netbook ตัวแรกของโลก

โน้ตบุ๊คขนาดเล็กตัวนี้ถือเป็น netbook ตัวแรกของโลก  มันคือ EEEpc 701 ซึ่งมีความเร็ว 630 MHz มีความสามารถเหมือนโน้ตบุ๊คทั่วไป  แต่ไม่มีถาดอ่านแผ่นซีดี  อาจจะเป็นเพราะว่าแนวโน้มการใช้แผ่นลดน้อยลง  ใครๆก็ใช้อินเทอเน็ตและทรัมไดร์ฟ  ดังนั้นเครื่องอ่านแผ่นเลยไม่อยู่ในเน็ตบุ๊คอีกต่อไป

สเป็คตัวเครื่องคร่าวๆมีดังนี้

ความเร็ว 630Mhz แต่ขยายได้ถึง 900 MHz ถ้ารู้วิธี

ram 512 Mb น้อยไปหน่อยแต่พอเอาไว้เล่นเน็ตได้

ตัวเก็บข้อมูล 4Gb โซลิทสเตท  ถือว่าน้อยมาก  แต่มันก็เป็นแค่เครื่องคอมพิวเตอร์สำหรับเล่นเน็ท  มันก็ทำงานได้จริงอยู่แล้ว

มีไวเลสแลน  มีช่องต่อสายแลน  มีช่องเสียบ usb3 ช่อง มีช่องเสียบ SD card มีช่องเสียงไมโครโฟน ช่องเสียบหูฟัง

เน็ตบุ๊คเครื่องนี้สามารถใช้เล่นอินเทอเน็ตได้จริง อ่านข่าวสารได้  อ่านทวิตเตอร์ได้  เปิดเอกสารต่างๆเพื่อดู หรือ แก้ไขได้  แต่จะให้นั่งทำงานหนักๆ  ทำงานนานๆก็คงจะลำบากมาก  เพราะหน้าจอเล็ก คีย์บอร์ดเล็ก  ผมใช้งานมันมาสองปีแล้ว  ทุกวันนี้ยังทำงานได้ดีอยู่  บางทีก็ลงโอเอสเป็น linux บางทีก็ลง windows

จุดเด่นของเน็ตบุ๊ครุ่นนี้คือใช้ตัวเก็บข้อมูลแบบโซลิทสเตท  ก็คือไม่ใช้ฮาร์ดดิสก์  มันแปลว่ามันน่าจะอายุยืนมากๆ  ถ้าฟ้าไม่ผ่า ถ้าไม่ทำตก  มันน่าจะอยู่ทนเกินสิบปี  แต่ก็มีบางคนที่โชคร้ายเมนบอร์ดเสียก็มี  ผมใช้งานเครื่องนี้มาสองปีกว่าแล้ว  รู้สึกว่ามันเป็นเน็ตบุ๊คที่ไม่ต้องดูแลรักษามาก  จะเรียกว่าทนก็ได้  แต่ก็อาจจะเป็นเพราะมันไม่เคยต้องทำงานหนักมันก็เลยยังไม่เสีย

ผมเคยเห็นร้านขายเครื่องเสียงบางร้านเอาเน็ตบุ๊คตัวนี้ตั้งโชว์เพื่อเปิดเพลงเล่นกับลำโพงที่เขาขายอยู่  ผมเข้าใจเจตนาของทางร้านเลย  เพราะว่ามันแทบจะไม่มีอะไรเสียหายเลย  เน็ตบุ๊คมีระบบกู้ข้อมูลคืนได้ค่อนข้างเร็ว  และมันก็เสียยาก  ถ้าโปรแกรมรวนขึ้นมาก็ Restore ระบบทั้งหมดทับลงไป  มันก็ทำงานได้เหมือนเดิม  มันเป็นอุปกรณ์ประเภท set it and forget it คือ เรียนรู้และปรับแต่งให้มันทำงานได้  แล้วก็ปล่อยมันไว้อย่างนั้น ตลอดไป  และบางร้านเอาไปต่อกับเครื่องอ่านบาร์โค้ด  เพื่อให้พนักงานใช้คิดเงิน  เพราะว่าโอกาสเครื่องเสียมันต่ำมากเมื่อเทียบกับโน้ตบุ๊คทั่วไป

