ลดน้ำหนักง่ายๆแบบคนขี้เกียจ ตอนที่2 เราอ้วนขึ้นได้อย่างไร

“คนเราจะอ้วนขึ้นเพราะกินเยอะครับ”

เป็นคำตอบสั้นๆ  แต่จริง  เดี๋ยวลองมาดูกันยาวๆว่ามันเป็นไปอย่างไรกัน

นักโภชนาการเคยบอกว่า น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมจะคู่กับตัวเลข 7000 กิโลแคลอรี่  หมายความว่า ถ้าเราอยากลดน้ำหนัก 1 กิโลกรัม เราต้องเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้ได้ 7000 กิโลแคลอรี่  หรือ ใช้ชีวิตให้ติดลบ 7000 กิโลแคลอรี่ นั่นเอง ซึ่งอาจจะทำโดยการออกกำลังกาย  ขณะเดียวกัน ถ้าเราจะเพิ่มน้ำหนัก 1 กิโลกรัม ก็ต้องกินให้ได้แคลอรี่ตกค้างในร่างกาย 7000 กิโลแคลอรี่  ที่ใช้คำว่าตกค้างก็เพราะว่า ต่อให้เรากินวันนี้เข้าไป 7000 กิโลแคลอรี่  พรุ่งนี้เราก็ขับถ่ายออกไปส่วนใหญ่ คงเหลือค้างไว้ในร่างกายคงจะไม่กี่ร้อยแคลอรี่  แม้จะดูเล็กน้อย แต่ถ้าทำหลายๆวันมันก็สะสมจนน้ำหนักตัวขึ้นมาได้นั่นเอง

นิสัยการกินแหลกนี่แหละที่ทำให้น้ำหนักตัวขึ้น  เพราะผมเป็นคนไม่ออกกำลังกาย  การกินอะไรเข้าไป ก็มีแนวโน้มจะเพิ่มน้ำหนักตัวอยู่แล้ว  สมมุตว่า ถ้าเรากินแล้วแคลอรี่สะสมในร่างกายเป็น +100 กิโลแคลอรี่ต่อวัน  เราจะใช้เวลา 70 วันที่จะน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 1 กิโลกรัม  หรือสองเดือนเศษ  ถ้าทำต่อเนื่องปีนึงก็จะน้ำหนักขึ้น 100*365 / 7000 ก็จะได้ 5.2 กิโลกรัม  แปลว่า กินเพลินๆ กินทุกวัน กินเกินความต้องการของร่างกายไปเล็กน้อยสักปีนึง น้ำหนักขึ้น +5.2 กิโลกรัม  มันเป็นตัวเลขที่เป็นไปได้  สมมุติว่าเราไม่ได้กินล้นทุกวัน แต่กินแค่วันเว้นวัน เราก็จะน้ำหนักตัวขึ้นปีละ 2.6 กิโลกรัม  ถ้าผ่านไป 10 ปี น้ำหนัก +26 กิโลกรัม  ลองนึกดูว่าจริงไหม  ผมเคยหนัก 67 กิโลกรัมตอนอายุ 20  แต่พออายุ 40 ผมหนักประมาณ 90 กิโล  ส่วนต่างประะมาณ 23 กิโลกรัมนี้มีที่มาจากการกินล้นๆ กินเกินความต้องการ  ก็คือกินแหลกนั่นเอง

20120508_124306

กาแฟเย็นซื้อที่ปากซอยทุกครั้งที่เดินผ่าน

เราคงเคยคุยกับเพื่อนว่าปีนี้กินเยอะมากเลย  ไม่กี่เดือนน้ำหนักขึ้น 5 กิโล  มันก็มาจากการสะสมแบบนี้แหละครับ  ตัวเลข +100 กิโลแคลอรี่ต่อวันมาจากอาหารอะไรบ้าง  เราจะไม่พูดถึงอาหาร 3 มื้อที่เราต้องกินประจำนะครับ  แต่จะไปวิเคราะห์หาที่มาจากอาหารแปลกปลอมที่เราไม่จำเป็นต้องกินแต่เราดันกิน  มันคือ ขนม ของหวานต่างๆ รวมไปถึง กาแฟหวานๆ  จะร้อน จะเย็น ถ้ามีรสหวานก็คือปริมาณแคลอรี่ที่มากเกินความจำเป็นของร่างกายทั้งสิ้น  ของหวานเหล่านี้ต่อให้เราไม่กินเราก็อยู่ได้  แต่เราก็ชอบกิน  มันก็เลยสะสมเกิดเป็นพลังงานส่วนเกินและกลายเป็นน้ำหนักตัวไปในที่สุด

chiangmai-set1- (36)

