ทดสอบ ลำโพง Bose companion2

ในความทรงจำตอนวัยรุ่นตอนต้น มีรุ่นพี่กล่าวถึงลำโพง Bose ว่าเป็นลำโพงเสียงดี ตอนนั้นผมยังเป็นนักเรียนใส่ขาสั้น เดินเล่นบ้านหม้อ อยากได้ลำโพงตัวใหญ่ขนาดโอบไม่รอบ ไม่มีความรู้ทางดนตรี และอิเล็คทรอนิกส์ ได้แต่จำว่า Bose แพง Bose ดี ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโลกนี้มีเครื่องเสียงอีกมากมาย นอกจาก Sony Kenwood และ ธานินทร์

พอชีวิตเริ่มเกี่ยวกับข้องกับคอมพิวเตอร์ ก็ต้องซื้อลำโพงมาติดคอมฯ ลำโพงที่เลือกซื้อมักจะเน้นตัวใหญ่ เน้นว่าขนาดใหญ่น่าจะเสียงดี ซึ่งมันก็ไม่ผิด ผมเคยเลือกลำโพงให้คนอื่นโดยการไปยืนฟังอยู่นานจนเมื่อยขา แล้วก็อุ้มกลับบ้านด้วยค่าตัวพันกว่าบาท แม้ว่าจะหาเงินได้มากกว่านั้น แต่ก็ไม่รู้สึกว่าอยากจะจ่าย เพราะเสียงที่ได้จากลำโพงคอมฯเหล่านั้นไม่ค่อยดีแบบที่ต้องการ มันอาจจะเป็นเพราะว่าเรามีเงินน้อยเลยต้องเลือกอย่างระวัง และด้วยความจำกัดทางงบประมาณเราเลยได้แต่ทดลองฟังของราคาถูก ของแบรนด์เนม ยี่ห้อฝรั่งแทบไม่อยู่ในหัว เพราะว่า ของจีนมันบังตา ราคามันถูกกว่ากันหลายเท่าตัว

Bose ที่เป็นลำโพงบ้านก็เคยได้ฟังมาบ้าง ฟังจากบ้านเพื่อน ฟังจากร้าน เสียงของ Bose เหล่านั้นไม่ได้เป็นแบบบริสุทธิ์นิยม คือเสียงมันไม่สด เสียงมันไม่ใส ยิ่งลำโพงทรงลูกเต๋าที่มีซับวูฟเฟอร์แยกยิ่งรู้สึกว่าเสียงมันไม่กลมกลืน ตลอดเวลาหลายปีเลยไม่เคยได้สนใจเลย จนกระทั่งร้านขายคอมพิวเตอร์ของ apple ที่มีชื่อว่า istudio เกิดแพร่หลาย คอมพิวเตอร์แม็คอนทอชได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างน่าตกใจ ไปไหนก็เห็นร้านขายแม็คทุกห้าง และอุปกรณ์เสริมต่างๆก็มีวางขายอยู่ในร้านอย่างเป็นระเบียบและสวยงามและมีปริมาณเยอะมาก หนึ่งในของเยอะๆเหล่านั้นก็มีลำโพง bose ด้วยเช่นกัน

คงเป็นผลมาจาก ipod ที่ได้รับความนิยม ร้านขายสินค้าของ apple เลยต้องขายลำโพงด้วย และลำโพง Bose ก็เป็นสินค้าที่มีราคาสูงที่สุดในร้านถ้าไม่นับสินค้า apple เอง ก็เลยมีโอกาสได้ลองฟังบ่อยๆในร้าน istudio เล่ามาซะยาวเลย เข้าเรื่องได้แล้ว


(รูปจากคนอื่น)

ลำโพง bose ที่ผลิตมาสำหรับการใช้งานกับคอมพิวเตอร์มีไม่มากรุ่น ระยะห้าปีหลังมานี้ Bose ค่อยๆสะสมความนิยม มีคนซื้อใช้มากขึ้น อาจจะเป็นเพราะคนที่เคยอยากได้ในอดีดหลายคนเริ่มแก่ขึ้น เร่ิมมีงานมีการทำ เร่ิมมีเงินซื้อ ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น


(รูปจากคนอื่น)

