจองล่วงหน้าก่อนหนังฉายหลายชั่วโมง เพราะถ้าเราไปซื้อหน้าโรงจะเป็นที่นั่งที่ไม่ค่อยดีแล้ว ตำแหน่งดีๆจะถูกจองไปหมดแน่นอน คิดดังนี้ก็ก็เข้าเว็บแล้วเลือกโรง เลือกเวลา เลือกที่นั่ง

ปราฏกว่าที่เมเจอร์เซ็นทรัลปิ่นเกล้าไม่มีฉายเรื่องอวตาร2ในระบบ 3d แต่เป็นที่เมเจอร์ปิ่นเกล้าที่อยู่ตรงกันข้ามกับเซ็นทรัล เรื่องนี้ถ้าจะเล่าก็ยาวว่าทำไมต้องมีโรงหนังสองแห่งอยู่ตึกตรงกันข้ามกัน เด็กอายุน้อยกว่า 20 ปีคงไม่รู้ประวัติ เอาเป็นว่ามีอยู่ใกล้บ้าน ก็เลยเลือกเข้าไปจอง ผลก็คือ จองไม่ได้ ระบบเว็บของเมเจอร์มีปัญหา ช้าก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนที่เป็นปัญหาสำหรับผมก็คือ ระบบไม่มีทางเลือกการจ่ายเงินที่ผมจ่ายได้ และที่สำคัญคือ เมนูการจ่ายเงินไม่ทำงาน ผมเสียเวลาในหน้าเว็บเมเจอร์ไปเกือบชั่วโมง เลือกที่นั่งในโรงแล้วจ่ายเงินไม่ได้ บางทีเราอาจจะทำอะไรผิดพลาดข้ามขั้นตอน เลยคิดว่าจะลองใหม่อีกรอบก็ปิดหน้าเว็บเดิม แล้วเปิดเบราเซอร์ใหม่ แล้วเข้าไปเลือกที่นั่ง ทำใหม่ทั้งหมด ที่นั่งที่เลือกไว้ตอนแรกก็โดนล๊อคจากการจองของเรารอบแรก เข้าไปรอบสองก็เลยต้องเลือกที่นั่งอื่นแทน แล้วระบบก็รวนอีก สรุปจ่ายเงินไม่ได้ ผมต้องใช้ความพยายามครั้งที่3 ไปเข้าใน application บนมือถือ แล้วลองทำดู ผลก็คือ ไปไม่ถึงขั้นตอนการจ่ายเงิน สรุป ผมทำที่นั่งโดนล๊อคไป 6 ที่ ผมไม่ได้ตั๋วหนัง

1672458464043

ผมตัดสินใจเข้าไปที่หน้าเว็บอีกครั้งด้วยคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ แล้วไปส่งคอมเม้นท์ให้ทีมดูแลเว็บ ใจความว่า ผมติดปัญหาอะไร ผมใช้คอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการอะไร เบราเซอร์ที่ใช้ยี่ห้ออะไร และบ่นนิดหน่อยว่า ผมจะเอาเงินมาให้คุณ ไม่ต่อราคาเลยนะ ทำไมไม่ทำระบบให้มันดี ประมาณนี้แหละ แล้วผมก็หมดความพยายามกับเมเจอร์ซินิเพล็กซ์

ตัดสินใจไปที่ SF Cinema แทน โรงหนังเครือ SF มาทีหลังเมเจอร์ แต่ก็อยู่ในตลาดมายาวนานแล้ว และเว็บของ SF ทำได้ดีมาก ผมใช้เวลาประมาณ 3 นาที ผมได้ตั๋วหนัง 2 ใบ ได้เลือกส่วนลดที่จะใช้กับระบบด้วย ผมได้จ่ายเงินน้อยลงด้วย สรุปผมได้ดูหนังอวตารภาค2 ในระบบ 3d ในราคาตั๋วใบละ 150 บาทเท่านั้น ซึ่งราคาโปรโมชั่นที่ผมหามาใช้คือได้ตั๋วใบละ 120 แต่่ต้องจ่ายเพิ่ม 30 เป็นค่า 3มิติ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะเดิมทีผมตั้งใจจะจ่ายราคาเต็มเกือบหกร้อยบาทอยู่แล้ว

1672458464020

การใช้งานครั้งแรกกับเว็บของ SF ทำให้ผมได้ดูหนัง ได้ซื้อตั๋วหนังได้อย่างง่ายดาย ระบบที่จะรับเงินลูกค้าควรทำแบบนี้แหละ ทำให้มันง่ายที่สุด มีช่องทางจ่ายเงินที่หลากหลาย เพราะลูกค้าแต่ละคนใช้วิธีการจ่ายเงินแตกต่างกัน ระบบที่เปิดให้จ่ายเงินได้เกือบทุกช่องทาง ทุกวิธี นับว่าเป็นระบบมืออาชีพ และน่าอุดหนุนต่อไปเรื่อยๆ หลังจากนี้ผมคงจะเลิกเข้าเว็บของเมเจอร์ซินิเพล็กซ์ไปอีกพักใหญ่ๆ การเลิกเข้าเว็บครั้งนี้อาจจะยาวนานชั่วชีวิตก็ได้ เพราะลูกค้าอย่างผม ถ้าระบบเดิมไม่มีปัญหาผมก็อยู่กับระบบเดิมต่อไป เหมือนแบบเหตุการณ์วันนี้ที่ผมเลือกจองตั๋วกับเมเจอร์ในนาทีแรกที่คิดได้ว่าอยากดูหนัง แต่พอผมได้ประสบการณ์การใช้เว็บที่เลวร้ายก็ทำให้ผมต้องไปมองหาระบบอื่น ระบบเก่าส่งผมไปลองระบบของคู่แข่ง ผมก็เลยไปอยู่กับระบบใหม่ของคู่แข่งนั่นเอง หลังจากซื้อตั๋วสำเร็จ ก็จะมีอีเมลเข้ามาคอนเฟิร์ม แล้วก็มีตั๋วที่ระบุรอบฉาย เวลา ที่นั่ง เป็นแบบ QR code มาทางอีเมลนี้ด้วย เรานำภาพในอีเมลไปแสดงที่จุดเดินเข้าโรงภาพยนต์ได้เลย ไม่ต้องไปที่เค้าเตอร์ขายตั๋วในห้างอีกแล้ว

