ไปพัก รีสอร์ท เฌอ ที่ชะอำ กินเค้กบ้านใกล้วัง ที่หัวหิน

ทริปนี้เป็นทริปเร่งด่วนและไม่ได้วางแผนมากนัก เป็นวอยเชอร์ที่แฟนผมเคยซื้อไว้แล้วเมื่อหลายเดือนก่อน และหลังจากเดือนนี้จนถึงวันหมดอายุ คงไม่ว่างไปกันอีกแล้ว เลยต้องรีบใช้สิทธิ์เพื่อไม่ให้เสียเปล่า

เดินทางด้วยรถยนต์คันโปรด Honda FREED รถครอบครัวนั่งได้เยอะ แต่ไปกันสองคน เลยเอาตุ๊กตาหมีติดไปด้วย

ออกเดินทางจากกรุงเทพ 14.30 แวะเติมน้ำมัน E20 เต็มถัง เพื่อทดสอบอัตราสิ้นเปลืองด้วยว่ารถคันนี้กินน้ำมันขนาดไหน เดินทางใช้เวลาไม่นาน สภาพการจราจรค่อนข้างโล่ง ไปถึงที่พักประมาณ 16.30 น. จอดรถ เช็คอิน แล้วก็ถ่ายภาพด้านหน้ากันก่อน เนื่องจากเห็นสภาพท้องฟ้าแล้วสีสวยดี แบบนี้ถ่ายง่าย วัดแสงพอดีฟ้าก็สวยแล้ว

ล็อบบี้ที่นี่สวยมาก สามารถใช้ถ่ายรูปได้ดี โทนสีออกกลางถึงเข้ม ถ่ายภาพยังไงก็แทบจะไม่เสีย ถ้าไม่ย้อนแสงได้ภาพที่ค่อนข้างดีแน่นอน ภาพเหล่านี้ถ่ายด้วยมือถือ samsung รุ่น monte ซึ่งเป็นมือถือที่ถ่ายภาพได้ 3 ล้านพิกเซล ไม่ออโต้โฟกัส ระยะชัดของกล้องมันออกแบบไว้ให้ชัดตั้งแต่ระยะไกลๆจนถึงใกล้ๆประมาณ 1 เมตร เพราะฉะนั้นถ่ายวิวด้วยมือถือตัวนี้ค่อยข้างไว้ใจได้ แถมมี GPS แนบไปกับภาพถ่ายได้ด้วย เวลาเปิดดูในคอมพิวเตอร์จะสามารถดูแผนที่ได้ด้วย

เฌอรีสอร์ท เป็นตึกไม่เล็กไม่ใหญ่ ออกแบบได้ทันสมัย ใช้พื้นที่ได้คุ้มค่าและไม่รกตา ทางเดินด้านข้างก็ยังดูดี ผมชอบมองภาพทางเดินมากว่าภาพด้านหน้าเสียอีก รั้วเป็นแผ่นไม้เรียงตัวกันแทบจะชิดจนบังสายตาได้ แต่ก็ยังมีช่องว่างเล็กๆไว้ให้ระบายความร้อนไม่ให้มันสะสมอยู่ในตึก

เก็บของเข้าที่พักเสร็จแล้วก็ไปหาของกิน ขับรถไปหัวหิน มุ่งหน้าไปที่ร้านน้องเปิ้ล เจตนาจะไปกินที่ร้านข้างๆน้องเปิ้ล แต่หาไม่เจอ เจอน้องเปิ้ลอย่างเดียว ร้านข้างเคียงที่เคยกินก็หายไปไหนไม่รู้ เลยเดินเลือกร้านค้าอยู่สักพัก ไปเจอร้านที่เคยกินอีกร้านหนึ่งคือร้าน ครัวบ้านครู นั่งปุ๊ป สั่งของ แล้วก็ดูวิว

กลับมาถึงที่พักอีกครั้งก็มืดแล้ว ทางรีสอร์ทเปิดไฟสวยดี ล็อบบี้ที่ใช้เพดานเป็นลายฉลุก็ได้โชว์ความสวยงาม ไฟเพดานฝังไว้ด้านข้างตลอดแนวเพดาน ความสว่างกำลังสวยสบายตา เป็นการออกแบบที่ดูดี แต่ก็ไม่รู้ว่าลูกค้าคนอื่่นๆจะมีเวลามาเดินเล่นที่ล็อบบี้ไหม รีสอร์ทสไตล์นี้เหมือนกับว่าจะออกแบบให้ลูกค้าใช้ชีวิตอยู่ในห้องเสียมากกว่า ถ้าอากาศไม่ร้อนมันคงจะน่านั่งคุยกัน ถ้ามีอาหารเครื่องดื่มบริการ หรือมีบอร์ด มีโต๊ะคอมพิวเตอร์ มันใช้ประชุมได้เลย

จบภาพชุดที่ถ่ายด้วยมือถือไปแล้วจะมาต่อด้วยภาพที่ถ่ายด้วยกล้อง DSLR บ้าง โดยใช้ Eos5D และเลนส์ Tanron 28-75 F2.8 เป็นหลัก เพราะแบกมาตัวเดียว

ทางเดินด้านข้างถ่ายด้วยกล้องตัวใหญ่ ลักษณะสีจะอิ่มแน่นกว่า

บางภาพจะเลือกถ่ายมุมเดิมเพื่อเปรียบเทียบกับมือถือด้วย

ตอนเช้าตื่นก่อนแขกคนอื่น หกโมงกว่าก็ออกมาเดิน หน้าร้อนแบบนี้แดดออกเร็วมาก ได้มุมถ่ายภาพหลายภาพ ไม่มีแขกคนอื่นๆมาให้รกสายตา ไปดูบริเวณริมหาด ซึ่งเป็นจุดนั่งชมวิวและกินข้าว

ที่นั่งริมทะเลเป็นโซฟ้าตัวใหญ่ๆ คงเอาไว้นอนดูกันสองคน ถ้าพ้นจากโซฟาก็เป็นน้ำทะเลแล้ว น้ำขึ้นก็ดีไป น้ำลงแล้วน่าหวาดเสียว ตกลงไปขาหัก คอหักแน่ๆ

บริเวณริมหาดนี้จะมีสระน้ำด้วย เป็นอ่างน้ำวนอยู่ภายในสระ ใครอยากจะแช่น้ำในสระก็ทำได้ถ้าไม่อายสายตาคนกินข้าวคนอื่นๆ แต่ถ้ามาแต่เช้ามืด แขกคนอื่นยังไม่ตื่นก็พอไหว