กาแฟถ้าชงเองก็จะใส่ครีมและน้ำตาลด้วย

ผมกินแหลกอย่างไรบ้าง  ลองไล่ดูนะ  มื้อเช้ากินในบ้าน มีคนเตรียมให้ ผมกินอิ่ม มื้อเช้าใครๆก็กินเยอะอย่างสบายใจ  แล้วก็ต่อด้วยกาแฟร้อน ใส่กาแฟ  1 ช้อน น้ำตาล 1 ช้อน ครีม 1 ช้อน สูตรการชงกาแฟผมจะง่ายๆ 1 1 1 นั่นเอง  แต่บางครั้งก็ทำเป็น  2 2 2 เมื่อใช้แก้วใบใหญ่ขึ้น  สายๆ ประมาณสิบโมงกว่า  มีเดินไปชงกาแฟอีกแก้ว  พอถึงเวลาเที่ยง กินมื้อเที่ยง กินหมดจาน ข้าวราดด้วยผัดกระเพรากับไข่ดาวฟองนึง กินเต็มจาน อิ่ม  ยังมีน้ำอัดลมหรือกาแฟเย็นในมื้อนี้อีกแก้ว

inc huahin2feb2008-_MG_2806

อาหารแสนอร่อย ของทอด และ ปลาหมึกผัดกะเพรา ไขมันเพียบ

แล้วก็กลับมาทำงานรอบบ่าย  ชงกาแฟสักแก้วก่อนเริ่มงานรอบบ่าย  นั่งทำงานไป  บ่ายสามโมงอู้ไปเดินยืดเส้นยืดสาย ชงกาแฟอีกแล้ว  พอเลิกงาน เดินกลับบ้านหรือขับรถกลับบ้าน  ถ้าขับรถก็จะมีกาแฟกระป๋องกินไปกับการขับรถ  ก่อนจะขับรถกลับบ้าน ผมจะผ่านร้านขายลูกชิ้นทอด  ก็ซื้อกินสัก 20 บาท  พร้อมด้วยกาแฟเย็นอีกแก้ว  กลับมาถึงบ้าน กินมื้อเย็นเต็มจาน บางทีก็สองจานขึ้นอยู่กับกับข้าวน่ากินไหม  พอตกดึก ถ้าไม่ง่วงก็ชงกาแฟกินโดยนั่งทำงานหรือนั่งเล่นอินเทอเน็ตไปด้วย  พอตกดึก ก็ไปกินข้างนอก  บางครั้งก็ไปกินข้าวต้มกระเพาะหมู   บ้างก็เป็นเกาเหลากับข้าวถ้วยนึง  บางทีก็ฟู้ดแลนด์ ซึ่งที่ฟู้ดแลนด์จะมีเมนูประจำคือชุดอาหารเช้า ในนี้จะมี ไส้กรอก ไข่ดาว2ฟอง  ขนมปัง2แผ่น เนย แยม มีกาแฟร้อนอีกแก้วที่ผมจะตักครีมและน้ำตาลเติมเข้าไป  และบางวันก็ไปกินราดหน้าผัดซีอิ๊วซึ่งเป็นสิ่งที่ชอบมากๆ  ข้าวขาหมูก็มีขายทั้งแถวบ้านและแถวที่ทำงาน กินบ่อยเหมือนกัน

