ติดป้ายชื่อให้โรงพิมพ์ใหม่ เพราะต้องถ่ายภาพไปยื่นประกอบการจดทะเบียนย้ายที่อยู่ นอกจากป้ายชื่อที่มองเห็นบ้านเลขที่แล้ว ก็ยังต้องมีภาพภายในอ็อฟฟิศด้วย ภาพคนงานด้วย.
Monthly Archives: March 2009
ย้ายโรงพิมพ์แล้ว
วันที่ 21 มีนาคม 2552 เริ่มย้ายโรงพิมพ์ รถหกล้อขนาดใหญ่พร้อมเครนยกของมาขนเครื่องจักรทั้งหมด ใช้เวลาเกือบวันเครื่องจักร 8 ตัวก็ย้ายที่เรียบร้อย ที่เหลือเป็นโต๊ะ ตู้ และกองกระดาษใช้แรงงานคนค่อยๆขนไปทีละอย่าง
วันที่ 22 มีนาคม 2552 เป็นวันอาทิตย์ คนงานมาช่วยกันขนของต่อ ลูกน้องเก่าของพ่อเอารถกระบะมาช่วยขน 7 ชั่วโมงผ่านไป กองกระดาษทั้งหมดก็ย้ายไปอยู่ที่ใหม่หมดแล้ว ที่เหลือก็คือ เพลท และ บล๊อคปั๊ม และส่วนของออฟฟิศที่ยังไม่รู้ว่าจะย้ายอะไรบ้าง
วันที่ 23 มีนาคม 2552 วันจันทร์ เริ่มต้นใหม่กับโรงงานใหม่ ทุกอย่างใหม่ วุ่นวาย สับสน และเหนื่อยมาก คนที่ดูจะเหนื่อยที่สุดคือพ่อ เพราะอะไรต้องมาเหนื่อยขนาดนี้ เป็นคำถามที่ไม่รู้จะตอบยังไง คนที่ควรจะเหนื่อยน่าจะเป็นลูกๆมากกว่า
วันที่ 24 มีนาคม 2552 วันอังคาร เพ่ิงรู้สึกว่าเริ่มมีปัญหากับการกินอาหาร เวลากินอาหาร ไม่มีคนเตรียมให้ ดูแลตัวเอง ยังปรับตัวไม่ได้ วันนี้หิวมาก บ่ายสองโมงเพิ่งจะได้กิน
วันที่ 25 มีนาคม 2552 วันพุธ ยังวุ่นวายนิดหน่อย แต่ก็เริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น วันนี้พ่อดูเหนื่อยมากขึ้น อาจจะเพราะว่าล้ามาหลายวัน น่าสงสาร กำลังคิดว่าจะทำงานแทนพ่อยังไงให้แทนได้ 100% มื้อเย็นกินข้าวกล่อง กินแบบนี้มาสามวันติดแล้ว.
สามวันแรกที่ทำงานมายังไม่มีอินเทอเน็ทใช้ ต้องต่อผ่านมือถือ เปลืองเงินนิดหน่อย สั่งงานลำบาก ปริ๊นเตอร์ซื้อใหม่เครื่องนึง ใช้งานได้ดี อุปกรณ์อื่นๆในส่วนของออฟฟิศค่อยๆหามาเพิ่ม ตอนนี้โทรศัพท์เบอร์ใหม่ได้ใช้แล้ว ส่วนอินเทอเน็ตเพ่ิงใช้ได้วันพฤหัส(วันนี้) ทำให้การสั่งงานกลับไปที่ออฟฟิศเก่าทำได้ง่ายขึ้นสะดวกขึ้น ทุกๆอย่างจะค่อยๆย้ายมาที่ใหม่ทั้งหมด.