Bose companion2 เป็นลำโพงสำหรับคอมพิวเตอร์ มีหน้าตาออกแบบมาเป็นตู้ขนาดฝ่าเท้า (ใหญ่กว่าฝ่ามือ แต่ไม่ใหญ่มาก) หน้าลำโพงเป็นสโล๊ปเอียงขึ้น ถ้าวางบนโต๊ะคอมพิวเตอร์มันก็จะแหงนหน้าขึ้นสู่คนฟัง ถ้าใช้วางข้างโน้ตบุ๊คก็คงมีความลาดเอียงเท่ากับจอภาพ ด้านหน้าเป็นตะแกรงมีปุ่มหมุนปรับระดับเสียงเพียงปุ่มเดียว ปรับเสียงทุ้มแหลมไม่ได้ ใต้ปุ่มหมุนมีรูเสียบหูฟัง 1 ช่อง ด้านหลังเป็นช่องเสียบสัญญาณเสียงเข้า มีช่องรับ 2 คู่ หมายความว่ารับเสียงจากอุปกรณ์ได้สองตัว ไม่มีตัวเลือกว่าจะฟังอะไร ช่องไหนมีสัญญาณเสียงวิ่งเข้าไปก็ส่งเสียงได้หมด แปลว่า ถ้าต่อกับคอมพิวเตอร์สองตัวพร้อมกัน เปิดเสียงพร้อมกัน มันก็จะรวมเสียงแล้วส่งเสียงผสมกันออกมา เป็นหลักการเดียวกับมิกเซอร์ นอกจากนั้นก็มีช่องเสียบไฟตรง 12 โวลท์ และมีช่องต่อสายลำโพงข้างซ้ายอีกตัวหนึ่ง มีรูระบายเบสอยู่ 1 รู ซึ่งเป็นลักษณะของลำโพงตู้เปิด


(รูปจากคนอื่น)

รูปตัวอย่างนี้เป็นรูปจากที่อื่น  ตัวที่ผมได้มาช่องเสียบไฟเลี้ยงเขียนไว้ว่า 12V 1.8A   ส่วนตัวในภาพระบุไว้เพียง 1.2A

การที่ไม่มีปุ่มปรับเสียงทุ้มแหลมมันหมายความว่า Bose มั่นใจในตัวเองอย่างมากว่าเสียงจากลำโพงของเขาเป็นเสียงที่ดีแล้ว ขอแค่แหล่งโปรแกรมที่เอามาเล่นด้วยอย่าห่วยเกินไป มันถือว่าเป็นความสุดโต่งของการออกแบบเพาเวอร์แอมป์และลำโพงระดับหนึ่ง การออกแบบให้เป็นเช่นนี้ถือว่าเป็นดาบสองคม ถ้าแหล่งโปรแกรมที่เอามาใช้เล่นมันมีคุณภาพเสียงที่ดี เสียงก็จะออกมาดี แต่ถ้าแหล่งโปรแกรมมันเสียงแย่ มันก็ออกมาแย่ยิ่งขึ้น

ลองฟัง Bose โดยใช้เครื่องเล่น DVD ต่อผ่านตัวแปลงสัญญาณเสียง D/A converter อีกตัวแล้วค่อยส่งไปให้ Bose ขยายเสียง เสียงที่ได้มีความใส สด มันเป็นบุคลิกของตัวแปลงสัญญาณ แล้วเกี่ยวอะไรกับ Bose ก็ต้องตอบว่าไม่เกี่ยว พล่ามไปให้เปลืองบรรทัดเล่นๆ แต่สิ่งที่ Bose companion2 ทำให้ก็คือ มันส่งเสียงตลอดย่านความถี่ออกมาได้ค่อนข้างสมบูรณ์ เสียงเบสเป็นงานยากของลำโพงขนาดเล็ก Bose Companion 2 ใช้ดอกลำโพงขนาดเพียง 2.5 นิ้ว ดอกเดียวส่งเสียงตลอดย่าน ถึงจะดอกเล็กแต่ให้เสียงเบสได้ลึกเกินตัว เกินตัวไปมากจริงๆ หลับตาฟังแทบจะไม่เชื่อว่ามันออกมาจากลำโพงตัวแค่นี้ เสียงกลางมีความเด่นพอใช้ได้ เสียงสูงยังไม่ใสเท่ากับลำโพงบ้านทั่วไป แต่ก็ไม่ได้น้อยจนทึบ เรายังรู้สึกว่าเสียงฟาดสแนร์ เสียงฉาบ และ แฉ ยังมีความกังวานและมีประกายเสียง แม้ว่าจะไม่สด ไม่กระแทก ไม่รู้สึกมีความแข็งของโลหะแบบลำโพงบ้านราคาหลายหมื่น แต่มันก็มีให้ฟัง

