ทำประกันสุขภาพเด็ก เพราะอะไรถึงควรทำให้ลูกเรา

ทำไมเราต้องทำประกันสุขภาพให้ลูก ในอดีตเราก็เติบโตมาแบบไม่เห็นต้องมีประกันสุขภาพเลย เราก็ไม่ค่อยป่วยหรอก ถึงป่วยก็ไปหาหมอได้ไม่ได้แพงอะไร แล้วใครจะป่วยบ่อยกัน คำตอบเหล่านี้เป็นคำตอบที่เป็นจริงกับบางครอบครัวครับ และผมก็โตมากับครอบครัวที่มีคำตอบแบบนี้ แต่ตอนผมมีลูก มันไม่ใช่แบบนี้แล้วครับ

IMG_0943

การมีลูกคนนึงจะมีค่าใช้จ่ายตามมาอีกมาก มันไม่ใช่แค่ค่านม ค่าอาหาร แต่มันมีค่าใช้จ่ายข้างเคียงที่เราต้องจ่ายโดยเราคาดไม่ถึง ผมเองก็คาดไม่ถึง หลายครั้งก็ห่อเหี่ยวอยู่เหมือนกันเวลาที่ควักเงินจ่าย ย่อหน้าแรกที่บอกว่าเป็นจริงกับบางครอบครัวก็คือ ถ้าคุณเป็นคนที่มีเงินมากมายคุณก็ไม่จำเป็นต้องทำประกันอะไรเลย เพราะคุณมีเงินมาก แต่กับพ่อแม่รุ่นต่อมา รุ่นที่ต้องเลี้ยงลูกในยุคอินเทอเน็ต มันก็มีค่าใช้จ่ายแวดล้อมเต็มไปหมด แล้วค่าบริการทางการแพทย์ยุคนี้ก็ไม่ธรรมดา การประกันสุขภาพให้ลูกจะช่วยเราลดภาระบางอย่างลงได้

IMG_1082

ลองไล่ตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ลูกผมเกิดจนอายุ 6 ขวบเมื่อไม่กี่วันนี้ ลองคิดเล่นๆ ลูกผมหลังคลอด แทบไม่ป่วยหนักเลย ป่วยเล็กน้อย ป่วยธรรมดาก็ได้แม่ดูแลอย่างดี เพราะแม่เป็นหมอ ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์ปละปลายไม่เคยต้องจ่าย เราก็ซื้อยาตามที่แม่(หมอ)สั่ง แต่ก็มีจังหวะที่ลูกป่วยหนัก จากการติดเชื้อไวรัสที่เราควบคุมไม่ได้ ลูกผมเข้าโรงพยาบาลครั้งแรกตอนอายุยังไม่ถึงขวบ ค่าใช้จ่ายในรอบนั้น 3 วัน 2 คืน เกือบสามหมื่นบาท บิลนี้ประกันจ่ายให้ เพราะผมซื้อประกันให้ลูกไว้แล้วตั้งแต่เกิด ประกันสุขภาพเด็กจะเริ่มดูแลเราหลังจากซื้อ 1 เดือน

fuji-20jul-19oct2013-DSCF8277-bw

การ admit ครั้งที่ 1 นี้เป็นการ admit แบบเขียมๆ เราเลือกห้องแอร์ที่เล็กที่สุดในโรงพยาบาลเพื่อให้เราไม่ต้องจ่ายเพิ่มในกรณีที่เกินเพดานของประกัน แต่สุดท้ายก็ไม่เกิน เราเห็นบิลแล้วก็ตกใจ ถ้าเราต้องจ่ายเองก็หน้ามืดอยู่ เพราะสมัยผมซื้อประกันให้ตัวเอง ค่าห้องพักในโรงพยาบาลอยู่ระดับ2พันบาท แต่ค่าห้องพักของยุคนี้คุยกันที่ 4-8 พันบาทสำหรับโรงพยาบาลเอกชนเกรดกลางๆไม่ใช่แบรนด์เนม เรียกว่า ค่าห้องกับค่ารักษาจะอยู่ที่ประมาณคืนละ 15000-20000 บาทต่อวัน ตัวเลขนี้ไม่มากไม่น้อย