นั่งนิ่งๆรอเวลา
วันหนึ่งต้องเอารถไปเปลี่ยนกับพี่สาวเพื่อเอารถกระบะมาขนของ รถเก่งที่ใช้งานมานานไม่่ค่อยได้ล้างภายในก็ฝุ่นจับหนามาก เลยต้องไปส่งล้างในห้าง ล้างดูดฝุ่นหนาๆออกไป ระหว่างที่รอก็มานั่งกินกาแฟ ขนมปังนิดหน่อย เตรียมตัวมานั่งรออยู่แล้ว พก ipod มาด้วย พร้อมเพลงใหม่ๆที่เพื่อนก๊อปปี้มาให้ฟัง แนวเพลงแจ๊สฟังสบายเสียงสวยๆ กับกาแฟหอมกรุ่นรสมันร้อนๆ ห้องแอร์เย็นสบาย หนังสือเล่มเล็กอีกหนึ่งเล่ม หนึ่งชั่วโมงผ่านไปไม่รู้ตัว เหลือบดูเวลาก็ต้องรับรถแล้ว มันเป็นช่วงเวลารอคอยที่ผ่านไปเร็วมาก อาจจะเป็นเพราะเพลงเพราะ อาจจะเป็นเพราะหนังสือดี อาจจะเป็นเพราะนั่งสบาย นานๆได้นั่งนิ่งๆแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
คุยกับหนิงเรื่องสิ่งพิมพ์
วันอังคารที่ 17 มีนาคม 2552 ผมไปคุยกับเพื่อนคนหนึ่ง “หนิง” ซึ่งทำงานอยู่ในไบเทค หลังจากจบ ป.โท จุฬาฯ หนิงทำงานเป็นอาจารย์อยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะลาออกไปอยู่อัมรินทร์ปริ๊นติ้ง และมาอยู่ไบเทคในที่สุด งานไบเทคหลายตัวก็มาจากหนิง เลยได้ไอเดียว่าจะให้หนิงช่วยหาลูกค้าที่มาออกบู๊ทที่ไบเทคให้ คล้ายๆกับว่าให้หนิงเป็นเซลล์ คาดหวังว่าลูกค้าออกบู๊ทต่างๆคงจะใจถึงกล้าจ่ายให้กับงานสิ่งพิมพ์ เพราะค่าออกบู๊ทราคาเป็นแสน ถูกๆก็หลายหมื่น จะไม่ทำโบรชัวร์ไปแจกในงานสักหมื่นสองหมื่นบาทก็ไม่น่าเป็นไปได้
ก็หวังว่าจะได้งานเพิ่มขึ้น โรงพิมพ์ำได้เวลาขยายแล้ว………….
หัวหินปี2009
good picture reproduction2
ระบบการพิมพ์ภาพในระดับผู้บริโภคมีทางเลือกอยู่สามอย่าง คือ เลเซอร์ปริ๊นเตอร์ อิงค์เจ๊ท และ เครื่องพิมพ์แบบ Dye-sublimation อ่านว่า ดาย สับ รี เม ชั่น สามประเภทนี้จะมีราคาแพงมากในตอนเริ่มต้นและเมื่อผ่านไปหลายๆปี(สิบปีเป็นอย่างน้อย) ก็จะราคาถูกลง จากเป็นแสนเหลือไม่กี่พันบาท
เลเซอร์ให้ความเร็วและความคมชัดของตัวหนังสือที่ดีที่สุด แต่ให้ภาพสีไม่สวยเลย อิงค์เจ๊ทจะช้ากว่า แต่ให้สีสวยกว่า แต่ก็จะทำความคมชัดไม่ค่อยดี แต่ระบบการพิมพ์ดายสับเป็นระบบที่ดีที่สุดมาตั้งแต่ต้น แต่ก็ราคาแพงกว่ามาก ตอนที่เลเซอร์ขาวดำขายกันเครื่องละหนึ่งหมื่นบาท อิงค์เจ๊ทสีราคาประมาณห้าพันบาท ดายสับต้องมีเงินสักแสนกว่าบาท