Bose ใส่วงจรพิเศษเข้าไปในระบบลำโพงคู่นี้อย่างน้อยสองอย่าง จริงๆผมเชื่อว่าอาจจะมากกว่านี้ แต่ค้นหาข้อมูลเท่าไหร่ก็ไม่เจอ เจอเพียงระบบ TrueSpace ที่ทำหน้าที่สร้างเสียงสังเคราะห์ระบบเสียงรอบทิศจากลำโพงเพียงสองตัว กับวงจรปรับโทนเสียงอัตโนมัติ การมีระบบ TrueSpace ผลก็คือทำให้เสียงมีบรรยากาศโอบล้อม คนฟังจะรู้สึกถึงความฉ่ำหวานและมีประกาย มันมีการเล่นเฟสเสียงที่ซับซ้อน การนั่งฟังห่างลำโพงเพียงแค่ไม่ถึงเมตรมันให้คุณภาพที่ดีที่สุด เพราะมันถูกออกแบบมาให้ทำงานบนโต๊ะ แต่หากถอยห่างออกมาเรื่อยๆ ในบางระยะเราจะได้ยินเสียงกลับเฟสของเสียงกลาง เสียงคนร้องจากที่เคยอยู่ตรงกลางระหว่างลำโพงจะมีอาการวูบไปอยู่ด้านขวาบ้างเป็นบางระยะที่เราทดสอบ แต่การนั่งฟังบนโต๊ะทำงานปกติจะไม่พบอาการนี้ แสดงว่า Bose ออกแบบลำโพงคู่นี้เอาไว้ให้นั่งฟังใกล้ๆ แต่ผมกลับขอบฟังจากระยะไกลๆมากกว่า คือใกล้ๆมันก็ได้คุณภาพแบบที่เขาออกแบบ ไกลๆมันก็ได้อีกแบบหนึ่ง เพราะผมไม่ได้สนใจเรื่องความถูกต้องของเสียงว่าจะต้องมีโฟกัสเที่ยงตรง นักร้องยืนอยู่ตรงกลางระหว่างลำโพง การฟังแบบแบล็คกราวน์มิวสิคหรือแบบเปิดทิ้งไว้ฟังไปด้วยทำงานอื่นไปด้วย เราไม่ต้องเพ่ง ไม่ต้องใช้สมาธิในการฟังจับผิด น้ำเสียงที่หวานกลมกล่อมชวนฟังขนาดนี้หาไม่ได้จากเครื่องเสียงบ้านราคาต่ำกว่าสองหมื่น

ระบบปรับโทนเสียงอัตโนมัติเป็นการปรับแต่งเสียงของแหล่งโปรแกรมต่างๆที่เอามาเปิดฟัง อาจจะเป็นเพลง Mp3 คุณภาพต่ำ การฟังเพลงต่างๆผ่านลำโพง Bose มันมีการปรับเสียงให้อัตโนมัติ เพลงแย่ เพลงดี พอเอามาเปิดมันก็เสียงดีเหมือนกันหมด บางเพลงที่ผมโหลดจากอินเทอเน็ตมาฟัง ฟังจาก Bose ไปเรื่อยๆก็ไม่ได้คิดอะไร พอลองเอาหูฟังมาเสียบฟังเพลงเดิม กลับรู้สึกว่ามันแห้งและทึบเหลือเกิน ผมเดาว่าไม่ใช่เพราะ Bose ทำช่องเสียบหูฟังไม่ดี แต่ระบบชดเชยเสียงหรือการปรับโทนเสียงอาจจะไม่ได้ทำงานในการเสียบหูฟัง เพราะ Bose น่าจะออกแบบวงจรพิเศษต่างๆมาให้ทำงานบนตัวลำโพงจริงๆ

การมีหน่วยประมวลผล ตรงนี้คือประเด็นสำคัญ ลำโพงที่จะสามารถทำงานแบบนี้ได้ก็ต้องมีหน่วยประมวลผลในตัวเอง นั่นคือจะมีต้องมีวงจรอิเล็คทรอนิกส์มารับหน้าที่ประมวลผลนอกเหนือไปจากวงจรขยายเสียงปกติ หมายความว่าคุณภาพแบบนี้ เทคนิคแบบนี้จะอยู่ในลำโพงแบบ active เท่านั้น คือมีภาคขยายและมีวงจรประมวลผลในตัว มันเป็นเหตุผลที่ทำให้ลำโพง Bose บางรุ่นที่ออกแบบเป็น sub+sat ไม่มีกำลังขยายเป็นลำโพงที่ยังเสียงไม่ดี เพราะให้ลูกค้าไปหาเพาเวอร์แอมป์ใช้เอง มันปราศจากเทคนิคและวงจรพิเศษมาช่วยเหลือ ลำโพงอย่าง acoustic mass เลยมีน้ำเสียงที่ยังขาดๆเกินๆไม่กลมกล่อมเหมือนลำโพงสำหรับคอมพิวเตอร์อย่าง companion2 ตัวนี้

