ทำสมุดโน้ตจากผลงานของลูก

วันหนึ่งที่ลูกเริ่มหัดเขียนหนังสือ ความรู้สึกของคนเป็นพ่อแม่ก็ปลาบปลื้มที่ลูกเราเริ่มเข้าสู่การเรียนรู้ทีละเล็กละน้อย  ลายมือวันแรก เป็นอย่างไรอยากจะเก็บไว้เป็นความทรงจำ  คำแรก ประโยคแรก ทุกสิ่งทุกอย่างถ้าไม่เก็บไว้ มันก็คงเป็นเพียงเศษกระดาษที่กลายไปเป็นขยะ แล้วก็หายไป

IMG_20170210_110033

ความรู้สึกอยากเก็บผลงานของลูกมีอยู่ตลอดเวลา แต่ก็หาวิธีเก็บที่แสนสนุกยังไม่ได้  เพราะไม่ว่าเราจะเก็บอะไร เมื่อเก็บเข้าตู้ เข้าลิ้นชัก มันจะอยู่แบบนั้นจนแทบลืมไปเลย  บางทีเมื่อเวลาผ่านไปสักยี่สิบปี วันที่ลูกมาหาเอกสารสำคัญของบ้าน  วันนั้นก็อาจจะเจอกับกองกระดาษที่มีลายมือยึกยือของเด็กน้อยวัยสี่ขวบ  แต่ผมก็คิดว่า ร่องรอยและสิ่งของที่ถูกขีดเขียนในวัยเด็กอาจจะไม่โชคดีขนาดนั้น  เพราะมีกระดาษหลายใบ หรือ เป็นเล่มที่ขีดๆเขียนๆแล้วฉีกทิ้ง ปล่อยให้กลายเป็นเศษกระดาษรอเก็บลงขยะ

IMG_20170210_100843

ก็เลยนึกถึงวิธี่การทำสมุดโน้ตขึ้นมา  ถ้าเราทำสมุดโน้ตที่ใช้ลวดลายที่เป็นผลงานของลูกมาเป็นส่วนประกอบก็น่าจะดูเท่ห์และน่ารัก ว่าแล้วก็ลองดูเลย

ทำปกสมุด

กระดาษที่เขียนด้วยลายมือ ก.ไก่ ถึงฮ.นกฮูก เขียนจนครบทุกตัวในหน้าเดียว  เห็นแล้วก็ต้องเอามาทำปกนั่นเอง  เลยถ่ายภาพแล้วพิมพ์ออกมาใหม่ เพื่อไม่ทำลายต้นฉบับ  เอาใบใหม่มาหุ้มบนกระดาษแข็งหนาประมาณ 2มม. แล้วก็เอาไปทำเป็นเล่ม ร่วมกับเนื้อในที่เป็นกระดาษธรรมดา ทั้งกระดาษปอนด์สีขาว กระดาษน้ำตาล กระดาษสีอื่นๆปนๆกัน ตั้งใจว่าถ้าลูกขอ ก็จะให้ลูกเอาไปเขียนเล่น  แต่ลูกไม่ขอ ก็เก็บไว้ใช้เอง

ทำปกสมุด

พอทำเล่มแรกเสร็จก็สนุกไม่เลิก ไปลองทำเล่มที่สองต่อเลย  คราวนี้เอากระดาษที่ลูกระบายสีน้ำมาทำบ้าง  ขั้นตอนเหมือนเดิมคือ ถ่ายภาพเอาไว้ แล้วเอาภาพปริ๊นท์มาทำแทน เพื่อให้ต้นฉบับยังอยู่

ทำปกสมุด
ทำปกสมุด

 

 

และในที่สุดภารกิจทำสมุดที่มีลวดลายเฉพาะเพียงเล่มเดียวในโลกก็เสร็จสิ้น  หนังสือสมุดโน้ตจากฝีมือการขีดเขียนของลูกน่าจะเป็นสิ่งที่ทำให้คนเป็นพ่อแม่รู้สึกประทับใจอย่างมาก

