ผู้ออกแบบ iMac ‘โจนาธาน พอล ไอฟ’ (Jonathan Paul Ive)

ใครที่ตัดสินใจเลือกใช้ Apple เพราะดีไซน์ น่าจะทำความรู้จัก ‘โจนาธาน พอล ไอฟ’ (Jonathan Paul Ive) เอาไว้สักหน่อย ไม่, เขาไม่ได้สำคัญอะไรมากมายนัก ก็แค่เป็นผู้ออกแบบผลิตภัณฑ์แทบทุกชิ้นของ Apple ก็เท่านั้น 

Ive เป็นนักออกแบบชาวอังกฤษที่เติบโตมาในยุคคอมพิวเตอร์ยังไม่พัฒนา เริ่มรู้จักการออกแบบตั้งแต่ยังเดินไม่ค่อยคล่อง และคลั่งการหลั่งไอเดียมาตลอดนับแต่ตอนนั้น จนกระทั่งวัย 14 ปีก็เริ่มเข้าขั้น ‘หนัก’ เพราะพวกเล่นออกแบบทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ ผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สุขภัณฑ์ 

โดยไม่ต้องรอผู้ใหญ่เห็นแวว เขาตั้งดินสอปากกามุ่งหน้าร่ำเรียนด้านการออกแบบโดยตรงที่ North Umbria University (ปัจจุบันคือ Newcastle Polytechnic, ใช่! เขาเป็นเด็กช่างกล) 

จนกระทั่งจบการศึกษา เขาจับมือกับเพื่อนก่อตั้งบริษัทชื่อ Tangerine ที่รับงานออกแบบทุกสิ่งทุกอย่างตามที่เขาทำมาตั้งแต่เด็ก รถยนต์ ผลิตภัณฑ์ เครื่องใช้ไฟฟ้า สุขภัณฑ์ ฯลฯ -ไม่รู้เรียกว่าพวกไม่รู้จักโตได้รึเปล่า แต่ถ้าอ้างคำของไอน์สไตน์ที่ว่า “อย่าลืมความเป็นเด็ก” ก็น่าจะเข้าท่าดีเหมือนกันในกรณีนี้… 

อย่างที่บอกว่า Ive เติบโตมาในยุคก่อนคอมพิวเตอร์เฟื่องฟู เมื่อรู้ว่าไอ้กลุ่มเศษเหล็กที่เรียกว่าคอมพิวเตอร์น่าจะช่วยทำงานด้านศิลป์ได้ เขาจึงหัดจับเมาส์เขย่าคีบอร์ด ก่อนจะพบว่าเครื่องแมคอินทอชนี่มันเจ๋งชะมัด! และลงมือค้นคว้าเกี่ยวกับบริษัท Apple ที่เขาประทับใจ ว่าก่อตั้งอย่างไร เดินไปทางไหน อุดมการณ์เป็นยังไง ก่อนที่จะหิ้วพอร์ตโฟลิโอซื้อตั๋วรถทัวว์ไปสมัครงานกับ Apple ซึ่งขณะนั้นต้องการที่ปรึกษาด้านดีไซน์อยู่พอดี 

หลังจากคุยกับ John Scully (ผู้บริหารระดับสูงสุดของ Apple ในขณะนั้น) เขาก้ต้องกลับไปนั่งกัดเล็บคิดหนัก เพราะหลงรักกับอุดมการณ์ของบริษัทนี้เหลือเกิน แต่ก็ยังมีบริษัท Tangerine ของตัวเองอยู่ ก่อนตัดสินใจอย่างกำปั้นทุบดิน (จริงๆ แล้วไม่ได้ทุบ) ว่าจะหิ้วสัมภาระไปทำงานประจำที่ California รังใหญ่ของ Apple ในปี 1992 