ตอนเปิดตัวใหม่ๆ เครื่องนี้ราคา 12900 บาท  ผมยุเพื่อนซื้อไปแล้วตัวหนึ่ง  ราคาสุดท้ายก่อนจะหมดไปจากตลาดอยู่ที่ 5900 บาท  และราคามือสองสำหรับเครื่องที่ยังใช้งานได้อยู่ที่ประมาณ 4000 บาท

ติดรถเข็นใน honda freed

ในเว็บ thaifreed.com มีการจัดมีทติ้งกันเมื่อวันที่ 26 กันยายน 2553 ไฮไลท์ในงานนี้มีสมาชิกท่านหนึ่งติดเก้าอี้คนป่วยระบบไฮดรอลิกค์มาด้วย  งานนี้เพื่อนร่วมเว็บต่างก็ชื่นใจที่เห็นการทำงานของระบบอำนวยความสะดวกตัวนี้  อ็อพชั่นติดเก้าอี้ไฮดรอลิกค์ทำให้ honda freed กลายเป็นรถอเนกประสงค์ที่มีความคุ้มค่าเพิ่มยิ่งขึ้น  เก้าอี้ชุดนี้ทำให้การเดินทางของคนที่เดินไม่ได้สามารถใช้ชีวิตร่วมกับสมาชิกในครอบครัวได้ไกลจากเตียงนอนมากยิ่งขึ้น  วันหนึ่งผมคงจะหามาติดเช่นกัน

มีคนอธิบายไว้ว่า  รถยนต์ที่มีระบบเก้าอี้ไฮดรอลิกค์แบบนี้เคยต้องจ่ายเงินด้วยค่าตัวระดับสามล้าน  เพราะมันอยู่ในรถตู้คันละสามล้านนั่นเอง  อาจจะมีคนบอกว่ารถตู้คันเล็กก็ติดได้  ผมก็ชื่อว่าติดได้  แต่ยังไม่เคยเห็น  รถ freed คันนี้เป็นรถคันเล็กที่สุดที่ผมเคยเห็นที่เคยมีการติดตั้งเก้าอี้ไฮดรอลิกค์  ราคาเก้าอี้สองแสน  ราคารถ freed ประมาณหนึ่งล้าน  รวมแล้วล้านสองแสน  รถกระทัดรัด ประหยัดน้ำมัน  ขับง่าย จอดสะดวก  พาคนป่วยออกจากบ้านได้  ไม่เป็นภาระการเดินทาง  สังขารไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป  ไม่ใช่แค่ขับเที่ยวหรอก  แต่การเดินทางพาไปโรงพยาบาล  การพาไปกินข้าวนอกบ้าน  การทำกิจกรรมร่วมกัน  มันสัมผัสความรู้สึกดีๆได้ชัดเจน

การแสดงออกถึงความใส่ใจคนสูงอายุในบ้านที่แลกมาด้วยเงินล้านสองแสนแบบผ่อนได้สี่ปีเป็นอย่างน้อย  มันคุ้มค่ามาก  ผมคิดไม่ออกว่าผมอยากให้ honda freed มีอะไรเพิ่มเติมไปกว่านี้  เพราะเท่าที่มีอยู่มันก็ทำให้ผมรู้สึกพอใจแล้ว

อุปกรณ์เก่าเก็บไม่ค่อยได้ใช้

ตั้งแต่หัดถ่ายรูปมา ตอนนี้ก็ครบสิบปีแล้ว มีของที่ทะยอยซื้อหลายชิ้น บางอย่างก็พังไปแล้ว บางอย่างมีขายออกไปบ้าง ตอนนี้ก็เลยเอามาถ่ายภาพเก็บเป็นข้อมูลไว้ เพราะตั้งใจจะทะยอยขายออกไปเหมือนกัน


ตะแกรงล้างฟิล์ม และแท้งค์ล้างฟิล์ม เป็นของคู่บุญกับงานขาวดำ ใครจะถ่ายภาพขาวดำต้องทำเอง ต้องล้างเอง อุปกรณ์พวกนี้เป็นของจำเป็นไม่แพ้กล้องและเลนส์


เลนส์ sigma 24-70 f2.8 เป็นเลนส์ซูมระยะ 24-70 รุ่นแรกของโลก ออกมาก่อนยี่ห้อหลักเสียอีก เป็นเลนส์ที่ได้มือสองมา เคยซ่อมไปครั้งหนึ่ง ถึงทุกวันนี้มันทำเงินได้เกินค่าตัวไปหลายสิบเท่าแล้ว มันเป็นกำลังหลักของการรับงานของผมในสมััยที่ยังใช้ฟิล์มถ่ายภาพอยู่ พอเป็นยุคดิจิทัลก็ไม่ค่อยได้ใช้อีกเลย