พอหิวก็เริ่มหาของกิน ที่นี่ให้อาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ ที่โต๊ะจะจัดอุปกรณ์การกินไว้แล้ว ตักของมากินได้ตามอัธยาศัย เฟอร์นิเจอร์ที่เลือกใช้ก็ดูดี ภาพร้านอาหารเป็นมุมถ่ายภาพที่ดีเหมือนกัน

ของกินก็จัดไว้น่ากิน ดูดี ถ่ายรูปได้สวยเหมือนกัน

กินเสร็จก็แวะกลับมาอาบน้ำ เก็บของที่ห้องพัก ระเบียงหน้าห้องพักก็เป็นมุมที่ออกแบบน่านั่งใช้ได้ มีโต๊ะ เก้าอี้ และโซฟาเพียงพอให้นั่งคุยกันยาวๆ ถ้ามากันหลายคน มีเรื่องคุยกันเยอะๆ น่าจะสนุกมาก

ก่อนกลับ ขับรถไปที่หัวหินอีกครั้ง ไปกินมื้อเที่ยงที่ร้านเจ๊กแป๊ะ และกินเค้กที่ร้านบ้านใกล้วัง
ที่ร้านเค้กแห่งนี้ค่อนข้างดัง มีหลายคนพูดถึง เลยแวะมาชิมให้รู้ว่าเป็นยังไง
สั่งเค้กมาตามภาพ จานนี้ 90 บาท ราคาแพงระดับโรงแรม แต่ปริมาณค่อนข้างน้อย แบบนี้ถือว่าแพง ที่หลายคนพูดถึงคงเป็นเรื่องของบรรยากาศของร้านเสียมากกว่า

ด้วยความที่เป็นร้านริมทะเล และตกแต่งได้น่ารัก คงเป็นจุดเด่นของร้านนี้มากกว่าคุณภาพของเค้ก

ขากลับถึงกรุงเทพ แวะเติมน้ำมันก่อนถึงบ้าน เติมที่ปั๊มเดิม E20 เช่นเดิม
ระยะทางที่วิ่ง 448 กิโลเมตร เติมน้ำมันเข้าไป 35.24 ลิตร หารออกมาแล้วเท่ากับ 12.7 กิโลเมตรต่อลิตร แต่หน้าปัดของรถบอกอัตราสิ้นเปลืองไว้ 14 กิโลเมตรต่อลิตร สูงกว่าความเป็นจริง ใครจะอ้างอิงตัวเลขในรถต้องระวังด้วยเพราะมันผิดพลาดเยอะเกินไป นับว่าการทดสอบครั้งนี้เป็นตัวเลขการสิ้นเปลืองที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะรถคันเก่าอย่างโตโยต้า โคโลร่ามันทำอัตราสิ้นเปลืองไว้ได้ประมาณ 10-12 กิโลเมตรต่อลิตรอยู่แล้วด้วยน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 95 คันใหม่อย่าง FREED ผมคาดหวังว่าจะได้สัก 13-14 กิโลเมตรต่อลิตร ไว้มีโอกาสยาวๆค่อยๆวัดกันอีกทีด้วยน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 95 เพื่อจะได้เปรียบเทียบกันได้โดยตรง

ไอเดียการจัดไฟหน้างานแต่งงาน

เวลาไปงานแต่งงานมักจะไปเจอซุ้มถ่ายภาพหน้างานที่ดูไม่ค่อยมีชีวิตชีวา ถ่ายภาพกันออกมาแล้วมันดูน่าเบื่อ น่าจะมีการจัดไฟแบบนี้บ้าง เผื่อจะได้บรรยากาศที่ดีกว่า ได้ภาพที่น่าสนใจกว่า

Photo information
Camera: Canon
Model: Canon EOS 350D DIGITAL
ISO: 400
Exposure: 1/100 sec
Aperture: 1.8
Focal Length: 85mm

การถ่ายภาพในสถานะการแบบนี้คงต้องเป็นสป็อตไลท์ และใช้เลนส์สว่างๆ มีระยะยืนให้ช่างภาพได้ถ่ายสักห้าเมตร จะเป็นไปได้ไหมกับงานแต่งงานทั่วๆไป จำนวนคนในภาพประมาณ 5 ไม่เกิน 6 คนก็จะสวย ถ้าจะถ่ายภาพหมู่ ก็ต้องเปลี่ยนเลนส์ เปลี่ยนองค์ประกอบ ไม่น่ายาก ใครอยากถ่ายภาพหมู่ก็ให้ย้ายไปถ่ายมุมอื่น ภาพหมู่ถ่ายตรงไหนก็ได้ เพราะฉากหลังไม่สวยอยู่แล้ว

จากที่ยืนระยะเดิม เดินให้เข้าใกล้ไปอีกหน่อย ภาพจะใหญ่ขึ้น เข้าไปจนพอถ่ายภาพเดี่ยวหรือคู่ ระยะเบลอด้านหลังก็เยอะขึ้น จุดไฟก็จะบวมๆเบลอๆเป็นเม็ดกลมๆที่ใหญ่ขึ้น สวยดี

พาพ่อแม่เปิดหูเปิดตา

ในวันอาทิตย์วันหนึ่งของปี ผมและฮอนด้าฟรีดทำหน้าที่พาคนในครอบครัวไปนั่งรถเล่นไกลๆหน่อย วันนี้เราจะไปกันที่ร้านอาหารสวนทิพย์ซึ่งอยู่ไกลถึงจังหวัดนนทบุรี

ปกติพ่อจะเป็นคนขี้บ่นเวลาต้องเดินทางไกลๆ และชอบเที่ยวคนเดียว แต่ตอนนี้เหตุการณ์เปลี่ยนไปนิดหน่อย ตั้งแต่พ่อเป็นมะเร็ง พ่อก็เปลี่ยนทัศนคติ ยอมนั่งรถไกลขึ้น ยอมให้มีวันครอบครัวบ่อยขึ้น วันนี้เลยวางแผนพามากินไกลถึงนนทบุรี ปกติแค่นั่งรถจากบ้านไปราชดำเนินก็่บ่นแล้ว แม้จะระยะทางเพียงแค่สิบกว่ากิโลก็ตาม ต้องย้อนกลับไปที่เหตุการณ์เมื่อสิบสองปีก่อน วันที่เริ่มทำงานหลังเรียนจบ พาพ่อไปกินร้านอาหารแถวราชดำเนิน วันนั้นก็เป็นวันสุดท้ายที่พาไปกินไกลบ้าน แต่รอบนี้เตรียมตัวอย่างดีเพื่อป้องกันอาการเบื่อและเสียงบ่น

