ร้านกาแฟบนถนนอรุณอัมรินทร์ แต่งร้านสวย ดูดี มีเน็ทให้เล่นฟรี แวะไปตามคำบอกเล่าของเพื่อน วันหลังจะกลับไปนั่งนานๆหน่อย
Monthly Archives: October 2008
ประชุมเรื่องของเว็บขายภาพ
วันที่ 29 ตุลาคม 2551 ผมกับเพื่อนอีกสองคนได้นั่งคุยกันเรื่องเกี่ยวกับเว็บขายภาพ เป็นการประชุมหลังจากที่ห่างกันไปนับเดือน การพูดคุยก็เป็นเรื่องของการแบ่งงานและวางแผนการทำงาน ในส่วนของการเตรียมภาพก็เป็นหน้าที่ผมเองที่จะรวบรวมภาพที่มีทั้งหมดให้เป็นระเบียบและเตรียมให้พร้อมสำหรับการอัพโหลดเข้าเว็บ ซึ่งคาดว่าเว็บจะเสร็จเดือนหน้า
เอกสารสำหรับทำตลาดก็เป็นสิ่งที่จะต้องออกแบบ ที่ประชุมตกลงกันให้ทุกคนไปออกแบบเอกสารทำตลาดมาคนละชิ้น ลักษณะที่เห็นพ้องต้องการคืออยากให้เป็นแพ็คเกจที่ดูแปลก พิสดารนิดๆ และดูตั้งใจทำ สามารถวางบนโต๊ะทำงานแล้วให้คนดูสนใจอยากทำความรู้จักกับ sawasdeephoto.com ซึ่งเท่าที่คุยกันไว้ ปาโกะอยากทำเป็นอัลบั้มภาพแบบวงกลมเจาะรู ตัวผมเองคิดไปในแง่ของกล่องลูกบาศก์มีภาพอยู่ 6 ด้าน. ทุกอย่างที่นึกไว้ต้องออกแบบและทำตัวตัวอย่างออกมา แล้วมานั่งคุยกันใหม่ว่างานชิ้นไหนผลิตได้ง่ายและต้นทุนต่ำกว่ากัน
ที่ประชุมยังมีการกำหนดราคาขายภาพเอาไว้ให้เป็นมาตรฐาน ภาพจะคิดราคาตามขนาดที่ลูกค้าต้องการ ขนาดเล็กไม่เกิน 1000px หรือ small จะราคาต่ำสุด ขนาดที่สองคือไม่เกิน 2000px หรือ medium ก็ราคาสูงขึ้นมาอีกลำดับหนึ่ง และราคาแพงสุดสำหรับภาพขนาด 3000px ขึ้นไปนับเป็นภาพใหญ่หรือ Large กำหนดให้ราคาเต็มคิดไว้ที่ 100% medium คิดราคา 70% และ 30% สำหรับ Small ราคาขายที่กำหนดไว้สูงสุดจะใช้ราคาที่ 5000 บาทไว้ก่อน ถ้าต้องปรับราคาค่อยมาตกลงกันอีกที
รายได้ของเว็บจะจัดสรรเป็น 40-40-20 ตัวแรกเป็นของช่างภาพ ตัวกลางเป็นของเว็บ ตัวสุดท้ายเป็นคอมมิชชั่น ในส่วนที่เป็นของเว็บจะเอามาแบ่งครึ่ง ครึ่งแรกเก็บเข้าบัญชีห้ามถอน เก็บจนกว่าจะได้เงินครบเจ็ดหมื่นบาท เพื่อคืนเงินให้คนทำเว็บ(หกหมื่น) และจ่ายค่าเช่าพื้นที่สำหรับปีต่อไป ส่วนอีกครึ่งจะเอาไปเป็นค่าใช้จ่ายในการพัฒนาเว็บ ซึ่งจะมีทั้งการถ่ายรูปเพิ่ม ใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการ ซึ่งอาจจะรวมไปถึงการจ้างพนักงานชั่วคราวหรือประจำสักคนมาช่วยงาน
เวลาขายภาพจะขายทีละภาพ คือราคาภาพละ 5000 บาท แต่ทางเว็บจะออกโปรโมชั่นให้เหมาจ่ายซื้อล่วงหน้า 7000 บาทสามารถซื้อได้ 5 ภาพ ลำดับถัดมาก็คือ 10000 บาทซื้อได้ 10 ภาพ 15000 บาทสำหรับ 20 ภาพ และสุดท้ายคือ 100000 บาทจะให้ภาพได้ไม่จำกัดจำนวน หรือ unlimit ลำดับที่หนึ่งแสนบาทนี้ผมคิดเอง เผื่อว่าจะมีใครต้องการจ่ายหรือเป็นสปอนเซอร์หลักให้กับเว็บ
