เด็กชายขอบฟ้า เกิดวันที่ 20 กรกฎาคม 2555 เวลา 10.06 น. ที่โรงพยาบาลรามา
ภาพนี้ถ่ายหลังจากวันเกิดผ่านไปแล้ว 1 วัน ถ่ายด้วยกล้อง canon eos5d เลนส์ 85f1.8
Monthly Archives: July 2012
ทำป้ายให้ขอบฟ้า
เวลาเดินทางไปเยี่ยมเพื่อนสักคนที่เพิ่งคลอดลูกหมาดๆ ก็จะมีอาการไปยืนเกาะหน้ากระจกแล้วก็ส่องเข้าไปดูว่าเด็กคนไหนจะเป็นลูกของเพื่อนเรา เด็กทารกหน้าตาคล้ายๆกัน ใส่เสื้อผ้าของโรงพยาบาลเหมือนกัน นอนในเตียงแบบเดียวกัน ว่าไปแล้วมันก็เหมือนกันจนแยกแยะลำบากมาก ถ้าพยาบาลไม่หันป้ายชื่อของเตียงออกมาให้ผู้ชมได้เห็น ก็ไม่รู้เลยว่าใครเป็นลูกใคร
ถึงราวตัวเองต้องมีลูกกับเขาบ้าง เลยหาวิธีที่จะแยกแยะว่าลูกเราคนไหน เวลาไปยืนมองจะได้ชมไม่ผิดตัว เพื่อนและญาติที่มาเยี่ยมจะได้รู้ว่าคนไหนเป็นลูกเรา ก็เลยคิดเรื่องป้ายชื่อขึ้นมา

นอกจากป้ายชื่อที่จะติดไว้กับเตียงลูกแล้ว ป้ายหน้าห้องก็ทำด้วยเช่นกัน เพราะว่าห้องพักหลังคลอดในโรงพยาบาลต่างๆไม่ยอมติดชื่อคนไข้ หรือชื่อใดๆเลย ซึ่งมันทำให้หายาก ผมถามจากแฟนที่เป็นหมอสูฯ ซึ่งก็คือแม่ของขอบฟ้านั่นเอง แฟนบอกว่า ปกติโรงพยาบาลจะไม่ติดชื่อใครเลย เพราะป้องกันการขโมยเด็ก หรือป้องกันบุคคลผู้ไม่หวังดี อ้าว….. อุตส่าห์ทำป้ายมา ติดไว้กลายเป็นอันตรายไปซะได้ แต่ก็ช่างมันขอติดไว้ก่อนก็แล้วกัน ถ้าพยาบาลทักว่าให้เอาออกก็ค่อยปฏิบัติตาม

และนี่ก็คือป้ายที่เอาไปวางไว้ที่เตียงเด็ก เวลาเพื่อนมาเยี่ยมผมก็จะให้ป้ายอีกแผ่นติดตัวเพื่อนไป เอาไปโชว์หน้าห้องเลี้ยงเด็ก พยาบาลก็จะรู้ว่าญาติของเด็กป้ายแดงมาเยี่ยม ก็เข็นเตียงเด็กมาแนบให้ดูได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาพูดผ่านลำโพงหน้าห้อง