พี่สาวคนรองแวะมาที่บ้านเพื่อสร้างความครึกครื้น หอบกันไปทั้งคันรถ 5 คน รถ FREED ยังเหลือที่นั่งอีก 1 ที่เล็กๆ ข้อดีของ FREED ก็คือทุกคนได้นั่งโดยที่ไม่ต้องเบียดกัน เนื่องจากร้านอยู่ไกล และไม่อยากให้รู้สึกว่าขับรถนานเลยเลือกจะขึ้นทางด่วนไปลงแจ้งวัฒนะ ระหว่างทางเหยียบเต็มที่เลย เร็วแต่ไม่อันตราย รอบเครื่องค่อนข้างสูงจนน้องชายทักว่าจะขับรถเหยียบแบบนี้ไปทำไม เปลืองน้ำมัน ก็เลยตอบไปว่า ไม่เปลืองหลอก ในใจก็ตอบอีกแบบ (อยากจะทำเวลาให้น้อยที่สุดเพราะพ่อจะได้ไม่บ่นไง)

ในเวลาไม่ถึงชั่วโมงก็มาถึงที่ร้าน ร้านอาหารแนวไทยๆ มีห้องแอร์ มีพื้นที่ด้านนอก เลือกนั่งตามใจ พอได้โต๊ะก็สั่งอาหาร พี่สาวเลือกสั่งของแปลกๆที่พ่อไม่เคยกิน ผลก็คือ บ่นว่าอาหารไม่อร่อย กินเสร็จก็เดินเล่นดูสถานที่ ถ่ายรูปเล่น เดินดูสถานที่จนทั่วก็กลับบ้าน

Honda FREED ขับมาแล้ว 1 เดือน

วันนี้ครบรอบ 1 เดือนที่ใช้งาน Honda FREED
มีหลายอย่างที่ยังไม่คุ้น แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญมาก โดยรวมแล้วถือว่าเป็นรถที่น่าใช้
สามารถนั่งได้หลายคนจริงๆ สามารถขนของได้จริง ขึ้นลงสะดวก จอดง่าย
อุปกรณ์อำนวยความสะดวกก็ถือว่าเกือบจะพรั่งพร้อมที่สุด
คงเหลือแต่ GPS เท่านั้นที่ผมยังไม่ได้ไปติดเพิ่ม
แต่ FREED ตัวท็อปก็มีมาให้ตั้งแต่ออกจากโรงงานเลย
คนซื้อรุ่นประหยัดอย่างผมเลยยังต้องรอไปติดเอง

ขับมาได้ 1 เดือนก็สังเกตว่า บางครั้งรถนิ่มหนึบดี บางครั้งรถเด้งกว่าปกติ
มันเป็นๆหายๆ มาพิจารณาดูแล้วก็เพ่ิงจะมั่นใจว่าเป็นเพราะอะไร
ซึ่งจริงๆแล้วมันก็คือ คนนั่งเยอะรถจะนิ่มหนึบ นั่งคนเดียวจะเด้งมากกว่าพอรู้สึกได้
เวลาขับผ่านลูกระนาดในซอย ขับคนเดียว เนินต่างๆมันจะยกรถค่อนข้างเร็ว
แม้ว่าจะค่อยๆขับให้ช้าแล้วก็ตาม แต่พอนั่งกันสี่คน อาการเด้งหายไปทันที
คงเป็นลักษณะของรถนั่งหลายที่นั่งที่เซ็ตช่วงล่างมาให้เหมาะกับน้ำหนักคนหลายๆคนพร้อมกัน
พอนั่งคนเดียวก็เลยไม่นิ่มเท่า

อาการรถโคลงเยอะเวลาเจอเนินเล็กหรือ หลุมบ่อถนนโลกพระจันทร์
คิดว่าเป็นเพราะรถสูง ตำแหน่งคนนั่งอยู่สูงกว่าระดับเบาะในรถเก๋งน่าจะเกือบสองเท่า
ระยะเหวี่ยงของรถที่เกิดขึ้นกับตัวรถอาจจะเท่ากับรถเก๋ง
แต่ระยะเหวี่ยงที่ส่งมาถึงคนขับบน FREED มันมากกว่าบนรถเก๋ง
ตามระยะความสูงของที่นั่ง มันก็เลยรู้สึกเหวี่ยงมากกว่า

เสียงลมเสียงพื้นถนนจะเริ่มได้ยินชัดขึ้นตอนวิ่งประมาณ 80-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ยิ่งถนนแย่ยิ่งได้ยินดังขึ้น และถ้าวิ่งเร็วๆยิ่งดัง ถ้าฟังเพลงในระดับรถวิ่งปกติปรับระดับเสียงให้พอดี
พอวิ่งเร็ว เสียงลมและพื้นดัง จะทำให้ฟังเพลงและวิทยุแทบไม่ได้ยินเลย
ต้องเร่งเสียงมากกว่าปกติเยอะมากมาก อันนี้ก็คงเป็นปกติของรถราคาถูก

ทางเดินในรถเป็นแบบทะลุถึงกันหมดทำให้ไม่รู้จะวางของยังไง
รองเท้าที่ติดอยู่ในรถก็เลยอยู่ไม่เป็นที่ บางวันก็อยู่ที่ด้านหลัง
บางวันก็อยู่ข้างคนขับ ยังหาที่วางที่ถาวรไม่ได้

กระเป๋ากล้องวางท้ายรถ หลังสุด ใช้พนักพิงของที่นั่งแถวสามช่วยบังสายตา
ขาตั้งกล้องก็อยู่ใต้เบาะแถวสามร่วมกับกระเป๋าโน้ตบุ๊คอีกเช่นกัน
เวลาจะหยิบของต้องเปิดประตูหนัง การเปิดประตูหลังต้องจอดห่างจากรถคันหลังพอสมควร
ไม่งั้นเปิดไม่ได้

ที่นั่งแถวสามเป็นที่นั่งที่มีพื้นที่ยืดขาน้อยที่สุด ไม่เหมาะกับคนตัวสูง มีช่องวางแก้วน้ำให้ด้วย
ดูแล้วท่่าทางเป็นรถที่ทำมาให้มีคนนั่งเต็มรถเป็นหลัก เพราะที่วางแก้วมีครบสำหรับทุกที่นั่ง
ผมเอาหนังสือเล่มเล็กไปวางแทนแก้วน้ำ ตั้งใจเอาไว้ให้คนนั่งหลังมีหนังสืออ่านเล่นระหว่างเดินทาง