ScreenClip

งานบริการที่จะเป็นช่องทางให้ลูกค้าติดต่อกับธุรกิจ การเก็บเงินลูกค้าควรถูกทำให้เสถียรที่สุด ช่องทางการเก็บเงินควรจะเป็นสิ่งที่ห้ามผิดพลาด ห้ามล่ม การขายของทางเว็บเป็นการขายที่ตั้งใจจะรับเงินตลอดเวลา การซัพพอร์ตงานหลังบ้านของระบบก็ควรจะมีทีมงานทำงานตลอดเวลาเช่นกัน ผมสละเวลาอธิบายปัญหาในส่วนของการคอมเม้นท์กลับไปด้วย แต่ก็ไม่มีการตอบกลับใดๆเลย ผมเดาว่าระบบการรับคอมเม้นท์ก็อาจจะเลวร้ายไม่ต่างกัน ถ้าผมเป็นเจ้าของธุรกิจที่จะรับเงินทางเว็บ ผมจะแก้ไขงานรับเงินให้ราบลื่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ จะตั้งทีมซัพพอร์ตการรับเงินให้มีความสำคัญลำดับแรกสุด


กลับมาที่ตัวหนังนิดนึง หนังเรื่องอวตารภาค2 เป็นหนังที่ดีมาก ทั้งในแง่ของงานสร้าง ความสวยงามของภาพ เทคนิคสามมิติที่เลอเลิศสุดๆ และเนื้อเรื่องที่ดี พัฒนาจิตใจคนดู เหมาะกับเด็กและผู้ใหญ่ทุกคนในโลกเลย ผมไม่แปลกใจที่ภาค 1 จะทำเงิน2700 ล้านดอลล่าร์ เป็นอันดับ1ของโลกมายาวนานมาก ก่อนจะมีหนังเรื่อง end game มาแซงได้ ส่วนภาค2 คงจะไปถึงระดับ พันล้านดอลล่าร์ได้ไม่ยาก

รีวิวลำโพงสวย Syitren N-100

ลำโพงบลูทูธกลายเป็นของจำเป็นสำหรับคนชอบฟังเพลงผ่านโทรศัพท์มือถือไปเสียแล้ว และยิ่งถ้าเราชอบฟ้งรายการ podcast หรือ รายการทอล์คใน youtube ก็จะยิ่งทำให้อยากได้ลำโพงที่ใช้เปิดฟังรายการต่างๆโดยเฉพาะ เพราะการใช้หูฟังสำหรับฟังรายการ podcast เป็นเรื่องที่น่ารำคาญมากหากเราต้องฟังเป็นเวลานาน และหลายๆโอกาส แม้จะฟังรายการอยู่ก็ยังคงอยากได้ยินเสียงเรียกจากผู้อื่นด้วย การมีลำโพงแยกเฉพาะที่ไม่ได้มาอุดไว้ที่หูจึงเป็นแนวทางที่ดูเหมาะสมกว่า ผมมีหูฟังบลูทูธที่เสียงดีใช้ฟังเพลงได้ดีมาก แต่พอจะฟังรายการทอล์ค หรือ podcast ที่ยาวนานเกิน 30 นาที ก็เริ่มรู้สึกว่าอึดอัด แม้จะเปิดเสียงไม่ดังมาก แต่ระยะเวลาที่ยาวนานหลายสิบนาทีทำให้รู้สึกปวดหู จึงพยายามหาลำโพงบลูทูธอีกตัวหนึ่งมาใช้งานแทน

ลำโพงบลูทูธส่วนมากจะออกแบบมาให้เป็นปุ่มกดเพื่อเปิดและกดเพื่อปิดเท่านั้น ยิ่งลำโพงในระดับราคาไม่แพง การเปิดปิดจะทำผ่านปุ่มกดเพียงปุ่มเดียว และหากเราจะเพิ่มหรือลดระดับเสียง เราอาจจะต้องไปปรับที่โทรศัพท์มือถือแทน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าเบื่อและอันตรายมากหากเรากำลังขับรถอยู่ ลองคิดดูว่าเราเลือกรายการ podcast ความยาวประมาณ 45 นาที เราเปิดแล้วเราก็ฟังในรถ ระหว่างทางเราอาจจะมีจังหวะที่อยากเบาเสียง หรือ อยากหยุดรายการชั่วคราว ถ้าเราใช้ลำโพงบลูทูธทั่วไปที่ออกแบบมาแบบปุ่มกดน้อยๆ เราก็จะต้องแตะที่หน้าจอมือถือ แล้วเล็งหาส่วนที่จะหยุดการเล่น มันต้องใช้สายตาในการสั่งงานด้วย ระหว่างที่ขับรถอยู่ก็จะทำให้เกิดความลำบาก และมาพร้อมอันตรายที่ต้องละสายตาไปกดหน้าจอโทรศัพท์

พอมาเจอลำโพงตัวนี้ด้วยหน้าตาที่สวยงามและดูแปลก เลยทดลองสั่งซื้อมาใช้และก็ได้พบกับความสะดวกที่ค้นหามานาน Syitrend n-100 เป็นลำโพงรูปทรงเหมือนปุ่มกดคีย์บอร์ด แต่ขยายใหญ่ให้ใกล้เคียงฝ่ามือของผู้ใหญ่ บนตัวลำโพงมีปุ่มกด 2 ปุ่ม และมีปุ่มหมุนวอลลุ่มเพื่อปรับระดับเสียงอีก 1 ปุ่ม การเปิดปิดจะทำผ่านปุ่มวอลลุ่มที่บิดสุดทางซ้ายจะเป็นการปิด การเปิดเครื่องก็ต้องบิดวอลลุ่มเพื่อเปิดเล็กน้อย เราจะได้ยินเสียงกลไกดังคลิก แล้วลำโพงก็ฺจะทำงาน วอลลุ่มวงกลมนี้จะใช้เป็นตัวปรับระดับเสียง อยากได้ดังก็หมุนตามเข็มนาฬิกาไปเลย การเลือกระดับเสียงด้วยฮาร์ดแวร์แบบนี้ถูกใจมาก เพราะสามารถเพิ่มลดระดับเสียงได้ตรงกับความต้องการ

dpp-IMG_6143

ปุ่มเล็กๆด้านซ้ายเป็นปุ่ม pair เราต้องกดเพื่อเริ่มจับคู่กับโทรศัพท์ ปุ่มสีขาววงกลมถัดมาจะเป็นปุ่มเล่นและหยุดเล่นชั่วคราว ปุ่ม Play นี้เป็นกลไกที่ต้องกดลงไปด้วยน้ำหนักพอสมควร เราต้องกดให้ดังคลิกปุ่มถึงจะทำงาน เป็นระบบการกดทางกลที่แม่นยำ ให้น้ำหนักการกดที่ชัดเจน กดแต่ละครั้งจะดังคลิกให้เราได้ยิน ทำให้รู้สึกว่าลำโพงตัวนี้ตั้งใจออกแบบมาอย่างมาก ลำโพงออกแบบให้ยิงเสียงขึ้นด้านบน ตัวถังลำโพงมีการเคลือบแผ่นยางเอาไว้ทำให้มีความหนืดไม่ลื่น และจุดสัมผัสพื้นก็มีปุ่มนูนเล็กๆยื่นออกมา ทำให้การวางลำโพงไว้บนโต๊ะแข็งๆลำโพงจะไม่ลื่นบนโต๊ะ เราสามารถเอาโทรศัพท์มือถือไปวางพิงลำโพงตัวนี้ได้โดยลำโพงจะไม่คลื่อนที่เลย