การมีหน่วยประมวลพิเศษเพื่อช่วยให้ลำโพงทำงานได้อย่างมหัศจรรย์ไม่ได้มีแต่ข้อดีฝั่งเดียว มันมีข้อเสียตามมาด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ มันเสียเวลาไปกับการประมวลผลเล็กน้อย ทำให้เสียงมีอาการดีเลย์อย่างรู้สึกได้ ไม่ใช่ว่าเสียงยืด แต่เป็นอาการมาช้าไปนิดหน่อย ถ้าเราต่อลำโพง Bose คู่กับลำโพงอื่นๆที่ส่งเสียงตรงๆไม่มีวงจรประมวลผลมาทำให้เสียเวลา เราจะได้ยินเสียงโน้ตเดียวกันสองครั้ง คือเสียงที่ได้ยินทันทีจากลำโพงตัวอื่นและตามมาด้วยเสียงจาก Bose เพราะมัวแต่ไปเสียเวลาประมวลผล มันเหมือนเป็นอาการเสียงก้องในห้องกระจก คือมีเสียงหลักกับเสียงที่สองวิ่งคู่กันตลอดเวลา ถ้าเราใช้ฟังเพลงอย่างเดียว ก็จะไม่รู้สึกว่ามันเป็นปัญหา แต่ไม่แน่ใจว่าถ้าเอาไปใช้เล่นเกมส์จะมีปัญหาหรือไม่ ข้อเสียอีกประการก็คือมันเปิดดังไม่ได้ ไม่ได้หมายความว่าต้องฟังเบาๆ มันเปิดดังให้พอดีในห้องได้ ให้อารมณ์การฟังเพลงได้ดี แต่มันยังเอาไปเปิดในงานปาร์ตี้ไม่ได้ มันเปิดดังเผื่อคนเป็นสิบคน หรือเปิดในที่โล่งแล้วยังไม่ดี เพราะความที่มันพยายามส่งเสียงเบสให้ได้เกินตัว ทำให้มันต้องใช้พลังงานเยอะ เหมือนกับว่าลำโพงทำงานหนักมาก ขณะที่ไฟเลี้ยงวงจรยังมีจำกัดเนื่องจากใช้ไฟเพียง 12 V 1.8 amp เท่ากับความดังประมาณไม่เกิน 21.6 วัตต์ หากคิดประสิทธิภาพระดับ 100% แต่ในความเป็นจริง วงจรขยายเสียงหากสามารถทำประสิทธิภาพได้สูงสัก 70% ก็ถือว่าดีมากแล้ว ผมเดาว่า Bose ตัวนี้น่าจะมีประสิทธิภาพประมาณ 70% มากกว่าจะเป็นแค่ 25% แบบเครื่องเสียงไฮเอ็นด์ทั่วไป การเปิดดังมากๆทำให้วงจรมีอาการคลิป คล้ายกับว่าลำโพงกำลังจะแตก มันเหมือนกับคุณเอารถซิตี้คามาวิ่งในเมืองได้อย่างสนุกสนาน แต่พอต้องออกต่างจังหวัด ต้องทำความเร็วสูงๆ มันสู้รถใหญ่ หรือรถกระบะไมไ่ด้ เพราะมันออกแบบการใช้งานมาคนละประเภทกัน

ประมาณสามวันวันละหลายชั่วโมงที่อยู่กับลำโพงคู่นี้ผมเริ่มรู้สึกว่า Bose น่าจะเป็นลำโพงที่เหมาะแก่การใช้งานระยะยาว การลงทุนที่สูงกว่าลำโพงคอมพิวเตอร์ทั่วไปมันเป็นเรื่องที่รู้สึกคุ้มค่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้กลับคืนมา จ่ายแพงกว่าอีกหน่อย แต่ได้ของที่ใช้ได้ถูกใจและไม่ต้องขวนขวายหาตัวอื่นๆมาแทนมันเป็นสิ่งที่น่าลองทำ เพราะจะได้ไม่ต้องเสียเงินซ้ำซ้อน ผมเคยเสียเงินซื้อลำโพงมาหลายคู่ เพราะมัวแต่เลือกของถูก ยอมประณีประนอมกับบุคลิกเสียงบางอย่างเพราะว่าต้องดูตามงบประมาณ ผลก็คือมีลำโพงที่ไม่ค่อยได้ใช้อยู่ในบ้านเต็มไปหมด ถ้าซื้อ Bose ตั้งแต่ต้นอาจจะประหยัดกว่านี้

ลำโพง Bose ไม่ได้ให้เสียงที่ถูกต้องแม่นยำ เพราะมันมีการปรับแต่งใส่สีสันต่างๆเข้าไปจนฟังแล้วเคลิ้ม อย่าถามหาความจริงกับ Bose เพราะ ฺBose มันฉอเลาะ ตอแหล กว่าปกติ การเลือกใช้ Bose มันเหมือนเป็นรูปแบบชีวิต เป็นสไตล์หนึ่งๆ ถ้า Bose เป็นกาแฟ ก็จะเป็นกาแฟสตาร์บั๊คส์ คือกลมกล่อม เต็มไปด้วยอารมณ์และบรรยากาศ เข้าไปนั่งแล้วสั่งกินได้ไม่ผิดหวัง นั่งในร้านแล้วรู้สึกปลดปล่อย ไม่เครียด กาแฟทำหน้าที่เป็นเครื่องดื่ม แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้นคือความรู้สึกว่าการมีเวลาส่วนตัว มีโลกส่วนตัว มีความสบายส่วนตัว มีร้านอื่นที่ขายกาแฟเช่นกัน มีกาแฟราคาถูกกว่านี้ มีราคาแพงกว่านี้ แต่สตาร์บั๊คมีมากกว่านั้น บางคนจ่ายสิบกว่าบาทก็แลกกาแฟข้างถนนได้ แต่มันคนละอารมณ์ คนเรากินกาแฟไม่ใช่เพราะต้องการเพียงแค่คาเฟอีน อารมณ์กาแฟต่างหากที่ต้องการ