แต่ทางไม่ได้โรยด้วยกลีบลิลลี่ เพราะ John Scully ไม่ได้มองเรื่องศิลป์เป็นสิ่งสำคัญสำหรับคอมพิวเตอร์ จึงทำให้เขาผู้ซึ่งอยู่ในทีมออกแบบต้องหัวเสียไปขนานใหญ่ เพราะงบประมาณด้านการออกแบบไม่เข้าออกแบบอะไรไปก็ไม่ถูกใจ แถมผลกำไรขณะนั้นก็เกิดยุบตัวฮวบฮาบจนมีทีท่าว่า Apple จะเน่าเสียแล้ว แต่ Ive ก็ยังกัดฟันสู้จนกระทั่งทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงเมื่อ Steve Jobs(ผู้ก่อตั้ง และผู้บริหารสูงสุดของ Apple คนปัจจุบัน) ที่ถูกบีบออกจากบริษัทเมื่อปี 1985 กลับมาในปี 1997 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่ Ive ไต่เต้าจนได้เป็นหัวหน้าทีมออกแบบพอดี 

หลังจากเพียงปีเดียว Apple ก็กลายเหมือนทีมฟุตบอลโด๊ปยา ที่เล่นผิดหูผิดตาต่างจากครึ่งแรก 

เพราะงานออกแบบที่ผ่านจากขุมสมองของ Ive ถ่ายทอดออกมาตรงใจของ Steve Jobs กลายเป็นก้าวแรกของโลกคอมพิวเตอร์ยุค New ROM ที่มีการพัฒนาเทคโนโลยีให้สูงขึ้น รวมถึงเปลี่ยนรูปลักษณ์หน้าตาของคอมพิวเตอร์ที่ทะมึนทึบไปสิ้นเชิง (ถึงแม้ว่าบางค่ายก็ยังทำได้ทะมึนอยู่ก็ตามที) 

หลักฐานคือ iMac G3 ที่โด่งดัง ซึ่งขายไปกว่า 2 ล้านเครื่องในเวลาไม่ถึงปี.. 

 
 

ผลพวงจากการออกแบบ iMac และ iPod ทำให้ชื่อของ Ive ขึ้นสู่ดีไซเนอร์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด ด้วยตำแหน่ง Designer of the year โดย Design Museum ในปี 2002 แต่เขาไม่ใช่ศิลปินประเภทขี้ฟลุค เพราะผลงานต่อมาของ Ive ไม่หย่อนคุณภาพลงสักนิด หลักฐานคือลูกหลานตระกูล iPod เช่น Mini, Nano, Shuffle, หรือ iMac รุ่น G ต่างๆ รวมถึงโน๊ตบุ๊ก(หรือใครเรียก Laptop ก็ตามสบายใจ) Powerbook, iBook, Macbook จนกระทั่ง iPhone ที่ใช้กันทั่วเมืองขณะนี้ ที่ทำให้เขาได้รับรางวัลเดียวกันติดต่อ 2 สมัย จนตอนนี้กรรมการทั้งหลายคงเริ่มเบื่อหน้า ก็เลยจับเขามานั่งเป็นกรรมการตัดสินด้วยเสียเลย นี่ยังไม่รวมถึงรางวัลจากสถาบันอื่นมากมายที่เขาและทีมออกแบบของ Apple ไปคว้ามาจนไม่ตู้จะวางโชว์เกรงว่าถ้าบอกจนหมดจะต้องเปลืองหน้ากระดาษเกินจำเป็น 

ที่ไม่ธรรมดากว่านั้น Ive ได้รับพระราชทานยศอิสริยาภาณ์ขั้นที่ 2 จากสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่ 2 หรือที่ฝรั่งเขาเรียกว่า ‘Commander of the Most Excellent Order of the British Empire’ (CBE) ที่มอบไว้สำหรับผู้ที่ไม่ได้ไปรบแต่ก็สร้างชื่อเสียงให้แก่ชาติอังกฤษ จนส่งผลให้ประเทศสืบต่อไปได้… 

พูดให้เท่มากๆ ก็คือ Ive ปกป้องชาติด้วยการออกแบบ! 