 

muji สร้างสรรค์ทั้งของ และวิธี

การซื้อสินค้าหรือของขวัญให้ใครสักคนหนึ่ง เราก็สามารถไปเลือกหาได้จากในห้างทั่วไป ร้านค้าต่างๆ ยิ่งสินค้าที่เป็นแนวเครื่องเขียนยิ่งมีทางเลือกมหาศาล  ทั้งในห้างใหญ่ ห้างเล็ก ในร้านบีทูเอส ร้านอ๊อฟฟิศเมท ร้าน loft ร้าน สมใจ  ร้านค้าเหล่านี้มีเครื่องเขียนหลากหลายให้เราตื่นตาตื่นใจตลอดทั้งปี  ทั้งแนวถูก แนวแพง แนวแปลก

แล้วทำไมเราถึงเข้าร้าน muji  ซึ่งเป็นร้านชื่อญี่ปุ่น หน้าตาญี่ปุ่น สินค้าดูญี่ปุ๊นญี่ปุ่น และราคาแพงกว่าร้านในย่อหน้าแรกทุกร้าน  แน่นอนว่าเราเข้าไปดู ไปเปิดหูเปิดตา ถ้าเรางก เราก็จะไปดูความสวยงามของสินค้า muji แล้วออกไปซื้อร้านอื่น ในหน้าตาอื่นๆ แต่ทำหน้าที่เดียวกัน  ทำให้เราได้ใช้แต่สมุดโน้ตหน้าตางั้นๆมาตลอดชีวิต

IMG_20170214_105516   แล้ววันหนึ่ง  ก็ลองซื้อ muji ใช้  เมื่อเลือกสิ่งที่ต้องการแล้ว ก็ให้พนักงานห่อของขวัญไปให้ ระหว่างที่รอห่ออยู่นั้น สายตาก็สอดส่องไปเจอมุมประหลาดอยู่มุมหนึ่งที่ไม่ค่อยเข้าใจว่ามันคืออะไร ดูอยู่นานก็พอจะนึกออกว่ามันคือ ตรายางสารพัดแบบ มีตัวหนังสือภาษาอังกฤษครบทุกตัว มีสัญลักษณ์ที่ใช้บ่อยในการทำป้ายห่อของขวัญ  และเมื่อถามพนักงานว่า เอาไว้ทำอะไร พนักงานขายก็อธิบายแบบที่เราเข้าใจ

IMG_20170214_105521

IMG_20170214_105527

เมื่อเราได้ห่อมาแล้ว เราก็เอามาพิมพ์ข้อความด้วยตรายางต่างๆด้วยตัวเอง  มีสัญลักษณ์ได้นิดหน่อย  เป็นการทำให้ห่อของขวัญของเราดูเฉพาะเจาะจงมากยิ่งขึ้น  เป็นการสร้างความประทับใจให้กับผู้รับของอีกระดับหนึ่ง ซึ่งอะไรก็ตามที่มีชื่อคนอยู่ มักจะเป็นของที่ดูมีคุณค่า ผู้รับไม่อยากทิ้ง

แล้วสุดท้าย ผมก็เดินออกจากร้าน muji แบบที่ได้เลือกปั๊มตัวหนังสือตามใจเรียบร้อย  การช็อปปิ้งครั้งนี้ให้ประสบการณ์และความรู้ใหม่หลายอย่าง  อย่างแรก ผมเพิ่งรู้ว่า muji พยายามขนาดนี้ พยายามที่จะออกแบบทั้งสินค้าและวิธีขายที่สร้างความประทับใจได้ดีแบบนี้  ซึ่งผมยังไม่เคยพบกับสินค้ายี่ห้ออื่นๆ  เวลาเราไปหาซื้อสินค้าในห้าง อย่างมากเราก็ขอให้ร้านห่อของขวัญให้  แล้วเราก็ไปเขียนการ์ดในกระดาษสักใบมาติด แค่นี้ก็ปลื้มมากแล้ว  มาเจอห่อของขวัญมีพิมพ์ชื่อคน ยิ่งปลื้มเข้าไปใหญ่

