เที่ยวปราณบุรี ในสงกรานต์ปีนี้เป็นการเที่ยวที่วางแผนไว้ว่าเราจะเดินทางตอนที่คนอื่นเขาเริ่มกลับกรุงเทพ วันที่ 16 เมษายนก็เลยจะเดินทางเข้าที่พัก ซึ่งปีนี้ พวกเรามาพักที่ ประเสบัน รีสอร์ตเล็กๆในปราณบุรี
สิ่งที่เตรียมตัวสำหรับทริปนี้คือ ลูกจะเล่นน้ำ เล่นทราย มีของเล่นหลายๆอย่างเอาไว้แก้เบื่อ ทั้งแบบเล่นบนรถได้ และแบบเล่นในห้องพัก ส่วนแม่ก็พกนิยายไปหลายเล่ม พ่อก็พกกล้องไปหลายตัว บางตัวใช้เป็นหลัก บางตัวใช้เพื่อให้กล้องได้ออกกำลังกายบ้างนอนนิ่งมาเป็นปีเดี๋ยวจะพังซะก่อน บางตัวขอลองเล่นถ่ายด้วยฟิล์ม มีโพลารอยด์อีกต่างหาก ทริปนี้เป็นทริปที่ไม่ได้หยิบโน้ตบุ๊คออกมาเลย
ต้องขอบคุณภรรยาผู้เตรียมการทุกอย่างรวมถึงการเลือกและจองที่พักด้วย เหตุผลที่เลือกที่นี่ก็คือ ที่นี่สวยและน่าลอง มีสระว่ายน้ำ มีหาดทราย มีทะเลสวย เพราะประสบการณ์เรื่องหาดทรายที่ปราณบุรีเราไม่ค่อยดีนัก เคยไปพักที่อื่นแล้วไม่มีหาดให้เล่น ต้องเดินข้ามถนนเพื่อไปเจอทะเลริมทางเดิน ไร้หาดทราย รอบนี้ก็เลยเลือกให้รอบคอบหน่อย
การเดินทาง พวกเราเดินทางด้วยรถคันเดิมคันเดียวคันโปรด และมีลูกน้อยที่โตจนขายาวถีบเบาะพ่อได้แล้ว เลยย้ายคาร์ซีทไปไว้ฝั่งซ้ายมือเพื่อให้พ่อไม่ต้องโดนถีบหลังระหว่างขับรถ และแม่ก็มานั่งฝั่งขวาแทน และก่อนเดินทางก็เติมพลังกันด้วยกล้วยของคุณยาย รวมถึงผมก็เติมกาแฟเข้าเส้นเลือดกันก่อน นับเป็นกาแฟเย็นถ้วยแรกในรอบเกือบสองเดือนตั้งแต่คิดจะลดน้ำหนักโดยเน้นว่าไม่กินกาแฟเย็นและน้ำหวานใดๆ
เติมน้ำมันเต็มถังที่บางขุนนนท์ ขับยาวไปถึงที่พัก ดูหลักกิโลที่วิ่งมาได้ 250 กิโลเมตรพอดี ถือว่าไกลกว่าหัวหินประมาณ 70 กิโล ยังสงสัยอยู่ว่าทำไมถึงไกลกว่ากันขนาดนี้ เวลาอ่านรีวิวปราณบุรี คนอื่นชอบเขียนว่าเลยหัวหินไป 30 กิโลเท่านั้น ถึงที่พักก็หาของกินใกล้ๆ ถามจากพนักงานในรีสอร์ตเขาแนะนำร้าน ต้นโต อยู่ใกล้ๆห่างรีสอร์ตไปแค่ไม่กี่ร้อยเมตร ก็เลยได้มือแรกริมทะเลกันเลย
ยังไม่ทันจะได้อิ่มกันเต็มที่ขอบฟ้าก็ขอเล่นทรายแล้ว เป็นหาดทรายของร้านอาหารที่เรากิน เป็นหาดทรายที่มีพื้นที่กว้างไกล มีนักท่องเที่ยวมาเล่น kitesurf กันเป็นจำนวนมาก ฝรั่งหลายคนมาแวะกินข้าวที่ร้านอาหารแห่งนี้และใช้วางของ ใช้เป็นจุดนัดพบเพื่อเริ่มเล่น kitesurf ลมของปราณบุรีแรงและสม่ำเสมอทำให้การเล่นดูสนุกสนานและได้รับความนิยมมาก