ถังขยะในรถยังหาที่วางบนพื้นรถไม่ได้ แต่ก็ได้อภินันทนาการมาจากแฟนมาใบหนึ่ง
ลักษณะเป็นกระป๋องพลาสติกขนาดไม่ใหญ่มาก ใหญ่กว่าแก้วน้ำเล็กน้อย
มีจุกพลาสติกสูญญากาศให้ดูดติดกับกระจก ผมเลือกติดไว้ที่กระจกด้านข้างบนประตู
อาศัยก้นกระป๋องวางขอบประตูเพื่อให้มันรับน้ำหนักได้ด้วย ใช้ทิ้งเศษขยะ เศษกระดาษต่างๆ

พื้นที่บนคอนโซลหน้าไม่มีที่ราบเรียบให้วางของได้เลย แม้มันจะมีพื้นที่กว้างแต่มันไม่ได้ทำเป็นช่องวางของ
มันเป็นเพียงที่วางที่ลาดเดียง วางอะไรก็ไหลออกหมด เลยต้องไปหาตาข่ายพลาสติกมาปูรองเอาไว้
เพื่อให้มันมีความหนืด พอจะวางของแล้วไม่ไหลไปไหลมา

พื้นที่วางของที่เตรียมไว้บางของเล็กๆน้อยๆก็พอมีอยู่บ้าง เอาไว้วางเศษเหรียญ ของเล็กๆ
พื้นที่ผิวเป็นพลาสติกเนื้อแข็งของทั้งคอนโซลทำให้เศษเหรียญไถลไปมาได้เวลาเลี้ยงรถแรงๆ
เลยต้องใช้ตาข่ายพลาสติกตัดเป็นชิ้นเล็กมาปูรองพื้นเอาไว้ เพื่อไม่ให้เหรียญไถล

เนื่องจากไม่มีคอนโซลกลาง เพราะเว้นไว้เป็นทางเดิน แต่ผมก็มีของที่อยากจะวางไว้ในรถ
ซึ่งปกติมันจะอยู่ในพื้นที่ตรงกลางนี่แหละ ก็เลยต้องไปหากล่องมาใส่ของแล้ววางไว้ที่ด้านข้างคนขับ
กินพื้นที่ทางเดินตรงกลางไปเลย แต่กล่องที่ใช้มันเป็นกล่องเหล็ก ตั้งใจไว้แล้วว่าจะต้องเป็นกล่องที่ยกไปยกมาได้ง่ายๆ
ถ้าต้องการพื้นที่ทางเดินก็ยกทั้งกล่องออกไปเลยก็ได้

ที่วางของด้านข้างประตูให้ช่องใส่ของมาค่อนข้างกว้างและลึก สามารถใส่ของได้เยอะ
แต่ผมไม่ค่อยนิยมใส่ของในช่องนี้ เพราะรถคันเก่าผมไม่เคยใส่ของที่ช่องด้านข้างนี้เลย
ที่เห็นในภาพว่ามีของ เพราะว่า ยังไม่รู้จะเอาไปวางไว้ที่ไหน ถ้าคิดออก ของในช่องนี้จะไม่ใช่กระดาษพวกนี้เลย

ที่นั่งแถวสองเป็นที่นั่งที่นั่งสบายที่สุด เพราะปรับระยะหน้าหลังได้ค่อนข้างเยอะ
และปรับเบาะเอนหลังได้เยอะเช่นกัน บางทีมันถูกปรับไปแทบจะเป็นเบาะนอนเลย

มองจากด้านหลัง เวลาที่เปิดประตูข้างทั้งสองข้างทิ้งไว้ เหมือนปีกนกเลย
แต่พอดูรวมกับตัวถังทั้งคันแล้ว ดูเหมือนเป็ดไก่เตรียมกระพือปีกมากกว่า

ตอนนี้พบปัญหาคราบดำที่ไหลออกมาจากช่องเปิดประตู มันเป็นคราบน้ำมัน
เคยเช็ดจนสะอาดแล้ว แต่ก็มีให้เห็นอีกทุกครั้งที่มีน้ำไหลผ่าน

ตอนขนของต้องพับเบาะแถวสามขึ้น แล้วก็วางของ

ขายเครื่องเสียงรถยนต์ Kenwood DPX-MP6110U

==============ขายแล้วครับ====================

ขายเครื่องเสียงติดรถยนต์
kenwood dpx-mp6110u ยังไม่เคยใช้ ถอดจากรถ honda freed
ได้รถมาแล้วถอดเปลี่ยนเป็นจอสัมผัส ของติดรถมาเลยเก็บไว้ ใหม่เอื่ยมครับ
ดูราคาเมืองนอกแล้วมันอยู่ที่ประมาณ 400 กว่าเหรียญ ขายครึ่งราคาเลยครับ
ตัวเครื่อง รีโมท ถ่าน 2 ก้อนยังไม่ได้แกะ
ขาย 7000 บาท

วุฒิชัย โทร 0819373130 สะดวกแถว พระรามสอง พระรามสาม ปิ่นเกล้า ฟอร์จูน ที่อื่นแล้วแต่นัด

FM tuner section
Frequency range 200 kHz space
: 87.9 MHz – 107.9 MHz 50 kHz space
: 87.5 MHz – 108.0 MHz Usable sensitivity (S/N = 30dB)
: 9.3dBf (0.8 μV/75 Ω) Quieting Sensitivity (S/N = 50dB)
: 15.2dBf (1.6 μV/75 Ω) Frequency response (±3 dB)
: 30 Hz – 15 kHz Signal to Noise ratio (MONO)
: 70 dB Selectivity (±400 kHz)
: ≥ 80 dB Stereo separation (1 kHz)
: 40 dB
AM tuner section
Frequency range 10 kHz space
: 530 kHz – 1700 kHz 9 kHz space
: 531 kHz – 1611 kHz Usable sensitivity (S/N = 20dB)
: 28 dBμ (25 μV)

CD player section
Laser diode : GaAlAs
Digital filter (D/A) : 8 Times Over Sampling
D/A Converter : 24 Bit
Spindle speed : 500 – 200 rpm (CLV)
Wow & Flutter : Below Measurable Limit
Frequency response (±1 dB) : 10 Hz – 20 kHz
Total harmonic distortion (1 kHz) : 0.008 %
Signal to Noise ratio (1 kHz) : 105 dB
Dynamic range : 93 dB
MP3 decode : Compliant with MPEG-1/2 Audio Layer-3
WMA decode : Compliant with Windows Media Audio
AAC decode : AAC-LC “.m4a” files

USB Interface
USB Standard : USB1.1/ 2.0
Maximum Supply current : 500 mA
File System : FAT16/ 32 MP3 decode
: Compliant with MPEG-1/2 Audio Layer-3 WMA decode
: Compliant with Windows Media Audio AAC decode
: AAC-LC “.m4a” files