fuji-20jul-19oct2013-DSCF8243-bw

การ admit ครั้งที่ 2 เกิดขึ้นตอน 1 ขวบ3เดือน ลูกผมป่วยอีกแล้ว ไข้ขึ้นสูง ส่งโรงพยาบาลดีกว่า เพราะการไปนอนโรงพยาบาลนั้นดีกว่าการนอนที่บ้าน การนอนในบ้านเราจะต้องมีการมอนิเตอร์ตลอดเวลา เช็ดตัวตอนไข้ขึ้นสูง ต้องใช้ยาตามเวลา การอดหลับอดนอนเป็นภาระของแม่และพ่อที่คอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ การไปนอนที่โรงพยาบาลก็คือการให้พยาบาลมาช่วยมอนิเตอร์แทนเรา เราจะได้หลับเต็มตาสักชั่วโมง ไม่งั้นก็จะพะวง พอพะวงมากๆก็เครียดนอนไม่หลับ เลยหอบลูกไปเข้าโรงพยาบาล และดูระดับราคาห้องพักที่แพงขี้นอีกนิดโดยที่ยังไม่เกินเพดานของประกัน ผมก็เลยเลือกห้องใหญ่ที่สามารถวางของได้เยอะ มีที่ให้ลูกเดินเล่นถ้าเขาเดินไหว และลูกยังไม่เข้าใจว่าป่วยคืออะไร พอตื่นนอนก็อยากจะเล่น ต้องเดินเล่นเข็นรถเล่น และที่สำคัญเลือกห้องที่มีพื้นที่ให้ผมนั่งทำงานได้ด้วย คอมพิวเตอร์ แท็บเบล็ท อุปกรณ์การทำงานพร้อมกันบนโต๊ะ ผมเปลี่ยนห้องพักให้เป็นห้องทำงาน และเราก็อยู่กับลูกเกือบ 24 ชม. ค่าใช้จ่ายออกมา 4วัน ประมาณ 6หมื่นบาท

set2-PDSC0144

การ admit ครั้งที่ 3 พอรู้ว่าต้องเข้าโรงพยาบาล ผมก็เลือกห้องใหญ่ จัดกระเป๋าราวกับไปพักรีสอร์ตต่างจังหวัด ลูกเมียและผมเดินทางไปนอนโรงพยาบาลแทบจะลากกระเป๋าเข้าไปเลย การพักในโรงพยาบาลรอบนี้ไม่เครียดอีกแล้ว เพราะลูกไม่ได้ป่วยอะไรที่น่ากลัว แต่ไข้สูงและต้องมอนิเตอร์ตลอดเวลา ซึ่งพยาบาลก็ทำหน้าที่ได้ดี เจ้าหน้าที่ใจดี จำลูกผมได้แล้ว ขาประจำป่วยด้วยโรคยอดฮิต โรคอะไรที่กำลังเป็นข่าวอีกไม่นานก็มาถึงลูกผมเสมอ 3วันในครั้งนี้ค่าใช้จ่ายประมาณ 3 หมื่นบาท

IMG_20171003_114219

มีอีกครั้งที่ลูกตกบันได เย็บที่หัวกี่เข็มก็ลืมไปแล้ว ตอนลูกตกแล้วเราอุ้มขึ้นมา เลือดไหลคามือ ขับรถไปโรงพยาบาลไปถึงโรงพยาบาลเท่าไหร่ก็จะจ่ายให้ได้ รีบเอาลูกไปปฐมพยาบาล รีบทำแผลเถอะ ผ่านชั่วโมงนั้นไปก็หายเครียด ลูกเย็บแผล แล้วก็กลับมานอนบ้านได้ตามปกติ ค่าหมอดูแผลแล้วเย็บ 6 พันบาท นี่คือราคาแถวบ้าน ประกันจ่าย เราไม่ต้องควักเงิน ควักแต่บัตรประจำตัวผู้เอาประกัน มันโอเคมากๆ ไม่มีใครอยากให้อุบัติเหตุเกิดขึ้นหรอก แต่ถ้าเกิดแล้วเราก็อยากได้การรักษาที่ดีและเร็วที่สุด

P_20160401_121118

IMG_1358.JPG

โรคมือเท้าปาก โรค RSV เฮอแปง… เจ้าโรคเหล่านี้เป็นโรคที่แพร่อยู่ในเด็กเล็ก สลับกันเป็น ถ้าคนในบ้านเป็น คนที่เหลือในบ้านก็อาจจะเป็น ถ้าลูกเพื่อนเป็น ลูกเราก็อาจจะเป็น ลูกคนอื่นเป็น พ่อแม่เขาก็เป็นพาหะ พอผู้ใหญ่เป็นพาหะ ผู้ใหญ่กับผู้ใหญ่ก็ทำตัวเป็นพาหะ ไม่ป่วยเอง แต่ส่งเชื้อไปติดเด็กคนอื่นในบ้านได้ เด็กไปโรงเรียน เพื่อนในห้องก็ติด เรียกได้ว่าอะไรฮิตมันติดถึงลูกเราแน่นอน