สเป็ค

Playback duration >4 hours (volume 70%)

Speaker power 5Wx2

Signal to noise ratio (a weighted55dB

Distortion <1%

Net weightabout 400g

Product size 105mm*105mm*50mm

Battery Specification 2000mAH

Bluetooth version 5.0

Charging time 3 hours

dpp-IMG_6145

ด้านหลังของลำโพงเป็นช่องเสียบสายต่างๆ ประกอบไปด้วยช่องเสียบสายสัญญาณแบบ Aux 3.5มม. สำหรับเสียงสัญญาณเสียงจากเครื่องเล่นเพลง และมีช่องเสียบสาย usb-c ที่เอาไว้ชาร์จไฟให้ลำโพง เราสามารถใช้สาย usb-c ที่เราเอาไว้ชาร์จโทรศัพท์มาชาร์จลำโพงตัวนี้ได้ แบตเตอรี่ภายในที่ให้มาก็ไม่ได้ใหญ่มาก ใช้งานได้ประมาณ 3-4 ชั่วโมงก็คิดว่าต้องชาร์จไฟแล้ว ปุ่ม Play ทำหน้าที่สั่งให้เล่นเพลง หรือ หยุดเพลงชั่วคราว ไม่ว่าเราฟังรายการทอล์คหรือเพลงเพียงแค่เรากดปุ่มนี้ปุ่มเดียวลำโพงก็จะทำหน้าที่เล่นและหยุดชั่วคราวเสมอ นับว่าเป็นความสะดวกอย่างมากสำหรับคนชอบฟังรายการทอล์ค ส่วนเรื่องการคุยโทรศัพท์ไม่สามารถทำได้ เข้าใจว่าไม่มีไมค์ติดมาด้วย

dpp-IMG_6148

คุณภาพเสียง

น้ำเสียงของลำโพงตัวนี้ออกมาในแนวทาง ชัด ใส และเน้นเสียงพูดให้ฟังชัดเจนมากๆ เสียงเบสพอมีแต่ลงไม่ลึกแบบลำโพงตู้ใหญ่ๆ ฟังเพลงแจ๊สอย่างนอร่าโจนส์ ก็ได้ยินเสียงเบสบางๆไม่ได้ลงลึกแบบเบสลำโพงใหญ่ที่ให้เสียงลึกและอิ่มใหญ่โต ลองมองลอดผ่านตะแกรงด้านหน้าเข้าไปด้านในจะเห็นดอกลำโพงขนาดเล็ก 2 ดอกวางไว้คู่กัน ถ้าจะหาซื้อมาใช้เพื่อฟังรายการพูดก็นับว่าใช้งานได้ดีมาก ถ้าจะหาซื้อมาใช้เพื่อฟังเพลงก็พอไหว แต่จะไม่มีเบสเท่าที่ควร เพราะน้ำเสียงยังห่างไกลกับเครื่องเสียงบ้านอยู่มาก ที่ซื้อใช้ก็เพราะเหตุผลทางด้านหน้าตาและฟังค์ชั่่นการควบคุมเป็นหลัก

สรุป

Syitren n-100 เป็นลำโพงบลูทูธ คุณภาพดี มีลูกเล่นที่เหมาะสมกับการใช้งานเพื่อฟังรายการทอล์คหรือ podcast ปุ่มกดเล่นเพลง Play Pause เป็นปุ่มกดที่มีเอกลักษณ์ กดเพื่อหยุดเพลงและกดอีกทีเพื่อเล่นต่อ ขนาดตัวลำโพงใหญ่เท่าฝ่ามือผู้ใหญ่ มีน้ำหนักภายในที่หนักพอสมควร สามารถเอาโทรศัพท์มือถือไปวางพิงแล้วลำโพงไม่เคลื่อนที่ การควบคุมสั่งการสามารถทำได้โดยไม่ต้องมอง มีความแม่นยำสูง ปรับระดับเสียงดังหรือเบาได้ตรงกับใจมาก ถือว่าเป็นลำโพงหน้าตาแปลกสำหรับตลาดเมืองไทย แต่ก็หาซื้อได้ง่ายๆในเว็บ aliexpress ถ้าเน้นฟังเพลงผมจะเลือก jbl ทรงกระบอก หรือไม่ก็เพิ่มงบไปซื้อ fender ไปเลย แต่ขนาดตัวลำโพงก็จะใหญ่ขึ้น ความน่ารักลดน้อยลง

ลำโพงคู่นี้เหมาะกับใครบ้าง

คนที่ชอบฟังรายการทอล์ค หรือ podcast

คนอยากแต่งโต๊ะคอมสวยๆ

moserv นักออกแบบซอร์ฟแวร์

ในยุคปัจจุบันที่โลกเราเต็มไปด้วยระบบ AI และ โซเชียลเน็ตเวิร์คที่ครอบครองพื้นที่ในอินเทอเน็ตไปเกือบทั้งหมด  ชีวิตคนเราต้องเกี่ยวข้องกับระบบคอมพิวเตอร์ในช่องทางใดช่องทางหนึ่งเสมอ  ภาคธุรกิจจะทำงานไม่ได้เลยถ้าไม่มีคอมพิวเตอร์และ application นั่นทำให้อาชีพหนึ่งเป็นอาชีพที่น่าสนใจมาก และเป็นอาชีพที่สามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจได้อย่างมหาศาล  และแทบจะเป็นหัวใจของการทำงานยุคอินเทอเน็ตไปแล้ว นั่นคืออาชีพโปรแกรมเมอร์

โมเซิร์ฟเป็นบริษัทผลิตซอร์ฟแวร์ในหลายแพล็ตฟอร์ม  ซอร์ฟแวร์คือสิ่งที่ขับเคลื่อนธุรกิจ  หากเรามีซอร์ฟแวร์ที่ดีก็จะเหมือนเรามีเครื่องมือที่ดีในการแข่งขัน  และการได้มาซึ่งซอร์ฟแวร์ที่ถูกต้องเหมาะสมกับธุรกิจของแต่ละคนก็จะต้องเป็นซอร์ฟแวร์ที่ถูกพัฒนาจากคนที่ทำงานเขียนโปรแกรมด้วยความเข้าใจและออกแบบอย่างปราณีต

โม หรือ ชิตสกุณ  คือเจ้าของบริษัทโมเซิร์ฟ  เริ่มต้นชีวิตการเขียนโปรแกรมจากการสังเกตและตั้งคำถามที่น่าสนใจ  นั่นคือตอนที่ได้หัดใช้คอมพิวเตอร์และได้รู้จักซอร์ฟแวร์ตัวหนึ่งที่ชื่อว่า เวิร์ดราชวิถี ซึ่งเป็นซอร์ฟแวร์ที่ใช้พิมพ์ข้อความ พิมพ์บทความต่างๆแทนเครื่องพิมพ์ดีดและดินสอปากกา  ก่อนที่โลกเราจะมีไมโครซอร์ฟเวิร์ดด้วยซ้ำ  โมรู้สึกว่า เวิร์ดราชวิถีเป็นซอร์ฟแวร์ที่น่าทึ่งและต่อมาก็ได้รูัว่าซอร์ฟแวร์ตัวนี้ถูกพัฒนาโดยคุณหมอ  ความสงสัยที่เกิดขึ้นตามมาคือมันจะเป็นยังไงถ้าซอร์ฟแวร์จะถูกพัฒนาด้วยคนที่ศึกษาและเรียนมาเป็นโปรแกรมเมอร์อย่างจริงจัง  จะทำให้ซอร์ฟแวร์ที่สร้างขึ้นมีความยอดเยี่ยมได้อีกแค่ไหน  นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้อยากเป็นโปรแกรมเมอร์

ตอนเรียนมหาวิทยาลัยโมเริ่มเรียนเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรม  เริ่มด้วยภาษาปาสคาล  ก่อนหน้านี้ก็ทดลองเขียนโปรแกรมมาบ้าง สมัยปี 1 ก็เห็นเพื่อนเล่นเกมส์  แคร็กข้อมูลเกมส์เพื่อแก้ไข โกงเกมส์บ้าง เอาชนะเกมส์บ้าง  เลยจับกลุ่มกันเล่นเกมส์   ในกลุ่มมีการแบ่งกันรับผิดชอบ  ตกลงกันว่าต่างคนต่างศึกษา  โมรับผิดชอบภาษาปาสคาล  เพื่อนคนอื่นไปศึกษาภาษาซี  แล้วนำความรู้มาแลกเปลี่ยนกัน

สมัยวินโดส์ 95  อาจารย์เห็นว่าโมมีความรู้เรื่องคอมพิวเตอร์ที่พอจะแบ่งปันกับผู้อื่นได้  อาจารย์เลยแนะนำให้ลองไปเขียนบทความลงหนังสือซีเอ็ดซึ่งเป็นนิตยสารรายเดือนแนววิชาการเข้มข้น  โมก็ได้เขียนอยู่ 3 บทความ  การได้ลองเขียนแล้วได้ลงตีพิมพ์ในหนังสือ  เกิดเป็นความรู้สึกภาคภูมิใจทำให้เริ่มมีความมั่นใจในเรื่องคอมพิวเตอร์มากขึ้น  และเริ่มเห็นความสำคัญในการถ่ายทอดความรู้  เพราะได้พบกับบทความเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมที่อ่านแล้วเข้าใจง่าย  และขณะเดียวกันก็มีบางคนที่เขียนแล้วเข้าใจยาก  ทำให้รู้ว่าศิลปะการถ่ายทอดมีความสำคัญมากเช่นกัน  ก่อนจะเรียนจบก็ทำโปรเจ๊คเกี่ยวกับการเขียนโปรแกรมมัลติทาสก์  ทำโปรแกรมหมุนรูปเลขาคณิตเพื่อสร้างภาพในจอ ความรู้จากเทคนิคนี้ในหลายปีต่อมาก็ถูกนำไปใช้สร้างระบบการ Report หรือทำเป็น Data visualizer

สมัยเรียนยังได้ทำโปรเจ๊ค Computer Telephony โดยเน้นไปที่ระบบที่เรียกว่า interactive voice response หรือ ivr  เป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่สามารถรับสายโทรศัพท์ได้อัตโนมัติ พร้อมมีเสียงตอบรับเพื่อให้ผู้ใช้เลือกกดเบอร์โทรติดต่อภายใน  และได้เอาไปใช้กับระบบโทรศัพท์ของมหาวิทยาลัย  ซอร์ฟแวร์ ivr ทำงานบนระบบปฏิบัติการดอส (Dos)  ในยุคสมัยนั้นการเขียนระบบมัลติทาสก์หรือระบบที่ทำงานได้หลายอย่างพร้อมกันบนดอส เป็นเรื่องยากมาก  เพราะเครื่องมือ (Software Development Kit) ส่วนมากที่จะช่วยเหลือผู้พัฒนาจะมีให้ใช้แค่บนระบบปฏิบัติการวินโดส์เป็นส่วนใหญ่  นั่นทำให้การพัฒนาซอร์ฟแวร์บนดอส เป็นงานที่โดดเดี่ยว ไร้ผู้ช่วย แต่ก็ทำจนสำเร็จ ได้ใช้งาน

รุ่นพี่ได้มาเห็นฝีมือเลยชวนไปทำงาน บริษัท BEL  ไปทำงานเขียนโปรแกรมบนระบบปฏิบัติการยูนิกส์ (unix) เลยได้เขียนโปรแกรมที่เชื่อมต่อกับฮาร์ดแวร์ควบคุมระบบการทำงานต่างๆของเครื่องจักร เช่น ระบบจ่ายไฟ  ควบคุมเครื่องรดน้ำต้นไม้  ควบคุมแขนกลของหุ่นยนต์  โปรแกรมควบคุมการทำงานของเครื่องจักร CNC  การเขียนโปรแกรมควบคุมฮาร์ดแวร์เหล่านี้เป็นประสบการณ์การทำงานระหว่างเรียนที่มีประโยชน์มาก  เพราะได้เรียนรู้ภาษาระดับที่เข้าถึงฮาร์ดแวร์ได้โดยตรง  นั่นทำให้ทักษะการเขียนโปรแกรมได้พัฒนาขึ้นไปอีก