ถ้า Bose เป็นภาพถ่าย Bose คือภาพที่ได้จากฟิล์มสไลด์ fuji Velvia ซึ่งเป็นฟิล์มสไลด์ที่ให้สีสันสดจัดจ้านที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมีมา ภาพจากฟิล์มสไลด์ตัวนี้มีความอิ่มตัวของสีที่สูงมาก มีรายละเอียดสูงมาก และภาพในหนังสือ National Geographic ในยุคก่อนดิจิทัลจะครองเมืองจะเป็นภาพจากฟิล์มตัวนี้เป็นส่วนใหญ่

ถ้า Bose เป็นรถยนต์ มันอาจจะเป็น Honda CRV ที่เป็นรถอเนกประสงค์ ขับไปร่วมงานอะไรก็ได้ ไปงานหรูก็ได้ ไปงานบวชงานวัดก็ได้ สมรรถนะพอใช้ ไม่แรงไม่ลุยเท่าโฟวีลแท้ๆ ไม่คล่องตัวอย่างซิตี้คาร์ แต่ขับได้ทุกวัน ใช้ได้ทุกวัน ในเมือง หรือนอกเมือง ชีวิตบนตึกหรือท่องเที่ยวก็ได้หมด

ถ้า Bose เป็นอาหาร ผมคิดว่ามันเป็นข้าวผัด บางคนชอบกินข้าวขาว บางคนชอบกินข้าวกล้อง Bose เป็นข้าวที่ปรุงเสร็จแล้ว สามารถกินเปล่าๆ หรือ กินพร้อมกับก็ได้ มันมีรสชาด มีความหวานมัน

คิดถึง ipod คิดถึงความสุขในการฟังเพลง

IMG_9017

เครื่องเล่น mp3 เครื่องแรกที่ผมเคยได้ยินข่าวคราวก็คือเครื่องยี่ห้อ rio ผมจำสเป็คโดยละเอียดไม่ได้ และไม่เคยมีโอกาสได้ฟัง ในช่วงเวลาแรกเริ่มของ mp3 ผมฟังผ่านเครื่องคอมพิวเตอร์และไม่เคยรู้สึกหลงใหลได้ปลื้มกับ mp3 เลย ทั้งๆที่ ณ เวลานั้นมีแผ่นรวมเพลง mp3 ขายอยู่แล้วมากมาย

อาจจะเป็นเพราะว่าการฟัง mp3 ในยุคแรกนั้นต้องใช้คอมพิวเตอร์เป็นหลัก ทำให้ผมไม่สามารถพกพามันไปกับตัวได้  ปี 1998 ปีนั้นที่ฝรั่งเศสได้แชมป์ฟุตบอลโลก ผมยังคงไปซื้อเครื่องเล่นเทปแบบวอล์คแมนเครื่องใหม่หน้าตาสวยมาใช้งานอยู่เลย อัลบั้มเพลงที่ผมจำได้ว่าผมฟังจากเทปวอล์คแมนเครื่องนี้บ่อยที่สุดคืออัลบั้มของ pause ชุด mind ที่มีเพลงข้อความ เพลงความลับ ที่ยังคงเป็นเพลงน่าฟังอยู่ตลอดกาลของวงดนตรีวงนี้

mp3 ฮิตมากกับการใช้งานบนโต๊ะทำงาน เพราะเปิดด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ ผมมีเพลง mp3 สะสมอยู่ในเวลานั้นหลายร้อยเพลง มีเพลงที่ชอบมากๆอยู่ประมาณ 100 เพลง และผมก็ไม่คิดว่าจะพกพามันไปฟังบนรถเมล์ หรือ ฟังตอนขับรถ เพราะไม่รู้จะขนเพลงเหล่านั้นทั้งร้อยเพลงไปได้อย่างไร ตอนนั้นลืมเครื่องเล่น mp3 แบบพกพาไปได้เลย เพราะเครื่องแพงมาก และหน่วยความจำที่มีอยู่ก็อยู่ที่ระดับประมาณ 16-32 เม็กกะไบต์ มันเก็บเพลงได้ไม่ถึง 10 เพลง ผมพกเครื่องเล่นเทปยังได้เพลงเยอะกว่า