สปอนเซอร์หลักของเว็บก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะเป็นแหล่งรายได้ ที่ประชุมเห็นด้วยว่าควรจะมี และควรจะได้ตัวเงินสักหนึ่งแสนบาทขึ้นไปสำหรับสปอนเซอร์หลักหนึ่งราย แต่ถ้าได้หนึ่งล้านก็ไม่ว่า ซึ่งสปอนเซอร์หลักจะมีสิทธิ์ได้ใช้ภาพในเว็บได้ไม่จำกัดจำนวน ตลอดระยะเวลาที่ทำสัญญากัน ซึ่งน่าจะเป็นระยะเวลา 1 ปี
สปอนเซอร์หลักที่นึกออกก็คือ ธนาคาร บริษัทขายกล้อง หน่วยงานรัฐฯอย่างเช่น ททท. และบริษัทเอกชนทั่วไปที่ทำงานเกี่ยวกับวงการโฆษณาหรือแม้กระทั่งสำนักพิมพ์ ระหว่างนี้ให้ช่วยกันลิสรายชื่อสปอนเซอร์หลักออกมา แล้วก็เตรียมข้อมูล เตรียม proposal ไปนำเสนอ ไม่แน่นะ รายได้หลักของเว็บอาจจะมาจากสปอนเซอร์ก็ได้
“เราต้องทำสิ่งที่ไม่เคยทำ เราจึงจะได้สิ่งที่ไม่เคยได้” ผมชอบวลีนี้มาก และคิดว่าเว็บขายภาพคือสิ่งที่ผมไม่เคยทำ และคนอื่นในไทยยังไม่เคยทำ ผมอาจจะได้อะไรมากกว่าความว่างเปล่า(อยู่แล้วแหละ) ถ้าเว็บมีระบบที่ดี มีภาพที่ดี เว็บนี้ต้องเป็นที่ต้องการแน่นอน
ออกจากความฝัน
ในที่สุดความคลุมเครือก็หมดไป ผมอกหัก ท่ามกลางความเสียใจยังมีเรื่องดีๆอยู่เรืองหนึ่ง คือเราสองคนจบดี อย่างน้อยก็ไม่เกลียดกัน หัวใจผมเต้นปกติตอนเราคุยเรื่องความต้องการในชั่วโมงสุดท้าย แต่มันเต้นเร็วขึ้นตอนเดินออกมา คงเป็นแบบนี้อีกสักพัก ผมคงต้องใช้เวลาไปกับเรื่องราวอื่นๆเพื่อให้คิดถึงเธอน้อยลง
ช่วงเวลาสั้นๆที่เราสองคนได้ใช้เวลาร่วมกัน เหมือนเป็นของขวัญจากพรหมลิขิต ผมมีความรู้สึกที่ดีมากๆ สิ่งที่เหลือจากเหตุการณ์นี้คือความเป็นเพื่อน แม้จะไม่ใช่สิ่งที่ผมใฝ่ฝัน แต่ผมก็ได้เพื่อนมาคนนึง และผมก็รู้ว่าเพื่อนคนนี้เป็นคนอย่างไร เพราะความซับซ้อนของเธอคงน้อยลงกว่าตอนเป็นแฟนกัน
ผมตื่นกลางดึก เมื่อคืนผมนอนเร็วมาก คงเป็นเพราะรู้สึกเหนื่อย พอได้หลับก็ดีขึ้น แต่ตื่นมากลางดึกแบบนี้ยังนอนต่อไม่ได้เลย ในใจยังคิดถึงเรื่องราวต่างๆที่ผ่านมา ผมตั้งชื่อให้ความรักที่เพิ่งผ่านพ้นไปว่า sixty sweet
วิดีโองานแต่ง นุตรา-ฉัตรมงคล
ไปงานแต่งมาครับ ถ่ายวิดีโอนิดหน่อย เลยเอามาตัดต่อให้เจ้าภาพ ขอให้เจ้าภาพมีความสุขกับชีวิตคู่ครับ
วิดีโอตอนที่ 1 เป็นงานจัดที่ จ.สระแก้ว วันที่ 14 กันยายน 2551 เดินทางไปก่อนงาน 1 วัน