เรียนจบก็สมัครงานกับบริษัทผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่แห่งหนึ่ง  ได้รับตำแหน่งการทำงานเป็น system analyst   เป็นงานโปรแกรมเมอร์ชนิดหนึ่ง  ยุคนั้นเป็นบริษัทในเครือสามารถคอร์เปอเรชั่น  บริษัทนี้เช่าเครือข่ายโทรศัพท์มือถือจากรายใหญ่ แล้วแบ่งแบนด์วิดธ์มาให้บริการลูกค้าในยี่ห้อ hello1800  โดยในการให้บริการ  เวลาคิดค่าบริการเจ้าของเครือข่ายจะส่งข้อมูลการใช้งานให้ hello แล้วโมต้องนำไฟล์เหล่านั้นมาคิดคำนวนค่าใช้จ่าย  หรือแม้แต่เวลามีปัญหาที่ตำรวจต้องการข้อมูลการโทร ก็ต้องเขียนโปรแกรมไปดึงบันทึกการใช้งานของเบอร์เป้าหมายมาให้ตำรวจ  นั่นคือการได้เริ่มทำงานกับ database ขนาดใหญ่นั่นเอง  

เรื่องน่าสนใจก็คือการคิดค่าโทรต้องดึงข้อมูลจากล็อกไฟล์แล้วมาคิดเงิน  ซอร์ฟแวร์คิดเงินตัวนี้เป็นของรัสเซีย ค่าซอร์ฟแวร์ 1 ล้านเหรียญ และทุกค่ายมือถือก็จำเป็นต้องใช้ซอร์ฟแวร์ตัวนี้  นั่นคือการจุดประกายว่าธุรกิจซอร์ฟแวร์น่าสนใจมาก

ทำงานอยู่สองปีก็มีบริษัทใหญ่มาเทคโอเวอร์  โมเลยถูกบริษัทแม่ดึงตัวไปอยู่อีกหน่วยงานหนึ่ง  ไปทำงานวงการประกันภัย  ตอนนี้ได้อยู่กับฐานข้อมูลขนาดใหญ่ยิ่งกว่าเดิมนั่นคือข้อมูลประกันภัยรถยนต์  ได้ทำระบบประมวลผล ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหาร (mis)  ทำ report ต่างๆ  บริษัทประกันภัยแม้จะมีระบบอยู่แล้ว  แต่ก็ยังต้องการซอร์ฟแวร์เพิ่มเติม  โมเลยได้ทำงานกับฐานข้อมูลระดับโลกอย่าง Oracle  และ Db2  

ในเวลาต่อมาโมถูกชวนไปทำงานกับบริษัทให้บริการมือถือในสิงคโปร์ ด้วยลักษณะงานคือไปเช่าเครือข่ายท้องถิ่น แล้วนำมาให้บริการโทรศัพท์   ต้องทำการตลาดเอง  คิดค่าบริการเอง เก็บเงินเอง  ตอนไปทำงานระบบนี้ ก็ได้ทำระบบคิดเงิน (billing)  ระบบข้อความสั้น (sms alert system)  การได้เริ่มวางแผน เขียนโปรแกรมการทำงานทุกอย่างของธุรกิจสื่อสาร ถือว่าเป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมอย่างมากและเป็นต้นทุนที่สำคัญที่ทำให้ได้รับโอกาสที่ใหญ่ขึ้นในเวลาต่อมา

จนวันที่กลับเมืองไทย และหางานทำในประเทศ ก็ได้งานในการดูแลเว็บวาไรตี้แห่งหนึ่ง  เหตุผลที่ได้งานก็เพราะมีประสบการณ์การทำงานต่างประเทศและมีทักษะการเขียนโปรแกรมระดับใหญ่ๆมาแล้ว  จากนั้นไม่นานก็ย้ายไปร่วมงานกับ Leonics

ที่ทำงานใหม่ให้พัฒนาระบบ Erp โดยเน้นไปที่ระบบมอนิเตอร์การทำงานของโซล่าฟาร์ม  ต้องแสดงผลสถานะ ตัวเลขและข้อมูลทุกชนิดที่ธุรกิจพลังงานอยากเห็น  การสร้างระบบการแสดงผลที่ออกแบบใหม่ทั้งหมด ไม่ได้ใช้เครื่องมือเดิมที่เคยมี  ต้องพัฒนาโปรโตคอลการสื่อสารเองทุกอย่าง  ผลก็คือมีระบบการมอนิเตอร์ที่ทันสมัย  เป็นห้องวอร์รูมที่มีการแสดงผลระดับที่สวยงามเหมือนห้องควบคุมที่เราเคยเห็นในภาพยนต์ต่างประเทศ 

มีการย้ายงานอีกครั้ง  ไปอยู่บริษัท  M touch เป็นบริษัทเกี่ยวกับระบบมือถือ  เนื่องจากบริษัทได้เห็นเรซูเม่ (Resume) จาก head hunter เลยอยากได้ตัวมาทำงาน  ตอนเข้าไปทำงาน ได้โชว์ผลงานที่เคยทำให้ดู  CTO ( Chief Technology Officer) ได้เห็นความยากของงานต่างๆและเข้าใจได้ว่าต้องใช้ความพยายามอย่างมาก  โมเริ่มงานในตำแหน่ง Software Engineer  ต้องเขียน Daily Report ทุกวัน  ตอนเข้าไปทดลองงานก็มีสัญญา 6 เดือน  เป็นตำแหน่ง senior บังเอิญมีจังหวะที่ต่างประเทศมีปัญหากับฐานข้อมูล  และโมทำงานแก้ปัญหาได้ โดยที่คนอื่นในทีมในบริษัททำไม่ได้   ทักษะการเขียนโปรแกรมติดต่อกับฐานข้อมูลกลายเป็นสิ่งที่แตกต่าง  คนอื่นทำงานครึ่งวันแล้วไม่จบ  แต่โมทำได้ภายใน 30 วินาที  เลยได้รับการยอมรับ และได้โปรโมท สุดท้ายได้ไปเป็น Regional ดูแล 3 ประเทศ  และได้ไปประจำอยู่ฮ่องกง  

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา  โม  รู้วิธีบริหารธุรกิจหลายอย่าง และทำซอร์ฟแวร์ได้เกือบทุกอย่างในบริษัทเทคโนโลยี ทำให้ได้รับการสนับสนุนให้ออกมาเปิดบริษัท แม้จะมีความไม่กล้าไม่มั่นใจอยู่บ้างก็ตาม  จนในที่สุดก็เกิดเป็นบริษัทโมเซิร์ฟ  โดยโมบริหาร  เป็นบริษัทที่ให้บริการในการสร้างซอร์ฟแวร์ เริ่มต้นจากบริษัทที่มีโปรแกรมเมอร์คนเดียว  ปัจจุบันโมเซิร์ฟทำงานมีโปรแกรมเมอร์และพนักงานซัพพอร์ตรวม 20 คน  ที่นี่โมตั้งใจจะไม่ใช้คนเยอะ  เพราะงานซอร์ฟแวร์ใช้สมองมากกว่ากำลังคน  แม้คนจะไม่มากแต่โมเซิร์ฟก็สามารถเขียนซอร์ฟแวร์ให้ผู้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือได้  รวมถึงสามารถออกแบบ Erp ให้เหมาะสมกับธุรกิจของลูกค้าได้ด้วย  เพราะงานที่ทำคือประสบการณ์ตรงที่เคยผ่านมาแล้วทั้งหมด