รูปถ่าย0093

ผัดซีอิ๊ว ทุกพื้นที่ผิวมีน้ำมันฉาบอร่าม ยิ่งมันยิ่งอร่อย

foodK-IMG_6195

ข้าวขาหมูที่ดูเหมือนเนื้อน้อยกว่ามัน

ก็กินซะขนาดนี้จะไม่สะสมจนล้นได้ยังไง  ทั้งหมดที่เล่ามาเป็นการกินใน 1 วัน  และกินแบบนี้เป็นปีๆ ในเวลาไม่กี่ปีที่ผมปล่อยตัวให้เคยชินกับการซื้อกินรายทางและกินหลายมื้อ ทุกอย่างที่กินก็ไขมันสูงทั้งสิ้น  จะเห็นว่าไม่มีเมนูเพื่อสุขภาพเลย  มันก็เลยทำให้น้ำหนักตัวขึ้นไปถึง 91.3 กิโลกรัม  ซึ่งอีกนิดเดียวจะร้อยกิโลอยู่แล้ว  ผมไม่ยอมเด็ดขาด  มันรับสภาพตัวเองไม่ได้  จากคนที่กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน กลายเป็นคนอ้วนไม่มีคอ  ไม่มีเอว  และที่สำคัญ เด็กในบ้านเรียกผมว่าอ้วน  มันเป็นภาพจำของเด็กไปแล้ว  แย่มากจริงๆความรู้สึกแบบนี้

รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี: เราจะสร้าง ‘คน’ ให้เป็น ‘หุ่นยนต์’ ที่แพ้หุ่นยนต์กันไปทำไม

http://www.tcdc.or.th/creativethailand/article/TheCreative/28491

 

ลดน้ำหนักง่ายๆแบบคนขี้เกียจ ตอนที่1 เริ่มต้น

ในชีวิตผมเองไม่เคยคิดว่าเรื่องน้ำหนักตัวจะสร้างปัญหา  หรือ อีกความหมายนึงคือไม่คิดว่าตัวเองจะอ้วน  ตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยก็กินแหลก  สมัยทำงานก็เป็นคนที่กินสารพัด กาแฟ ขนม กินเยอะมาก กินจนหมดโต๊ะ อาหารไม่หมดผมไม่หยุดกิน  และมีแฟนแต่ละคนก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นคนอ้วนไปจีบสาว  เวลาไปจีบใครแต่ละคน เราก็ไปชวนเขากินตลอด  คนที่บ่นเรื่องอ้วนจะเป็นผู้หญิง และผมก็เป็นคนฟังมาตลอด

ใช้ชีวิตจนเพลิน แม้หลังๆจะเริ่มรู้สึกว่าพุงใหญ่ขึ้น  จะรู้สึกว่า เสื้อผ้าชุดเก่าๆเริ่มแคบ แต่ก็ยังไม่ตระหนักว่ามันค่อยๆล้น  กางเกงหลายตัวใส่ไม่ได้  ยิ่งแต่งงาน ยิ่งเลี้ยงลูก ยิ่งกินดึก  บางวันผมก็ออกไปนั่งกินมื้อดึก  พอกินบ่อยๆก็ติดเป็นนิสัย  กลายเป็นว่าวันหนึ่งๆกินสี่มื้อ  นอกจากนี้ยังซื้อกาแฟเย็นกินทุกวัน ร้านที่เดินผ่านจะแวะซื้อประจำ  จนกระทั่งบางวันที่ผมอยากลองเปลี่ยนเป็นเมนูแบบอื่นต้องรีบตะโกนบอกคนขายว่า อย่าเพิ่งชง  ผมจะเปลี่ยนเป็นชาดำเย็นบ้าง  เพราะคนขายจะขายผมทุกวัน แค่เห็นเงาตะคุ่มๆของผมก็ยกถ้วยชงกาแฟขึ้นมาแล้ว

IMG_0341

ภาพนี้ผมแขม่วพุงแล้วนะ  คาดว่าน้ำหนักน่าจะประมาณ 90-91 กิโลกรัม

วันที่ถึงจุดที่ตัดสินใจจะลดน้ำหนักก็คือ  วันที่ลองชั่งน้ำหนักแล้วพบกับตัวเลข 91.3 กิโลกรัม  ผมตกใจสุดขีด และเสียใจอย่างไม่รู้จะเปรียบเปรยอย่างไร  อกหักจากสาวที่จีบไม่ติดสักคนยังไม่รู้สึกเลวร้ายเท่านี้  เพราะความจำในวัยเด็กถึงวัยรุ่นก็คือ  ผมหนัก 67 ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และตอนทำงานใหม่ๆก็หนักประมาณ 72-75 กิโลกรัม ส่วนสูง 175cm  คู่กับน้ำหนัก 75 กิโลกรัมตามมาตรฐานชายไทย ผมเคยเป็นคนแบบนั้น  แต่วันที่น้ำหนักพีคไป 91.3 กิโลกรัม เหมือนโดนตบหน้า  เหมือนตราชั่งขึ้นป้ายว่า “ไอ้อ้วน”

