การมีอินเทอเน็ตทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโลกเราอย่างมหาศาล ทุกมุมโลก ทุกซอกหลืบแทบจะเข้าถึง เชื่อมโยงและค้าขายกันได้โดยไม่มีความเหลื่อมล้ำ ทำให้ธุรกิจหลายชนิดเกิดการเปลี่ยนแปลงเฉียบพลัน อย่างธุรกิจโทรทัศน์ที่เมื่อก่อนประมูลราคากันบ้าเลือด ลงเงินกันเป็นพันเป็นหมื่นล้านบาท ก็โดนการสตรีมสัญญาณภาพและเสียงจากอินเทอเน็ตเบียดซะจนแทบไม่มีคนดูในระบบเก่า แม้แต่ธุรกิจโรงแรม ก็โดนระบบของ airbnb แย่งลูกค้าห้องพักไป ธุรกิจแท็กซี่ก็โดน uber และ grab แย่งลูกค้าไป สิ่งเหล่านี้วงการนักวิเคราะห์และนักการตลาดเรียกว่า digital disruption หรือการสูญหายหรือเสื่อมสลายอย่างฉับพลันจากเทคโนโลยี โดยเฉพาะสิ่งที่มาทางอินเทอเน็ต ผู้ประกอบการดั้งเดิมไม่สามารถรับมือกับผู้ประกอบหน้าใหม่ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่สูงกว่า สะดวกกว่า และรองรับความต้องการของมวลชนได้ดีกว่า
ร้านอาหารก็จะมีระบบการสั่งสินค้าที่สะดวก รวดเร็ว มีภาพประกอบสวยงาม มีการจัดส่งสินค้าที่เข้าถึงหน้าบ้านมาแย่งลูกค้าไป ห้างสรรพสินค้าก็โดนแม่ค้าออนไลน์แย่งยอดขายไปทั้งๆที่คนทำร้านในห้างต้องจ่ายค่าเช่า ต้องสต๊อคสินค้า แต่แม่ค้าออนไลน์ให้ดูสินค้าในห้างแล้วสั่งซื้อกับแม่ค้าโดยตรง แม้แต่วงการหนังสือพิมพ์ก็ปรับตัวไม่ทัน หนังสือพิมพ์ไม่มียอดโฆษณาจนต้องปิดตัวลง เพราะผู้คนไปใช้บริการการอ่านข่าวทางโซเชียลเน็ตเวิร์คสารพัดแพลตฟอร์ม เรียกได้ว่า ผู้คนเข้าไปเสพสื่อและซื้อสินค้าในอินเทอเน็ตกันแทบทุกคน
ผมเองก็ได้รับผลกระทบจากการทำธุรกิจสิ่งพิมพ์ งานใบปลิวน้อยลง ซึ่งก็เข้าใจว่าน่าจะเป็นเพราะผู้ประกอบธุรกิจหันไปโฆษณาทางเฟสบุ๊คและกูเกิ้ลกันเป็นหลัก เมื่อก่อนเวลาจะโฆษณา เราก็จะมีวิธีคิดว่า จะใช้เงินทำใบปลิวเท่าไหร่ดี จะใช้เงินโฆษณาในวิทยุเท่าไหร่ ออกทีวีใช้เงินเท่าไหร่ เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่า จะทำยังไงให้ใช้เงินน้อยลง และจะใช้เงินในช่องทางไหนดีระหว่างเฟสบุ๊ค ไอจี หรือ กูเกิ้ล หรือทั้งสามตัวเลย นี่คือความคิดตั้งต้นของคนทำการค้ายุคใหม่ ไม่มีใครถามถึงวิทยุ โทรทัศน์ สิ่งพิมพ์ อีกเลย
