การลดน้ำหนักมีหลายวิธี แต่วิธีหนึ่งที่จะไม่ทำเด็ดขาดเลยคือการลดด้วยการกินยา ด้วยคำขู่มากมายว่ากินยาแล้วลดได้แต่มันจะโยโย่ มันจะผอมแป๊ปเดียวแล้วน้ำหนักก็จะขึ้น แม้ผมจะไม่เคยทดลองกินยา แต่ก็กลัว กลัวว่าจะมีผลข้างเคียงอื่นๆที่เราคงไม่ปลื้ม และอีกอย่าง ก็ไม่รู้จะกินยาอะไร หายาจากที่ไหน ในชีวิตไม่เคยเข้าคลีนิคเกี่ยวกับการลดน้ำหนักและคลีนิคเกี่ยวกับความงามใดๆเลย
วิธีออกกำลัง วิธีนี้เป็นวิธีที่เป็นความหวังของคนส่วนใหญ่ อยากผอมให้ออกกำลังกาย อยากตัวใหญ่ให้ออกกำลังกาย การออกกำลังกายเป็นยาวิเศษทำให้ตัวเล็กก็ได้ ทำให้ตัวใหญ่ก็ได้ ผมเคยพยายามเหมือนกัน เมื่อสักสิบปีก่อน ผมอยากจะแข็งแรง อยากมีอายุยืน ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับน้ำหนักตัว ก็เลยทดลองวิ่ง ผลการวิ่งก็คือ ผมวิ่งไปร้อยเมตรผมก็หอบเหนื่อยจนรู้สึกว่าหายใจไม่ทัน วิ่งบนเครื่องออกกำลังกายก็วิ่งได้ไม่ถึงนาที หัวใจก็เต้นราวกับว่าจะหลุดออกมาจากร่าง เพราะคนไม่เคยออกกำลังกายเลย แม้ผมจะถือกล้องรับจ้างถ่ายภาพได้เป็นวันๆ แต่ก็ไม่ได้เหนื่อยแบบการวิ่ง ผมทนวิ่งน้อยๆอยู่หลายครั้ง ก็ลองไปวิ่งในสวนสาธารณะเล็กๆ วิ่งไปรอบเดียวก็รู้สึกเหนื่อยมาก อยากจะนั่งพัก ร้องเท้าที่อุตส่าห์ไปหาซื้อมาก็ทำงานได้ไม่กี่นาที พอวิ่งขึ้นรอบสองผมก็เดินแล้ว จบทริปสวนสาธารณะผมวิ่งไป 2 รอบ คนอื่นๆวิ่งไปสิบรอบ ในใจก็คิดว่า เดี๋ยวอีกหลายๆครั้งร่างกายก็จะชิน แล้วผมก็จบการวิ่งด้วยการไปหาอะไรกินต่อตอนค่ำๆ รู้สึกตัวอีกทีก็กินไป 4 มื้อ ยิ่งวิ่งก็ยิ่งกินดึก ประกอบกับผมไม่ว่างอย่างสม่ำเสมอ ก็คือไม่ได้มีความพยายามจัดเวลาให้กับการวิ่งนั่นเอง ก่อนจะวิ่งผมต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดวิ่ง รองเท้าถุงเท้าต้องพร้อม ไปวิ่งให้จบ แล้วก็อาบน้ำ แล้วค่อยกลับเข้าสู่โหมดปกติของวัน วันที่วิ่งนี้ผมใช้เสื้อผ้า 2 ชุด มันก็ดูผิดปกติสำหรับชีวิตแบบผม กลายเป็นความรู้สึกว่าต้องเตรียมตัวเยอะเหลือเกิน ซึ่งมันก็เป็นข้ออ้างทั้งสิ้น ถ้าผมเจ็บป่วยแล้ววิ่งคือคำตอบผมคงจะยอมทำไม่อ้างอะไร แต่ผมไม่ได้ไร้ทางเลือก เชื่อว่าการลดน้ำหนักไม่ได้มีคำตอบเดียว การวิ่งจึงยังไม่ใช่
ผมใช้วิธีกินน้อยลงดีกว่า คิดได้เท่านี้ก็เริ่มทำเลย โดยมีเหตุผลว่า การลดน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมจะต้องเผาผลาญพลังงานไปให้ได้ 7000 กิโลแคลอรี่ แต่ถ้าไม่วิ่ง ผมก็ต้องกินอาหารน้อย หรือกินอาหารให้พลังงานติดลบ ข้อมูลของนักโภชนาการบอกว่า อัตราเฉลี่ยของผู้ชายน้ำหนักประมาณ 80 กิโลกรัมใน 24 ชั่วโมงจะใช้พลังงาน 2500 กิโลแคลอรี่ ตั้งแต่นอน