Audio section
Maximum output power : 50 W x 4
Full Bandwidth Power (at less than 1% THD) : 22 W x 4
Speaker Impedance :4–8Ω
Tone action Bass : 100 Hz ±8 dB Middle : 1 kHz ±8 dB Treble : 10 kHz ±8 dB
Preout level / Load (CD) : 2500 mV/10 kΩ
Preout impedance : ≤ 600 Ω

Auxiliary input
Frequency response (±1 dB) : 20 Hz – 20 kHz
Input Maximum Voltage : 1200 mV
Input Impedance : 100 kΩ

General
Operating voltage (11 – 16V allowable) : 14.4 V
Current consumption : 10 A
Installation Size (W x H x D) : 178 x 100 x 155 mm
Weight : 1.6 kg

รถยนต์อเนกประสงค์ Honda FREED

ผมได้รถยนต์ฮอนด้าฟรีดมาในวันที่ 23 เมษายน 2553 ถึงวันนี้ ผ่านมาเกือบหนึ่งเดือนแล้ว ผมขับรถคันนี้ไปสามพันกว่ากิโลเมตร ก็เลยขอบันทึกข้อมูลเอาไว้เพื่อให้คนที่สนใจรถคันนี้ได้รับรู้ข้อมุลเพิ่มเติมที่มากกว่าในโบรชัวร์

1 ฮอนด้าฟรีดนั่งได้ 7 ที่นั่งจริงๆ แต่ที่นั่งแถวสามมีที่ยืดขาค่อนข้างน้อย เหมาะกับคนตัวเล็ก
2 แอร์ในรถมีแค่ด้านหน้าคอนโซล ปรับอุณหภูมิอัตโนมัติ ความเย็นแถวแรก(คนขับจะเย็นที่สุด) แถวสองจะอุณหภูมิสูงขึ้น 1 องศา และแถวที่สามจะอุณหภูมิสูงกว่าแถวสองอีก 1 องศา
3 ประตูสไลด์แบบไฟฟ้าจะไม่สามารถใช้งานได้ถ้าเข้าเกียร์ N แต่จะใช้งานได้ปกติที่เกียร์ D และ P
4 ประตูสไลด์จะใช้ไม่ได้ถ้ากดปุ่มเซ็นทรัลล็อคเอาไว้
5 อัตราเร่งของรถดีมากตั้งแต่ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สูงกว่านี้จะเร่ิมอืดอย่างรู้สึกได้
6 ไฟหน้าไม่ค่อยสว่าง
7 ฝาถังน้ำมันถ้าปิดไม่แน่น จะทำให้ระบบประตูไฟฟ้ารวน
8 สามารถเติมน้ำมันได้หลายชนิด แก๊สโซฮอลล์95 แก๊สโซฮอลล์91 E20 สามชนิดนี้เติมมาแล้ว ใช้งานได้ดี
9 อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเฉลี่ยจากการจดด้วยกระดาษจะได้ค่าต่ำกว่าอัตราเฉลี่ยนบนหน้าจอของรถประมาณ 0.5 กิโลเมตรต่อลิตร
10 อัตราสิ้นเปล้ืองน้ำมันอยู่ที่ 11-12 กิโลเมตรต่อลิตร ไม่ว่าจะใช้น้ำมันชนิดใดก็ตามในข้อ 8
11 ผ้ายางรองพื้นในรถยนต์ยังไม่มีชนิดที่พอดีกับ FREED อาศัยใช้รุ่นอื่นไปก่อน พื้นรถส่วนคนขับจะไม่พอดีอย่างเห็นได้ชัด
12 เบรกมือวางไว้ที่ตำแหน่งเท้าซ้าย เวลาเหยียบใช้เบรกมือตอนจอดรถ ตอนขับออกมักจะลืมว่าเบรกมือยังล็อคอยู่
13 พวกมาลัยปรับขึ้นลงได้ แต่ปรับใกล้ไกลไม่ได้ ทำให้ระยะขับไม่ค่อยสบาย ต้องแก้ไขด้วยการปรับเบาะนั่งเข้าออกแทน
14 การปรับเบาะนั่งเข้าออกยังไม่สามารถเจอระยะที่เหมาะกับคนตัวสูง 175cm (ผมเอง) เพราะใกล้ไปเข่าก็ชนคอนโซล ไกลไปก็ต้องเอื้อมมือขับ
15 ที่พักแขนของคนขับทำออกมาได้ระดับที่สบายดี แต่ถ้าใช้งานแล้วจะเลี้ยวรถลำบาก เพราะแขนไม่มีพื้นที่ขยับ ทำให้บางครั้งต้องยกที่วางเก็บก่อนแล้วค่อยเลี้ยว
16 เรื่องเสียงในรถผมเลือกของแถมเป็นแบบจอสัมผัส ไม่มีปุ่มหมุนเพื่อปรับระดับเสียง ทำให้ต้องละสายตาจากการขับรถมาปรับระดับเสียงบ่อยๆ รู้สึกว่าอันตราย ถ้าเลือกได้ ควรใช้เครื่องเสียงรุ่นมีปุ่มหมุนเพื่อปรับระดับเสียงเท่านั้น
17 แอร์ทำความเย็นรุ่นนี้ค่อนข้างฉลาดปรับความเย็นเร็วมากและสามารถทำตัวเป็นฮีตเตอร์ได้ด้วย
18 ไม่มีที่แขวนเสื้อสำหรับแถวสอง ต้องย้ายไปแขวนเสื้อที่ตะขอของที่นั่งแถวสาม ซึ่งเป็นตะขอสำหรับพับเบาะ ถ้าปรับรถเป็นแบบพับเบาะเพื่อขนของจะไม่มีที่แขวนเสื้อเลย
19 ผนังของประตูเป็นพลาสติกผิวหยาบ บางคนอาจจะไม่ชอบเพราะคิดว่ามันกระจอก แต่ผมชอบเพราะที่บ้านมีหมา และหมาชอบเกาะขอบประตู คิดว่าขอบประตูที่เป็นผ้าหรือหนังจะต้องเป็นรอยเล็บข่วนเยอะมาก พลาสติกผิวหยาบของฟรีดเหมาะกับสัตว์เลี้ยง ถ้าเปื้อนน่าจะทำความสะอาดง่าย
20 รถนั่ง 6 คนยังทำความเร็วในระดับ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ดี แต่จะไต่ความเร็วไประดับ 120-140 ค่อนข้างนาน
21 ไม่มีที่เก็บของที่บังสายตา ตอนนี้อาศัยพื้นที่เล็กๆหลังแถวสามเพื่อวางกระเป๋ากล้อง โดยให้พนักพิงของแถวสามปรับเอนเพื่อบังสายตา
22 กระเป๋าโน๊ตบุ๊คผมเลือกวางใต้เบาะแถวสามเพื่อบังสายตา ถ้าเลือกจะวางใต้เบาะจะทำให้ใช้กระเป๋าโน้ตบุ๊คหนาๆไม่ได้
23 ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะวางถังขยะไว้บริเวณไหนของรถ เพราะพื้นรถเป็นแบบเดินทะลุถึงกันหมด ทำให้ไม่อยากวางของอะไรเลยบนพื้นรถ