เลนส์ซูม 35-70 f3.3-4.5 nikon เป็นเลนส์ซูมตัวเล็กคุณภาพสูง เลนส์ตัวนี้ซื้อมาพร้อมกล้อง สมัยน้องชายเริ่มเรียนถ่ายภาพ ผมพาน้องไปซื้อที่มาบุญครองเอง ตอนซื้อ กล้องหมื่นสอง เลนส์ตัวนี้หกพัน ยุคนั้นไม่มีกล้องดิจิทัล ผ่านมาถึงวันนี้ กล้องฟิล์มแทบจะเลิกใช้ไปแล้ว ทุกวันนี้ก็จับคู่กับกล้องฟิล์มตัวเดิม นานๆเอาออกมาใช้สักที สเป็คเลนส์ตัวนี้จะมีคล้ายๆกันหลายตัว บางตัวเป็นบอดี้พลาสติกน้ำหนักเบา ตัวที่ผมมีอยู่เป็นเหล็กค่อนข้างหนัก เรียกว่าเป็นของดีก็พอได้แหละ เวลาติดอยู่บนตัวกล้องแล้วก็ดูดีเหมือนกัน


แฟลช vivitar เป็นแฟลชยี่ห้ออิสระ ออกแบบมาให้ใช้กับกล้องได้ทุกยี่ห้อ เป็นแฟลชระบบแมน่วล และมีอ้อโต้สองระดับ เวลาจะใช้ต้องคำนวณระยะทาง ความไว รูรับแสงควบคู่กัน กว่าจะได้ค่าแสงที่พอดีต้องคิดเยอะมาก แต่สมัยใหม่มีแฟลชระบบไฮเทคที่ช่วยให้การใช้แฟลชง่ายกว่าเดิม แต่ก็ยังไม่ได้ระดับแสงที่ต้องการจริงๆเท่ากับระบบแมน่วล การใช้งานแฟลชเป็นเรื่องที่ต้องเรียนรู้ และต้องใช้เวลามากกว่าการหัดใช้กล้องเสียอีก ไม่ว่าจะเป็นแฟลชกระจอกระดับไหนก็ตาม ทักษะการใช้แฟลชเป็นเรื่องที่ต้องฝึกฝน หนังสือเกี่ยวกับการใช้งานแฟลชหายากมาก หนังสือที่ดีที่สุดที่ผมเคยอ่านตอนนี้ไม่สามารถหาซื้อได้แล้ว จากวันที่เริ่มเรียนรู้แฟลชจนผ่านมาสิบปี ไม่มีหนังสือเกี่ยวกับแฟลชที่ดีให้เห็นอีกเลย ไม่รู้ว่าเพราะไม่มีคนคิดจะเขียน หรือ เป็นเพราะไม่มีใครอยากอ่านเลยไม่มีใครอยากจะเขียน


เลนส์ nikon 135 f2.8 เป็นเลนส์แมน่วลเทเลโฟโต้ราคาประหยัด คุณภาพดีมาก ได้มือสองมาจากร้านแถวเจริญกรุง ใช้กับฟิล์มได้สนุกมาก อารมณ์ถ่ายภาพด้วยฟิล์มเป็นอารมณ์ที่หาทดแทนไม่ได้จากระบบดิจิทัล การได้เลนส์และฟิล์มดีๆจะทำให้ภาพออกมาดีเลิศเลอน่าหลงไหล เลนส์ตัวนี้ให้ภาพสวยที่สุดเท่าที่กล้องแมน่วลจะมีให้ได้ ของที่ดีกว่านี้ก็มี แต่ว่าราคามันก็จะสูงขึ้นมาหลายเท่า ถ้าจำกัดงบ เลนสตัวนี้จะกลายเป็นเดอะเบสท์ และด้วยขนาดที่ไม่ใหญ่โต สามารถใช้กระเป๋ากล้องสำหรับ SLR แบบที่เล็กที่สุดได้ไม่มีปัญหา