ทดลองล้างฟิล์มขาวดำ
ทดลองล้างฟิล์มขาวดำ
ผมขอบงานถ่ายภาพขาวดำ ก็เลยพยายามศึกษาและหัดล้างอัดเองเมื่อสักสิบปีก่อน มีอุปกรณ์ทุกอย่างตั้งแต่การล้างฟิล์มไปจนถึงเครื่องอัดภาพ แต่พอเริ่มทำงานอื่นๆเต็มตัว งานอดิเรกอย่างการล้างอัดฟิล์มขาวดำก็ไม่ได้ทำอีกเลย
ปีนี้ผมตั้งใจจะลองล้างอัดอีกครั้ง แต่พอจะไปใช้สารเคมีตัวเดิมที่เคยใช้ก็ปรากฏว่าไม่มีขายแล้ว เลยต้องเปลี่ยนสารเคมีเป็นตัวอื่น และก็ต้องมีการทดลองล้างก่อน ก่อนที่จะไปล้างฟิล์มที่คาดหวังตัวจริง
สารเคมีตัวที่หาซื้อได้ในปี พศ. 2555 นี้ คือโกดัก D-76 ชนิดผง น้ำหนักของทั้งซอง 415 กรัม ใช้ละลายน้ำ 3.8 ลิตร เพื่อเตรียมเป็นน้ำยาเข้มข้น เมื่อจะล้างจริงต้องเอาน้ำยาเข้มข้นไปผสมน้ำอีกเท่าตัวเพื่อใช้งาน สรุปสุดท้ายก็คือ ผลโกดัก d-76 จะผสมสุดท้ายเป็นน้ำยาใช้งานได้ 7.6 ลิตรนั่นเอง แต่การผสมน้ำยาเพื่อใช้ทั้งซองมันไม่ค่อยเหมาะกับผมสักเท่าไหร่ เพราะน้ำยาทั้งหมดจะล้างฟิล์มได้ประมาณ 25 ม้วน ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าจะใช้งานได้ครบภายในเวลากี่เดือน อายุของน้ำยาที่ผสมแล้วจะอยู่ได้ประมาณ 2 เดือน ถ้าเก็บไม่ดี จะอยู่ได้ 6 เดือนถ้าเก็บดี
ผมเลยใช้วิธีหารด้วย 25 เสียเลย เอาน้ำหนักทั้งหมด 415g หารด้วย 25 ได้ 16.6 กรัมเพื่อเอาไว้ใช้กับฟิล์ม 1 ม้วน จากนั้นก็อาศัยการชั่งน้ำหนักผง d-76 ทีละ 16.6 กรัมแทน เดือดร้อนต้องไปซื้อเครื่องชั่งดิจิทัลมาใช้งาน กว่าจะหาเจอว่าต้องซื้อที่ไหนก็ใช้เวลาอีกหลายวัน
ได้เครื่องชั่งมาแล้วก็เริ่มล้างฟิล์มเลย ผมไปเอาขวดน้ำดื่มขนาด 600cc มาเป็นขวดผสมสารเคมี เอาน้ำใส่แท้งค์ล้างฟิล์มแล้วเทลงขวดน้ำดังกล่าว เอาปากกาเมจิกขีดไว้ว่าน้ำต้องอยู่ระดับนี้ จากนั้นก็เอาขวดพร้อมน้ำไปเข้าไมโครเวฟเพื่ออุ่นน้ำให้ได้ประมาณ 50องศาเซลเซียส ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ระบุไว้บนซอง ใส่ผง d-76 จำนวน 16.6 กรัมเข้าไปแล้วคนให้เข้ากัน
พอเตรียมน้ำยาล้างฟิล์มเสร็จ ก็เตรียมน้ำยาตัวที่สองซึ่งทำหน้าที่หยุดสภาพของฟิล์มหรือ fixer อีกขวด ซึ่งก็ใช้ขวดน้ำดื่มขนาดเดิม เทน้ำยา fixer สำเร็จรูปไว้ในขวดความสูงเท่ากับน้ำยาล้างฟิล์มตัวแรก
ก่อนจะล้างต้องเอาน้ำยาทั้งสองขวดไปแช่ตู้เย็นเสียก่อน เพราะการล้างฟิล์มต้องใช้อุณหภูมิประมาณ 20-24 องศา เวลาในน้ำยาประมาณ 4-7 นาที ซึ่งต้องไปดูข้างกล่องฟิล์มว่าเขาออกแบบให้ล้างที่อุณหภูมิที่เท่าไร เวลากี่นาที แต่ละยี่ห้อจะใช้อุณหภูมิและเวลาไม่เท่ากัน การถ่ายภาพขาวดำจึงควรจะเก็บกล่องกระดาษที่ใส่ฟิล์มเอาไว้ก่อนจนกว่าจะล้างเสร็จเพื่อดูข้อมูลตอนล้างนี่เอง
ฟิล์ม lucky ความไว 100 ผมซื้อเอาไว้ตั้งแต่ปี คศ 2008 มันหมดอายุตอนปี 2010 ผมถ่ายเล่นไว้ตั้งแต่ช่วงแรกที่ได้มา แล้วก็ค้างในกล้องตั้งแต่นั้นจนมาถึงวันนี้ 15 กรกฎาคม 2555 หรือปี 2012 ถึงจะได้เอามาล้าง ฟิล์มหมดอายุไปแล้ว แต่ผมก็ไม่ได้ซีเรียส กะแค่ว่าลองล้างเล่นๆ
กล่องฟิล์มระบุระยะเวลาไว้ว่า 24องศาเซลเซียส เวลา 3.5 นาที ผมก็เลยล้างไปซะ 4 นาที เพื่อชดเชยนิดหน่อยสำหรับฟิล์มหมดอายุ ซึ่งการชดเชยไม่มีหลักการที่แน่นอน ใช้วิธีเดาล้วนๆ ล้างฟิล์ม 4 นาที เขย่าแท้งค์ทุกครึ่งนาที แล้วแช่ด้วยน้ำยา fixer อีก 5 นาที จากนั้นเอาไปแช่น้ำไหลทิ้งเรื่อยๆประมาณ 10 นาที เสร็จแล้วก็เก็บตาก ทุกภาพติดขึ้นมาน่าพอใจ ฝีมือการโหลดฟิล์มเข้าแท้งค์ของผมยังใช้ได้ โหลดฟิล์มไม่ติดเลย ทุกพื้นที่ของฟิล์มโดนน้ำยาสม่ำเสมอ ไม่ด่าง ไม่แหว่ง
ที่หัดมาทั้งหมดก็เป็นการเตรียมตัวสำหรับการถ่ายภาพลูกของผมเอง ผมจะเก็บภาพลูกเป็นฟิล์ม ไม่รู้ว่าเพราะอะไรถึงอยากมีภาพลูกเป็นฟิล์ม ทั้งที่มีกล้องดิจิทัลอยู่กับตัว จริงๆก็คงถ่ายด้วยกล้องดิจิทัลด้วยเช่นกัน แต่อยากมีภาพติดฝาบ้านเป็นฟิล์ม ก็เท่านั้นเอง
หลังจากที่โพสท์ทิ้งไว้เป็นเดือน ก็กลับมาอัพเดทกันหน่อยเกี่ยวกับฟิล์มขาวดำที่ล้างเสร็จแล้ว
หลังจากล้างฟิล์มเสร็จแล้ว ก็ตัดใส่ซองพลาสติกเพื่อเก็บไว้ดู โดยปกติก็ควรจะทำเป็น contact print ออกมา การทำคอนแท็คที่ว่าบนงานขาวดำก็จะเป็นการอัดภาพจริง ด้วยระบบกระดาษอัดและน้ำยาล้างภาพขาวดำจริง แต่ผมยังไม่ว่างก็เลยใช้วิธีเอากล้องดิจิทัลมาถ่ายฟิล์มขาวดำที่วางไว้บนกล่องไฟ ได้ภาพจากกล้องดิจิทัลแล้วก็เอามาผ่านโปรแกรมโฟโต้ช็อป เพื่อปรับจากภาพเน็กกาทีฟให้มันเป็นภาพปกติ