นึกออกเท่านี้ ถ้านึกอะไรได้เพิ่มเติม จะมาอัพเดทอีกครั้ง

เดินเล่นศึกษาภัณฑ์เอกมัย

มีเหตุให้ต้องไปหาของบางอย่างมาทำงานให้ลูกค้า และจากการตามหาตามห้างแถวบ้านทั้งหมดแล้วก็ไม่พบสิ่งที่ต้องการ ทางลูกค้าก็ใจดีบอกมาว่ามีคนเคยซื้อของชิ้นนี้ได้ที่ศึกษาภัณฑ์เอกมัย ผมก็เลยต้องไปเดินดูสักหน่อย

ตั้งแต่จำความได้ ศึกษาภัณฑ์ที่ผมรู้จักมันจะอยู่บนถนนราชดำเนิน ข้างๆโรงเรียนสตรีวิทยา ผมเคยไปซื้อของอยู่บ้างเมื่อสักสิบปีก่อน และสักยี่สิบปีก่อนผมเคยไปเดินเล่นดูของด้วยความตื่นตาตื่นใจ เพราะมันมีของขายมหาศาล มันเป็นยิ่งกว่าร้านเครื่องเขียน มันเป็นยิ่งกว่าร้านหนังสือ มันมีอุปกรณ์การเรียนการสอนที่ผมไม่เคยเห็นเลยสักอย่าง นั่นอาจจะเป็นเพราะว่าตอนเด็กผมอยู่ในโรงเรียนที่ไม่พัฒนาเรื่องสื่อการเรียนการสอนอย่างตั้งใจทำให้ตื่นเต้นกับศึกษาภัณฑ์

พอลูกค้าบอกว่าอยู่เอกมัย ผมก็เลยค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม และรู้ว่า ศึกษาภัณฑ์ก็มีสาขา และสาขาเอกมัยก็อยู่ติดกับท้องฟ้าจำลอง ซึ่งผมก็ไม่เคยไปท้องฟ้าจำลองเลย จนกระทั่งมีคนเอาท้องฟ้าจำลองไปทำหนังเรื่องรถไฟฟ้ามาหานะเธอจนโด่งดังไปแล้วผมก็ยังไม่ได้ไปเหยียบท้องฟ้าจำลองซะที ใครๆเขาก็ได้ไปตอนเด็กกัน ไปทัศนะศึกษา แต่โรงเรียนที่ผมอยู่ก็ไม่ได้มีทัศนะศึกษาแบบนี้ จะไปตอนโตก็เขินๆ อายเด็ก กลัวไปทำอะไรเปิ่นๆ

ผมตัดสินใจไปศักษาภัณฑ์เอกมัยในวันเสาร์ที่ 16 พฤษภาคม 2553 ซึ่งเป็นวันที่การเมืองไทยเข้าสู่ยุคบรรลัย รัฐบาลทะเลาะกับประชาชนของตัวเอง และทหารถือปืนมาขอคืนพื้นที่ ถนนราชประสงค์ที่เคยเป็นย่านการค้าหรูหราคับคั่งกลายเป็นสมรภูมิ ทุกคนมีสิทธิ์ตายได้ทุกนาที แย่มากๆ แต่ผมก็ต้องมาหาซื้อของในเมือง เลยเลือกขับรถขึ้นทางด่วนมาลงถนนพระรามเก้าแล้วอ้อมไปถนนเอกมัย ตัดไปสู่ถนนสุขุมวิทซึ่งเป็นที่ตั้งท้องฟ้าจำลอง และศึกษาภัณฑ์

ในความทรงจำและระลึกได้ ผมคิดว่าศึกษาภัณฑ์ไม่น่าจะมีที่ให้จอดรถ คงต้องอาศัยจอดที่ร้านค้าอื่นๆข้างเคียงแล้วค่อยเดินไป เลยเลือกจะไปจอดรถที่บ้านไร่กาแฟ จอดเสร็จ รับคูปอง เดินเข้าไปซื้อกาแฟแก้วนึง จ่ายไป 80 บาท ซึ่งเป็นอัตราค่ากาแฟที่แพงเหลือเกิน ข้างๆบ้านไร่กาแฟเป็นโชว์รูมรถยนต์ฮอนด้า ซึ่งเป็นลูกค้าที่สั่งพิมพ์งานกับผมมาหลายปี ผมเก็บเงินเขามาหลายแสนบาทแล้ว รถคันใหม่ของผมก็เป็นรถฮอนด้าแต่ไม่ได้ซื้อกับเขา เพราะผมเคยขอราคาแล้ว เขาไม่ได้ให้ราคาที่ดีกับผมเลย ผมก็เลยไม่ได้อุดหนุนลูกค้าตัวเอง

ได้กาแฟแล้วก็เดินมาข้ามถนน ตรงหน้าร้านบ้านไร่กาแฟเป็นสามแยกไฟแดง ฝั่งตรงข้ามของถนนเป็นท้องฟ้าจำลอง เป็นศึกษาภัณฑ์ เป็นสถานีขนส่งสายตะวันออก ใครจะไปชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด ต้องมาขึ้นรถที่นี่ แยกไฟแดงนี้ค่อนข้างมีคนเยอะและมีสถานที่สำคัญเยอะ แต่ปรากฏว่าไม่มีสะพานลอย ห่างไปสองร้อยเมตรมีสะพานลอยเก่าแก่อยู่แห่งหนึ่งซึ่งไม่ได้ทำหน้าที่เชื่อมต่อกับสถานที่สำคัญอะไรเลย ไม่รู้สร้างไว้ทำไมเหมือนกัน บริเวณที่ควรจะมีก็ไม่คิดจะสร้าง ผู้ว่าราชการจังหวัดในสมัยก่อนคงสมองน้อย แต่ก็แปลกใจว่าผู้ว่าคนปัจจุบันทำไมถึงมีระดับสติปัญญาเท่ากับคนในอดีต ขอพัฒนาการสักเรื่องก็ไม่ได้เลยเหรอ ตัวเงินตัวทองที่มันหากินอยู่ในสวนลุมมันยังขยับขยายเข้าไปอยู่ในรัฐสภากันเลย