ด้วยประสบการณ์และผลงาน ปัจจุบัน โจนาธาน ไอฟ เป็นไอดอลให้แก่เด็กที่ฝันอยากเป็นนักออกแบบทั่วโลก แถมเป็นหนึ่งในร้อยผู้ที่มีอิทธิพลที่สุดในโลกจากการสำรวจของนิตยสาร TIME ลำดับที่ 16 เทียบเท่ากับ David Beckham 

นักออกแบบ และนักสัมภาษณ์บอกไว้ว่า หลักการออกแบบของ Ive มีอยู่ไม่กี่อย่าง 

 

 

ข้อแรก ความเป็นธรรมชาติ เช่น iMac G4 ที่ได้รับอิทธิพลมาจากดอกทานตะวัน (ที่เราพยายามมองมาทั้งวันว่ามันเหมือนตรงไหน? )Apple Pro Mouse ที่มาจากหยดน้ำ หรือแม้กระทั่งสีน้ำเงิน Bondi Blue ของ iMac G3 ที่เขาตั้งใจให้มันเป็นสีเดียวกันน้ำ รวมถึงสีต่างๆ ในชุดเดียวกันก็มีต้นแบบมาจากผลไม้ทั้งหมด รวมถึงความเป็นธรรมชาติของวัฒนธรรม หรือประวัติศาสตร์ในถิ่นต่างๆ ก็ล้วนเป็นส่วนประกอบในงานออกแบบต่างๆ ของเขาที่ไม่ใช่คอมพิวเตอร์ 

สอง, ความ Minimalism แต่เต็มไปด้วยความสวยงาม สังเกตจากผลิตภัณฑ์ของ Apple ทุกชิ้นที่พยายามหลักหนีการออกแบบที่เต็มไปด้วยโลโก้หรือคำโฆษณาเพื่อการตลาดมาตลอด หรือตั้งป้อมอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพวกที่พยายามเพิ่มปุ่มปฎิบัติการให้ดูไฮเทค ขณะที่ Apple ทำทุกอย่างให้มันน้อยที่สุด ไม่เชื่อก็ลองนับสายไฟที่มีอยู่เพียงสายเดียวของเครื่อง iMac กับ PC ดูเอาเอง-ใครน้อยกว่าชนะ 

สาม, ความจริงใจ หลักฐานคือการเลือกใช้วัสดุในการสร้าง Ive คิดเผื่อให้ทนไม้ทนมือของคนทุกระดับ ตั้งแต่คนมือหนักชอบขว้างปาข้าวของ(คำเตือน: อย่าลองดีขว้างปาอะไรทั้งสิ้น) กระทั่งคนคนมือเบาชนิดวางของลงโต๊ะยังไม่มีเสียงเขาตั้งใจจุกจิกสรรหาวัสดุที่ทนทานกับงานทุกประเภทและคำนึงว่ามันต้องไม่เสียความสวยหรูไปแม้แต่น้อย ถึงแม้จะหยิบอะลูมิเนียมมาประกอบก็ตามที 

สุดท้ายคือความเป็นมิตร หน้าตาของผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นจึงถูกออกแบบมาให้คล้ายเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน ซึ่งต่อยอดจากความต้องการของ Jobs ผลที่ได้ก็อย่างที่เห็น ใครมีเครื่อง iMac หรือ Macbook ก็แทบอยากจะเอาไปตั้งโชว์หน้าบ้าน ถ้าไม่กลัวหายเสียก่อน 

 

 

 

นับได้ไม่รู้กี่ปีที่ Ive วนเวียนอยู่ในวงการออกแบบ แต่ขณะนี้เขาก้าวสู่ตำแหน่ง Senior Vice President ของบริษัท Apple ด้วยวัยที่นับได้ 41 ปี และทุกวันนี้ก็ยังคงออกแบบอยู่อย่างไม่รู้จักโตเหมือนเดิม เขาอยู่เพื่อค้นหาดีไซน์ที่พร้อมเปลี่ยนแปลงโลกจากอากาศอย่างที่เขาทำมานักต่อนัก 

น่ากลัวว่างานออกแบบของเขาที่เข้าตาและถูกใจคนทั่วโลก จะนับไม่ได้เข้าสักวัน 

เห็นไหมว่าคนอย่างนี้คบหา รู้จักไว้สักนิดก็ดีนะ…..