แต่ตอนนี้ชาวบ้านสามารถใช้บริการเครื่องพิมพ์ดายสับได้แล้วในราคาไม่กี่พันบาท ด้วยความอนุเคราะห์จาก canon ที่ทำของถูกออกมาขายโดยใช้ชื่อรุ่นว่า cp760 เมื่อก่อนการพิมพ์กระดาษขนาด A4 ด้วยระบบดายสับ ทำให้ต้นทุนแพง อยากทำให้ถูกก็ทำขนาดเล็กแค่จัมโบ้ หรือ 4×6 นิ้วก็พอ canon เลือกวิธีนี้ ทำให้มีของมาขายในราคาถูก
ตอนที่รู้ว่าระบบดายสับราคาแค่ไม่กี่พัน ผมก็ไม่ค่อยสนใจมาก เพราะคิดว่าของแพงเอามาทำให้ถูกมันอาจจะลดทอนคุณภาพลงไปเยอะ และอาจจะไม่ได้สวยงามไปกว่าอิงค์เจ๊ทเลย แต่พอได้ลองใช้แล้วก็รู้สึกว่ามันยังคุณภาพยอดเยี่ยมอยู่เหมือนเดิม เครื่องอิงค์เจ๊ทและเลเซอร์ไม่สามารถให้คุณภาพแบบนี้ได้แน่นอน และหากไปเทียบกับเครื่องอัดภาพของร้านถ่ายรูปเครื่องละสองล้าน ดายสับตัวละไม่กี่พันก็ยังให้ภาพที่ดีกว่า เพียงแค่มันทำได้ในขนาดเล็ก และใช้เวลาต่อหนึ่งใบค่อนข้างนาน ชั่วโมงหนึ่งอาจจะได้หกสิบใบ แต่เครื่องละเป็นล้านทำได้พันห้าร้อยใบต่อชั่วโมง
แต่แค่เอามาพิมพ์เล่นในบ้าน แล้วจ่ายค่าอัดภาพดายสับใบละ 7 บาท อัดเล่นวันละใบสองใบ ผมว่าประหยัดกว่าขับรถไปอัดภาพที่ร้านเสียอีก นอกจากจะอัดทีละหลายร้อยใบ แบบนี้ค่อยไปส่งร้าน
แต่จุดเด่นของดายสับก็คือสีไม่เพี้ยน ไฟล์ดิจิทัลมาอย่างไรมันก็ให้ภาพแบบนั้น ใบแรกสวยแบบไหน ปีหน้ามาอัดใหม่ ไฟล์เดิม ก็ให้สีแบบเดิม แตกต่างจากร้านอัดภาพ เอาไฟล์ไปร้านแรก กับ ร้านที่สอง อัดภาพออกมา รับรองภาพไม่เหมือนกัน ตรงนี้แหละที่ดายสับเที่ยงตรงและน่าใช้กว่า
good picture reproduction
ตลอดเวลาหลายปีที่เป็นช่างภาพ และเป็นคนทำงานเกี่ยวกับสิ่งพิมพ์ มีเรื่องยาขมเกี่ยวกับการอัดภาพหรือพิมพ์ภาพอยู่เรื่องหนึ่ง ก็คือภาพไม่สวย อาการไม่สวยคือสีแตกต่างไปจากสิ่งที่เห็นในจอเยอะมากๆ การเอาภาพดิจิทัลหรือแม้แต่ฟิล์มไปอัดภาพตามร้านอัดรูปก็เป็นสิ่งที่ต้องลุ้น ลุ้นว่าโทนสีจะออกมาแบบที่ต้องการหรือไม่ ถ้าอัดออกมาถูกใจก็ถือว่าโชคดี ถ้าอัดออกมาไม่สวย ก็จะรู้สึกแย่และเสียดายเงิน