ที่แยกไฟแดงแห่งเดิม มองขึ้นไปบนหัว มีสถานีรถไฟฟ้าอยู่ ผมคิดได้ด้วยตัวเองว่า อ๋อ ท่านผู้ว่าฯคงคิดจะให้ผมใช้สถานีรถไฟฟ้าแทนสะพานลอย จะได้ไม่ซ้ำซ้อนกัน ผมเผลอดีใจที่ผมคิดได้ แต่ก็เอะใจต่ออีกนิดหน่อยว่า รถไฟฟ้ามันเป็นของเอกชน และมันเพิ่งเปิดให้บริการในปี พ.ศ. 2542-43 ถ้าผมจำไม่ผิด หรือนับเป็น ค.ศ. 1999-2000 นั่นเอง แล้วก่อนหน้านี้เขาจะให้ข้ามถนนกันยังไงล่ะ ชั่งมันเถอะ ผมไม่ใช่คนแถวนี้ ถ้าคนแถวนี้เขาทนใช้ชีวิตได้แล้วผมจะไปโวยวายทำไม คนนอกพื้นที่ควรเคารพคนในพื้นที่

เดินไปจะเข้าสถานีรถไฟฟ้าเพื่อข้ามถนน ก็มีเชือกโยงกั้นไว้ แล้วติดกระดาษใบนึงว่า “ปิด” ผมเลยเข้าสถานีรถไฟฟ้าไม่ได้ ก็เลยนึกขึ้นมาได้อีกเรื่องหนึ่งว่า รถไฟฟ้าหยุดให้บริการ เพราะเหตุผลเรื่องความไม่ปลอดภัยทางการเมือง มีคนทะเลาะกันที่ราชประสงค์ สีลม พระรามสี่ รถไฟฟ้าเลยหยุดวิ่ง พอหยุดวิ่งสถานีก็เลยปิด แล้วผมจะข้ามถนนยังไง……..

สุดท้ายเลยต้องวิ่งข้ามตามจังหวะสัญญาณไฟแดง ต้องวิ่งทีละซึกถนน มันคงเป็นเรื่องปกติของชีวิตคนกรุงเทพที่ไม่รักษากฏจราจรกันสักเท่าไหร่ แต่ผมไม่อยากระเมิดกฏนี่นา คือเกิดมาไม่ค่อยได้ทำดีอะไรมากเลยไม่อยากทำเรื่องชั่ว คนมันจะชั่วเพราะหัดทำชั่วนั่นแหละ แต่ผมก็วิ่งไปแล้วตามฝั่งผมที่ได้ไฟแดง และไปลุ้นจังหวะรถว่างกับอีกฝั่งหนึ่ง

ผมเดินเข้าไปในศึกษาภัณฑ์ด้วยความรู้สึกแปลก และบรรยากาศในร้านมันดูเก่าๆโหวงเหวงชอบกล เดินดูดกาแฟเย็นราคาแพงแล้วก็ชะเง้อดูของไปเรื่อยๆ เดินไปถึงฝาผนังมุมหนึ่งก็เห็นป้ายอีกอัน “กรุณาอย่าเอาอาหารและเครื่องดื่มมาทานในร้าน” ผมหยุดอ่าน แล้วก็เดินออกเลย รู้สึกพลาด พลาดไปละเมิดกฏเขาได้ไง เจ้าบ้านถูกเสมอ แขกอย่างผมต้องเคารพกฏ เดินออกจากร้านแล้วหาถังขยะ ในระหว่างที่เดินก็คิดอยู่ในใจ ทำไมไม่ติดป้ายที่ด้านหน้าล่ะ ไปติดคำเตือนแบบนี้ในพื้นที่ด้านในเพื่ออะไรกัน อยากป้องกันอาหารและเครื่องดื่มไม่ให้เข้าร้านก็ต้องติดให้เขาเห็นก่อนที่ลูกค้าจะเดินเข้ามาถึงจะถูก คนในนี้คิดอะไรแปลกๆ

หน้าร้านไม่มีถังขยะ มองซ้ายสายตาทอดยาวไปตามถนนมุ่งสู่ท้องฟ้าจำลองก็ไม่เห็นถังขยะ มองไปทางขวาเห็นสถานีขนส่งแต่ไม่เห็นถังขยะ อะไรกันนี่ ผมเลยเลือกเดินไปที่สถานีขนส่ง ไปหยุดที่ด้านหน้า มองไม่เห็นถังขยะสักใบ กรุงเทพเมืองสะอาดมันเป็นสโลแกนของผู้ว่าคนไหนเอ่ย อยากจะเอาแก้วกาแฟในมือขว้างใส่หน้าท่านผู้ว่าคนนั้นเหลือเกิน จะทิ้งไว้กลางถนนเลยดีไหม คนขับรถผ่านไปผ่านมาคงคิดว่าผมมักง่ายน่าดู เลยเดินเข้าไปในสถานีขนส่ง เดินไปถึงบริเวณขายตั๋ว เห็นถังขยะเล็กๆอยู่สองถัง สภาพอิ่มๆเกือบล้นแล้ว ผมหย่อนแก้วลงไปแล้วเดินออกมา กลับมาสู่ศึกษาภัณฑ์อีกครั้ง ผมใช้เวลาเดินทางไปทิ้งขยะสิบนาที

เดินศึกษาภัณฑ์เกือบครึ่งชั่วโมงไม่พบสิ่งที่ต้องการ คุณลูกค้าของผมคงได้ข้อมูลที่ผิดพลาดมา แต่ก็ไม่เป็นไร ผมไม่ถือ เพราะผมคิดอยู่แล้วว่าไม่น่าจะมี ทำใจไว้แล้ว แต่ก็ต้องมาดู มาพิสูจน์ว่ามันไม่มี เพื่อที่ผมจะไปบอกลูกค้าของผมได้ว่า ผมไปหาแล้วและมันไม่มี กรุณาใช้ของที่ผมหาให้เถิด ถึงมันไม่ตรงสเป็คแต่ก็ใช้งานได้ จะให้ผมไปหาของที่ตรงความต้องการร้อยเปอร์เซ็นแบบนั้น ผมพยายามแล้ว แต่หาไม่เจอ ผมคิดว่าถ้าผมพยายามแล้วทำไม่ได้ ลูกค้าจะยอมเปลี่ยนสเป็ค เพราะผมได้พยายามแล้ว ซึ่งคงดีกว่าที่จะปฏิเสธลูกค้าไปตั้งแต่ครั้งแรกที่คุยกัน และผลลัพธ์ก็เป็นแบบที่ผมคิดไว้ ผมเปลี่ยนสเป็คให้ลูกค้าเรียบร้อยแล้ว และก็ดำเนินงานต่อไปได้