เรื่องน่าอายของคนไม่ทันโลก

ผมไปซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์มาแล้วตัวนึง เป็นเครื่องตั้งโต๊ะ  ไม่ได้มีโปรแกรมอะไรมาให้ พนักงานที่ร้านบอกว่าถ้าจะให้ลงให้ก็คิดค่าบริการ 300 บาท  ผมก็เลือกเอากลับมาลงเอง  เพราะเมื่อก่อนตอนทำงานออฟฟิศก็เป็นคนประกอบเครื่องลงโปรแกรมเองตลอดอยู่แล้ว  ก็เลยหิ้วกลับบ้านไม่ได้ทำอะไรเพิ่ม

 

กลับมาบ้านจัดการลงโปรแกรม  ผมลงวินโดส์ให้กับเครื่องคอมฯ  รอบแรก เครื่องแฮงค์  รอบสอง รอบสามยังเหมือนเดิม  เอ๊ะ  มันเป็นอะไร  เครื่องเสียรึเปล่า  แผ่นวินโดส์ที่ผมเคยใช้บ่อยๆไม่น่าจะผิดพลาด  ผมสงสัยว่าเครื่องจะมีปัญหา  แต่คิดว่าไม่น่าจะเป็นจริง  แต่ถ้ามีปัญหาจริงๆก็ต้องยกกลับไปให้พนักงานที่ร้านแก้ให้  ตอนผมเรียนมหาวิทยาลัย คอมพิวเตอร์เครื่องแรกที่ผมซื้อผมต้องยกกลับไปที่ร้านทันทีในวันรุ่งขึ้น  เพราะผมทำมันพังกับมือ  ผ่านมาสิบกว่าปี  ผมยังต้องทำแบบเดิมอีกเหรอเนี่ย  แล้วจะเอาไปโม้กับใครได้ว่าเคยทำงานเป็นโปรแกรมเมอร์

 

ผมเริ่มเอะใจกับฮาร์ดแวร์ในเครื่องที่มันเปลี่ยนไปจากเมื่อหลายปีก่อนอย่างมาก  มาตรฐานฮาร์ดดิสก์ในปัจจุบันกับเมื่อห้าปีที่แล้วเป็นคนละมาตรฐานกัน  คิดว่าน่าจะเป็นสาเหตุ  เลยไปหาข้อมูลในอินเทอเน็ต  ก็พบว่าสิ่งที่ผมสงสัยนั้นถูกต้อง  คือเขาพบปัญหากันทั้งบ้านทั้งเมือง  ผมก็เลยโล่งใจว่าเครื่องไม่ได้มีปัญหาอะไร  มีวิธีแก้ปัญหาให้แล้ว ไม่ยาก  ไม่ยาก

 

สุดท้ายผมขอให้น้องช่วยลงโปรแกรมให้  พร้อมบอกเล่าถึงปัญหาให้ฟัง  น้องฟังแล้วก็เลยลองทำให้  น้องผมจะชำนาญงานพวกนี้มากกว่าเพราะทำบ่อยกว่าผม  แล้วน้องก็ทำได้เรียบร้อย  เมื่อวานผมกลับบ้านไปก็พบว่าเครื่องคอมฯ ใช้งานได้แล้ว  

 