อย่างที่สองคือ เครื่องเขียน กระดาษ ดินสอ ปากกา ของใช้ธรรมดาเหล่านี้ จะไม่ธรรมดาได้ด้วยวิธีการขายนั่นเอง  การสร้างคุณค่า การเพิ่มมูลค่า คือความคิดสร้างสรรค์ที่จะทำให้ธุรกิจไม่ล่มสลายไปในยุคไทยแลนด์ 4.0 อันเป็นคำหวานจากภาครัฐฯ

4.0 ในความหมายของรัฐบาลคงหมายถึงการเพิ่มมูลค่าด้วยนวัตกรรม  ส่วนในความหมายของมาเก็ตติ้งชีวิตดิ้นรนอย่างผม ขอเรียกว่า ยุค 4.0 คือ ยุคที่การขายของธรรมดาจะมีคู่แข่งทั่วประเทศตามพื้นที่ครอบคลุมของอินเทอเน็ตและระบบขนส่ง  ถ้าอยากอยู่รอดต้องทำมากกว่าคนอื่นนิดนึง

 

 

 

วันที่ยอดขายรวม shutterstock แซง youtube

ผมเริ่มส่งภาพขายใน shutterstock มาตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2559  และในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน ผมก็ไปตั้งค่าใน youtube เพื่อขอรับค่าโฆษณาจากคลิปของลูกชายที่ผมเคยถ่ายไว้และพบว่ามีคนดูเยอะมาก  หลังจากช่วงเดือนกรกฎาคมเป็นต้นมา รายได้จากทั้งสองแหล่งก็ค่อยๆเพิ่มขึ้น

Screenshot_2017-02-07-14-32-04

ผ่านไปหลายเดือน ยอดตัวเลขรายได้จาก youtube แค่คลิปเดียว ทำเงินเยอะกว่ารายได้จาก shutterstock อยู่พอสมควร  และไม่มีทีท่าว่า shutterstock จะมีรายได้แซง youtube ไปได้  โดยสาเหตุน่าจะเป็นเพราะจำนวนรูปใน shutterstock ยังไม่เยอะมาก  ซึ่งถ้าวัดกันที่ระยะเวลาประมาณ 6 เดือนที่ผมพยายามใส่ภาพเข้า shutterstock เรื่อยๆ จะมีภาพอยู่ประมาณ 4ร้อยกว่าภาพ  รายได้ก็ยังไม่แทรงคลิปใน youtube เพียงคลิปเดียวที่ทำเงินให้ตลอดเวลาโดยเราไม่ได้ทำอะไรกับ youtube เลย   ซึ่งผมเคยเขียนบันทึกไว้แบบนี้ shutterstock VS youtube

 

Screenshot_2017-02-07-13-16-07

แต่แล้วในที่สุด วันนี้ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2560 นับเป็นเวลาประมาณ 7 เดือนเศษ รายได้จาก shutterstock ก็สะสมและแซงหน้ารายได้จาก youtube ไปแล้วอย่างน่าตื้นตัน  ผลของการอดหลับอดนอนเพิ่มภาพเข้าระบบอย่างสม่ำเสมอ เริ่มมียอดขายที่เยอะขึ้นในแต่ละเดือน  เป็นสิ่งที่ให้กำลังใจคนทำงานได้เป็นอย่างดี  ทำให้เรามั่นใจได้ว่า เราสามารถฝากความหวังรายได้ที่เป็นกอบเป็นกำไว้ที่ shutterstock ได้

Screenshot_2017-02-07-14-31-46

ทั้งหมดนี้บันทึกจากคนเริ่มต้นทำธุรกิจขายภาพ  ในประเทศไทยและในโลกใบนี้ มีคนที่ร่ำรวยจากการขายภาพอีกมากมาย  ตัวเลขที่ผมบันทึกไว้เป็นแค่รายได้หนึ่งนาทีของคนบางคนเท่านั้น  หนทางยังอีกยาวไกล  บันทึกนี้ทำไว้เพียงแค่ยืนยันว่าผมเดินไม่ผิดทางครับ

ใครอยากเริ่มขายภาพเริ่มที่ลิงค์นี้เลยครับ