ตอนที่ 2 เป็นงานจัดที่กรุงเทพฯ วันที่ 29 กันยายน 2551
การตั้งชื่อไฟล์ให้ไม่ซ้ำกันสำหรับระบบของ sawasdeephoto
เมื่อได้ไฟล์มาแล้ว ให้ทำการ rename ไฟล์ต้นฉบับและไฟล์ย่อส่วน ด้วยรูปแบบดังนี้user + event + datemonthyear + “n” + number of file เช่น user ชื่อ bahh ไปถ่ายรูป ดอกไม้ วันที่ 23 ตุลาคม 2551 จำนวน 150 รูป ชื่อไฟล์จะต้องตั้งชื่อเป็น bahhflower23oct2008n001 ถึง bahhflower23oct2008n150
user เป็นชื่อ user ในระบบ ไม่จำเป็นต้องเป็นชื่อจริง แต่สามารถค้นหาจากทะเบียนได้ว่า user มีชื่อจริงว่าอะไร
event เป็นชื่อเหตุการณ์ หรือชื่องาน เช่น ไปเที่ยวทะเล ก็ใช้คำว่า sea ไปเที่ยวภาคเหนือ อาจจะใช้คำว่า north ถ่ายนางแบบอาจใช้คำว่า model
อัตราส่วนรายได้ของเว็บขายภาพ
ราคาขายภาพกำหนดไว้ที่ 100% เมื่อขายได้แล้วจะเอามาแบ่งดังนี้
40% เป็นของช่างภาพ เจ้าของภาพ เจ้าของลิขสิทธิ์
40% เป็นของผู้จัดทำเว็บ
20% เป็นคอมมิชชั่น เป็นส่วนลด เป็นโปรโมชั่นที่แต่ละคนที่เอาไปขาย หรือไปติดต่อลูกค้าสามารถบอกลดราคาได้
รายจ่ายของเว็บ
ค่าใช้จ่ายรายปี จะเป็นค่าเช่าพื้นที่ ซึ่งมีราคาปีละ 10000 บาท
ค่าใช้จ่ายรายเดือน จะเป็นค่าใช่้จ่ายในส่วนของการพัฒนาเนื้อหา หรือการถ่ายรูปเพิ่มเติม ซึ่งจะใช้เป็นค่าเดินทาง ค่าจ้างนายแบบนางแบบ ค่าอุปกรณ์การถ่าย ค่าอุปกรณ์เข้าฉาก ตกลงกันว่าจะพยายามถ่ายภาพเพิ่มเติมเดือนละ 1 ครั้งใหญ่ เช่นภาพอาหาร ภาพสัตว์ ภาพออฟฟิศ ภาพอุปกรณ์เครื่องเขียนสำนักงาน ฯลฯ
ประชาธิปไตยสีดำ
ฟิล์มขาวดำจำยี่ห้อไม่ได้ ใช้กล้องแมน่วล เลนส์ 24 มม. ตั้งค่ารูรับแสง f8 ความไวชัดเตอร์ประมาณ 10-20 วินาที จำไม่ได้แน่นอนเพราะนานแล้ว แต่เดาว่าน่าจะวัดแสงพอดีที่ตัวเสาของอนุสาวรีย์ส่วนที่เป็นสีขาว ใช้สายลั่นชัตเตอร์ ใช้ขาตั้ง ล้างฟิล์มด้วยน้ำยาสำเร็จรูปของฟอร์เต้ อุณหภูมิ 20 องศา เวลา 7.30 นาที เขย่าแต่ไม่คน สแกนฟิล์มด้วยเครื่องสแกน epson perfection 4490 4800dpi
สำหรับภาพนี้ต้องคู่กับเพลงนี้
เพลง “ถามคนไทย”
หัวใจถูกแทงกี่ขั้ว ตามตัวถูกฟันกี่แผล
ปู่ไทยตายไปกี่คนแน่ ไทยจึงได้แผ่มาถึงแหลมทอง
กระดูกไทยกระเด็นไปกี่ท่อน เชิงตะกอนเผาไปกี่หน
คอขาดกันไปกี่คน ไทยทุกคนจึงได้ไทยครอบครอง
เสียเลือดกันไปเท่าไหร่ เสียใจกันไปกี่ครั้ง
น้ำตาของไทยไหลหลั่ง ทุกๆครั้งที่ถูกเฉือนขวานทอง
เข่นฆ่ากันทำไม เราเป็นคนไทยด้วยกันทั้งผอง
ไทยฆ่าไทย ให้ชาติอื่นครอง
วิญญาณปู่จะร้องคุณลูกหลานจัญไร!