ผมเก็บภาพไปเรื่อยๆ เจอรองเท้าก็ถ่ายรองเท้า รองเท้าแตะกับหาดทรายเป็นของคู่กัน ภาพที่ได้ก็เป็นภาพที่สื่ออารมณ์ของการท่องเที่ยว ภาพแนวนี้เก็บส่งไปขาย ได้ approved เสียด้วย รอแค่ว่ามันจะเปลี่ยนเป็นรายได้สักเท่าไหร่
ก่อนจะกลับไปยังที่พักก็แวะซื้อน้ำจากรถเข็นนิดหน่อย เหตุที่ต้องซื้อก็เพราะเขามาจอดขายของที่ท้ายรถ ผมออกไม่ได้ ก็เลยซื้อแล้วชวนคุยซะหน่อย น้ำแดงมะนาวโซดา ซื้อให้ลูกและภรรยากิน แก้วนึง 20 บาท ราคาชาวบ้านมากๆ
กล้องที่ใช้คือ huawei p9 เป็นกล้องที่ถ่ายแล้วให้ภาพด้านหลังเบลอๆ บางคนชอบ บางคนไม่ชอบ แต่ส่วนใหญ่จะชอบ แม้ว่าบางครั้งจะดูฝืนธรรมชาติไปบ้าง แต่คนเราก็ชอบการเติมแต่งให้ดูแปลกตา ถ้ามันสวยกว่าภาพชัดทั้งภาพก็ถือว่าดี ภาพนี้ก็ดูดีพอใช้ในสายตาของผมเอง ก็ถ่ายเองก็ต้องชอบเองอยู่แล้ว
ที่พักมี 14 ห้อง ที่จอดรถด้านหน้าน้อยไปหน่อย แต่พวกเราได้จอดในที่ใต้ต้นไม้ ถือว่าดีที่สุดแล้ว เพราะถ้ามีรถจอดก่อนเราสักห้าคัน เราก็ยังนึกไม่ออกว่าจะจอดที่ไหนดี แต่ตลอดเวลาที่พักสองคืน เราก็ได้จอดในช่องตลอด และเมื่อเก็บของเสร็จแล้ว ก็เล่นน้ำกันเลย ขอบฟ้าเป็นเด็กที่ชอบเล่นน้ำมาก ชุดว่ายน้ำของขอบฟ้าไม่เคยแห้งเลยตลอดเวลาที่พักที่นี่
ประเสบันมีสระว่ายน้ำขนาดกำลังดี สระเด็กคงลึกประมาณ 90cm ส่วนสระผู้ใหญ่ประมาณ 170cm ซึ่งผมต้องยืนเขย่งสุดปลายนิ้วเท้าเลยถึงจะยืนถึง สระน้ำริมทะเลตกแต่งร่มรื่น วิวจากจุดนั่งพักริมสระและนอนดูวิวทะเลได้คุณภาพวิวระดับหรูหรา หาดทรายกว้างมาก เป็นแหล่งรวมตัวกันของคนเล่น kitesurf ตลอดบ่ายและเย็นรวมถึงจะมีบานาน่าโบ๊ตมาวิ่งตอนเย็นด้วย
การมาทะเลรอบนี้ผมพกกล้องมาหลายตัว ภาพส่วนใหญ่จะถ่ายด้วยมือถือ Huawei P9 ที่ให้คุณภาพได้ถูกใจเหลือเกิน และบางส่วนบางช่วงเวลาก็ถ่ายด้วยกล้องฟิล์มอย่าง nikon fm2 ที่ติดเลนส์ 35-70 มาด้วยกันในทริปนี้ ซึ่งกล้องตัวนี้เป็นกล้องที่น้องชายซื้อไว้เพื่อเรียนถ่ายรูปตอนที่อยู่มหาวิทยาลัย และผมก็ได้ขอยืมมาใช้ตอนที่ผมหัดถ่ายรูป นับถึงวันนี้กล้องก็อยู่กับผมมา 20 ปี ซึ่งจริงๆแล้ว มันเป็นของมือสองจากที่ร้าน ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากล้องตัวนี้ออกขายปีไหน
กล้อง fm2n เลนส์ 35-70 ใส่ฟิล์มเน็กกาทีฟ fuiji c200 เป็นฟิล์มสีความไวแสง 200 สามารถใช้ถ่ายภาพกลางแจ้งได้สบายใจ ยิ่งถ่ายภาพริมทะเลยิ่งหายห่วง การโฟกัสภาพด้วยมือหมุน ต้องปรับภาพให้ได้โฟกัสเป็นเรื่องที่ต้องปราณีตและใช้เวลา การถ่ายภาพลูกที่กำลังซนด้วยกล้องแมน่วลและโฟกัสมือหมุนแบบนี้เป็นความยากลำบากในชีวิต ถือว่าเลือกอุปกรณ์ผิดก็ได้ แต่อรรถรสของการถ่ายภาพด้วยฟิล์มมันมีอะไรบางอย่างที่น่าหลงไหล ไว้ถ้าล้างฟิล์มออกมาแล้วจะนำมาเล่าให้ฟังอีกครั้ง