ผมห่างหายจากการประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์และลงโปรแกรมต่างๆเองมานานแล้ว  พอกลับมาทำอีกทีก็เป็นไดโนเสาร์ไม่ทันการเปลี่ยนแปลง  การเรียนรู้เกิดขึ้นตลอดทั้งชีวิต  จริงๆ

 

ออกแบบการทำงานของเว็บขายภาพ

เว็บขายภาพกำลังจะเสร็จแล้ว  ผมต้องเตรียมเครื่องคอมพิวเตอร์สองเครื่องสำหรับการทำงาน  เครื่องแรกเป็นเครื่องเซิร์ฟเวอร์เพื่อทำหน้าที่ประมวลผลภาพและฐานข้อมูล  และทำหน้าที่เก็บภาพทั้งหมด เครื่องที่สองเป็นเครื่องของพนักงาน  พนักงานจะทำหน้าที่ใส่ข้อมูลให้เซิร์ฟเวอร์  

 

รูปทุกรูปจะต้องถูกกรอกข้อมูลโดยพนักงาน  และส่งเข้าไปประมวลผลสร้างเป็นฐานข้อมูล เพื่อให้สามารถค้นหาด้วยคำที่ต้องการได้  การทำงานของพนักงานคงสามารถใส่ข้อมูล ได้ชั่วโมงละ 100 ภาพ วันนึงอาจจะทำได้สัก 500 ภาพ  ถ้าไม่ขี้เกียจจนเกินไป

 

 

การเตรียมข้อมูลภาพ จะเป็นหน้าที่ของช่างภาพ  จะต้องย่อภาพให้มีขนาดไม่เกิน 700จุด แล้วตั้งชื่อให้เป็นมาตรฐาน ซึ่งต้องไม่ซ้ำกับภาพที่เคยมี  เท่าที่ีคิดได้  ช่างภาพต้องทำตามนี้

1 นำภาพดิบทั้งหมดมาก๊อปปี้ลงฮาร์ดดิสก์ของเซิพเวอร์ ตั้งชื่อโฟลเดอร์และชื่อภาพให้ตรงมาตรฐาน

2 ก็อปปี้ไฟล์ภาพทั้งหมด แล้วย่อขนาดให้เล็กลงไม่เกิน 700จุด  แล้วเก็บไว้แยกเป็นโฟลเดอร์ใหม่

3 นำไฟล์ที่ได้จากข้อ 1 และ 2 ไปเบิร์นแผ่น DVD หรือ CD   ทำเป็นสำเนาเก็บไว้ 2 ชุด ใช่แผ่นคนละยี่ห้อ

4 จัดเก็บแผ่นสำเนาทั้งสอง ไว้ในแฟ้ม หรือ ชั้นวาง เขียนชื่อกำกับ ลงวันที่ เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา

5 เพิ่มรายชื่อแผ่นใหม่เข้าไปในทะเบียนข้อมูล  แผ่นทะเบียนข้อมูลเป็นกระดาษแยกไว้เป็นแผ่น หรือเป็นเล่ม เวลาค้นหาแบบไม่เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์  จะใช้วิธีการหาจากทะเบียนข้อมูล

 

 

สิ่งที่ต้องมี(หาซื้อ)

เครื่องคอมพิวเตอร์ 1 ชุด และ ฮาร์ดดิสก์ภายนอก 1 ตัว สำหรับทำงานข้อ 1

แผ่นดีวีดี 2 ยี่ห้อ รวมกัน 100 แผ่น  แผ่น CD 1 ยี่ห้อ 100 แผ่น   สำหรับทำงานข้อ 3

ซองใส่แผ่นซีดีที่สามารถร้อยห่วงได้  พร้อมแฟ้มห่วง และลิ้นชักเก็บเอกสาร เอาไว้ทำงานข้อ 4-5