ไทยฆ่าไทย ให้ชาติอื่นครอง
วิญญาณปู่จะร้องคุณลูกหลานจัญไร!
เริ่มอยากเที่ยวอีกแล้ว
วันนี้ค้นหางานเก่าๆของลูกค้า ก็เลยไปเจอภาพเก่าที่เคยเก็บไว้ เป็นภาพที่ถ่ายเล่นตอนที่ยังเรียนปริญญาโทอยู่ ไม่น่าเชื่อเลยว่าผ่านมาตั้งนานแล้ว ไม่ได้เที่ยวแบบลุยๆอีกเลย บอกใครเขาว่าเราเป็นช่างภาพไม่ค่อยได้เที่ยว คงรู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลก เคยเที่ยวเยอะ แม้จะไม่เยอะมาก เคยเที่ยวไกล แม้จะไม่ไกลมาก แต่ก็มากพอจะทำให้รู้ว่าการเดินทางก็เป็นเรื่องที่ควรทำ เพราะจะได้พบได้เจออะไรใหม่ๆ
ฟังเพลงระบบไร้สายด้วย Airport Express

จากบทความตอนที่แล้วที่ผมได้จัดหา Airport Express มาใช้งานทำระบบแลนแบบมีสายในบ้านให้เป็นไร้สาย นอกจากความสามารถหลักของมันแล้ว ของแถมที่ได้มายังมีฟังค์ชั่นน่าใช้อีกสองอย่าง คือมีช่องต่อ USB เอาไว้ต่อกับปริ๊นเตอร์ ทำให้เราสามารถสั่งพิมพ์งานแบบไร้สายได้เลย และอีกฟังค์ชั่นหนึ่งก็คือการต่อลำโพงเข้ากับตัวมันเพื่อฟังเพลงโดยโปรแกรม iTune

การฟังเพลงบนเครื่องคอมพิวเตอร์เรามักจะต่อลำโพงเข้ากับเครื่องที่เราใช้งาน หรือถ้าเป็นโน๊ตบุ๊คก็จะมีลำโพงมาให้อยู่แล้ว คุณภาพเสียงก็จะเล็กน้อยไม่สามารถคาดหวังอะไรได้ ส่วนใหญ่เราต้องการแค่ได้ยินเท่านั้น หากเราสามารถทำให้เสียงไปออกยังลำโพงสเตอริโอในบ้าน หรือ ชุดเครื่องเสียงหลักที่มีคุณภาพดี เราก็สามารถใช้คอมพิวเตอร์เพื่อเปิดเพลงฟังเพราะๆได้เลย การเดินสายไปยังเครื่องเสียงหลักในบ้านจะเป็นเรื่องที่น่าปวดหัว เพราะการเดินสายระโยงระยางเป็นเรื่องวุ่นวาย ไม่น่าดู

Airport Express นอกจากจะเป็นระบบแลนไร้สายแล้ว ตัวมันเองยังรับสัญญาณเพลงจากโปรแกรม iTune ได้อีกด้วย ถ้าเราฟังเพลงด้วยโปรแกรม iTune และเรามี Airport Express อยู่ในระบบเน็ทเวิร์คของเรา เราก็สามารถเลือกให้ iTune ส่งสัญญาณเสียงไปออกที่ Airport Express ได้อีกช่องทางหนึ่ง แทนที่จะออกแค่เครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา จะให้ออกจุดไหนจุดเดียวก็ได้ หรือออกทั้งสองจุดก็ได้

คุณภาพเสียงที่ได้จาก Airport Express มีคุณภาพดีใกล้เคียงเครื่องเล่น iPod มากๆ และอาจจะดีกว่ายืดหยุ่นกว่าตรงที่ มันสามารถส่งสัญญาณขาออกแบบดิจิทัลได้ด้วย กล่าวคือ ถ้าเราต่อสายสัญญาณแบบอนาลอกเข้ากับเครื่องขยายเสียงมันก็จะทำหน้าที่ส่งสัญญาณเสียงไปตามปกติ แต่เราสามารถเลือกสายต่อที่เป็นสายไฟเบอร์ออพติก เพื่อต่อสัญญาณดิจิทัลออกมาได้ สัญญาณดิจิทัลประเภทนี้จะต้องส่งไปเข้าตัวถอดรหัสเสียง ซึ่งถ้าเรามีเครื่องเล่นโฮมเธียเตอร์ที่สามารถรับสัญญาณดิจิทัลได้ เราก็จะสามารถใช้โฮมเธียเตอร์ของเราถอดรหัสดิจิทัลให้เป็นอนาลอก แล้วก็ฟังเพลงได้ตามปกติ แม้ว่าขั้นตอนดูจะยุ่งเหยิงเรื่องมาก แต่ก็เป็นวิธีการเพิ่มคุณภาพเสียงประการหนึ่งที่ถูกออกแบบมาไว้ให้เป็นทางเลือกสำหรับคนที่ต้องการเพิ่มคุณภาพเสียงแลกกับการเดินสายเพิ่มเติมอีกเล็กน้อย ซึ่งนักเล่นเครื่องเสียงมักจะคุ้นเคยและรู้ว่ามีเครื่องถอดรหัสเสียงดิจิทัลเป็นอนาลอกให้เลือกใช้ที่หลากหลาย ตั้งแต่ราคาหลักพัน ไปถึงหลักแสน เราชอบแบบไหนเราก็เลือกสิ่งนั้นมาใส่เพิ่มในระบบได้
ความคุ้มค่ามีมากน้อยแค่ไหนคงไม่มีคำตอบที่ถูกต้องสำหรับทุกคน บางคนต้องการแต่ได้ยิน บางคนต้องการฟัง บางคนต้องการเสพ แต่ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้เป็นของแถมในโลกไอที ที่ apple ได้ทำเอาไว้ให้เป็นทางเลือก เพราะคิดว่าคนออกแบบผลิตภัณฑ์ตัวนี้คงจะเคยพบกับความรู้สึกว่า อยากฟังเพลงนี้กับเครื่องเสียงดีๆในบ้าน แต่ไม่อยากเดินสาย ทำอย่างไรดี….
เพิ่มระบบแลนไร้สาย ให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ
เครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะวางไว้ในห้องทำงาน ระบบเน็ตไร้สายอยู่ข้างนอกห้อง ถ้าใช้โน๊ตบุ๊คก็ไม่มีปัญหา สามารถใช้ wireless ในตัวมันเองเล่นเน็ทได้เลย แต่คราวนี้เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ จะซื้อแท่ง usb wireless มาใช้ ก็อาจจะใช้ได้กับเครื่องที่ลงวินโดส์เท่านั้น แต่ผมตั้งใจว่าในห้องทำงานจะมีเครื่องที่เป็นระบบปฏิบัติการอื่นด้วย ไม่ว่าจะเป็น OSX ของแม็คอินทอช หรือ Linux ตระกูลต่างๆ แท่ง usb wireless อาจจะไม่สามารถทำงานได้ในระบบปฏิบัติการอื่นๆเพราะคงไม่มีไดรเวอร์ให้ใช้ การใช้งานเน็ตคงเหลือเพียงต่อผ่านสายแลนเท่านั้น
การต่อสายแลนจากห้องหนึ่ง ไปอีกห้องหนึ่งเป็นเรื่องยุ่งยากมาก ต้องเจาะ ต้องเดินสาย เสียเงินไม่น้อย แถมยังเสียความสวยงามของบ้านไปอีก อีกทางเลือกหนึ่งที่น่าจะแก้ปัญหาได้ดีก็คือ ซื้อตัวรับส่งสัญญาณ wireless ที่มีช่องรับสายแลน แล้วเอาตัวที่ว่านี้ไปต่อกับสายแลนในห้องทำงาน ในส่วนของระบบไร้สายก็ให้มันไปเชื่อมต่อกับระบบไร้สายเดิมในบ้าน
ทุกอย่างที่ออกแบบไว้เป็นความสามารถที่มีอยู่ใน Airport Express ซึ่งเป็นอุปกรณ์ระบบ Wireless ตัวหนึ่งของ apple เจ้าตัว Airport Express นี้มีหน้าที่เชื่อมต่อสายแลนแล้วแปลงให้เป็นระบบไร้สาย ผมมีอุปกรณ์ตัวนี้อยู่ก่อนแล้ว 1 ตัว คือต่อไว้กับ Router Adls เพื่อทำให้ในบ้านสามารถเล่นเน็ทไร้สายได้ ทำให้เครื่องแมคอินทอชที่ต่ออยู่กับทีวีสามารถใช้เน็ทได้ และพอผมเพิ่มเครื่องคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะไว้ในห้องทำงาน ผมเลยซื้อ Airport Express เพ่ิมอีกตัวหนึ่งเพื่อทำให้คอมพิวเตอร์ในห้องทำงานที่เป็นระบบสายแลนทั้งหมดสามารถเชื่อมต่อกับเน็ทในบ้านได้ งงไหม?