การเที่ยวละเลรอบนี้ พวกเราเตรียมว่าวมาเล่นด้วย ซึ่งเป็นว่าวที่ซื้อจากเทศกาลว่าวนานาชาติ ก็ได้เล่นเต็มอิ่มกับหาดทรายกว้างขวาง ลมแรงไม่มากนัก แค่พอทำให้ว่าวลอยขึ้นไปได้ ต่อจากว่าวก็เล่นน้ำทะเลกันต่อเลย ขอบฟ้ากับทะเล ชื่อเท่ห์ซะเหลือเกิน
ขอบฟ้าเล่นทะเลอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ที่ผ่านมาตลอดตั้งแต่เริ่มเที่ยวทะเลขอบฟ้าจะกลัวทะเล และไม่กล้าเล่น อย่างมากก็แค่เหยียบให้เปียกเท้าเท่านั้น และทริปนี้ก็ดูจะคล้ายๆอาการเดิม แต่พ่อกับแม่ก็ให้กำลังใจปนหลอกล่อ จนกล้าเล่นในที่สุด และขอบฟ้าก็บอกกับแม่ว่า ทำไมเล่นทะเลสนุกขนาดนี้… พ่อแม่ก็ปลื้มใจที่ลูกได้ประสบการณ์ใหม่ ชีวิตเด็กทุกอย่างใหม่เสมอ เป็นโลกสวยๆของพ่อแม่ไปนานๆนะลูก
และเมื่อขึ้นจากทะเลก็มาเล่นในสระน้ำต่อ เล่นไปจนแสงหมด เริ่มมืดลงก็เลิก ไปกินข้าวที่ร้านค้าในระแวกถนนเส้นเดียวกัน แล้วเราก็ได้ร้านอาหารตามสั่งมีชื่อเสียงพอสมควร ณ วันที่เขียนรีวิวนี้ ก็ผ่านมานานหลายวันแล้ว จนลืมชื่อร้านอาหารไปเสียแล้วด้วย
เช้าอีกวันเราเริ่มต้นกันที่ร้านอาหารของโรงแรม เมนูอาหารเช้าของที่นี่เป็นอาหารจานสำเร็จ อาหารจานเดียว ไม่มีค่าใช้จ่าย ถ้าไม่อิ่มต้องสั่งเพิ่มและจ่ายเงินเพิ่ม กาแฟของพ่อก็สั่งมากิน แต่ก่อนจะเริ่มกินก็ขอให้ขอบฟ้าเอามือจับแก้วกาแฟไว้ดังรูป แล้วถ่ายรูปเก็บไว้หน่อย ตั้งใจจะเอามาขายในสต๊อคภาพด้วย
การได้เห็นลูกกินอะไรก็ตามเป็นภาพแห่งความสุข ไม่ว่าจะกินเล่น กินจริง กินข้าว กินขนม หรือแม้แต่หลอกให้กินบางอย่าง รอบนี้ก็ให้ขอบฟ้าชิมโอวัลติน ใส่น้ำตาลให้หวานนิดหน่อย หมดมือเช้าของฟ้าก็ลงน้ำอีกรอบ เล่นน้ำจนเหนื่อยก็ไปหามื้อกลางวันกินต่อ และมือกลางวันเราก็เลือกไปกินร้านที่เคยกินมาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อหลายปีก่อน เป็นร้านที่ค้นพบจากรีวิวในอินเทอเน็ต และได้ดั้นด้นไปกินกันตอนที่ขอบฟ้ายังอยู่ในท้อง ร้านชื่อยกซด อยู่ในพื้นที่ของอุทยานสามร้อยยอด ระบุตำแหน่งก็ไม่ค่อยถูก แต่ได้เคยบันทึกตำแหน่งของร้านไว้ใน GPS แล้ว การเดินทางรอบนี้เลยไปกันง่ายๆ ไม่ต้องลุ้น
ไปถึงร้านประมาณ 11.00 น. คนยังไม่มี เราเป็นลูกค้าคนแรกๆของร้าน สั่งอาหารสามอย่างก็กินไม่หมดแล้ว เพราะลูกก็กินไม่มาก ผมก็กินไม่เท่าไหร่ หอยนางรมในภาพนี้ผมไม่แตะเลย เพราะไม่อยากลุ้นกับอาการท้องเสีย จบมื้อก็ขับรถกลับที่พัก