หลายปีต่อมาผมได้ข่าวว่า apple ทำเครื่องเล่น mp3 ออกมาขายราคาประมาณสองหมื่นบาท ผมไม่สนใจเลยเนื่องจากไม่มีเงินซื้อ และไม่เคยคิดว่าจะต้องจ่ายเงินให้กับอุปกรณ์การฟังเพลงในราคาสูงขนาดนั้น แม้ว่าผมจะเป็นคนเล่นเครื่องเสียง และยินดีจ่ายให้กับเครื่องเสียงราคาหลายหมื่น แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะต้องจ่ายให้กับเครื่องเล่น mp3 ในราคาแพงกว่าเครื่องเสียงบ้าน ผมปฏิเสธ mp3 มาตลอดทั้งในด้านคุณภาพ และราคา

ในบางวันที่ผมฟังเทปจากวอล์คแมน ผมก็อยากฟังวิทยุบ้าง ตอนนั้นก็ไปซื้อเครื่องรับวิทยุมาใช้ เป็นเครื่องรับวิทยุที่ราคาถูกๆ มันรับคลื่นได้แต่ไม่ชัด สุดท้ายก็ทนฟังไม่ได้ ผมก็เลยหันหลังให้กับรายการวิทยุไปนานแสนนาน กว่าจะรู้ตัวอีกทีเขาก็มีคลื่นวิทยุที่เปิดเพลงกันต่อเนื่องห้าสิบนาทีเสียแล้ว ผมตกยุคไปหลายปีเลย

_MG_6408

แล้วผมก็ไปเพลิดเพลินอยู่กับการหัดถ่ายภาพ ผมแทบไม่ได้ฟังเพลงอย่างตั้งใจอีกเลย จนวันหนึ่งเพื่อนเอา ipod mini มาให้ลองฟัง ก่อนจะทดลองฟัง ผมก็ออกตัวกึ่งด่า กึ่งดูถูกไว้หลายอย่าง เพื่อนก็หวังดีบอกให้ผมฟังดูก่อน พอลองฟังสักสองเพลง ผมถามราคา เพื่อนบอกเจ็ดพันบาท ผมฝากซื้อทันที และมีเพื่อนอีกสองคนที่อยู่ในที่นั้นก็ซื้อพร้อมผมอีกคนละเครื่อง ผมบอกไม่ถูกว่าเกิดอะไรขึ้นกับเทคโนโลยี แต่เพลง mp3 ในเครื่องเล่น ipod มันเพราะมาก มันเหมือนคนที่ไม่ได้กินอาหารถูกปากมานาน พอเจอเมนูอร่อยเข้าไปกลายเป็นคนตะกละขึ้นมาเลย

ipod mini เป็นเครื่องเล่นเพลงติดตัวผมตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เครื่องเล่นเทปวอล์คแมนผมก็เก็บลืมตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาเช่นกัน และจนบัดนี้มันก็ไม่เคยทำงานอีกเลย คุณภาพเสียงของ ipod mini ทำให้ผมเริ่มหาข้อมูลที่เกี่ยวข้อง หาประวัติของ ipod เลยทำให้เริ่สนใจเครื่องคอมพิวเตอร์ของ apple ไปพร้อมกัน แม้ว่าผมจะชอบ ipod แต่ผมก็ยังไม่คิดจะใช้คอมพิวเตอร์ของ apple เพราะว่าตอนนั้นผมมีอาชีพเป็นโปรแกรมเมอร์ และเครื่องโน้ตบุ๊คส่วนตัวผมเป็น ibm หน้าตาดำๆถึกๆ มันเป็นโลกของ windows และ ibm และ โปรแกรม visual studio ของ microsoft

สิ่งที่ผมชอบใน ipod mini คือหน้าตาที่ดูคลาสิค และรูปร่างไม่ใหญ่โต ตัวถังเป็นอลูมิเนียมที่เป็นรอยยากมาก หน้าจอใช้ไฟเรืองแสงสีขาว มันเป็นความลงตัวที่ผมรู้สึกดี ความจุที่มี 4Gb สามารถเก็บเพลงได้ประมาณ 1000 เพลง แน่นอนว่าผมมีเพลงสะสมจนเต็มความจุแล้ว ทุกวันนี้ยังไม่เจออุปกรณ์อะไรที่ดูน่าทนุถนอมขนาดนั้นเลย คุณภาพเสียงก็ดีถูกใจมาก โดยเฉพาะหูฟังที่มาพร้อมกับ ipod mini เป็นหูฟังที่มีบุคลิกที่เป็นกลาง คือมันราบเรียบ ฟังเสียงคนได้ชัดเจน มันสามารถฟังเพลงได้นานโดยที่ไม่รู้สึกล้า ไม่เลี่ยน มันแตกต่างไปจากหูฟังโซนี่ที่ฟังทีแรกจะรู้สึกว่าเพราะ มัน เสียงใส แต่ฟังนานๆหลายชั่วโมงแล้วทรมาน