โมเซิร์ฟได้รับความไว้วางใจจากธนาคารด้วย  โดยได้รับโปรเจ็คสร้างระบบ Telesale ซอร์ฟแวร์จะต้องรัดกุมและไม่ล่ม  มีกล้องวงจรปิดมอนิเตอร์ห้องทำงาน Telesale ตลอดเวลา  ก่อนจะเริ่มโปรเจ็คนี้จะต้องตอบแบบสอบถามจากธนาคารเป็นพันข้อ  เพื่อความมั่นใจว่ามีคุณภาพที่ตรงกับความต้องการ  เพราะธนาคารจะมีหน่วยงานควบคุมคุณภาพซอร์ฟแวร์โดยเฉพาะ และโมเซิร์ฟผ่านทุกเงื่อนไข

โมเซิร์ฟเชื่อว่าการเขียนซอร์ฟแวร์มีความสวยงามของมันอยู่  แต่คนทั่วไปมักตัดสินคนที่ความสำเร็จทางธุรกิจ  ไม่ได้สนใจในด้านของการพัฒนาซอร์ฟแวร์อย่างถูกต้องถูกทาง  วงการซอร์ฟแวร์มีรายละเอียดที่ลึกซึ้ง  งานวิจัยซอร์ฟแวร์ไปไกลมาก ถ้าจะเทียบกับดาวพลูโตซอร์ฟแวร์โซเชียลเน็ตเวิร์คที่กำลังฮิตกันอยู่ถือว่าอยู่แค่บรรยากาศของโลกเท่านั้น  พลังของซอร์ฟแวร์ยังมีอีกมากรอเพียงเวลาที่จะนำออกมาใช้

อย่างเช่น ศาสตร์ของระบบ AI ก็เป็นการสร้างความฉลาดให้คอมพิวเตอร์ด้วยโครงสร้างวิธีคิดแบบมนุษย์  ปัจจุบันสามารถเขียนโปรแกรมให้คิดเหมือนคนได้แล้ว  สมมุติว่าถ้ามนุษย์เรามีความรู้ 100 อย่าง แล้วเอาสิ่งที่มีอยู่มาสร้างเป็นความรู้ใหม่  วิธีการนี้วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ก็ทำได้แล้ว  ในสายวิทยาศาสตร์ เชื่อว่าคอมพิวเตอร์ฉลาดมาก ไม่มีอะไรที่คอมพิวเตอร์ทำไม่ได้

มนุษย์อาจจะใช้เวลาทำโจทย์แก้ปัญหาบางอย่างประมาณ 1 ชั่วโมง  ส่วนคอมพิวเตอร์ถ้าไม่ติดปัญหาเรื่องฮาร์ดแวร์  คอมพิวเตอร์ก็สามารถแก้ปัญหานั้นได้ไม่ต่างกับคน แต่จะเร็วกว่ามากจนเหมือนเป็นความมหัศจรรย์

ปัจจุบัน โมเซิร์ฟ ชำนาญการสร้าง application ทั้งในเวอร์ชั่นบนระบบคอมพิวเตอร์และในระบบ mobile  รวมถึงสร้างระบบ Erp ที่ออกแบบมาอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อให้บริษัทไม่ต้องเสียเงินซื้อแพ็คเกจใหญ่ที่ไม่จำเป็น  และการทำงานกับ Erp เจ้าของธุรกิจควรจะได้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเสียก่อนที่จะตัดสินใจเลือก  เพราะการการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่พัฒนาและติดตั้งไปแล้วจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก ต้องเสียเวลาเรียนรู้และอบรมพนักงานกันใหม่  เวลาและทรัพยากรที่เคยทุ่มเทให้ระบบเก่าจะกลายเป็นสูญเปล่าเมื่อจะเปลี่ยน Erp   ดังนั้นการตัดสินใจในวันแรกบนความเข้าใจที่ถูกต้องโดยมีผู้เชี่ยวชาญเรื่องซอร์ฟแวร์ให้คำปรึกษาจะเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด

ข้อมูลโดย

ชิตสกุณ ศุภศรี
Chitsakun Suphasri

https://th.moserv.co.th/home/

พาลูกหัดเล่นเทนนิส

IMG_0743

คลิปนี้เป็นคลิปการตีเทนนิสของ Nadal สำหรับการฝึกตีอย่างถูกต้องตามสไตล์ของเขา เจ้าของคลิปล็อคไว้ไม่ให้แชร์ในเว็บ แต่ให้เข้าไปดูใน youtube ได้เท่านั้น

คลิปวิดีโอการตีเทนนิสของ Rafael Nadal

ประวัติคร่าวๆจาก wikipedia

นาดัลเกิดที่เมืองมาจอร์กา ประเทศสเปน เป็นบุตรของนายเซบาสเตียน เจ้าของบริษัทประกันภัย และนางอนา มาเรีย ปาเรรา เขามีน้องสาวคือ มาเรีย อิสซาเบล[18] ลุงของเขา มิกูเอล แองเจิล นาดัล เป็นนักฟุตบอลทีมชาติสเปนต้องการให้นาดัลเป็นนักฟุตบอล ในขณะที่ลุงอีกคน โตนี นาดัล เป็นนักเทนนิสอาชีพ และได้แนะนำให้นาดัลเล่นเทนนิสตั้งแต่อายุ 3 ขวบและทำหน้าที่เป็นผู้ฝึกสอนของเขา แท้จริงแล้วนาดัลเป็นคนที่ถนัดขวา โดยเขาใช้ชีวิตประจำวันด้วยมือขวา[19] แต่ถูกฝึกให้ตีเทนนิสด้วยมือซ้ายตั้งแต่เด็ก เนื่องจากลุงโตนีต้องการสร้างอาวุธที่แตกต่างให้กับเขาเพื่อเป็นข้อได้เปรียบ[20]