IMG_20171003_092505

ลูกผมโดนสั่งปิดห้องเรียนยกห้องทุกปี เพราะมีกติกาสากลอยู่ว่า ถ้าห้องเรียนห้องไหนมีคนป่วยเกิน 3 คน ห้องนั้นต้องปิด 1 สัปดาห์เพื่อทำความสะอาดห้อง ฆ่าเชื้อ แล้วค่อยให้เด็กมาเรียนใหม่ ระหว่างที่หยุด ก็จะได้เป็นการรอเวลาให้เด็กคนนั้นหายป่วยด้วย เพราะชื้อพวกนี้จะติดอยู่ในร่างกาย 7-10 วัน เลยทีเดียว
ขนาดวันสุดท้ายของรอบประกัน ยังอุตส่าห์ได้ใช้ประกันอุบัติเหตุ กระโดดเล่นแล้วตกลงมา กล้ามเนื้อบาดเจ็บลูกเดินกระเผกอยู่ในบ้านจนต้องพาไปหาหมอ หมอตรวจอยู่สามนาที วิเคราะห์ว่ากล้ามเนื้อบาดเจ็บอยู่ด้านใน ต้องพักอย่าใช้แรง 7 วัน ให้ยาแก้ปวดกลับบ้าน บิลออกมา พันสี่ร้อยบาท

IMG_20170226_094411

คนใช้เงินเดือนชนเดือนจะซาบซึ้งในระบบประกันมาก เพราะมันทำให้เราไม่ต้องควักเงินก้อนจ่ายไป ไม่ต้องแบกหน้าไปยืมใคร คนยืมเงินจะเปลี่ยนเพื่อนเป็นคนแปลกหน้าได้ง่ายๆ เราได้รับการดูแลอย่างดีจากโรงพยาบาลเอกชน คุณภาพสูง โดยไม่ต้องไปต่อคิวที่โรงพยาบาลรัฐบาล เพราะเรามีคนจ่ายให้ ประกันสุขภาพในเด็กมันเหมาะกับคนที่ยังไม่รวย ถ้าคุณมีพ่อแม่หรือปู่ย่าตายายที่รวย หรือคุณหาเงินได้เยอะ มีเก็บเหลือเฟือ ก็ไม่ต้องสนใจประกันสุขภาพก็ได้ แต่คนเงินน้อย การทำประกันสุขภาพนี่แหละที่ช่วยให้เราเลี้ยงลูกได้อย่างไม่ทุกข์ใจมาก ผมไม่ได้บอกว่าประกันดี แต่มันช่วยให้เราไม่ทุกข์มาก เพราะเราจ่ายล่วงหน้าจำนวนไม่มากให้กับประกัน แล้วประกันก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้เราตอนที่เราต้องการ ยิ่งเดี๋ยวนี้ประกันสุขภาพสามารถผ่อนได้ด้วย จะผ่อน 10 เดือน หรือ 12 เดือนก็เจรจาได้ ไม่มีดอกเบี้ย แล้วพอเด็กอายุเข้าสู่ปีที่ 6 เบี้ยประกันจะลดราคาลงไปเกือบครึ่งในการคุ้มครองดีเท่าเดิม ก็คงอุดหนุนกันต่อไปครับ

IMG_5027

ติดต่อคนขายประกันใกล้ตัวคุณ แล้วให้เขาเลือกแพ็คเกจที่คุ้มครองการรักษาประมาณ 60000-100000 บาท สำหรับโรคยอดฮิตในเด็ก เพราะโรคเหล่านี้ รักษาหาย ลูกคงนอนโรงพยาบาลไม่เกิน 5 วัน ผมคิดว่าลูกเราคงไม่โชคร้ายโดนผ่าตัดใหญ่ๆ แต่ถ้าจะเผื่อผ่าตัดใหญ่ คุณต้องดูวงเงินที่ใหญ่ระดับ 5 แสน ถึง 1 ล้านบาท ซึ่งเบี้ยก็จะหลายหมื่นบาท เลือกเอาตามที่เหมาะสมครับ.

fuji-20jul-19oct2013-DSCF8253-bw

bni กับแนวคิดของ การทำ farming ไม่ใช่ hunting

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4121

วิธีการทำการตลาดแบบบอกต่อที่เป็นหัวใจของ bni เป็นวิธีที่เน้นการปลูกสร้างสายสัมพันธ์  หลายคำศัพท์ที่มักจะได้ยินในกลุ่มของนักธุรกิจ bni คือ เรามาทำ farming ไม่ใช่ hunting