เคยมีคนแย้งว่าทำไมถึงอยากจะฟังเพลงตั้งพันเพลง ipod ความจุเยอะเกินความจำเป็น ต้องจ่ายราคาแพงกว่าชาวบ้าน ipod ราคาเกือบหมื่น แต่ของคนอื่นขายกันสองพันบาท ความจุ 512mb ก็พอแล้ว หลายความเห็นออกมาแนวทางเดียวกันคือ ipod แพงเกินไป ผมก็รู้สึกว่าแพง แต่ผมก็พบว่าการที่ผมมีเพลงติดตัวไปสักหนึ่งพันเพลงผมก็ไม่ได้อยากฟังทุกเพลงหรอก แต่ว่าผมสามารถเลือกฟังเพลงอะไรก็ได้จากหนึ่งพันเพลง เลือกฟังได้ทันทีโดยไม่ต้องกลับบ้านไปลบเพลงเก่าและก็อปปี้เพลงที่ต้องการลงไป แต่ละวันผมอาจจะฟังเพลงแค่สิบเพลง แต่มันก็ไม่สามารถจะบอกได้หรอกว่าสิบเพลงนั้นมีเพลงอะไรบ้าง การแบกเพลงใส่ ipod ไว้หนึ่งพันเพลงมันทำให้ผมสามารถเลือกเพลงที่อยากฟังได้ครบตามที่ต้องการ หรือเกือบครบทุกเพลง มันเป็นสิ่งที่เครื่องเล่นอื่นๆให้ไม่ได้

ตอนนั้น ipod ไม่มีคู่แข่งเลย ทั้งในแง่คุณภาพเสียงและความจุ มียี่ห้ออื่นๆพยายามจะทำขายก็ยังไม่มีจุดเด่นที่ดีกว่า มันเป็นเรื่องที่ช่วยไ่ม่ได้จริงๆที่จะไม่เปิดใจให้กับเครื่องเล่นยี่ห้ออื่นๆ เพราะเมื่อลองฟังก็รู้สึกว่ามันไม่ลงตัว เสียงยังไม่ถูกใจ แต่ผมก็ทดลองฟังตัวอื่นๆอยู่เรื่อยๆ แล้ววันดีคืนดีก็เจอกับเครื่องเล่น mp3 ตัวใหม่ที่เสียงดีกว่าเดิม

IMG_9032

มันคือ ipod รุ่น shuffle รุ่นที่มีความจุเพียง 512 Mb หรือเก็บเพลงได้แค่ 120 เพลงเท่านั้น ผมเดินผ่านร้านขายเครื่องเสียง ก็แวะดูไปตามเรื่อง ถามพนักงานเรื่องคุณภาพเสียงของ ipod 3 ตัวที่วางเรียงกันอยู่ในร้าน พนักงานบอกว่า shuffle เสียงดีที่สุด ผมไม่เชื่อเลยขอลองฟังบ้าง ฟังเพลงเดียวกัน หูฟังเดียวกัน แล้ววันนั้นผมก็เสียเงิน ได้ shuffle กลับบ้านไปอีกตัว มันเป็นเครื่องเล่นที่ไม่มีหน้าจอ ก็อปปี้เพลงลงไปแล้วก็เปิดเล่นเลย หลายคนออกความเห็นว่าไร้สาระ เอา ipod ตัวใหญ่มาติดเทปบังหน้าจอไว้ก็เหมือนได้ใช้งาน shuffle แล้ว ซึ่งผมก็ไม่ได้แย้งอะไร แต่ผมรู้สีกว่า ipod shuffle ที่ไม่มีจอภาพมันมีดีกว่านั้น มันเป็นมากกว่านั้น แต่ก็อธิบายไม่ได้

การก็อปปี้เพลงลงไปในเครื่องเล่น ipod ต้องทำผ่านโปรแกรม iTune ซึ่งเป็นโปรแกรมที่สามารถเปิดเพลงได้ทั่วไป สร้างรายการเพลงที่ชอบ รวมเพลงเป็นชุดๆได้ตามใจ ทุกเพลงที่อยู่ใน iTune กดปุ่มเดียวมันก็จะก๊อปปี้ทุกอย่างลงไปใน ipod แปลว่า บนเครื่องคอมพิวเตอร์เรามีเพลงอะไร จัดระเบียบจัดอัลบั้มรวมกันไว้อย่างไรมันก็มีอย่างนั้นใน ipod เช่นกัน และความพิเศษมากขึ้นอย่างหนึ่งก็คือมันบันทึกการเล่นเพลงต่างๆเอาไว้ เพลงไหนเล่นบ่อยที่สุดก็มีการนับไว้ และมันก็มีรายการเพลง top hit ให้เราอัตโนมัติ แปลว่า ในหลายๆพันเพลงจะมีเพลงที่เราฟังบ่อย 25 เพลงถูกจัดเป็น top hit ให้ และเราสามารถสั่งให้ ipod shuffle ก็อปปี้เพลง top hit เหล่านั้นลงได้ได้อัตโนมัติ