IMG_0015

ตอนที่พีคขึ้นไปมากจนเห็นภาพตัวเองแล้วตกใจ

ผมหาวิธีลดน้ำหนักที่ลงทุนน้อยสุด ทั้งตัวเงินและเวลา เนื่องจากเป็นคนงกและคิดว่าคนเราไม่ควรเสียเงินเพื่อออกกำลังกาย  มันเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตที่จะออกกำลังโดยไม่ต้องจ่าย  การเข้าฟิตเนสแล้วเสียเงินปีละหมื่นหรือมากกว่านั้นเป็นสิ่งที่ผมไม่ยอมทำแน่นอน  และอีกเหตุผลหนึ่งคือ ผมไม่มีเวลา  มันไม่มีเวลาจริงๆ  ถ้าจะต้องเข้าฟิตเนสวันละ 1 ชม. หรือ วิ่งที่ไหนสักแห่งวันละ 1 ชม. ก่อนไปวิ่งก็ต้องเตรียมตัวและเดินทาง  ตอนวิ่งเสร็จก็ต้องอาบน้ำและเดินทาง  การทำกิจกรรมวิ่ง 1 ชม.คนเราอาจต้องใช้เวลาร่วม 3 ชม. เพื่อจบทั้งกระบวนการ  ดังนั้น ผมไม่ต้องการใช้เวลาขนาดนี้  ถ้ามีเวลาวันละ 3 ชม. ผมอยากเอาไปฟังเพลง เอาไปอ่านหนังสือมากกว่า

อีกหลายเหตุผลคือ  เคยเห็นคนออกกำลังกายอย่างหน้าชื่นตาบานแล้วแชร์ภาพชีวิตดี๊ดีทางเฟสบุ๊คหรือเว็บบอร์ด  ทั้งการวิ่งพร้อมด้วยอุปกรณ์ไฮเทค ร้องเท้าจัดหาเพื่อการวิ่ง นาฬิกานับก้าวหรือนับแคลอรี่ รวมถึงนับอัตราการเต้นของหัวใจ   การขี่จักรยานที่ต้องใช้จักรยานหน้าตาเหมือนลงแข่งพร้อมทั้งเสื้อผ้าหน้าผมแบบเต็มยศราวกับจะไปแข่งโอลิมปิค  จะใช้จักรยานแม่บ้านก็ไม่ได้  …. สำหรับผมเรียกว่าไร้สาระ ไร้ประสิทธิภาพ และหลายคนในภาพ ไม่ผอมลง  ซึ่งมันก็ตามมาด้วยคำอธิบายว่า ไม่ได้ลดน้ำหนัก  เขาออกกำลังหัวใจ   ว้าวมาก  หัวใจก็ต้องออกกำลังนะครับ  ผมยังเข้าไม่ถึง  ผมแค่จะลดพุงและลดน้ำหนักตัวให้กลับไปเป็นคนหุ่นปกติ ไม่ใช่คุณลุงพุงยื่น และมองไม่เห็นปลายเท้าตัวเอง  แต่ผมไม่ปฏิเสธว่าการวิ่งทำให้น้ำหนักลดได้  แต่ผมไม่อยากวิ่ง มันเหนื่อย และไม่ได้การันตีว่าจะผอมลง

การออกกำลังกายหัวใจ โซน 1 2 3 คืออะไร เป็นความรู้ใหม่ และผมตัดสินใจยังไม่รับในตอนนี้  แม้จะทำความเข้าใจไปแล้ว  แต่ก็เลือกไม่รับ รอให้พ้นภารกิจแรกไปก่อน  เพราะว่า ผมยังไม่ให้ความสำคัญในลำดับแรก แม้อนาคตผมจะหัวใจวายจากอะไรสักอย่าง แต่ผมเชื่อว่ามันไม่เกี่ยวกับการออกกำลังกายในวันนี้ วันที่ผมอายุ 40+  เพราะผมปล่อยให้ร่างกายต่อสู่ลำพังมา 40 ปีกว่าปีโดยไม่มีความรู้เรื่องหัวใจแล้ว ดังนั้น ผมปล่อยผ่านไปก่อน  แต่เดี๋ยวการลดน้ำหนักในภารกิจนี้ทั้งหมดจะทำให้เราปรับอาหารการกินเราจะไม่เอาของทำลายหัวใจเข้าร่างกายเช่นกัน เรื่องหัวใจไม่ต้องห่วงเลย