แต่เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสไปใช้บริการตัวหนึ่งโดยบังเอิญ และมาลองพิจารณาดูแล้วก็พบว่า มันยังเป็นวิถีทางเดิมๆ ยังไม่คู่แข่งจากอินเทอเน็ตมาแย่งลูกค้า ไม่มีการตัดราคาจากคู่แข่งที่ห่างไกล นั่นก็คือร้านตัดผม พอได้นั่งดู นั่งในร้านนานๆ ตั้งแต่ตอนที่เข้าไป จนถึงคิวที่ได้ตัดเอง และตอนตัดเสร็จได้เห็นว่ามีคนอื่นรอคิวอยู่ ก็แอบคิดวิเคราะห์ไปว่า คนผมยาวทุกวัน ยังไงก็ต้องแวะร้านตัดผม คนเราเลิกซื้อหนังสือพิมพ์ได้ แต่ทนผมยาวไม่ได้ คนเราเลิกใช้ใบปลิวไปสู่การโฆษณาในเฟสและกูเกิ้ลได้ แต่ก็ปล่อยให้ผมเผ้ารุงรังไม่ได้ สมัยเด็กๆโรงเรียนยังคงตรวจผมสั้นทุกสองเดือน ใครผมยาวจะโดนสั่งตัด ดีมานเหล่านี้ยังคงอยู่ และไม่เคยลดลง
ในขณะที่จำนวนประชากรเยอะมากขึ้น ปริมาณคนต้องการตัดผมก็เยอะขึ้น ร้านตัดผมก็ควรเจริญรุ่งเรือง หรือ มีสาขามากขึ้นให้ทันจำนวนประชากร ซึ่งภาพที่ผ่านตาผมในช่วงยี่สิบปีนี้ก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ มีร้านตัดผมเกิดใหม่มากขึ้น มีการแข่งขันกันในถนนเส้นเดียวกันมากขึ้น แต่ที่น่าสนใจคือ ไม่มีร้านจากที่ห่างไกลมาแย่งลูกค้าหน้าบ้านเรา นี่เป็นข้อดีที่ค้นพบ ว่า digital disruption ยังไม่ทำลายร้านตัดผม
แม้เราจะเห็นร้านตัดผมราคาแพงในห้าง ร้านตัดผมที่รับจองทางออนไลน์ถ้าอยากตัดกับช่างในร้าน แต่ร้านพวกนี้ก็ราคาแพงจนไม่ใช่คู่แข่งของร้านตัดผมชุมชน ผมก็เคยตัดผมในห้าง แต่ถ้าเลือกได้ ก็อยากเดินไปตัดที่ร้านแถวบ้าน จ่ายเงินเพียง 60 บาท สำหรับร้านหน้าตาโบราณ หรือ 120 บาทกับร้านติดแอร์อุปกรณ์ดูทันสมัย หรือบางร้านอย่างมากก็ 150 บาท แต่ในห้าง ผมเคยโดนไปถึง 600 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ไม่คิดจะไปรอบสองแน่นอน
ร้านตัดผมร้านนี้อยู่ย่านบางขุนนนท์ ผมพาลูกชายมาใช้บริการ ตอนเดินเข้าไปในร้านก็ดูคนน้อยๆ คล้ายๆกับภาพที่ผมจินตนาการไว้ว่าธุรกิจโบราณก็ดูซบเซาหน่อย แต่พอตัดเสร็จและเวลาเย็นสักหน่อย ก็มีคนเข้าร้านมากขึ้น จนกระทั้งทุกที่นั่งในร้านเต็ม คนที่มาตัดผมต้องรอคิว และช่างตัดผมจำนวน 3 คนในร้านก็ทำงานตลอดเวลา
นี่อาจเป็นธุรกิจที่ไม่ได้รับผลกระทบจากอินเทอเน็ต เพราะคนในพื้นที่ก็ต้องเดินมาตัดผมที่ร้านอยู่ดี คงหายากมากๆที่จะมีคนสั่งช่างตัดผมให้เดินทาง delivery ไปตัดถึงบ้าน แม้จะมีบางคนที่ทำอย่างนั้น แต่ผมก็เชื่อว่ามีน้อยจนตัดทิ้งได้ ผู้คนส่วนมากยังคงต้องตัดผมจากร้านค้าใกล้บ้าน และเชื่อว่าไม่มีร้านตัดผมคู่แข่งจากฝั่งธนไปแย่งลูกค้าที่รังสิต