ขากลับผมขับรถกลับบ้านแบบอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ในใจหมองมัว คิดวนเวียนแต่เรื่องสะพานลอยและถังขยะ ถ้าผมจะสมัครเป็นผู้ว่า กทม. ผมจะโปรโมทเรื่องสะพานลอยและถังขยะแค่สองเรื่องพอ ขอทำเรื่องนี้แบบดีๆ

ระหว่าง ถังขยะกับผู้ว่าขยะ ประชาชนอยากได้แบบไหนมากกว่ากัน

เดินเล่นที่ Scenery resort

หลังจากที่ผลัดวันประกันพรุ่งมาหลายที รอบนี้ได้กลับไปที่ซีนเนอรี่อีกครั้งเพื่อลองเล่นเครื่องเสียงตัวใหม่ ในบ้านพักหลังใหม่ เป็นเครื่องเสียงที่เจ้าของเขาฝากผมเล่น เล่นเป็นแล้วเอาไปสอนเขาด้วย เลื่อนนัดมาตั้งแต่ปีใหม่ จนกลางปีนี่แหละถึงจะว่างเข้าไป

ติดตั้งเครื่องเสียงเสร็จก็พักผ่อนตามอัธยาศัย การเดินทางครั้งนี้ผมมาดูเพื่อเก็บข้อมูลรีสอร์ทด้วยว่า มีการเปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตที่ผมเคยมาพักเมื่อสี่ปีก่อนอย่างไรบ้าง ซึ่งก็พบว่าเปลี่ยนไปเยอะ มีบ้านพักเยอะขึ้น สวยขึ้น มีคนเข้าออกเยอะขึ้น และมีคู่แข่งเยอะด้วย

ถ่ายภาพเล่นๆ เก็บเอาไว้เป็นสต๊อค หรือเอาไว้ทำโปสการ์ด กะว่าจะทำไปขายเจ้าของรีสอร์ทเหมือนกัน แต่อาจจะเอามาพิมพ์เล่นส่งเล่นเองอีกส่วนหนึ่ง

เที่ยวพัทยา ตลาดน้ำ ไร่องุ่น ร้าน The view

หยุดงานหลายวัน ผมกับพี่สาวก็ตกลงกันว่าจะพาแม่ไปเที่ยวพัทยา ฉลองการเดินทางด้วยรถคันใหม่ Honda FREED ที่สามารถนั่งได้ 7 ที่นั่ง แต่วันนี้มากันแค่สี่คน ออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ตอนเที่ยงครึ่ง ไปถึงพัทยาประมาณสี่โมงเย็น เพราะรถติดเหลือเกิน วันหยุดใครๆก็แห่กันมาเที่ยว

ไปตลาดน้ำสี่ภาค ดูของขายแนวตลาดน้ำ มีทั้งเสื้อผ้า ของที่ระลึก และของกินต่างๆ อาการร้อน คนเยอะ เดินไปไม่นานก็เบื่อ

พอบอกว่าเป็นตลาดน้ำก็ต้องมีเรือ ต้องมีขายของในเรือด้วย

ตลาดน้ำสี่ภาค แค่ชื่อก็รู้แล้วว่ามีครบทุกภาค มีของจากทั่วประเทศ ป้ายบอกทางเต็มไปหมด

ดูแล้วก็ไม่ซื้อ อย่างมากก็แวะซื้อน้ำ

สินค้าต่างๆคล้ายตลาดจตุจักร คล้ายตลาดนัด คล้ายแหล่งท่องเที่ยวทั่วไป ไม่มีอาหารขึ้นชื่อหรือของขายที่โดดเด่นเลย

ทุกตลาดต้องมีโปสการ์ด ขายกันเยอะ แต่ไม่รู้ขายดีไหม

อากาศร้อน คนเยอะ

เหนื่อย ร้อน แวะพักกินน้ำ

แล้วก็มาต่อที่ไร่องุ่น ซิลเวอร์เลค

เหมือนมาเดินดูสวนดอกไม้ ไม่เล็กไม่ใหญ่ ไม่น่าสนใจ

ฝั่งตรงข้ามไร่องุ่นเป็นร้านอาหารอิตาลี ไปถึงก่อนห้าโมงเย็นยังไม่เปิดร้าน
ใครอยากกินต้องจองคิวกันมาล่วงหน้า

นั่งพัก

แล้วก็มาต่อกันที่ร้านอาหาร The View อยู่ริมหาดเลย

ร้านนี้แต่งสวย บรรยากาศดี

มีมุมให้เลือกนั่งหลายแบบ ถ้าไม่เย็นมากจะมีแดดส่องพอสมควร

บางคนกินเสร็จแล้วก็นั่งคุย ดูวิว

กินอิ่มแล้วมาเดินเล่น

มีเก้าอี้ดีๆไม่นั่ง ชอบนั่งเปื้อนๆ

แสงยามเย็มใกล้หมดแล้ว

อยู่กันจนเกือบมืด ร้านเริ่มเปิดไฟ พวกเราก็เดินทางกลับ

ถ่ายภาพหยดน้ำด้วยแฟลช

หลายวันก่อนมีเพื่อนมาซื้อแฟลช ผมมีหลายตัว เลยแบ่งขายออกไป ก่อนจะขายก็เอามาลองว่าใช้งานได้ปกติไหม ผลก็คือปกติดี ใช้งานได้ทุกฟังค์ชั่น เพื่อนขอให้ช่วยสอนวิธีใช้นิดหน่อย คำถามท้ายๆคือ แฟลชทำงานไม่ไว ผมก็เลยสาธิตถ่ายภาพด้วยความเร็วชัตเตอร์สูงๆให้ดู คือจะบอกเพื่อนว่ามันทำได้ แต่ที่เขาไปได้ยินมาว่าความไวมันจะไม่สูงเพราะแหล่งข่าวของเขาใช้งานไม่เป็น ก็เลยสาธิตถ่ายภาพหยดน้ำให้เขาดู


ภาพแรก ความไวชัตเตอร์ 1/4000 วินาที ทุกอย่างดูเหมือนไม่ได้เคลื่อนไหว


ภาพที่สองลองใช้ความเร็วชัตเตอร์แค่ 1/200 วินาที มันก็หยุดการเคลื่อนไหวของหยดน้ำได้เหมือนกัน แต่ภาพนี้ลองปรับไวท์บาลานซ์ให้เป็นค่าทังสเตน เพื่อให้ค่าสีมันเพี้ยนไปนิดหน่อย ก็เลยได้ภาพคนละสีกับภาพแรก