ipod shuffle ที่เก็บเพลงได้เพียงเล็กน้อยมีเพลงที่เราฟังบ่อยๆอยู่ในนั้น มันเป็นรูปแบบการเลือกเพลงที่”ไม่ผิดหวัง” เพราะว่าเราฟังบ่อยจริง มันแก้ปัญหาของคนลังเลได้อย่างดี เพราะเราคงเคยเจอปัญหาว่า มีเพลง มีแผ่น (เมื่อก่อนก็มีเทปด้วย) เยอะไปหมด จะเลือกเอาเพลงไหนไปฟังบนรถดี หรือจะเอาแผ่นเพลงไหนติดตัวไปเที่ยวต่างจังหวัดดี เมื่อก่อนผมเคยขับรถไปต่างจังหวัดหลายวัน ผมขนแผ่นซีดีใส่ลังไปด้วยเกือบห้าสิบแผ่น มันเป็นเรื่องบ้าๆที่เคยทำ

พอรับ ipod เข้ามาในชีวิต ความบันเทิงแบบพกพาก็เริ่มขึ้นอย่างจริงจัง จากการฟังเพลงแต่เพียงอย่างเดียวมันเริ่มมีความต้องการให้ ดูภาพได้ ดูวิดีโอได้ ซึ่งคนที่คิดแบบผมไม่ได้มีคนเดียว มันคิดแบบเดียวกันทั้งโลก และแล้ว ipod ก็มีรุ่น ipod photo ที่สามารถก็อปปี้ภาพลงไปดูได้ และแน่นอนว่าหน้าจอของ ipod กลายเป็นจอสีแล้ว หลังจากนั้นอีกไม่นาน ipod video ก็ตามมาติดๆ เป็นเครื่องเล่นแบบพกพาที่สามารถดูวิดีโอได้ด้วย ซึ่งในเวลานั้นเครื่องเล่นโนเนมจากจีนก็มีความสามารถในการเล่นวิดีโอออกมาก่อนแล้ว แต่วิดีโอในเครื่องโนเนมต่างๆเป็นวิดีโอที่คุณภาพต่ำ การแสดงผลยังไม่ประทับใจ และไม่สามารถต่อสายภาพออกมาเข้าเครื่องรับโทรทัศน์ได้ แต่ ipod video ทำได้ทุกอย่างที่บอกมา มันเป็นข้อได้เปรียบที่ ipod มีความจุเยอะ เลยสามารถเก็บข้อมูลวิดีโอที่มีขนาดใหญ๋ได้ คุณภาพของวิดีโอเลยดีกว่า

ความนิยมของ ipod ค่อยๆสะสมก่อตัวขึ้น จนกระทั่งแพร่หลายไปทั้งโลก สิ่งที่ชี้วัดได้ง่ายที่สุดก็คือมีอุปกรณ์เสริมต่างๆออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นซองผ้า ซองหนัง ซองพลาสติก ลำโพง เครื่องเสียง ทุกอย่างที่เอามาต่อพ่วงกับ ipod ได้จะถูกผลิตออกมาเต็มไปหมด แม้แต่เครื่องมีดโกนหนวดต่อกับ ipod ก็ยังมี เลเซอร์พอยเตอร์ก็มี มันไม่ได้เกี่ยวกับการฟังเพลงแต่ก็มีคนทำอุปกรณ์เสริมออกมา มันมากมายลามไปถึงกลุ่มแฟชั่น กระเป๋าหนังบางยี่ห้อมีช่องใส่ ipod แยกต่างหาก มันฮิตระเบิดเลย

scan-2012-minilux-jul-17

มาถึงปี ค.ศ. 2006  ipod พัฒนาไปมากกว่าเดิมหลายช่วงตัว มันกลายไปเป็น iphone เป็นเครื่องเล่นหน้าจอสัมผัส เล่นอินเทอเน็ตได้ มันมีกล้องในตัว มันเป็นอุปกรณ์อเนกประสงค์ มันใส่โปรแกรมเพิ่มเพื่อทำงานอื่นๆได้อีกมากมาย มันไปไกลจนเกินกว่าจะเป็นเครื่องเล่นเพลงไปเสียแล้ว เราหยุดการพัฒนาไม่ได้ มันเป็นเรื่องปกติของอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์ ผมแอบคิดเล่นๆว่า ipod ชวนคนทั้งโลกให้หันมาฟังเพลง แต่ตอนนี้กำลังพาคนทั้งโลกออกจากเพลง ไปสู่สิ่งใหม่ที่สับสนวุ่นวาย ทั้งภาพ วิดีโอ อินเทอเน็ต มันน่าคิดเหมือนกันว่าตอนจบจะเป็นอย่างไร เครื่องเล่นเพลงที่แท้จริงมันอาจจะหยุดอยู่ที่ ipod รุ่นสุดท้ายก่อนที่จะเริ่มใช้ระบบสัมผัสหน้าจอ อารมณ์คนฟังเพลงต้องการแค่นั้นจริงๆ ที่มากกว่านั้นและทุกอย่างที่อยู่ใน iphone มันมากเกินไปสำหรับคำว่าดนตรี