ตื่นมาทำกิจกรรมต่างๆรวมถึงการทำงาน และต่อเนื่องจนถึงเวลากลับเข้านอน แปลว่าต่อให้เรานั่งเฉยๆหายใจทิ้ง นั่งๆนอนๆก็จะใช้พลังานใกล้เคียงกับตัวเลขนี้ คือ 2500กิโลแคลอรี่ การกินอิ่มพอดีก็มักจะคิดเป็นพลังงานที่กินเข้าไปประมาณ 2500 กิโลแคลอรี่เช่นกัน ถ้าเราจัดระดับการกินให้พอดีกับระดับการเผาผลาญพลังงานของร่างกาย ตัวเราก็จะน้ำหนักคงที่อยู่ได้ไปเป็นปี ซึ่งทุกคนก็น่าจะเคยมีช่วงเวลาที่น้ำหนักคงที่ คือน้ำหนักไม่ขึ้นไม่ลงแบบนั้นอยู่เป็นปี เทคนิคน้ำหนักคงที่ก็คือกินแค่พออิ่ม อิ่มแล้วหยุดกิน
แต่ถ้าจะลดน้ำหนัก ก็ต้องกินให้พลังงานที่เข้าปากมันน้อยลงกว่าปกตินั่นเอง ถ้ากินน้อยลงไปวันละ 1000 กิโลแคลอรี่ เท่ากับว่า 7 วัน ร่างกายเราจะเผาพลังงานเกินการกิน ทำให้แคลอรี่ติดลบไป 7000กิโลแคลอรี่ คิดเป็นการลดน้ำหนักได้ 1 กิโลกรัม ดูเหมือนไม่เยอะ แต่ถ้าทำครบเดือนก็จะลดไป 4 กิโลกรัม ถ้าทำไปให้ครบ 4 เดือน เราก็จะลดน้ำหนักลงได้ประมาณ 16 กิโลกรัม ซึ่งไม่น้อยเลย ถามอีกแบบหนึ่งก็ได้ว่า ถ้าเลือกน้ำหนักได้ เราอยากน้ำหนักเท่าไหร่ คำตอบของผมคือ 75 กิโลกรัม เพราะผมสูง 175cm ตามสูตรง่ายๆของน้ำหนักที่เหมาะสม คือ ความสูง – 100cm = น้ำหนักตัวของผู้ชาย นั่นคือผมต้องลด 16 กิโลกรัมนั่นเอง
วิธีกินน้อยลงนี่คือสิ่งที่ผมเชื่อว่าผมทำได้ เพราะมันไม่ต้องเตรียมตัวอะไรเลย หายใจทิ้งก็เผาผลาญพลังไปเรื่อยๆอยู่แล้ว เราแค่กินน้อยลง แต่จะกินน้อยยังไงให้มันติดลบสัก 1000 กิโลแคลอรี่ คำตอบก็คือ กินครึ่งจานครับ เราเคยกินอะไรเต็มจาน ก็เปลี่ยนเป็นกินครึ่งจาน เคยตักข้าว 2 ทัพพี ก็ตักแค่ 1 ทัพพี เคยซื้อข้าวกล่องกินก็กินครึ่งกล่องแล้วส่วนที่เหลืออีกครึ่งให้กินมื้อต่อไป หากซื้อกินมื้อเช้า ก็แบ่งกินเช้าครึ่งนึงกลางวันครึ่งนึง หากซื้อกินมื้อกลางวันก็แบ่งกินกลางวันครึ่งนึงเย็นครึ่งนึง สิ่งที่กินทุกอย่างให้ลดลงครึ่งเสมอ
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดและต้องงดทันที 100% ก็คือ ของหวาน น้ำหวาน พวกกาแฟเย็นนี่ตัวดีเลย คนเรามักจะอ้วนจากน้ำอัดลม และอ้วนจากกาแฟเย็น ถ้าเราลดได้ก็จะทำให้แผนการกินน้อยของเราได้ผลทันที ผมเปลี่ยนจากกาแฟเย็นมาเป็นกาแฟดำ หากชงเองก็ใส่แต่กาแฟ ไม่ใส่ครีม ไม่ใส่น้ำตาล หากไปสั่งกินที่ร้านก็สั่งกาแฟดำ ซึ่งแก้วแรกที่เริ่มกินกาแฟดำก็ต้องบอกว่า เปรี้ยวมาก ฝาดมาก แต่ก็ทนกินไปให้ชิน ส่วนขนมหวาน ขนมถุงกรอบๆ ของกินมันๆที่แสนอร่อยทั้งหลาย ผมงดเลย ไม่แตะไม่กินเลย
เพียงเท่านี้เราก็จะใช้ชีวิตแบบ เผาผลาญพลังงานได้อย่างสม่ำเสนอ และจะน้ำหนักตัวลดลงได้ตามเป้าคือ 1 กิโลกรัมต่อสัปดาห์