ขอบฟ้านอนหลับตั้งแต่ในรถ กลับมาที่พักก็หลับยาว ระหว่างที่หลับ ผมก็ออกมาถ่ายรูปเล่นนิดหน่อย ลองถ่ายภาพด้วยเทคนิค long exposure ในมือถือ เพราะเพิ่งจะค้นพบว่ามือถือมีโหมดสำเร็จรูปพวกนี้ให้เราใช้ และภาพแนวเปิดชัตเตอร์นานๆก็มีเสน่ห์น่ามอง เลยลองกับทะเลซะเลย โดยการเปิดให้กล้องรับภาพนาน 45 วินาที ตอนกลางวันแดดเปรี้ยงๆ
ว่าวที่อุตส่าห์หอบหิ้วมาเล่น ขอบฟ้าก็เล่นแป๊ปเดียวแล้วก็ไปเล่นอย่างอื่น ก็เลยต้องผูกไว้กับเก้าอี้ให้ว่าวมันลอยลมดูสวยๆ ถ่ายวิดีโอนิดหน่อย ถ่ายภาพนิ่งไว้ด้วยเช่นกัน ก่อนจะมื้อเย็นก็เล่นน้ำสระ เล่นน้ำทะเล เล่นทราย วนเวียนกันไป หัวขอบฟ้าแทบจะไม่เคยแห้งเลย และมื้อเย็นเราก็แวะกินร้านอาหารใกล้ๆที่พักอีกครั้ง
วันรุ่งขึ้นเรามีโปรแกรมซื้อปู และไปดูโครงการอนุรักษ์ป่าชายเลน ซึ่งในโครงการนี้มีน้องผู้หญิงน่ารักคนนึงมาเป็นไกด์นำทางให้ เป็นเด็กที่น่าสนับสนุนมากๆเพราะรู้จักทำงานหารายได้พิเศษตั้งแต่อายุน้อยๆ โครงการวิจัยป่าชายเลนที่นี้ให้ความรู้กับนักท่องเที่ยวได้เยอะมาก เพราะผมก็ได้รู้เรื่องราวที่ไม่เคยรู้อีกหลายอย่าง อย่างน้อยที่นี่ ก็ทำให้ผมรู้จักกับ กุ้งดีดขัน เสียงดังแก๊กเหมือนกะลากระทบกันกลางป่าชายเลนเป็นเสียงที่เกิดจากกุ้งตัวนี้กำลังทำร้ายเหยื่อด้วยการปล่อยคลื่นเสียงใส่เหยื่อ เหยื่อจะตายและเป็นอาหารของกุ้งทันที ทุกครั้งที่ได้ยินเสียง จะมีสัตว์กลายเป็นอาหารกุ้ง 1 ตัวเสมอ เรื่องราวยังกับมือปืนรับจ้างที่ทำงานไม่เคยพลาด
พาเลทพร้อมวัสดุต่างๆที่ประกอบกันดูเป็นประติมากรรมประหลาดนี้เป็นงานทดลองสร้างคอนโดให้แมลงต่างๆ เพื่อให้ใช้เป็นที่พักและที่เพาะพันธ์ุ จะได้ผลอย่างไรในวันข้างหน้าต้องแวะเข้าไปถามกันอีกครั้ง เพราะสิ่งที่ทดลองนี้ เป็นการริเริ่มในปีแรก ยังไม่มีการบันทึกผลและสรุปผลใดๆ
ออกจากพื้นที่นี้เราก็เตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพ แวะเก็บของที่โรงแรมและแวะซื้อกาแฟเย็นก่อนเดินทาง ทริปนี้เป็นทริปพาลูกเที่ยวที่ประสบความสำเร็จอย่างดี เพราะลูกได้เล่นน้ำสมใจอยาก ทั้งสระน้ำและทะเล ได้เล่นว่าวที่ริมทะเล ได้เดินดูโครงการหลวงที่มีความรู้แนวพิพิธภัณฑ์ ส่วนตัวของแม่ก็ได้อ่านนิยาย ได้อ่านการ์ตูน และพ่อเองก็ได้ถ่ายรูปเล่น ได้ใช้กล้องฟิล์มมาถ่ายรูปลูกอีกครั้ง และภาพที่ได้ก็ดูได้อารมณ์ไปอีกแบบ
แถมคลิปการใช้งานกล้องฟิล์ม nikon fm2 โดยขอบฟ้า