จากการที่มีคุณลุงสองคนเป็นผู้มีความสามารถทางฟุตบอลและเทนนิส ส่งผลให้นาดัลมีความรักในกีฬาทั้งสองและได้ฝึกฝนกีฬาทั้งสองไปพร้อมกัน[21] โดยเหตุการณ์ที่ทำให้ลุงโตนีได้มองเห็นถึงพรสวรรค์ของนาดัลคือเมื่อตอนเขาอายุ 8 ขวบ เขาคว้าแชมป์เยาวชนรุ่นอายุต่ำกว่า 12 ปี ได้พร้อม ๆ ไปกับการเป็นนักฟุตบอลระดับจูเนียร์ ลุงโตนีจึงเข้มงวดในการซ้อมให้กับเขามากขึ้น เมื่ออายุ 12 ปี นาดัลสามารถชนะเลิศเทนนิสหลายรายการ และยังคงเล่นเทนนิสและฟุตบอลไปพร้อมกัน[22] พ่อของเขาไม่ต้องการให้การเรียนของเขาได้รับผลกระทบจากการเล่นกีฬามากจนเกินไป จึงให้เขาเลือกเล่นระหว่างเทนนิสและฟุตบอล ซึ่งท้ายทื่สุดนาดัลก็ได้เลือกเล่นเทนนิส และในปี 2002 นาดัลก็ได้ก้าวขึ้นสู่ 50 อันดับแรกของโลกในวัยเพียง 16 ปี

ขอบฟ้า ป4 ทำการบ้านวิชาภาษาอังกฤษ

IMG_5939

คุณครูให้โจทย์ว่าจะต้องสัมภาษณ์คนในบ้านตามหัวข้อที่กำหนด ขอบฟ้าเลือกสัมภาษณ์แม่เกี่ยวกับของเล่นและกีฬา ถ่ายคลิปโดยพ่อ ใช้มือถือติดบนขาตั้งกล้อง ใช้ไมค์ไร้สายแบบคู่ ส่งสัญญาณเข้าโทรศัพท์ทางตัวรับสัญญาณ usb-c มือถือโบราณไปหน่อยคุณภาพของภาพเลยไม่สวยมาก ส่วนคุณภาพเสียงน่าพอใจ เพราะไมค์ราคาไม่ถึงพันบาท ซื้อมาตั้งหลายเดือน เพิ่งได้ใช้จริงจังก็คลิปนี้

ปฏิทินขอบฟ้า 2566

ปฏิทินขอบฟ้าคือปฏิทินที่ทำมาตลอดทุกปี บันทึกตัวตึงประจำบ้าน จากปีแรกที่ทำเล่นๆ ปีถัดมาเป็นของต้องทำ ปีนี้เป็นของที่อาม่ารอคอย เพราะอาม่าเก็บทุกเล่มตั้งแต่เล่มแรก ปีนี้ขอบฟ้าอายุ 10 ขวบแล้ว แต่ละเดือนที่เรียงลำดับเอาไว้ จะใช้รูปของเดือนเดียวกันเมื่อปีที่แล้ว เพื่อให้รู้ว่าปีที่แล้วเราทำอะไร ไปไหนกันมาบ้าง ปีที่มีโคิวดก็จะมีภาพในบ้านเยอะหน่อย

การพิมพ์สีพิเศษในโรงพิมพ์

pockethifi's avatarthai letterpress printing

การ์ดแต่งงานที่ออกแบบและจัดพิมพ์ด้วยเทคนิคการพิมพ์แบบ letterpress จะใช้แม่พิมพ์โลหะร่วมกับหมึกพิมพ์ หมึกจะถูกทาลงบนแม่พิมพ์ แล้วนำกระดาษการ์ดไปทับเพื่อสัมผัสกับหมึก เราอยากได้สีอะไรบนการ์ด เราก็ใส่หมึกสีนั้นลงไป

เครื่องพิมพ์ระบบคอมพิวเตอร์ อย่างเครื่องพิมพ์อิงค์เจ๊ตที่เราพบเจอตามสำนักงานหรือบ้าน เป็นเครื่องพิมพ์ที่ใช้หมึกเหลวประกอบด้วยแม่สี แล้วคอมพิวเตอร์จะประมวลผลว่า หากเราต้องการสีแดงเข้ม คอมพิวเตอร์จะสั่งให้แม่สีปล่อยสีแต่ละสีในสัดส่วนที่ต่างกันเพื่อรวมกันเป็นสีที่ต้องการ วิธีนี้สะดวกได้สีคล้ายๆหน้าจอคอมฯ แต่ไม่เหมือน

การพิมพ์ letterpress แต่ละสีจะได้สีที่เหมือนกับตัวอย่างที่ใช้เป็นใบสั่งให้ช่างผสมสีขึ้นมา เราอยากได้สีอะไร เราก็หยิบสีที่ต้องการไปบอกช่างพิมพ์ว่าให้เอาแม่สี c m y k หรือสีกระป๋องใดๆที่มีอยู่ มาผสมสีกันเพื่อให้ได้สีตามที่ต้องการ คราวนี้ ใบสั่งใบแรก หรือสีตัวอย่างเราจะได้จากไหน วิธีที่สะดวกที่สุดคือ สมุดสี และในอุตสาหกรรมการพิมพ์มีสมุดสีของบริษัท Pantone เป็นสมุดสีที่นิยมใช้กันทั้งโลก

2021-03-27_08-17-57

Pantone ผลิตแค็ตตาล็อกสี แต่ไม่ได้ขายสี สมุดสีตัวอย่างของ Pantone ถูกใช้เป็นตัวอย่างสี ใช้เป็นตัวอ้างอิงในการสั่งงาน มันนิยมมากจนกระทั่งโปรแกรมออกแบบกราฟิคยังมีข้อมูลสีของ Pantone ให้เลือกใช้ ประวัติของการเกิดเป็น Pantone เท่าที่เคยอ่านผ่านตา ก็เกิดจากมีคนงานทำงานย้อมสีผ้า ผสมสีออกมาให้ลูกค้าเลือก แต่แทนที่จะเอากระป๋องสีไปให้ลูกค้าเลือก กลับเอาสีเหล่านั้นมาทาบนกระดาษ แล้วเอากระดาษที่มีสีหลายๆสีไปให้ลูกค้าเลือกแทน ผลการทำแบบนี้ทำให้สะดวกมากในการทำงาน และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็มีตัวอย่างสีที่ทาไปบนกระดาษมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ก็กลายเป็นสมุดสีนั่นเอง

20210327141331_IMG_0017

การสั่งงานพิมพ์สีให้ตรงกับใจ ก็คือต้องเลือกสีจากสมุดสีว่าสีใดคือสีที่ต้องการ แล้วบอกหมายเลขนั้นกับ
โรงพิมพ์ โรงพิมพ์ก็จะนำสมุดสีหรือค่าสีนั้นมาสั่งงาน แต่สิ่งสำคัญก็คือ ลูกค้า กับ โรงพิมพ์ ต้องมีสมุดสีเล่มเดียวกัน ดังนั้น หากลูกค้าไม่รู้จะเลือกสีอย่างไรเพราะไม่มีสมุดสี ก็ต้องไปที่โรงพิมพ์แล้วไปดูสมุดสีที่โรงพิมพ์ใช้ แล้วเลือกจากเล่มนั้นเลย ซึ่งวิธีการนี้เป็นวิธีการที่ถูกต้องที่สุดในการสื่อสารกับโรงพิมพ์ และวิธีอื่นนอกจากวิธีนี้คือวิธีที่ผิด