Airport Express ยังมีข้อดีที่เด็ดกว่านี้อีก ถือว่าเป็นของแถมที่ชักชวนให้ซื้อยิ่งกว่าความสามารถหลักของมันเสียอีก ไว้จะมาโม้ต่ออีกทีครับ
confa.co.th project
ทดสอบฝากข้อมูลไว้ในเว็บ
Think Different ของ Apple
ในปี 1997 แคมเปญโฆษณาที่ชื่อว่า ‘Think Different’ ของ Apple ถูกส่งสู่สายตาคนทั่วอเมริกา พวกเขาอัญเชิญบุคคลสำคัญของโลกทั้งหลายเช่น อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์, มหาตมะ คานธี, บ็อบ ดีแลน, มาร์ติน ลูเธอร์ คิง, จอร์น เลนน่อน และอีกมากมายที่เคยสร้างปรากฎการณ์เปลี่ยนแปลงโลกนี้ได้ด้วย “ความคิดที่แตกต่าง” มารวมตัวกันอยู่ในโฆษณาชุดนี้
พวกเขาไม่ได้คิดคำโฆษณาสวยหรูที่ติดหูคนทั่วโลกชุดนี้ เพียงเพื่อทำให้ตัวเองมีภาพลักษณ์ที่ดี หรือเพียงเพื่อรองรับการสร้างโฆษณาแต่เป็นเพียงปรัชญาในการทำงานของบริษัท ที่ถูกกร่อนจนเป็นวลีสั้นๆ และนำมาประกอบโฆษณาต่างหาก
Apple ดำรงอยู่ด้วยการ “คิดต่าง” อย่างที่ว่ามาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งบริษัท (ถึงแม้ตอนนั้นจะมีเพียง Steve jobs และ Steve Wozniak ก็ตาม) หลักฐานก็คือ ในปีที่ Apple กำเนิดขึ้น ทุกคนบนโลกล้วนรู้จักคอมพิมเตอร์ในรูปแบบของ ‘DOS’ ที่ต้องใช้งานผ่านการพิมพ์บนคีบอร์ด พวกเขาก็ปฎิวัติวงการคอมพิวเตอร์ด้วยการนำอุปกรณ์ที่ชื่อว่า “เมาส์” และ ‘Graphic User Interface'(ก็พวกหน้าตาของ Desk top หรือ Folder ที่เราเห็นกันนั่นแหละ) มาใช้เป็นรายแรกซึ่งเป็นการพลิกโฉมของคอมพิวเตอร์ไปตลอดกาล…
แม้แต่โลโก้ของบริษัทที่แสนเรียบง่าย โค้งมน ก็ยังคงแตกต่างจากบริษัทคอมพิวเตอร์ร่วมยุค ที่ส่วนใหญ่แล้วมักจะออกแบบให้รู้สึกมั่นคง น่าเชื่อถือ แข็งแรง แต่ผลที่ได้กลับตรงกันข้าม คือไม่น่าเข้าใกล้ ไม่อยากคบหา และสัมผัสได้ยาก เหมือนที่เรายังคงเกร็งเสมอเวลาอยู่ต่อหน้าพนักงานธนาคาร
ความที่แตกต่างในแบบฉบับบริษัท Apple ถูกนำมาประยุกต์เป็นหลักในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นอัน ภายใต้การหมกมุ่นพัฒนา 3 อย่าง คือ ประสิทธิภาพ(Quality) ความล้ำสมัย(Innovation) และความเรียบง่าย(Simplicity) หลักฐานฟ้องคาตาจากผลิตภัณฑ์ทุกชิ้น
นั่นแหละ ธรรมชาติของความคิดที่เรียบง่ายคือ…คิดโคตรยาก!