IMG_0109.JPG

ภาพหมู่ พ่อแม่ลูก อ้วนจนรู้สึกอึดอัด

ผมไม่อยากเป็นลุงพุงพรุ้ย  เป็นไอ้อ้วนหน้าตาหน้ากลัว  ลูกผมน่ารัก  แฟนผมน่ารัก ทำไมเขาต้องถ่ายรูปกับไอ้อ้วน  ขอภาพครอบครัวที่สวยงามแบบพระเอกนางเอกเลยได้ไหม  การมีหน้าตาสดใส มั่นใจในตัวเอง และดูแข็งแรงสุขภาพดี มันดีต่อทุกคนในภาพ

เครื่องรับวิทยุ sony

เครื่องรับวิทยุราคาหลักร้อยบาทซื้อในห้าง  เป็นเครื่องรับวิทยุ fm am แบบหมุนหาคลื่น  ใช้ถ่าน AA 2 ก้อน ทำให้ง่ายต่อการใช้งาน พกพาไปไหนต่อไหนได้  คุณภาพเสียงจะเน้นกลางแหลมเป็นหลัก ทำให้ฟังเพลงไม่ได้เพราะมากเท่าเครื่องเสียงชั้นดี  แต่เสียงพูด เสียงพิธีกรจะชัดมาก  เพราะกลางแหลมที่ชัดและโดนปรับให้แทงหูนิดๆ  ฟังนานๆก็รู้สึกล้าหูได้  แต่มันก็ทำหน้าที่ถ่ายทอดข่าวได้อย่างสมบูรณ์  ถ้ามีเหตุการณ์ภัยพิบัติ และต้องติดอยู่ในที่ซึ่งห่างไกลความช่วยเหลือ  การรอฟังข่าวจากทางการทางวิทยุจะเป็นทางเดียวที่มีโอกาสรับสารได้สูงที่สุด  ในญี่ปุ่นประเทศซึ่งมีภัยพิบัติหลายชนิด  วิทยุเป็นสิ่งจำเป็นที่จะอยู่ในถุงยังชีพ

 

IMG_20180109_175823

 

IMG_20180109_175840

 

IMG_20180109_175911

 

IMG_20180109_175855

กิจกรรมที่โรงเรียนเพลินพัฒนาพยายามจัด

คือการtrainingพ่อแม่ให้เป็นผู้สร้างเด็กดีได้ เพราะเด็กดีเริ่มจากที่บ้าน ไม่ใช่ที่โรงเรียน

“…ตอนนั้นสามีและตัวอาจารย์เองอยากให้ลูกได้ฝึกวินัย ฝึกความอดทนและช่วยเหลือตัวเอง นอกจากเราจะไม่จ้างแม่บ้าน ลูกๆ เริ่มซักเสื้อผ้าและรีดผ้าเองตั้งแต่อนุบาล 3 พอลูกโตขึ้น เราย้ายไปอยู่คอนโดและตัดสินใจขายรถทิ้ง อาจารย์ก็เดิน ขึ้นรถเมล์ รถไฟฟ้าไปทำงาน ลูกๆ เองก็เช่นกัน…”

บางส่วนจากท่านวิทยากรในวันนี้ “ศาสตราจารย์ พญ. อุมาพร ตรังคสมบัติ” จิตแพทย์ดีเด่น เจ้าของเพจ” ปั้นใหม่ โดยอาจารย์หมออุมาพร”😄

เนื้อหาฉบับยาวกว่านี้ อดใจรอกันสักนิดนะคะ😅 #แอดมินB3 #PlearnPlus #บันทึกเพลินๆ #เพลินบ้างไม่เพลินบ้าง #จับมือเรียนรู้กันต่อไป

https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1657008691092469&id=769325596527454