เคยเบื่อหน่ายกับการอัดภาพตามร้าน สุดท้ายต้องซื้อเครื่องปริ๊นเตอร์อิงค์เจ๊ทมาพิมพ์เอง เสียเงินต่อเนื่องกับหมึกปริ๊นเตอร์และกระดาษสำหรับพิมพ์ มีบางช่วงเวลาเอาเครื่องปริ๊นเตอร์ไปต่อพ่วงกับระบบแท้งค์หมึก มีสายยางยืดออกจากขวดหมึกไปเจาะเข้ากับหัวพ่นหมึก ดูน่าเกลียด และบำรุงรักษายาก ในที่สุดเครื่องปริ๊นเตอร์ก็พังก่อนที่หมึกจะหมดขวดเสียอีก
คุณภาพของการพิมพ์ด้วยอิงค์เจ๊ทค่อนข้างต่ำ ไม่ว่าจะทำอย่างไรก็ไม่สามารถเทียบกับร้านอัดรูปได้ เพราะการเกิดภาพของเครื่องอิงค์เจ๊ทจะแย่กว่าภาพที่ออกจากร้านอัดภาพโดยตรง สาเหตุก็เพราะการพิมพ์อิงค์เจ๊ทจะพ่นหมึกไปติดบนกระดาษ ภาพจะเป็นจุดๆไม่ค่อยสวย แต่ไปอัดภาพตามร้านก็ต้องไปเสี่ยงกับการปรับภาพมั่วไร้สามัญสำนึก ภาพไหนดูมืดก็จะโดนเร่งซะสว่าง ภาพไหนสีแปลกตาก็จะถูกปรับให้เปลี่ยนสีกลับมาเป็นสีที่ช่างอัดภาพคิดว่ามันดีกว่า สรุปแล้วมีเหตุผลแย่ๆหลายข้อทำให้การอัดภาพมักจะได้ภาพคุณภาพไม่ดี
เดี๋ยวค่อยต่อภาค 2
ใบปลิวสีชมพู
คุยเรื่องเครื่องเสียงนิดนึง
สองสามวันนี้ได้จัดห้องให้ดูเรียบร้อยขึ้นนิดหน่อย เป็นเพราะว่าได้ขนอุปกรณ์เครื่องเสียงทุกตัวที่อยากใช้มาวางไว้รวมกัน ก็เลยถือโอกาสจัดวางเครื่องเสียงให้เป็นที่เป็นทาง จริงๆมันก็อยู่ในที่ที่สมควรแล้ว แต่ก็ไม่ได้เชื่อมสายใช้งานร่วมกันทั้งหมดเท่านั้นเอง
ยกเครื่องเล่นดีวีดีมาวางไว้ในห้องทำงานด้วย เจตนาเพื่อจะฟังเพลง ต่อสายเสียงจากเครื่องเล่นดีวีดีเข้ากับแอมป์หลอด คุณภาพเสียงได้ยินแล้วหงุดหงิด เพราะมันค่อนข้างแย่ จากความรู้สึกเมื่อเกือบสิบปีก่อนที่ได้ฟังเพลงจากเครื่องเล่นดีวีดียุคนั้นเสียงแย่มาก อยู่เงียบๆดีกว่า มาถึงวันนี้คิดว่าจะพัฒนาขึ้น เพราะอุปกรณ์อิเล็คทรอนิกส์น่าจะมีคุณภาพดีขึ้นเมื่อผลิตด้วยเทคนิคการผลิตใหม่ๆ แต่เสียงของเครื่องเล่นดีวีดีก็ยังแย่อยู่เหมือนเดิม คำว่าคุณภาพเสียงแย่อาจจะเป็นสิ่งที่เข้าใจลำบาก อาจจะมีคำถามว่าถ้าเสียงแย่แล้วทำไมดูหนังยังดูได้สนุกดี เหตุผลมันก็คงเป็นเพราะว่า การดูหนังจะมีภาพมาดึงความสนใจ ทำให้การรับรู้เรื่องเสียงลดความสำคัญลง เลยไม่รู้สึกว่าเสียงดีหรือเสียงแย่ แต่ถ้าฟังเพลงอย่างเดียว การรับรู้หรือการได้ยินจะกลับมามีประสิทธิภาพมากกว่าการมองเห็น เสียงอะไรที่ไม่ค่อยดีก็จะได้ยินง่ายขึ้น เหมือนคนตาบอดมักจะหูดี ผมสันนิษฐานไว้เช่นนี้