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4142

farming คืออะไร  ย้อนกลับไปที่คำศัพท์การทำฟาร์ม  การทำฟาร์มใดๆก็ตาม เราจะต้องได้ผลผลิตจากสิ่งนั้นอย่างสม่ำเสมอ  เช่น ถ้าเราทำฟาร์มไก่ เราก็เลี้ยงไก่ ผลผลิตเป็นไก่ เราได้ไก่กินทุกวัน เรามีไก่ไปขายทุกวัน  แม้เราหลับ เราตื่นมาก็มีไก่ให้กิน  เพราะฟาร์มจะมีผลลัพธ์ให้เราตลอดเวลา

ถ้าเราปลูกเห็ดขาย เรากำลังทำฟาร์มเห็ด  เราก็จะมีเห็ดให้เก็บขายทุกวัน  วันนี้เก็บไปแล้ว พรุ่งนี้มีเห็ดต้นใหม่ให้เก็บ เก็บขายทุกวัน นอนหลับตื่นมา พรุ่งนี้ก็มีเห็ดต้นใหม่

สิ่งที่ยกตัวอย่างมาคือเราทำฟาร์ม  ฟาร์มนั้นๆจะต้องให้ผลลัพธ์กับเราตลอดเวลา สิ่งที่เราต้องทำก็คือ หล่อเลี้ยงฟาร์มนั้นด้วยสิ่งที่จำเป็น เลี้ยงไก่ ก็ต้อง ให้อาหาร ให้น้ำ เก็บกวาดขี้ไก่ทำความสะอาด  ปลูกเห็ดก็ต้องรดน้ำ ใส่ปุ๋ย สิ่งที่เราทำเพิ่มลงไปทุกวันๆก็เพื่อให้วันพรุ่งนี้มีผลผลิต

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4182

เรามา farming ใน bni  ก็คือ ฟาร์มแห่งนี้จะต้องให้ธุรกิจกับเราทุกวัน หรือ ให้บ่อยๆ หรือ ให้อย่างสม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับธุรกิจของเราด้วย  ถ้าเราเป็นคนรับเหมาสร้างบ้าน  ฟาร์มแห่งนี้ก็ควรจะให้ลูกค้าสร้างบ้านกับเราตลอดปี  จบหลังแรก ก็มีหลังที่สองให้สร้างต่อ ทำให้บริษัทไม่ว่างงาน   หรือถ้าเราทำธุรกิจโรงพิมพ์  ฟาร์มแห่งนี้ก็ควรจะให้ลูกค้าที่สั่งพิมพ์งานทุกวัน หรือทุกสัปดาห์แล้วแต่ชนิดงาน ถ้าปีนึงลูกค้าสั่งงานโรงพิมพ์ 1 ครั้ง และเราใช้เวลาผลิตงานประมาณ 1 สัปดาห์  ฟาร์มแห่งนี้ก็ควรจะทำให้เราได้ลูกค้า 52 รายเพื่อให้โรงพิมพ์ได้ทำงานส่งทุกสัปดาห์นั่นเอง

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4183

farming ใน bni คือการพาตัวเองเข้าไปสู่สังคมของกลุ่มคนประมาณ 40-50 คน  คนในกลุ่มนี้จะมีหลายหลายอาชีพ และทุกคนอาชีพไม่ซ้ำกัน  การที่จะให้คนเหล่านี้แนะนำบอกต่อลูกค้ามาสั่งงานกับเรา ก็ต้องมีขั้นตอนหลายอย่าง เช่น เราจะต้องได้รับความไว้วางใจว่าเรามีคุณภาพ เพื่อนถึงจะกล้าแนะนำงานให้  เราต้องเป็นเพื่อนเขา สนิทสนมกับเขาในระดับนึง  และ เขาต้องรู้จักเรา รู้จักธุรกิจของเรา  และรู้ว่า งานที่เขาจะช่วยบอกต่อมาถึงเรานั้น เป็นงานที่เราต้องการจริงๆหรือไม่  ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราทำธุรกิจโรงพิมพ์  เราก็อยากจะพิมพ์งานหลายอย่าง  แต่งานที่เราทำไม่ได้ก็มี เช่น งานพิมพ์หนังสือพิมพ์ เพราะเครื่องจักรของเราผลิตหนังสือพิมพ์ไม่ได้  ดังนั้นเพื่อนในกลุ่มถ้าเขารู้จักเรา รู้จักธุรกิจเรา เขาจะไม่แนะนำงานหนังสือพิมพ์มาให้เรานั่นเอง