ดิจิทัลปริ๊นท์ ตอนที่ 5

พักนี้มีงานพิมพ์ดิจิทัลด่วนหลายตัว ซึ่งส่วนใหญ่ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ตอนที่รู้ว่าต้องพิมพ์งานเยอะๆก็เช็คหมึก เช็คอุปกรณ์สิ้นเปลืองต่างๆว่าพอสำหรับทำงานทั้งหมดหรือไม่ พอรู้ว่าบางอย่างอาจไม่พอก็สั่งของมาตุนไว้ เตรียมไว้พร้อมทุกอย่าง สุดท้าย ก็มาตกม้าตายตรงชิ้นส่วนที่เป็นถังขยะ มันคือหน่วย wraste toner เป็นกล่องใส่หมึกเสีย การพิมพ์ทุกแผ่นจะมีผงหมึกเล็กๆน้อยๆ ปลิวกระจายออกมา และผลหมึกเหล่านั้นจะถูกรวบรวมทิ้งลงกล่อง กล่องใส่หมึกสำหรับทิ้งนี้ถ้าเต็มเครื่องจะไม่ทำงานต่อ และมันก็เต็มในวันที่มีงานเร่งๆ และเต็มในวันเสาร์ เครื่องหยุดทำงานตอนเกือบเย็นวันเสาร์ ผมโทรสั่งของด่วน โกดังกำลังจะปิด ผมต้องวานเพื่อนที่มีบ้านอยู่แถวนั้นช่วยแวะไปรับอะไหล่มาเก็บไว้ก่อน แล้วผมค่อยขับรถไปรับต่อจากเพื่อนอีกทีหนึ่ง ไม่งั้นไม่ทัน แล้วสุดท้ายก็ทัน เลี้ยงข้าวเพื่อนไปมื้อนึง

ยา tarceva สำหรับผู้ป่วยมะเร็ง

พ่อได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งเดือนมีนาคม และก็เริ่มทำคีโมมาสี่ครั้ง หยุดการรักษาไปสามเดือน และกลับมาตรวจใหม่ ก็พบว่ามีอาการลุกลามเพิ่มขึ้น หมอเปลี่ยนยาจากการให้เคมีบำบัดด้วยยา avastin คอร์สละแสนสอง เป็นการกินยาแทน

ยาที่กินชื่อว่า tarceva เป็นยาเม็ด กินวันละ 1 ครั้ง เม็ดละสามพันบาท มีโปรโมชั่นจากบริษัททำให้เฉลี่ยเหลือเม็ดละสองพันบาท หกเดือนนับจากนี้ต้องกินวันละ 1 เม็ด หลังจากนั้นค่อยว่ากันอีกที

ยา avastin ซื้อจากเซลส์ชื่อปุ้ม โทร 0866044487
ยา tarceva ซื้อจากเซลส์ชื่อน้ำส้ม โทร 0856764321 และ 0847516898

เครื่องเข้าเล่ม ไสกาว ของเล่นคนชอบทำหนังสือ

การทำหนังสือจะต้องมีการเย็บเล่ม รูปแบบการเย็บเล่มแบบธรรมดาที่สุดคือการเย็บด้วยแม็กซ์ ซึ่งบางคนเรียกว่าเย็บมุงหลังคา อีกรูปแบบหนึ่งที่นิตยสารต่างๆนิยมใช้กันก็คือการไสกาว

การไสกาวเป็นการทำงานที่ต้องอาศัยเครื่องมือเยอะกว่าเครื่องเย็บด้วยแม็กซ์ และเครื่องมือก็ค่อนข้างแพง ถ้าจะทำหนังสือสักพันเล่มก็คงจะต้องลงทุนเครื่องเข้าเล่มไสกาวสักแสนกว่าบาท มันถึงจะทำงานได้ทัน แต่ถ้าจะทำแค่ไม่กี่เล่ม จำพวกหนังสือออนดีมาน หรือโฟโต้บุ๊ค หรือสมุดโน้ตจำนวนน้อยๆ การลงทุนระดับแสนกว่าบาทก็ดูจะเป็นเรื่องที่หนักเกินไป

แต่เดี๋ยวนี้ถือว่าการการทำเล่มไสกาวเป็นเรื่องที่ไม่ยาก และไม่แพงเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เพราะมีเครื่องมือราคาย่อมเยาออกมาให้ใช้ มันก็คือเครื่องตัวนี้แหละ สามารถทำเล่มไสกาวได้ทีละหนึ่งเล่ม ใช้เวลาต่อเล่มประมาณ 1-3 นาที ขึ้นอยู่กับความชำนาญของผู้ใช้งาน