ผมทำการปรับปรุงคุณภาพเสียงของเครื่องเล่นดีวีดีเสียใหม่ ด้วยการหาตัวถอดรหัสเสียงมาใช้งานร่วมกับมัน ปกติเครื่องเล่นดีวีดีจะมีตัวถอดรหัสเสียงในตัว ซึ่งผมไม่พอใจเลย เลยหาตัวถอดรหัสภายนอกมาใช้ ต่อสัญญาณดิจิทัลจากเครื่องเล่นดีวีดีไปถอดรหัสด้วยเครื่องที่คุณภาพดีกว่า ผลก็คือเสียงดีขึ้นตามวัตถุประสงค์ตั้งต้น ผมอยู่กับเสียงเพลงจากเครื่องเล่นดีวีดีได้นานขึ้นหลายชั่วโมงทันที เพราะสามวันที่ผ่านมา ผมนั่งทำงานฟังเพลงในห้องได้นานมาก ทำให้การทำงานเป็นไปอย่างสบายใจ
ข้อดีของการเล่นเครื่องเสียงที่ผมค้นพบเป็นรอบที่หนึ่งร้อยก็คือมันทำให้ผมอยู่ติดบ้าน หลายปีที่ผ่านมาผมไม่ค่อยได้ฟังเพลงอย่างจริงจัง อาศัยไปฟังในรถเป็นส่วนใหญ่ ผมเลยชอบขับรถ เพราะขับรถแล้วได้ฟังเพลง พอเครื่องเสียงในบ้านสามารถตอบสนองความรู้สึกส่วนนี้ได้ ผมก็เลยอยู่ในบ้านนานขึ้นกว่าเดิม ยิ่งตอนนี้มีอินเทอเน็ตความเร็วสูงยิ่งทำให้ผมเลือกฟังรายการวิทยุได้หลากหลายขึ้น โดยเฉพาะรายการวิทยุที่แยกตามแนวเพลง เพลงแจ๊ส หรือ เพลงร็อค อยากได้แบบไหนก็คลิกเลือกเอาเอง อยากจะเปิดทิ้งไว้ทั้งวันเลย แต่ก็รู้สึกว่ามันเปลืองไฟ เปลืองพลังงานของโลก …. การเปิดเครื่องทิ้งไว้ดูเหมือนไร้จิตสำนึก ไม่กล้าทำทั้งๆที่อยากทำ
ระหว่างการเขียนบทความนี้ ผมก็กำลังฟังเสียงทรัมเปตจากไมล์ เดวิส ในอัลบั้มชุดที่ดีที่สุดชุดหนึ่งของวงการเพลงแจ๊ส ดียังไงผมก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าได้ยิน ดีกว่า อยู่เงียบๆ
ไฟไหม้ ไฟไหม้ ไฟไหม้
อยู่ๆก็ได้กลิ่นแปลกๆ คนเริ่มมุงดู เลยออกไปดูบ้าง ก็เจอกับรถเมล์ จอดป้าย พร้อมควันสีดำปิดถนนมองทางไม่เห็น คนเริ่มมุงเยอะ ควันเริ่มเยอะ รถผมจอดอยู่ใกล้ๆเลยต้องรีบขับออกไปจอดไกลๆ แล้วก็หยิบกล้องท้ายรถมาถ่ายก่อนจะขับรถออกมา พอย้ายที่จอดจนแน่ใจว่าไม่เกะกะการทำงานของหน่วยกู้ภัย ก็เลยเปลี่ยนเลนส์ยาวๆหน่อย แล้วสะพายกล้องเดินกลับไปใกล้ๆที่เกิดเหตุ ถ่ายภาพไปเรื่อยๆ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรเหมือนกัน แต่ก็ถ่ายเก็บไว้ก่อน
วิธีสั่งอาหารแบบไม่มั่ว ช่างคิดดี