ภาพที่ถ่ายได้จากกล้องดิจิทัล จะเป็นภาพเน็กกาทีฟตามที่ตาเห็น

ภาพปกติหลังจากปรับแต่งด้วยโฟโต้ช็อปเสร็จแล้ว
ส่วนการสแกนภาพเดี่ยวก็ใช้วิธีวางฟิล์มบนกล่องไฟโดยตรง แล้วก็ใช้กล้องดิจิทัลถ่ายภาพจากกล่องไฟ แสงสว่างที่ใช้ในกล่องไฟก็คือแฟลชตัวหนึ่ง ในภาพผมใช้แฟลชของ nikon ติดกับตัวรับสัญญาณไร้สาย หรือทริกเกอร์ ตัวส่งติดอยู่ที่กล้อง
ตัวฟิล์มจะถูกวางขนาบด้วยกล่องซีดีเพื่อทำให้เรียบ แล้วก็ใช้เลนส์มาโครถ่ายภาพเลย จากนั้นก็เอาไฟล์ไปปรับแต่งในโฟโต้ช็อปอีกที
ได้ภาพแบบนี้มาในที่สุด
ไฟโซล่าเซล
โคมไฟโซล่าเซล เป็นโคมไฟที่ออกแบบมาให้ใช้ในสนามหญ้าทั่วไป ด้านบนโคมไฟจะมีแผงโซล่าเซลพื้นที่ประมาณนามบัตร 1 ใบ ภายในดคมไฟจะมีหลอดไฟส่องสว่างอยู่ 1 หลอด มีถ่านไฟฉายแบบชาร์จได้ขนาด AA 1 ก้อน มีเซ็นเซอร์แสง 1 ตัว ที่เหลือจะเป็นพลาสติกขึ้นรูปที่ช่วยให้แสงไฟสะท้อนแสงแวววาว
โซล่าเซลรับพลังงานแสงแดด แปลงเป็นพลังงานไฟฟ้าแล้วเก็บไว้ในแบตเตอรี่่ เมื่อแสงแดดตอนกลางวัน จะเก็บพลังงานเอาไว้ เมื่อสภาพแสงน้อยลง คือเริ่มเข้าสู่ตอนเย็นๆค่ำๆ เซ็นเซอร์แสงรับรู้ว่าแสงเริ่มน้อย มันจะเปลี่ยนโหมดของตัวเอง วงจรอิเล็คทรอนิกส์จะจุดหลอดไฟให้สว่าง
ผมซื้อมาใช้งานกะว่าจะลองเอามาไว้ในห้องนอน เพื่อให้มันให้แสงสว่างตอนกลางคืน เพราะไม่อยากให้ภรรยาเดินเตะของหรือเดินสะดุดอะไรในห้อง เนื่องจากตอนนี้ท้องแก่ใกล้คลอดแล้ว แต่ถ้าจะเปิดไฟในห้องไว้ตลอดเวลาก็จะเป็นการรบกวนการนอน และคงเปลืองไฟอยู่เหมือนกัน ถ้าได้แสงสว่างจากระบบโซล่าเซลล์น่าจะเข้าท่ากว่า
แต่พอเร่ิมใช้งานในห้องนอน แสงสว่างในห้องไม่พอจะทำให้วงจรชาร์จไฟทำงาน เพราะหลอดไฟมันติดตลอดเวลา มันคงคิดว่าเป็นกลางคืนตลอดเวลา แม้ว่าจะเปิดไฟในห้องแล้วทุกดวงก็ตาม หลอดไฟมันติดสว่างไปจนแบตเตอรี่หมดนั่นแหละ สรุปคือถ้าวางในห้องนอน มันจะกลายเป็นของไม่มีค่าเลย แต่ถ้าใครจะดัดแปลงเอาโคมไปติดตรงหน้าต่างก็อาจจะพอใช้งานได้ คงต้องลองดู