การมีเครื่องนี้ใช้งานร่วมกับเครื่องพิมพ์ดิจิทัลทำให้สามารถรับงานหนังสือได้จริง สามารถทำงานจบได้ในที่เดียว ไม่ต้องไปส่งให้ร้านอื่นทำต่อ สามารถควบคุมคุณภาพได้ เร่งเวลาได้ แม้จะช้ากว่าโรงงานเข้าเล่มจริงๆ แต่ถ้าแข่งกันทำ 10 เล่ม ผมว่าเครื่องนี้เสร็จก่อน และงานเรียบร้อยกว่า

ดิจิทัลปริ๊นท์ ตอนที่ 4 ของเสียอีกแล้ว

เหตุการณ์เกิดเมื่อหลายวันก่อน แต่เพิ่งจะว่างที่จะมาโพสท์บันทึกเก็บไว้ เรื่องเป็นดังนี้

หลังจากที่เครื่องพิมพ์ดิจิทัลฟูจิซีร็อกซ์ x700 ตัวนี้ถูกซ่อมต่อเนื่องอยู่หลายสัปดาห์ พอทำงานได้ราบลื่นสักพักใหญ่ๆ ก็เกิดปัญหาแปลกประหลาดขึ้น คือมีการดูดกระดาษเข้าไปในเครื่องแบบเป็นปึก แล้วกระดาษก็ไปติดคาอยู่ในหน่วยทำความร้อน ตัวทำความร้อนมีชื่อเรียกว่าอะไรผมก็จำไม่ได้

ผมแปลกใจว่าทำไมมันถึงดูดกระดาษทีละตั้งหลายใบ มีลูกกลิ้งตัวไหนที่เสียหรือเปล่าก็ไม่รู้ และที่สำคัญ มันทำให้ตัวทำความร้อนใช้งานต่อไม่ได้ เครื่องทำงานไม่ได้ ผมยกออกมาวางนอกเครื่องแล้วพยายามดึงกระดาษออก แต่ดึงไม่ออก เลยต้องถอดวางไว้อย่างนี้ จากนั้นก็โทรเข้าหาศูนย์เพื่อแจ้งซ่อม และเบิกอะไหล่ ผมโทรแจ้งเหตุประมาณช่วงบ่ายวันที่ 2 กันยายน 2553 หลังจากนั้นอีก 1 ชั่วโมงช่างก็โทรเข้ามาเพื่อบอกกับผมว่า อะไหล่ชิ้นนี้ยังเบิกไม่ได้ เพราะของยังไม่พร้อมให้เบิก อยู่ในขั้นตอนขนส่งอยู่ ยังมาไม่ถึงโกดัง ผมก็รับทราบ สรุปว่าอะไหล่ไม่สามารถมาส่งผมได้ในวันรุ่งขึ้นแน่นอน ช่างบอกว่าน่าจะประมาณวันจันทร์ หรือ อังคาร จึงจะได้ ผมไม่มีทางเลือกอื่น

ผมยังโชคดีที่มีสต๊อกตัวทำความร้อนตัวใหม่อยู่กับตัว 1 ชิ้น แต่ผมก็รู้สึกไม่ดีเลย ที่ผมเบิกอะไหล่ไม่ได้ ถ้าผมไม่สต๊อกของเอาไว้ก่อน เครื่องก็ทำงานไม่ได้ต้องรอถึงวันจันทร์เชียวนะ และวันนี้ วันพฤหัส ผ่านมาแล้วหกวัน ผมยังไม่ได้อะไหล่ชิ้นที่ขอเบิกเลย

เมื่อวันอังคาร มีอาการเครื่องทำกระดาษยับ ผมก็เลยโทรเรียกช่างอีกครั้ง คราวนี้่ช่างมาเพื่อเปลี่ยนลูกกลิ้งบางตัว ช่างบอกว่า ลูกกลิ้งหมดอายุ มันก็เลยทำกระดาษยับ ก็ได้เรียนรู้อีกหนึ่งเรื่องว่าลูกกลิ้งต้องเปลี่ยนตามอายุ ซ่อมเสร็จช่างก็ช่วยซ่อมตัวทำความร้อนที่กระดาษติดคาอยู่ ถอดน็อตบางตัวแล้วก็เอากระดาษออก แล้วก็ให้ผมเก็บไว้ใช้สำรอง ตอนนี้ผมมีตัวจริง มีตัวสำรองที่สภาพยังไม่รู้ว่าดีหรือไม่ดี เพราะเพิ่งแงะกระดาษออกมา ส่วนตัวอะไหล่ที่เบิกก็ยังไม่มีการส่งมา