ผมเคยเปิดร้านขายก๋วยเตี๋ยวและมีปัญหากับการจดออเดอร์อาหารอย่างแรง คนที่จะมาจดต้องเป็นคนที่อ่านออกเขียนได้ ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องหายาก แต่กับธุรกิจอาหารมันหายาก เพราะเด็กในร้านส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าว แค่พูดก็ไม่ชัดแล้ว จะให้จด ให้อ่านภาษาไทยก็ลำบาก บางคนเป็นเวียดนาม หัดเท่าไหร่ก็ไม่จำ สุดท้าย ผู้จัดการร้านเลยต้องรับจดออเดอร์เอง ถามลูกค้าว่าจะกินอะไร แล้วแปลงทุกอย่างเป็นภาษาเวียดนาม แล้วเอาไปยื่นให้พ่อครัว แม่ครัวทำตามสั่ง เพราะพ่อและแม่ครัวเป็นเวียดนาม
แล้วทำไมไม่หาคนไทยมาทำงาน คำตอบก็คือค่าจ้างแพงและเด็กไทยเลือกงานเหลือเกิน ค่าจ้างในร้านอาหารพร้อมกินอยู่จะอยู่ที่ประมาณสามพันบาท ซึ่งคนไทยไม่มีใครยอมทำเลยสักคนเดียว ต่อให้เพิ่มค่าจ้างเป็นหกพัน ก็ยังไม่มีใครมาทำ เพราะเขาถือว่าเขามีทางเลือก เลือกจะตกงานดีกว่าทำงานหนัก….
ร้านส้มตำแถวนางเลิ้งแก้ปัญหานี้ได้อย่างน่ารัก ที่โต๊ะอาหารมีกระป๋องใส่กระดาษแข็งๆอยู่เป็นปึก ซึ่งแต่ละใบจะมีชื่ออาหาร และหมายเลขโต๊ะกำกับไว้ ไปถึงโต๊ะก็เทกระป๋องออกมา แล้วก็เขี่ยกระดาษไปมาหาสิ่งที่อยากกิน ถ้าเคยเล่นไพ่ อาการเขี่ยกระดาษจะเหมือนล้างไพ่แล้วหยิบใบที่ต้องการขึ้นมา หยิบจนครบสิ่งที่อยากกินก็เอาไปยื่นให้เจ้าของร้าน แล้วอีกสักพักอาหารก็จะมาเสิร์พตามสั่ง แก้ปัญหาการสื่อสารได้หมดจด น่าเลียนแบบ น่าเลียนแบบ
ภาพจากกล้องโดฟ
กล้อง “โดฟ” เป็นกล้องพลาสติกตัวเล็ก แถมมากับแชมพู ใส่ฟิล์มแล้วกดชัตเตอร์อย่างเดียว ไม่ต้องโฟกัส ไม่ต้องวัดแสง ค่าแสงที่เหมาะกับมันก็คือ แสงแดดตอนกลางวัน ถ้าไม่มีแดดห้ามใช้เด็ดขาด แต่ถ้าแดดดี ก็ได้ภาพอย่างที่เห็น สีสันอาจจะไม่สดใสนักอาจจะเป็นเพราะฟิล์มที่เอามาใช้มันหมดอายุไปตั้งแต่ปี 2005 (ประมาณสามปีกว่าๆแล้ว)
หลังจากที่ได้ภาพมาแล้วก็เอาฟิล์มมาสแกนแล้วแต่งภาพต่อนิดหน่อยให้เป็นสไตล์โพลาลอยด์ มันก็ดูแปลกตาดี สวยแบบติดกลิ่นอาร์ต แม้จะไม่ถือว่าสวย แต่เหตุการณ์ในภาพสำคัญกว่า จะหม่น จะเปื้อน จะไม่ชัดบ้าง แต่สาระสำคัญยังอยู่ ก็ถือว่าเป็นภาพที่น่าเก็บไว้