IMG_0048

ในขณะที่เรากำลังสร้างฟาร์มที่จะมีลูกค้า มีงานส่งมาถึงเราอย่างต่อเนื่อง  เราก็เป็นฟาร์มของคนอื่นเช่นกัน  คนอื่นจะต้องพยายามสร้างความไว้วางใจให้ได้  เขาจะต้องทำให้เราเชื่อและไว้ใจว่าเขามีคุณภาพ และจะไม่ทำเรื่องไม่ดีกับลูกค้าที่เราส่งไปให้  การหล่อเลี้ยงฟาร์มแห่งนี้เพื่อให้เกิดการแนะนำบอกต่ออย่างต่อเนื่องนั้น เราจะต้องมีวิธีการประจำวันที่จะทำงานกับระบบแบบนี้  ดังต่อไปนี้

dpp - Bod 23may2023 -IMG_4280

1  ต้องพบกันอย่างสม่ำเสมอ  ในทางปฏิบัติ ก็คือการเจอกัน คุยกันอย่างเป็นประจำ  คำว่าเป็นประจำมีความหมายยิ่งกว่าบ่อยๆ  ในกลุ่ม networking ทางธุรกิจ จะมีการพบกันสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เจอกันบ่อยยิ่งกว่าญาตพี่น้องเสียอีก  การพบกันอย่างสม่ำเสมอทำให้เราและเขาได้รับรู้ข้อมูลซึ่งกันและกัน  แลกเปลี่ยนข้อมูลกัน และสามารถนำไปสู่ความไว้วางใจในการส่งต่อลูกค้าได้  ให้ลองคิดเล่นๆว่า  เราจะบอกต่อลูกค้าคนสำคัญของเราให้กับเพื่อนแบบไหน เพื่อนแบบที่นัดแล้วไม่มา  ไม่ค่อยได้เจอ  หรือเพื่อนที่พบกันทุกสัปดาห์และเขารับผิดชอบงานดี

2  ต้องใช้เวลาพูดคุยกันอย่างถึงแก่นของธุรกิจ  รู้ในสิ่งที่ควรรู้ของเพื่อน  เช่น  ต้องรู้ถึงระดับที่ว่า งานที่เราพบเจอใช่งานของเพื่อนเราจริงไหม  อย่างเช่น  ถ้ามีคนจะซ่อมบ้าน ต่อเติมบ้าน  และในกลุ่ม network ของเรามีผู้รับเหมาสร้างบ้าน  เราต้องรู้ว่า ผู้รับเหมาที่เราพบกันประจำเขารับงานต่อเติมไหม  บางคนอาจรับแต่งานสร้างใหม่  ส่วนงานซ่อมหรืองานต่อเติมไม่รับ  ดังนั้น  เวลาเราจะเลือกส่งต่องาน เราควรรู้ว่า คนรับเขาอยากได้งานนั้นๆจริงหรือไม่  และการที่จะได้รู้ว่าเขาอยากรับ หรือ ไม่อยากรับ  เราต้องผ่านการพูดคุยกันในเชิงลึก  ผ่านการได้ดูได้เห็นผลงานของเขา  ในทางกลับกัน  ถ้าเพื่อนผู้รับเหมาจะส่งงานมาให้เรา  เขาก็ควรรู้จักเราว่าเราชอบงานนั้น หรือ ไม่ต้องการงานแบบนั้น

เมื่อเราพบกันสม่ำเสมอ และรู้ข้อมูลเชิงลึกซึ่งกันและกันแล้ว ก็เท่ากับเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับคนทั้งสองฝ่าย  การแนะนำลูกค้าที่เรามีอยู่ให้ใช้บริการเพื่อนในกลุ่มก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้  ไม่ตะขิดตะขวงใจ  คนเรามีลูกค้าติดตัวรวมถึงคนรู้จักที่พูดคุยได้อย่างน้อย 200 คน  ถ้าเรารวมกลุ่มกันเป็นกลุ่มย่อย 5 คน ก็เท่ากับมี 1000 ว่าที่ลูกค้า  ถ้าเรารวมกลุ่มกัน 40 คน เราจะมีว่าที่ลูกค้า 8000 คน  นี่คือความน่าจะเป็นของการทำธุรกิจด้วยวิธีการบอกต่อ  แต่เราบอกต่อแบบมีคุณภาพ และมีโครงสร้างการติดตามงานที่ชัดเจน ทำให้การบอกต่อเป็นการบอกต่อที่เกิดผลลัพธ์  ซึ่งมันก็คือการทำฟาร์มที่จะได้ผลเป็นลูกค้านั่นเอง  เพราะในกลุ่มจะวนเวียนเกิดงานใหม่ๆให้แก่สมาชิกเสมอ