แต่แม้ยาก ผลงานมากมายที่ได้มาก็คุ้มค่า เช่น ความคลาสสิกของ Macbook ที่อยู่มานานร่วม 2 ปีโดยไม่มีเปลี่ยนหน้าตา และกำลังขายดีแบบก้าวกระโดด หรือฟังค์ชั่นที่กระแทกใจคนทั่วโลกอย่าง ‘Multi-touch'(ระบบสัมพัสพร้อมกัน 2-3 จุด) โดยไม่ต้องสร้างปุ่มมาเพิ่มความวุ่นวายให้ผู้ใช้ หรือ ‘Click Wheel'(ระบบวงล้อแบบสัมผัส) บนหน้าจอ iPod ที่ยังไม่มีใครสามารถทำได้ดี นุ่มนวลและใช้งานเสถียรได้เท่า รวมถึงการออกแบบโปรแกรมที่ใช้งานสบายเข้าใจง่าย รูปลักษณ์ที่พิถีพิถัน จนส่งให้ Macintosh เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีการผสมผสานงานศิลป์กับเทคโนโลยีได้อย่างลงตัว สวยงามจนอยากเอาไปโชว์คนอื่น
ซึ่งไม่แปลก เพราะตลอดเวลาที่บริษัทอื่นล้วนมุ่งทุ่มงบก้อนที่ใหญ่อันดับหนึ่งให้ความสำคัญแก่การตลาด การประชาสัมพันธ์ หรือการโฆษณา การสนับสนุนคอนเสิร์ต หรือมอบเงินแก่การกุศล หรืออะไรก็ตามที่อาจทำให้ถูกผู้คนจดจำ ซึ่งเป็นเส้นทางแห่งความสำเร็จของการสร้างแบรนด์อย่างที่นักการตลาดทุกคนร่ำเรียนเขียนอ่าน แต่ Apple โยนทิ้งตำรา ทุ่มทุนกว่าครึ่งของงบประมาณไปกับแผนกวิจัยและพัฒนาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะลดลง
ครั้งหนึ่งมีคนถาม Steve Jobs ผู้นำแห่งบริษัท Apple ว่า ถ้าเขาอยู่ในภาวะเศรษฐกิจโลกกำลังถดถอย เขาจะทำอย่างไร? จะปลดพนักงานเพื่อลดรายจ่ายไหม หรือจะลดงบประมาณด้านพัฒนาลงหรือไม่
Jobs ส่ายหน้า บอกว่าไม่มีทางปลดพนักงานออก และไม่คิดลดงบประมาณการพัฒนา แถมให้เหตุผลว่า “ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจกำลังทรุด เรามีโอกาสพัฒนาสินค้าให้ก้าวหน้าได้ และเมื่อเศรษฐกิจกลับสู่สภาพเดิม เราจะเป็นผู้นำทันที!” -ฟังดูห่าม แต่ทำจริง! ในช่วงปี 2000-2002 Apple ประสบปัญหาด้านการเงินอย่างสูง กำไรต่อปีจาก 8,000ล้านเหรียญสหรัฐฯ เหลือ 5,700 ล้าน ตอนนั้นเขาก็ยังอัดเงินสู่ฝ่ายวิจัยและพัฒนาเพิ่มขึ้นจาก 380 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็น 446 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หน้าตาเฉย
เป็นเรื่องที่น่าขำ เพราะตอนนั้นแนวคิดของ Apple ที่มุ่งไปพัฒนาด้านนวัตกรรมอย่างเดียวนั้นเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ และไม่มีใครคิดจะทำ แต่ต่อมาไม่นาน สิ่งที่พวกเขาได้รับก็คือ Macintosh คอมพิวเตอร์ที่ขายดีเป็นอับดับ 1 และ Apple ได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมดีที่สุดในโลก…..
‘Dr.Pilips Kotler’ ปรมาจารย์ด้านการตลาดเจ้าของตำรา ‘Marketing Management’ ที่นักการตลาดทั่วโลกใช้ร่ำเรียน เคยกล่าวไว้ในงานสัมมนาครั้งหนึ่ง เขาทักทายผู้ร่วมงานว่า “นักการตลาดทั้งหลายเอ๋ย ในฐานะที่พวกท่านเป็นผู้นำทางมาร์เกตติ้ง…ท่านต้องหันกลับไปมอง Apple” -ครับ Apple ที่ไม่ได้ทำอะไรตามตำราการตลาดเลยสักนิด
จะไม่เชื่อก็ได้ แต่พวกเขาแทบไม่เสียเงินให้กับการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์แต่อย่างใด โฆษณาชุด ‘Think Different’ ก็เป็นโฆษณาของ Apple ที่สามารถหาดูได้ยาก เพราะมีน้อยชิ้นเหลือเกินแต่ทำไมบริษัทที่ไม่สนใจการโฆษณาหรือประชาสัมพันธ์ ยังได้ครองแบรนด์ยอดนิยมอันดับ 1 ของโลกและอันดับ 6 ของแบรนด์ทรงคุณค่า แถมยังคงขายดีเป็นเทน้ำเทท่าเล่า?