บางทีทางศูนย์อาจจะถือว่ามีช่างมาแงะกระดาษซ่อมให้ผมแล้ว เลยไม่ได้ส่งอะไหล่มาให้ผมก็ได้ เบิกของแล้วไม่ได้ของ เป็นเรื่องแย่ๆอีกเรื่องหนึ่งที่ควรแก้ไข จะไม่ส่งอะไหล่ก็น่าจะแจ้งให้รับทราบ จะช้าจะต้องรอก็น่าจะแจ้งให้ทราบ เพราะมันผ่านวันจันทร์ที่นัดไปแล้ว

ช่วงนี้ผมยังทำงานพิมพ์ดิจิทัลได้อยู่ แต่ก็ไม่ค่อยมั่นใจในสภาพเครื่องซักเท่าไหร่ เพราะอยู่ดีๆกระดาษก็ติดเป็นปึกๆ ผมมีงานพิมพ์ดิจิทัลอีกเกือบหมื่นใบพิมพ์ในช่วงสองสามวันนี้ ผมลุ้นเหลือเกินว่ามันจะเกิดปัญหาหรือไม่ งานดิจิทัลที่ช้าไม่เป็นไปตามนัด มันเสียชื่อเสียง เสียเครดิต เสียลูกค้า แต่เรื่องพวกนี้ ฟูจิซีร็อกซือาจจะไม่ได้คิด หรือไม่ก็ ลืมที่จะใส่ใจ

ferrari califonia เปิดหลังคา

หลังจากที่ขับได้นิดหน่อย  ก็ลองเปิดหลังคาเล่นๆ  ให้เพื่อนถ่ายวิดีโอให้

ส่วนอันนี้เป็นตอนปิด

ferrari รถสวยภาค 2

มีโอกาสได้ขับรถระดับหรูสุดๆ ก็ต้องถ่ายรูปเก็บไว้หน่อย กับ ferrari รุ่น califonia หลังจากขับไปหลายชั่วโมงก็ทำให้เข้าใจว่ารถซุปเปอร์คาร์มันเป็นยังไง

บนถนนที่ดีพอ ช่องวางบนถนนตรงไหนที่ดูแล้วมันน่าจะไปได้ ก็กดปลายเท้านิดหน่อย มันก็ไปอยู่ตรงนั้นแล้ว เป็นการเคลื่อนที่แบบที่ไม่ต้องพยายามเลย พละกำลังเหลือเฟือ นึกถึงไมเคิล โอเวนตอนอายุ 17 แค่เปิดบอลไปที่ว่างใกล้ๆหน้าประตู แล้วเจ้าหนูตัวจี๊ดก็วิ่งไปโผล่ที่ตรงนั้น แล้วก็ซัดเข้าไป

คันนี้เป็นรถเปิดประทุน ใช้เวลาเปิดจนสุดไม่กี่วินาที มันเท่ห์สุดๆในตอนที่มันกำลังแปลงร่างนี่แหละ

สตาร์ทเครื่องยนต์ด้วยปุ่มกด เปลี่ยนเกียร์ด้วยแผ่นด้านหลังพวงมาลัย สะกิดด้านซ้ายลงเกียร์ต่ำ สะกิดด้านขวาขึ้นเกียร์สูง มันเหมือนเล่นเกมส์เลย

รถสวย

เฟอรารี่ สีแดง คันนี้ยี่สิบแปดล้าน ถ้าเก็บเงินวันละหมื่นบาท ต้องใช้เวลาสองพันแปดร้อยวัน หรือประมาณแปดปีถึงจะซื้อได้ ซึ่งคงหมายความว่า การหยอดกระปุกอย่างสม่ำเสมอก็ยังไม่ใช่วิธีการที่จะได้มา

ไม่รู้มันสวยยังไงถึงเป็นที่ใฝ่ฝันนัก เสียงเครื่องดังมากจริงๆ ถ้าหลับตาฟังคงคิดว่าที่บ้านอยู่ติดคลอง เรือหางยาววิ่งผ่านแน่ๆเลย

เติมน้ำมันได้เฉพาะเบนซิน 95 เท่านั้น แก๊สโซฮอลล์ห้ามเด็ดขาด แล้วจะไปหาเติมได้ที่ไหน ใช้ในกรุงเทพฯก็ยากแล้ว ถ้าไปต่างจังหวัดจะไปหาที่เติมได้ไหมหนอ? บ่นไปงั้นแหละ ถ้าให้ใช้ฟรีแล้วเติมน้ำมันเองก็เอา