สมุดจด 1 เล่ม เอาไว้ทำทะเบียนข้อมูล รายการนี้ไม่ต้องซื้อ ของเก่ามีเยอะแยะ

เครื่องคอมพิวเตอร์ของพนักงาน 1 เครื่อง อาจจะเป็นโน๊ตบุ๊ค  หรือ ใช้ของตัวเอง ทำเองแทนพนักงาน

รอให้มีรูปเยอะแล้วค่อยจ้างพนักงาน

ภาพถูกใจจากงานรับจ้าง

เป็นภาพบางส่วนที่ถ่ายเล่นๆในงานรับจ้างงานหนึ่ง  บางภาพมาจากงานเปิดตัวคอนโด  บางภาพมาจากงานทำบุญในวัด  ทั้งหมดมาจากเจ้าภาพคนเดียวกัน  เราตามถ่ายภาพสองวัน  ได้ภาพมาเยอะมาก  แต่ก็หาอันถูกใจได้นิดเดียว

Pro application need Pro Machine ภาค 1

ผมนึกถึงคำพูดนี้ขึ้นมา เพราะว่าชีวิตผมเริ่มต้องทำงานแบบโปรเฟสชั่นนัลเสียที  ในสมัยที่ยังหาเงินได้ไม่เยอะ  จะซื้อจะหาอะไรมาเล่นหรือใช้งาน ก็มักจะหาของถูก  ของลดราคา หรือแม้แต่ของตกรุ่นมาใช้  ผลก็คือผมมีของใช้งานจริงตามที่ตั้งใจ  แต่ก็แลกมากับข้อจำกัดบางอย่างที่เราก็รู้อยู่แก่ใจ  ถ้าพ่อเป็นนักการเมืองผมก็คงจะเลือกใช้ของที่ดีที่สุดโดยไม่ต้องสนใจเรื่องตัวเงิน  แต่ว่าชีวิตจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น  เงินที่มีอยู่จำกัด เลยต้องใช้แบบจำกัด  เลยต้องพยายามใช้ของถูกเข้าไว้  เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สาระสำคัญของชีวิตในวันที่ผ่านมา  เพราะผมใช้ของเหล่านั้นเพื่อความเพลิดเพลิน  แต่ระยะหลังงานอดิเรกหลายอย่างสามารถเปลี่ยนเป็นรายรับได้  เลยทำให้เริ่มอยากทำอะไรมากขึ้น เริ่มไปถึงข้อจำกัด และสุดท้ายอยากก้าวให้พ้นข้อจำกัดของถูก หรือ ของที่ยังไม่โปรเฟสชันนัลเสียที

IMG_9021

 

เครื่องเล่นเพลงต่างๆที่ผมเคยใช้มา  สมัยเด็กๆ  ผมใช้เครื่องเล่นซีดีที่ราคาต่ำที่สุดในท้องตลาด เครื่องขยายเสียงหรือแอมป์ก็รุ่นเล็ก  แค่ได้ใช้งานแผ่นซีดีเพลงก็รู้สึกยอดเยี่ยมแล้ว  รู้ว่ามีของราคาแพงกว่านี้เป็นสิบเป็นร้อยเท่า แต่ผมก็พอใจกับเครื่องเล่นซีดีที่ผมพยายามเก็บเงินซื้อ และทนใช้จนเรียนจบ  วันที่ผมเริ่มเที่ยวเล่นไปตระเวณฟัง  ไปดูการทำงานในห้องบันทึกเสียง ผมก็เริ่มจะเข้าใจว่าเสียงที่ดีกว่าเครื่องเล่นซีดีถูกๆของผมนั้นเป็นอย่างไร  ผมฟังออกรับรู้ทุกอย่าง  แต่ก็ทำใจบอกว่า เราไม่จำเป็นต้องใช้ขนาดนั้น  ทำไมเครื่องเล่นซีดีในห้องบันทึกเสียงถึงต้องแพงเหยียบแสน  เครื่องเล่นซีดีของนักทดสอบเครื่องเสียงหลายๆคนราคาแพงอย่างไม่น่าเชื่อ  สิ่งที่แตกต่างก็คือมันให้เสียงที่ดีกว่า  ตอบสนองย่านความถี่กว้างกว่า  ให้เสียงที่ชัดกว่า  ผมถามตัวเองว่าแล้วมันมีประโยชน์กับเราไหม  ผมมีคำตอบให้ตัวเองว่า เราฟังเพื่อความเพลิดเพลิน  ไม่ได้ฟังเพื่อวิจารณ์ทดสอบ เราไม่ต้องใช้ขนาดนั้นก็ได้  แต่ถ้าวันหนึ่งที่ผมจะต้องวิจารณ์เครื่อง หรือวิจารณ์เพลง  ผมก็คงจะเลือกซื้อเครื่องแพงๆเหล่านั้นเอาไว้ใช้เป็น “เครื่องมือ” สำหรับทำงาน  โชคดีที่วันนี้ผมยังไม่ต้องวิจารณ์เครื่องเสียง