เขาคิดกันอย่างนี้. ‘เมื่อมีสินค้าที่ดี ใครจะไม่ยอมมีไว้ใช้?’ และ ‘เมื่อมีข่าวคราวที่ดี และกำลังเป็นที่นิยม สื่อหน้าไหนจะไม่อยากนำเรื่องราวของมันไปบอกต่อ? ‘ -ซึ่งก็จริง เพราะ iPhone ที่กำลังดังกระหึ่มโลกขณะนี้ Apple นอกจากร่อนแคมเปญก่อนงานเปิดตัว 1 สัปดาห์แล้ว ก็ไม่ได้จ่ายเงินซักเหรียญเพื่อทำการโฆษณา แต่หลังจากนั้นมันก็ถูกนำไปลงสื่อทั่วโลก อย่างนิตยสาร Times ที่นอกจากยกย่องให้เป็นสุดยอดนวัตกรรมแห่งปี ก็นำ iPhone ไปลงปกมาแล้ว! ไม่ต้องมองไกลถึงนิตยสารที่เกี่ยวกับการออกแบบหรือเทคโนโลยีทั่วโลกหรอก ‘คู่สร้าง คู่สม’ บ้านเราก็เอาไปพูดถึงกับเขาเหมือนกัน
หรือหากย้อนกลับไปอีกนิด ในฤดูใบไม้ร่วงปี 2001 ที่ทุกคนกำลังคลั่งไคล้กับวัฒนธรรมของ ‘CD Walkman’ ไม่มีใครล่วงรู้มาก่อนว่าอีก 1 อาทิตย์จะมีเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนวัฒนธรรมของพวกเขาได้ เวลานั้นสื่อมวลชนในประเทศอเมริกาได้รับบัตรเชิญปริศนาจาก Apple ที่โปรยข้อความ ‘เชิญไปร่วมงานเปิดตัวอุปกรณ์ดิจิทัลใหม่ล้ำสมัยที่สุด (ใบ้ให้ว่าไม่ใช่เครื่อง Mac)’
หลังจากนั้นไม่กี่อึดใจ โลกก็ได้รู้จัก ‘iPod’ เครื่องเล่นไฟล์เพลง MP3 เครื่องแรกของโลก ก่อนที่มันจะถูกขายไปถึง 125,000 เครื่องในปลายฤดูหนาวปีเดียวกัน
การ “เซอร์ไพร์ส” แบบ ‘กั๊ก’ข่าว ที่ดูน่าหมั่นไส้เอามากๆฉบับ Apple นี้ เป็นสิ่งที่ถูกคิดและวางแผนไว้แล้วเพื่อดึงดูดความสนใจเพิ่มสีสันน่าตื่นเต้น ซึ่งพวกเขาก็หวงแหนและรักษา ‘ความลับ’ ของผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ยังไม่เปิดตัวเอามากๆ จนว่ากันว่าคนทั่วโลกที่รู้ล่วงหน้าว่า Apple กำลังทำอะไร มีไม่ถึง 10 คน! ต่างกับบริษัทอื่นที่พนักงานรู้ล่วงหน้าว่าบริษัทของตัวเองกำลังจะมีอะไรใหม่ถึง 6 เดือน ยิ่งถ้าเป็นฝ่ายวิจัยพัฒนาแล้วก็ 2 ปี….
แต่ไม่รู้ใครช่างปล่อยข่าวออกมาว่า Apple ตอนนี้เปรียบเสมือน ‘พ่อมดหมดมนต์ขลัง’ ที่กำลังจะสิ้นฤทธิ์ในการเสกสร้างสุดยอดเทคโนโลยีใหม่ใดอีก
“ไม่จริงหรอก ยังมีอีกเยอะ” -นี่ก็อีกข่าว แต่คราวนี้เรารู้ว่าใครเป็นผู้ปล่อย
เห็นว่าชื่อ ‘Steve Jobs’
อืม…ควรจะเชื่อใครดีเนี่ย?
ที่มา: macmania A day เล่ม 94