Pantone เริ่มแก้ปัญหาการเลือกสีให้กับผู้คนได้แล้ว แต่ก็พัฒนาไปอีกระดับด้วยการผลิตสมุดสีขายมันทั่วโลกเลย ลูกค้าที่อเมริกาจะเลือกสีที่ต้องการแล้วสั่งให้โรงพิมพ์ที่ประเทศไทยพิมพ์ให้ตรงใจ ก็แค่บอกค่าสีมาว่าเป็นสีหมายเลขอะไรบนสมุดสีเล่มไหน และให้ละเอียดที่สุดก็จะต้องบอกปีที่ผลิตของสมุดสีด้วย เช่น สี 1525U บนเล่ม solid coated ปี 2016 จริงๆเราจะใช้สมุดสียี่ห้อ “ไก่กา” ก็ได้ ถ้าอเมริกามีสมุดสียี่ห้อไก่กาขาย แต่มันไม่มี สมุดสีของ Pantone ที่มีขายทั่วโลกจึงเป็นคำตอบที่เหมาะสมที่สุดที่จะใช้สื่อสารกับโรงพิมพ์ถึงเฉดสีที่ต้องการ

สมุดสีของ Pantone มีอายุการใช้งาน ทางบริษัทแนะนำว่าให้เปลี่ยนทุกปี เพราะกระดาษมีการซีด สีจะไม่เหมือนเดิม รวมถึงแต่ละปีจะมีสีค่าใหม่ๆเพิ่มเติมเข้าไป คงมีเจตนาดีเรื่องทางเลือกสีที่หลากหลายมากขึ้น แต่เจตนาแฝงที่ไม่ได้บอกไว้อาจจะต้องการขายของใหม่ไปเรื่อยๆ ยกตัวอย่าง สมุดสีชนิด solid coated เล่มเก่าออกปี 2005 มีสีในเล่ม 1114 สี ปี 2015 มี 1867 สี แต่ปี 2019 มีสีในเล่มมากถึง 2161 สี ดังนั้น การเลือกสีจากเล่ม Pantone ต้องบอกปลายทางด้วยว่าคุณเลือกสีจากเล่มไหน ปีไหน

20210327141842_IMG_0024

วิธีการหาของถูกใช้ โรงพิมพ์ที่ทำงานมาหลายปี จะมีเล่ม Pantone เก่าๆอยู่ หากอยากได้ของเก่าราคามือสองก็ไปขอซื้อต่อได้ หาตามเว็บขายของมือสองก็ได้ ebay ก็มีเยอะ แม้จะใช้อ้างอิงเทียบกับเล่มปัจจุบันไม่ได้ แต่ก็ดีกว่าไม่มีใช้ เล่มเก่าปีเก่าที่มีค่าสี 1 พันสี ก็ทำงานได้เช่นกัน และเราสามารถใช้เล่มเก่าทำงานด้วยวิธีที่ถูกต้องได้ คือการเลือกสีจากสิ่งที่ตาเห็นบนกระดาษ ต่อให้เป็นกระดาษในเล่มเก่าก็ยังเป็นวิธีที่ถูกต้อง เมื่อเลือกสีได้แล้ว ก็ถือเล่มที่เลือกไปสั่งงานโรงพิมพ์นั่นเอง เพราะสีใหม่ โรงพิมพ์ก็ยังไม่มีหรอกครับ…

View original post 3 more words

เปลี่ยนถ่านรีโมท ซูซูกิ สวิฟท์ 2012 ใช้ถ่าน cr2032

รถยนต์ซูซูกิสวิฟท์เป็นรถอีโคคาร์ เครื่องยนต์ 1.2L รุ่นปี 2012 เป็นรุ่นที่มีกุญแจรีโมทให้มา 2 อัน ใช้งานประมาณ 8 ปี ถ่านรีโมทก้อนแรกก็หมดลง และในปี 2022 ถ่านในกุญแจอันที่2ก็หมดลง มันทำให้กดเปิดล็อครถไม่ได้ในระยะปกติ

การเปลี่ยนถ่านก็ให้ซื้อถ่านกระดุมขนาด cr2032 ซึ่งเป็นถ่านแบนๆกลมๆ มีขายในห้าง ในร้านสะดวกซื้อ ผมแนะนำให้ซื้อยี่ห้อดีๆไปเลย เพราะว่าถ่านจะอยู่ในรีโมทยาวนานหลายปี หากใช้ถ่านราคาถูก ยี่ห้อประหลาด เราอาจจะต้องเจอเหตุการณ์ถ่านเยิ้ม น้ำยาเคมีรั่วไหลเมื่อเวลาผ่านไปสักปีหรือสองปี ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรวัดดวง เพราะรีโมทรถยนต์เป็นของแพง ไม่ควรเอาไปเสี่ยงกับถ่านคุณภาพต่ำ

ถ่านยี่ห้อพานาโซนิคของแท้ เป็นถ่านที่คุณภาพดี ไม่มีน้ำยาไหลให้เห็นเลย ผมพบกับถ่าน AA ที่ซื้อใช้กับรีโมทคอนโทรลแอร์ ถ่านรีโมทที่ใช้พานาโซนิค แม้ถ่านจะหมดหรือเวลาผ่านไปสักสามปี ถ่านก็ยังอยู่ในสภาพปกติ ขณะที่ถ่าน AA ที่ซื้อจากร้าน 20บาท ใส่ในรีโมทปีกว่าๆก็มีผงเคมี มีน้ำยาเคมีไหลให้เห็นแล้ว รีโมทบางอันก็สนิมขึ้นเพราะโดนเคมีของถ่านละลายออกมากัดกร่อนโลหะตัวนำในช่องใส่ถ่าน ดังนั้น ขอให้ใช้ถ่านยี่ห้อดี ของแท้ ที่ไว้ใจได้เท่านั้น

วิธีการแกะถ่านเพื่อเปลี่ยนถ่านลองหาดูใน youtube ได้ ใช้ไขควงหัวแบนอันเดียวก็แกะได้แล้ว

ผมดูจากลิงค์นี้


สรุป กุญแจรีโมทของ รถยนต์ ซูซูกิ สวิฟท์ 2012 ใช้ถ่าน cr2032