IMG_1378

 

กล้องถ่ายรูปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ชัดเจนที่สุด  ผมหัดถ่ายภาพด้วยกล้องราคาประหยัด ฟังค์ชั่นพอใช้ได้  และเลือกใช้เลนส์อเนกประสงค์  คุณภาพเป็นอย่างไรช่างมัน  เอาซูมช่วงกว้างเยอะๆเข้าไว้  จะถ่ายอะไรก็สามารถเลือกซูมภาพได้ตามใจ  ผมเลือกใช้เลนส์ช่วงซูม 28-200 ยี่ห้อแทมรอน  เป็นเลนส์ที่ผมเรียนรู้หลักการถ่ายภาพและเที่ยวเล่นไปพร้อมๆกัน  มันทำงานให้ผมได้ตรงตามความต้องการ  คือจะถ่ายมุมกว้างก็ได้  ถ่ายซูมใกล้ๆก็ได้  สิ่งที่ผมรู้ในวันนั้นก็คือ  ไม่เห็นจะต้องใช้ของแพงเลย  เลนส์ที่แพงกว่าผมห้าเท่า  แต่ซูมแคบกว่ามากๆ ไม่เห็นจำเป็นเลย  สองปีผ่านไปเลนส์อเนกประสงค์ของผมก็เริ่มมีอาการรวน และสุดท้ายมันเสียหายไม่สามารถใช้การได้  มันอาจจะเป็นเรื่องปกติที่จะมีของเสียหาย  รวมไปถึงกล้องถ่ายภาพที่เริ่มรวนบ่อยขึ้นเรื่อยๆ  ซึ่งเป็นเพราะผมใช้งานมันอย่างหนัก  ปีแรกเอาไว้หัดถ่าย ปีที่สองเป็นต้นมาผมเริ่มรับจ้างถ่ายภาพ

_MG_6346

 

สองปีผ่านไปกล้องกลับเลนส์ทำงานหนักมาก จนในที่สุดก็เสีย  และมันดันเสียวันที่ผมกำลังรับจ้างทำงาน  นาทีนั้นถ้าเสกได้  ผมจะเสกกล้องกับเลนส์รุ่นท๊อปมาใช้เลย  โดยเหตุผลประการเดียวคือความทนทาน   ซึ่งมันหมายถึงผมไว้ใจมันได้เกือบร้อยเปอร์เซ็นว่ามันสามารถอยู่กับผมจนงานจบ  นั่นทำให้ผมเริ่มเข้าใจช่างภาพอาชีพที่เขาใช้ของระดับโปร ราคาสูงกว่าผม  กล้องของเขาไว้ใจได้ว่าทนกว่ากล้องระดับสมัครเล่น  เลนส์ของเขาแต่ละคนมีอายุไม่น้อย บางคนห้าปี  บางคนสิบปี  แต่ผมกลับต้องทิ้งเลนส์ตัวเองในปีที่สามเท่านั้น  ผมต้องซื้อกล้องตัวใหม่เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งตัว  ซื้อเลนส์ตัวใหม่อีกหนึ่งตัว  ซึ่งผมดันคิดงกกับตัวเองคือไม่ยอมซื้อเลนส์แพงๆเกรดดีมาใช้  อีกปีต่อมาผมก็ต้องทิ้งเลนส์แล้วซื้อตัวใหม่อีกเหมือนเดิม  แบบนี้เขาเรียกว่าเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย

_MG_2847

 

ในที่สุดวันหนึ่งที่ผมต้องซื้อเลนส์อีกครั้ง  ผมเลือกซื้อเลนส์เกรดโปรราคาแพงที่สุดที่ผมเอื้อมถึง  แล้วมันก็ทำงานให้ผมได้อย่างยอดเยี่ยม  คุณภาพดีกว่าเลนส์ราคาถูกอย่างไม่ต้องเทียบ  ภาพสวยจากเลนส์แพงๆมันเป็นอย่างไรผมก็ได้สัมผัส  และสิ่งที่ตามมามากกว่านั้นคือมันไว้ใจได้ มันทนมาก  หยิบออกมาใช้งานผมไม่เคยต้องกังวลว่ามันจะมีปัญหาอะไร  สามปีผ่านไปมันยังทำงานได้เหมือนวันแรก  ไม่มีอาการโทรมให้เห็นเลย  เป็นกรณีตัวอย่างที่ดีสำหรับผม  ทำให้ผมมั่นใจว่าคิดไม่ผิด

IMG_20170408_100658

 

ในงานถ่ายภาพ นอกจากเลนส์ก็มี แฟรชอีกตัวหนึ่งที่เข้าข่ายเสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายเหมือนกัน  ผมเริ่มต้นด้วยของถูก  ถูกมากๆ  แล้วมันก็เสียบ้าง  ไม่สามารถใช้งานได้ในบางสถานการณ์บ้าง  คุณภาพที่ได้จากแฟรชก็ไม่ดีเท่าของเกรดโปร  ลูกเล่นและความสามารถพิเศษที่สามารถเนรมิตภาพได้ทันจินตนาการก็ต่ำตามงบประมาณ  ผมใช้ของถูกหลายตัว  เพราะมันทำบางอย่างไม่ได้ เลยต้องมีหลายตัว  สุดท้ายผมซื้อของถูกรวมๆกันใช้เงินแพงกว่าซื้อของดีแค่ตัวเดียว  วันดีคืนดี  แฟรชที่ใช้งานอยู่เกิดเสีย  ตัวอื่นๆที่มีอยู่ก็ไม่มีฟังค์ชั่นที่ผมต้องการใช้  หมายความว่าผมไม่มีแฟรชสำรองให้ใช้เลย  วันนั้นผมต้องถ่ายรูปงานรับปริญญาของลูกค้าคนหนึ่ง  ผมคงจะไม่หงุดหงิดสักเท่าไรถ้าลูกค้าคนนั้นไม่ใช่อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ  แม้เขาจะเป็นคนธรรมดา แต่ในใจผมก็อยากจะมีผลงานที่ผมถ่ายคนดังเก็บไว้  แฟรชเสียขณะกำลังจะถึงเวลานัดพบ  ผมต้องอาศัยขอความช่วยเหลือจากเพื่อนให้ไปซื้อแฟรชตัวใหม่ให้ทันที แล้วรีบเอามาให้ผมให้เร็วที่สุด  และแน่นอนที่สุด  ผมให้เพื่อนช่วยซื้อรุ่นท๊อปมาให้  ของถูกอยู่กับผมสองปี เสียหนึ่งครั้ง  ของแพงอยู่กับผมปีที่สี่แล้ว ยังไม่เสียเลย  มันเป็นเรื่องที่อดคิดไม่ได้ว่าของเกรดโปร ดีกว่าจริงๆ